วัชรมัยพาสกลกันต์ในชุดนอนลายสไปเดอร์แมนลงมาข้างล่าง บ้านเปิดไฟสว่าง บรรยากาศเงียบเชียบ
เธอโดนยายพุดเล่นงานอีกแล้ว ไม่มีคนรับใช้คอยช่วยอะไรเลย แต่ไม่อยากเกินจะรับมือ ห้าปีที่ผ่านมาวัชรมัยทำอะไรเองมาตลอด เรื่องงานบ้านแค่นี้จิ๊บ ๆ นัก
“ปราบไปตามพ่อมากินข้าวนะครับ”
สกลกันต์พยักหน้าอย่างยินดี เธอเข้าครัว ลำเลียงอาหารมาจัดโต๊ะ บีบซอสมะเขือเทศตกแต่งออมเล็ตเป็นรูปหน้ายิ้ม
ข้าวก็ตักใส่ถ้วยคว่ำลงจาน ตกแต่งข้าวขาวด้วยเม็ดข้าวโพดต้มเหลืองอ๋อยเป็นตา ปากเป็นรูปแคร์รอตส้มสดใสหั่นแว่น สภาพจึงเหมือนคนอ้าปากกว้าง
สิ่งละอันพันละน้อยที่เธอเรียนรู้จากยูทูปบ้าง จากหนังสือบ้าง วัชรมัยอยากทำมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าสกลกันต์
“คุณหน้ายิ้ม คุณปากจู๋”
เด็กชายเบิกตาโต ห่อปากเมื่อเห็นการตกแต่งในจาน
“แม่มีเวทมนตร์จริง ๆ ด้วย”
รอยยิ้มจากใบหน้าเล็ก ๆ ช่างมีอานุภาพทำลายล้างสูงนัก วัชรมัยกุมใจที่เต้นแรงแทบเป็นลม
“อย่ามัวแต่เล่นสิปราบ กินข้าวได้แล้ว”
ไผทยังตีหน้าเข้ม หลังเอ็ดลูก ก็เลื่อนเก้าอี้นั่งประจำหัวโต๊ะ สกลกันต์นั่งทางขวาเขา วัชรมัยนั่งถัดไป
“ง่ำ ๆ แม่ทำมะเขือเทศอร่อย ไข่ปราบก็ชอบมาก”
คนอายุน้อยสุดตาเป็นประกายทันทีเมื่อตักอาหารเข้าปาก
“อร่อยก็กินเยอะ ๆ นะครับ จะได้โตเร็ว ๆ”
วัชรมัยตักลูกชิ้นกุ้งกับผักในแกงจืดใส่จานลูก สกลกันต์เมื่อเห็นแคร์รอตหั่นเป็นรูปดอกไม้แก้มยิ่งบาน
“แม่เก่งจัง ทำแคร์รอตสวย ๆ ได้ด้วย แม่ทำกับข้าวให้ปราบกินทุกวันนะครับ”
“ปราบเคี้ยวข้าวให้หมดก่อนค่อยพูด เดี๋ยวติดคอ”
ไผทขัด อกคันยุบยิบ ที่วัชรมัยมาวันเดียวก็ได้น้ำหนักในใจลูกไปมากโข
“ปราบเคี้ยวหมดแล้วต่างหากถึงพูด”
สกลกันต์เถียง เพราะคิดตัวเองไม่ผิด
“ปราบ”
ผู้เป็นพ่อใช้เสียงทุ้มต่ำปราม
“เนี่ย...แม่ดูสิ พ่อชอบดุปราบ”
เด็กชายหันมาฟ้อง ปรกติเขาไม่เคยฟ้องใครได้ เพราะพ่อเป็นใหญ่ในบ้าน แต่เกลเล่าว่าบ้านเกลแม่ใหญ่ที่สุด
แม่กลับมาหาเขาแล้ว แสดงว่าต่อไปบ้านนี้แม่จะใหญ่ที่สุด สกลกันต์ฟ้องได้
“ปราบ ไม่ชอบ”
วัชรมัยมองคนหัวโต๊ะที่หน้าทะมึน บนศีรษะราวเห็นควันกรุ่นเป็นภูเขาไฟเตรียมระเบิด จ้องเขม็งกับเจ้าตัวเล็กที่หน้ามุ่ย นี่มันสงครามในครอบครัวชัด ๆ
“ที่พ่อพูดเมื่อกี้ เพราะพ่อห่วงปราบนะครับ ถ้าข้าวติดคอปราบจะทอระ...”
