ตันหยางยืนจ้องพระสวามีที่มองตนด้วยแววตานิ่งเรียบ “พระองศ์คงไม่คิดจะให้หม่อมฉันนอนพื้นกระมัง”
“เจ้าบอกเองว่าจะนอนตรงนั้นมิใช่หรือ” “ก็แค่ลมปากทรงเชื่อหรือเพคะ ขยับไป…หากไม่ขยับหม่อมฉันจะนอนทับพระองค์นะเพคะ” ตันหยางบอกกล่าวเสียงจริงจัง ผู้เป็นสามีจึงรีบทำตามที่นางบอก เพราะเขาเชื่อว่านางต้องทำจริงแน่ สตรีผู้นี้เคยพูดเล่นเสียที่ไหน ด้วยว่าการกระทำที่ผ่านมา มันเผยธาตุแท้ให้เขาได้เห็นหลายคราแล้ว ตันหยางยกยิ้มก่อนจะหย่อนกายลงนั่ง เมื่อถอดรองเท้าแล้วนางก็เอนตัวลงนอนพร้อมกับดึงเอาผ้าจากเขามาห่มครึ่งตัว “นอนเถิดเพคะ หากไม่นอนจะทำอย่างอื่นหม่อมฉันก็ไม่ว่านะ” นางเอียงหน้ามองเขาพร้อมกับยิ้มมุมปาก ทว่าผู้เป็นสามีกลับขยับนอนตะแคงหันหลังให้ พร้อมกับบ่นพึมพำให้ได้ยิน ตันหยางได้แต่เม้มปากไว้เพราะเกรงตนจะหลุดขำออกมา ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ทว่าในใจกลับคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น องค์รัชทายาทเกลียดชังนาง เขามิได้เต็มใจจะแต่งด้วย ที่สำคัญเขาน่าจะพึงใจสตรีอื่นอยู่ ซึ่งมันคงมิใช่ใครที่ไหน นอกจากคุณหนูกู้อิงเถาสตรีที่ร่วมทางกับตนในช่วงนั้น เพราะท่าทีที่พระสวามีแสดงออกมันเผยให้เห็นชัดเจน ‘ขออภัยที่ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านสมหวังกับนางได้’ หญิงสาวนึกในใจก่อนจะปลดปล่อยความคิดเหล่านี้ไปเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง เช้าของวันใหม่… จิ่นหรงตื่นขึ้นมาก็พบว่าชายาของตนไม่อยู่ในห้องแล้ว เขาจึงรีบทำธุระให้เรียบร้อยแล้วออกมาจากตำหนักของนาง เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะไม่ถูกขังให้ร่วมห้องกับสตรีหยาบผู้นี้ “รัชทายาท พระชายาทรงรอที่ห้องโถงแล้วเพคะ ทั้งคู่จะต้องไปยกน้ำชาให้ไทเฮาและฮ่องเต้ที่ตำหนักใน” หลี่หมัวมัวเอ่ยบอกอย่างอ่อนน้อม นำพาให้คนที่คิดจะหนีต้องหยุดชะงัก พร้อมกับถอนหายใจแรง และเอ่ยบอกตนเองในใจ ‘ช่างเถิด ทำทุกอย่างให้แล้วเสร็จ ภายหน้าเสด็จพ่อกับเสด็จย่าคงไม่มาก้าวก่ายเรื่องของเราแล้วกระมัง’ คิดได้ดังนั้นเขาก็เดินนำทุกคนไปที่ห้องโถงของตำหนัก เมื่อมาถึงก็พบกับร่างอรชรของชายาตัวน้อยที่นั่งอยู่ เมื่อนางเห็นเขาเดินเข้ามาก็ขยับลุกย่อตัวให้อย่างอ่อนน้อม ไม่ต่างจากคุณหนูชั้นสูงที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี และที่ทำให้เขายืนนิ่งงันด้วยความตกตะลึงก็คือใบหน้าหวานของนางนี่แหละ เผลอมองคราใด เขาก็อดที่จะชื่นชมมิได้ “เชิญทั้งสองพระองค์เสด็จเพคะ” หมัวมัวกล่าวแล้วก็ยิ้ม เมื่อเห็นท่าทางของรัชทายาทที่เอาแต่มองชายา “ก็ไปสิ” ได้สติจิ่นหรงก็รีบเดินนำออกไป มีร่างอรชรของตันหยางเดินตามอย่างเรียบร้อย จนบางคราเขาก็แอบเหลือบมองไม่ได้ ‘ทำตัวดีก็เป็น แต่เหตุไฉนยามอยู่กับเราสองคนถึงได้’ จิ่นหรงยังคงนึกถึงท่าทางชีกอของนางที่มักจะเผยออกมาบ่อยครั้ง ยามเมื่ออยู่กับเขาตามลำพัง ตันหยางเอียงหน้ามองสามีที่เอาแต่จ้องตน พร้อมกับยกยิ้มมุมปากในท่าทางสงสัยของเขาที่มีมากจนเผยออกทางสีหน้า “หม่อมฉันก็แค่ไม่อยากให้พระสวามีขายหน้าเพราะแต่งกับสตรีหยาบกร้านเพคะ” เอ่ยบอกเขาอย่างรู้ทันความคิด “ก็ดี” เสียงเรียบเย็นชาตอบกลับสั้น ๆ จากนั้นเขาก็ไม่หันกลับมามองนางอีกเลย กระทั่งถึงตำหนักในของผู้เป็นย่า ซึ่งบัดนี้มีพระบิดาและมารดาเลี้ยงอย่างฮองเฮาประทับอยู่ด้วย ทั้งคู่คารวะตามธรรมเนียมอย่างนอบน้อม จากนั้นก็เริ่มทำพิธียกน้ำชาจนกระทั่งแล้วเสร็จ และรับของขวัญที่ฝ่ายชายมอบให้ ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดคุยอย่างเป็นกันเอง เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นมาทำลายความครื้นเครงนี้เสียก่อน “เกิดอันใดขึ้น” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยสุรเสียงตื่นตระหนก “ลูกจะออกไปดูเองพ่ะย่ะค่ะ” จิ่นหรงรีบสาวเท้าหมายจะตรงไปที่หน้าประตู แต่ยังไม่ทันถึงมันก็ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นกลุ่มควันไฟก็พวยพุ่งเข้ามาราวกับมีไฟไหม้ครั้งใหญ่ “จิ่นหรงถอยออกมา” ฮ่องเต้รีบตรงมารั้งโอรสของตน “ไฟไหม้! ไฟไหม้กระนั้นหรือ อยู่ดีดีไฟไหม้ได้เยี่ยงไร ฝ่าบาทหม่อมฉันกลัวเพคะ” ฮองเฮาร้องลั่นตื่นตระหนก พร้อมกับกุมท้องตนเองแน่น เพราะพระนางตั้งครรภ์ จึงเกิดกังวลเกรงตนจะตายเสียก่อนได้พบหน้าบุตรในท้อง “ทหาร! ไปไหนกันหมด แค่ก ๆ” ฮ่องเต้ยังกล่าวไม่จบก็ส่งเสียงไอขึ้นมาก่อน จากนั้นร่างกายเขาก็เหมือนจะอ่อนแรงลง และคนอื่นก็มีอาการไม่ต่างกัน หลังจากสูดดมควันไฟเข้าไป “เอาสิ่งนี้ปิดจมูกไว้เพคะ” ตันหยางส่งผ้าเปียกให้ทั้งสาม ซึ่งมันคือผ้าที่นางฉีกออกจากอาภรณ์ตนเองแล้วชุบน้ำชา ก่อนจะส่งอีกผืนให้พระสามีตนที่ทรุดลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “ก้มต่ำไว้นะเพคะ อากาศจะอยู่ด้านล่าง” เอ่ยสั่งแล้วนางก็หันมาจัดการตนเอง โดยการใช้ผ้าเปียกผูกปิดหน้าเอาไว้ จากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับลากเอาเก้าอี้มาด้วย “พระสวามีขอแรงท่านได้หรือไม่” จิ่นหรงไม่รอให้นางเอ่ยบอกว่าต้องการสิ่งใด พอเห็นนางทำเช่นนั้นเขาก็รีบทำตาม ร่างสูงจึงรีบเหยียดตัวตรงแม้แรงจะเหลือไม่มาก แล้วเขาก็คว้าเอาเก้าอี้อีกตัวตามนางไป ทั้งคู่หยุดที่หน้าประตูก่อนจะหันมามองหน้ากัน “หนึ่ง สอง สาม!” สิ้นคำเก้าอี้ไม้ก็ถูกเหวี่ยงไปที่หน้าประตู กำแพงไฟเบื้องหน้าจึงพังครืนลงทันตาเห็น ด้วยว่าประตูมันถูกสร้างจากไม้และผ้า พอถูกไฟไหม้มันย่อมผุพังง่ายเป็นธรรมดา แต่ถึงกระนั้นเปลวไฟก็หาได้หยุดนิ่ง มันยังคงลุกโชนขวางทางไม่ให้คนด้านในได้ออกไป ตันหยางเห็นท่าไม่ดีจึงดึงเอาผ้าม่านลงมา นางใช้น้ำเย็นที่เหลือไม่มากเทราดตนเอง ก่อนจะเอาผ้าในมือคลุมตัว “บอกให้ทุกคนหมอบลง ผ้าในมืออย่าได้ปล่อยออกจากจมูก ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะกลับมาเพคะ” สิ้นคำนางก็วิ่งตรงเข้าไปหากองไฟ โดยที่ผู้เป็นสามีไม่อาจร้องห้ามได้ เพราะร่างกายจิ่นหรงยามนี้แขนขาอ่อนแรงยิ่งนัก ราวกับคนถูกพิษก็มิปาน “เสด็จพ่อ เสด็จย่าหมอบต่ำลงพ่ะย่ะค่ะ” เขาคลานกลับเข้ามาหาบุพการีของตน แต่ยังไม่ทันได้ถึงก็ล้มฟุบลงเสียก่อน “จิ่นเอ๋อร์! จิ่นเอ๋อร์!” ผู้เป็นย่าร้องเรียกแทบขาดใจ แต่เมื่อเห็นหลานชายลืมตานางก็รีบประคองเอาไว้ “หลานยังไม่ตายพ่ะย่ะค่ะ แค่ไม่มีแรงเท่านั้น” เขาบอกไปตามจริง ใช่เขารู้สึกไม่มีแรงเอามาก ๆ และยามนี้ก็ไม่ใช่แค่เขา ผู้ที่อยู่รอบกายต่างก็มีอาการไม่ต่างกัน “ฝะ…ฝ่าบาทเราจะตายกันที่นี่จริงหรือเพคะ” ฮองเฮาตรัสถามเสียงสั่นเครือ ยามนี้พระนางนอนตะแคงอยู่ข้างกายพระสวามีอย่างน่าเวทนา ไม่ต่างจากบริวารที่มีกันอยู่เกือบสิบคน ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแต่หมดสติกันไปหมดแล้ว “ไม่หรอก ตันหยางออกไปตามคนแล้วประเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเรา” ฮ่องเต้เอ่ยปลอบทุกคน รวมถึงตนเองด้วย จิ่นหรงได้แต่ยกยิ้มกับความหวังอันน้อยนิด ซึ่งมันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน เพราะภาพที่เขาเห็นตอนที่พังประตูนั้น ด้านนอกไม่มีใครที่มีสติอยู่เลย เวรยามทหารฝ่ายในล้วนแต่นอนนิ่งอยู่กลางสวนและทางเดิน ตามมุมต่าง ๆ มีเปลวไฟลุกโชน รวมถึงกำแพงตำหนักและประตูทางเข้า บ่งบอกให้รู้ว่าเพลิงไหม้ครานี้มิได้เกิดขึ้นเอง ทว่ามันเกิดจากฝีมือใครบางคนต่างหาก แน่นอนว่าเมื่อมู่ตันหยางหนีออกไปข้างนอก นางคงไม่อาจหนีรอดจากคมดาบของมือสังหารที่แฝงตัวอยู่เป็นแน่ ‘ข้าหวังว่าเจ้าจะรอดพ้น’ แม้ใจเขาไม่ได้ชื่นชอบนาง แต่ก็ไม่ถึงขั้นอยากเห็นนางตายไปกับพวกเขา นางหนีรอดได้ก็ดี ทว่าความคิดที่กำลังฟุ้งซ่านกลับต้องหยุดชะงัก เมื่อเปลวไฟเบื้องหน้าเริ่มมอดลงทีละฝั่ง ไม่นานก็เผยช่องทางสำหรับเดินออกไปได้ และร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับวิ่งตรงมา “รัชทายาททรงไหวนะเพคะ” “ข้ายังไหว” “ดี! เช่นนั้นหม่อมฉันจะพาเสด็จย่าออกไปก่อน” สิ้นคำตันหยางก็ประคองเอาผู้อาวุโสสุดลุกแล้วพาออกไปอย่างทุลักทุเล ผ่านไปพักหนึ่งนางก็กลับมาประคองฮองเฮาที่หมดสติไปแล้ว มีฮ่องเต้ช่วยพยุงอีกแรง แต่กว่าจะออกไปได้ทั้งสามก็ล้มแล้วล้มอีก ดีที่คนท้องไม่ทรุดลงไปกระแทกพื้น เพราะตันหยางเอาตัวรับไว้ และภาพทั้งหมดผู้ที่ขยับคลานออกมาก็เห็นชัดเจน กระทั่งร่างอ่อนแรงของตันหยางวิ่งกลับเข้ามาประคองเขา นางจับพระสวามีนั่ง อีกฝ่ายก็ได้แต่คุกเข่าเพราะไม่มีแรงจะยืน ร่างเล็กจึงยอบกายซ้อนเขาไว้แล้วขยับลุกขึ้นเพื่อแบกเขาออกไป โดยที่ขาของจิ่นหรงยังคงลากกับพื้นเพราะตัวเขาถือว่าหนักมาก เมื่อออกมาพ้นนางก็วางเขาลงกับพื้นหญ้าใกล้เคียงกับคนอื่น “กินยานี่ประทังไปก่อนเพคะ” ขวดยาสีขาวถูกกรอกลงปากเขา จากนั้นนางก็ปิดฝาไว้แล้วรีบกลับเข้าไปช่วยคนที่เหลือ เพราะยามนี้ไฟที่โหมอยู่รอบตำหนักมันรุนแรงขึ้นทุกที ผ่านไปไม่นานข้าราชบริพารในตำหนักก็ถูกช่วยออกมาจนหมด เพียงเท่านั้นร่างอรชรที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำและมอมแมมเหมือนแมวคลุกฝุ่นก็ทิ้งกายแผ่หราอยู่บนพื้นหญ้า สภาพร่างกายนางยามนี้ดูน่าสงสารนักตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “
ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน
จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่
อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“
จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น