อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว
“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม” “แต่ว่า…” ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น “หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู” “ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น” “ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว “แล้วมิใช่หรือ” ตันหยางย้อน “เปล่านะเพคะ หม่อมฉันมาด้วยใจแท้จริง ถึงแม้จะมีเรื่องอยากรู้แทรกเข้ามาด้วยก็เถอะ” นิ้วน้อย ๆ จีบเข้าหากัน พร้อมกับฉีกยิ้มเหมือนเด็กที่กำลังรอฟังเรื่องเล่า ‘สนมชิงผู้นี้ท่าทีดูไม่มีพิษภัยเลยจริง ๆ เหมือนเด็กที่ไร้เดียงสามากกว่า’ ตันหยางนึกในใจ ก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากรู้เรื่องใด” ใช้เสียงเรียบข่มอีกฝ่าย แม้ความจริงจะเป็นคนง่าย ๆ ไม่ถือสาใคร ถึงกระนั้นนางก็ยังต้องรักษาสิทธิ์ความเป็นพระชายาเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครคิดกำแหงภายหน้า “เรื่องเพลิงไหม้เมื่อสองวันก่อนเพคะ ได้ยินว่าไฟโหมแรงมากมิใช่หรือเพคะ แล้วคนในตำหนักออกมาได้เยี่ยงไร” ได้โอกาสหรูอวี้ก็ถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ทันที ดวงตาก็เปล่งประกายนัก ทำเอาตันหยางถึงกับนึกขันอยู่ในใจ เพราะเหมือนนางกำลังมองเงาสะท้อนของตนในกระจกก็มิปาน “ได้ ข้าจะเล่าให้ฟัง ทว่าเชิญคนด้านนอกเข้ามาด้วยดีกว่านะ จะได้เล่าเสียทีเดียว” ตันหยางเอ่ยเสียงดัง ทำให้คนที่ยืนหลบมุมอยู่ต้องรีบขยับเท้าโผล่ออกมา “หม่อมฉันเสียมารยาทแล้วเพคะ” “รู้ตัวก็ดี” ตันหยางย้อนอย่างไม่ไว้หน้า “ขะ… ขออภัยเพคะพระชายา พอดีหม่อมฉันเห็นท่านทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ จึงไม่กล้าเข้ามารบกวน” “ท่านก็เลยยืนแอบฟังกระนั้นหรือสนมเกา” มู่หลิงเอ่ยถามแทนผู้เป็นนาย พร้อมกับมองผู้มาใหม่อย่างไม่ชอบใจ “มะ… หม่อมฉันเปล่านะ หม่อมฉันเพิ่งมาถึงจริง ๆ” ตันหยางยกยิ้มก่อนจะเอ่ย “ช่างเถิด มาแล้วก็นั่งลง อยากรู้ข้าจะเล่าให้เจ้าสองคนฟัง ว่าแต่หมดแล้วใช่หรือไม่ สนมของรัชทายาท ถ้ายังก็เรียกมาฟังพร้อมกันเสียทีเดียว” “มีแค่นี้เจ้าค่ะ องค์รัชทายาททรงโปรดแค่เราสองคน มีแค่หม่อมฉันกับน้องหญิงชิงหรูอวี้ก็เพียงพอแล้วเพคะ” ตันหยางเอียงหน้ามองผู้มาใหม่ทันที “มะ…ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันหมายถึงก่อนหน้าจะอภิเษกพระชายาเข้ามา มิได้หมายความเป็นอย่างอื่นเพคะ” “งั้นหรือ” “พะ… เพคะ” เกาไห่ถังตอบเสียงติดขัด “ช่างเถิด เจ้าสองคนดูแลรัชทายาทดีข้าก็สบายใจ” “แค่สนมเกาคนเดียวเพคะ อย่านับหม่อมฉันรวมด้วย หม่อมฉันกับองค์รัชทายาทเราต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน” ตันหยางขมวดคิ้วมึนงงเป็นการใหญ่ เพราะสิ่งที่ได้ยินมันไม่น่าเชื่อเลยสักนิด “หมายความว่าอย่างไร ไยเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้เล่า” ความอยากรู้ทำให้นางอดถามมิได้ “แหม…น้องชิงเจ้าอย่าได้พูดให้พระชายาเข้าใจผิดเลย หรือต้องการให้พระชายาเข้าใจว่าเจ้าไม่อยากแย่งชิงความโปรดปรานจากรัชทายาท ภายหน้าจะได้ไม่ต้องถูกเฝ้าระวัง” “ข้าเปล่านะ ข้าคิดอย่างไรก็เอ่ยไปอย่างนั้น มิได้มีเจตนาอย่างที่ท่านว่าสักนิด” สนมชิงแผดเสียงใส่ทันที ด้านสนมเกาก็ไม่ยอม นางยังคงกล่าวขึ้นมาอีก ตันหยางก็ได้แต่นั่งมองทั้งคู่สลับกันไปมาพร้อมกับเม้มปากกลั้นขำ เมื่อภาพตรงหน้ามันดันเหมือนฉากในซีรี่ย์ที่ตนเคยดูมา เหล่าเมียน้อยโต้เถียงกันเพราะสามี แย่ก็ตรงที่นางดันเป็นภรรยาเอก เลยต้องมาจัดการปัญหาตรงนี้อย่างเลี่ยงมิได้ “พอ! พอแล้ว ถ้าเจ้าสองคนไม่อยากฟังเรื่องราว ก็พากันกลับเรือนไปเสีย ข้าจะพักผ่อน” “ฟังเพคะ!!” สองเสียงประสานกันอย่างสามัคคี ‘เหอะ! ทีเมื่อครู่แทบจะกัดกันตาย’ ก่นด่าในใจ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวให้มันจบ ๆ สองคนนี้จะได้จากไปเสียที ไม่ถึงสองถ้วยชา ห้องโถงนี้ก็ไร้แขกมาเยือน “ปิดประตูเลยพี่” ตันหยางร้องสั่งเสียงห้วน จะว่านางโกรธก็ไม่ใช่ ทว่ามันเป็นนิสัยปกติของหญิงสาวอยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้มันถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ภาพลักษณ์ของตำแหน่งชายา ยามเมื่ออยู่กับคนของตนเอง ท่าทางเหมือนบุรุษจึงเผยออกมา “จะบ้า! ข้ามู่ตันหยางผู้องอาจ บัดนี้กลายเป็นกรรมการห้ามศึกเมียน้อยทะเลาะกันไปแล้วหรือนี่ น่าขายหน้าชะมัด” หญิงสาวบ่นพึมพำ พร้อมกับเดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำ มู่หลิงยิ้มอ่อนด้วยความเอ็นดู “ทำอย่างไรได้ล่ะเพคะ ก็ยามนี้พระองค์ทรงกลายเป็นพระชายาไปแล้วนี่” ใบหน้างามจึงหันกลับมาพร้อมกับเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามาจับแขนอีกฝ่ายเขย่าไปมา จากนั้นนางก็เอ่ยเสียงอ้อน “พี่หลิงหลิง ข้าอยากกลับไปเป็นมู่ตันหยางที่สามารถทำอะไรก็ได้ผู้นั้น ข้าไม่อยากเป็นพระชายาอะไรนี่เลย” คนฟังก็ได้แต่มองด้วยแววตาเศร้าหม่น เพราะนึกสงสารผู้เป็นนายจับใจ “หม่อมฉันอยากช่วยนะเพคะ ทว่าจนใจจริง ๆ” ตันหยางขยับถอยออก ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาวราวกับปลงได้แล้ว “ช่างเถิด ต่อให้ข้าคร่ำครวญจนน้ำตาเป็นสายเลือด ชะตาที่เหยียบย่างเข้ามาแล้วก็คงเปลี่ยนไปไม่ได้ ฉะนั้นทำสิ่งที่ยังพอทำได้แล้วมีความสุขกับมันดีกว่า” สิ้นคำนางก็เดินออกมานอกห้องอีกหน คนสนิทขึงรีบตามมา “จะไปไหนเพคะ ไม่สรงน้ำหรือ” “ไม่ข้าจะฝึกกระบี่” สิ้นคำมือขาวก็คว้าเอากระบี่ที่ซ่อนอยู่มุมเตียงออกมา โดยมีมู่หลิงเดินตามไปพร้อมกับส่ายศีรษะ ยามซวี [ 19:00-20:59] จิ่นหรงเดินนำคนสนิทตนกลับเข้าตำหนัก และก่อนจะขึ้นเรือนเขาก็นึกขึ้นได้ว่าควรต้องไปเยี่ยมชายาตนเสียหน่อย ร่างสูงจึงหมุนตัวเปลี่ยนทิศทางตรงไปยังตำหนักชิงหลิวของชายา ทว่ายังไม่ทันถึงสองเท้าก็จำต้องหยุดชะงักอยู่ที่มุมสวนของเรือน “นั่นมันพระชายามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ นี่นางมีวรยุทธด้วยหรือ เท่าที่เห็นเหมือนจะเก่งมากด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงรีบเอ่ย “นั่นสิ ท่วงท่าอ่อนช้อย ทว่าเพลงกระบี่กลับแข็งแกร่งนัก เหมือนปรมาจารย์ไม่มีผิดเพี้ยนเลยพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานเอ่ยชม “ก็งั้น ๆ” จิ่นหรงตัดบทพร้อมกับก้าวเดินไปหา ซึ่งตันหยางรู้แล้วว่ามีคนแอบซุ่มดูอยู่ และนางก็จดจำฝีเท้าของอีกฝ่ายได้ จึงไม่ตื่นตระหนกและยังคงฝึกต่อ “หายดีแล้วหรือ ถึงได้มาร่ายรำกระบี่ตากน้ำค้างเช่นนี้” ผู้เอ่ยถาม เดินมานั่งบนตั่งมองชายาตนที่ยังคงขยับกายไปเรื่อย “หม่อมฉันไม่ได้เป็นอันใดนี่เพคะ ก็แค่ง่วงเท่านั้นเอง” เสียงตอบกลับไม่มีความเหนื่อยล้าเจือปนสักนิด “ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ควรจะพักให้มาก มิใช่ออกมาทำเรื่องเช่นนี้ หากคนภายนอกรู้จะเอาไปครหาได้” ร่างอรชรที่หมุนขยับไปมาหยุดลงทันที จากนั้นนางก็เดินตรงมาหาเขาพร้อมกับจ้องหน้าพระสวามีเขม็ง “เรื่องเช่นนี้นี่แหละที่มันปกป้องชีวิตท่านกับอีกหลายคนไว้ ส่วนเรื่องครหาข้าไม่หวั่น เพราะสิ่งที่ทำให้ข้ากลัวมิใช่คำพูดผู้อื่น สายตาเหยียดหยามดูแคลนของคนใกล้ตัวต่างหาก ที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างไร้ค่านัก ทำดีเกือบตาย แต่ค่าตอบแทนกลับเป็นศูนย์ น่าขันสิ้นดี” เอ่ยจบนางก็เดินตรงไปยังเรือนพักทิ้งให้พระสวามีนิ่งอึ้งไม่ต่างจากรูปปั้นที่ตั้งอยู่หน้าตำหนัก “จินเฉิง ข้ารู้สึกจุกแทนรัชทายาทเหลือเกิน” อี้ฟานกระซิบ “ข้าก็ไม่ต่างจากเจ้านักหรอก” สหายป้องปากเอ่ยเช่นกันตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “
ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน
จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่
อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“
จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น