เธอตัดสินใจเปลี่ยนเป็นคำง่าย ๆ ที่เด็กน่าจะเข้าใจ
“ปราบจะเจ็บ ถ้าปราบเจ็บพ่อจะเสียใจนะครับ”
สกลกันต์มองหน้าเธอสลับกับไผท
“ก็ได้...ปราบกินข้าวคำเล็ก ๆ จะได้เคี้ยวหมดเร็ว จะได้คุยกับแม่ได้”
อืม...ต่อรองเก่งเสียด้วย วัชรมัยสบตากับคนหัวโต๊ะ เขาขึงตาต่อว่าเป็นความผิดของเธอที่ทำให้ลูกเถียง
มื้ออาหารเย็นเป็นไปแบบราบรื่น ไผทกินข้าว เคล้าเสียงพูดคุยกันระหว่างแม่และลูก ทีแรกคิดต้องฝืนกินรสมืออันจืดชืดของวัชรมัย
แต่เมื่อได้ลองชิมจริง ๆ พบว่า เธอทำกับข้าวได้ดีมาก ขนาดคั่วกลิ้งยังทำรสเผ็ดถึงใจ จนเขาเผลอเติมข้าวไปสองจาน
“แล้วแม่ไก่กับเพื่อน ๆ ก็แบ่งพายกินกันอย่างมีความสุข”
สกลกันต์นอนบนเตียงที่มีหัวรูปรถยนต์สีสันสดใส หลังมื้อเย็นวัชรมัยพาลูกเข้านอน โดยไผทไม่คัดค้าน เพราะร่างสูงเดินกับเข้าห้องทำงาน วัชรมัยเล่านิทานเรื่องแม่ไก่อบพายฟักทองให้ลูกชายฟัง
“แม่ทำพายฟักทองเป็นไหมครับ”
ตาเจ้าตัวเล็กบนเตียงปรือ แต่กระนั้นยังยื้อให้ลืมตาอยู่นานที่สุด เพราะยังอยากคุยกับมารดา
“เอ่อ...เป็นสิ”
เป็นไม่เป็น วัชรมัยก็บอกทำเป็นไว้ก่อน ค่อยพึ่งศรัญญาเอา ยอมผจญครัวนรกอีกหลาย ๆ คืน
“แม่ทำให้ปราบกินนะครับ”
“ได้สิลูก”
มือขาวเคลื่อนไปลูบผมบริเวณหน้าผากเล็ก วัชรมัยอยากให้เวลาผาสุกนี้คงอยู่ตราบนานเท่านาน
“แม่ครับ...”
เสียงน้อย ๆ เริ่มเจอความง่วงงุน
“ถ้าปราบตื่นขึ้นมา แม่จะไม่กลับไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ใช่ไหมครับ”
มีก้อนความรู้สึกมวลใหญ่ตีรวนขึ้นในอกเธอ มันแล่นลิ่วจุกลำคอจนหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“ปราบอยากอยู่กับแม่...”
จากนั้นก็เป็นเสียงงึมงำไม่ได้ศัพท์ และลมหายใจที่ทอดยาวลึก แสดงอาการตกอยู่ในห้วงนิทรา
มือวัชรมัยที่สัมผัสผิวนุ่มสั่น น้ำในตารื้น
“ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
ไผทออกปากไล่ เขาแอบเข้ามาในห้องลูก ยืนฟังการสนทนาอยู่เงียบ ๆ จนสบโอกาสลูกหลับ
“พี่ป้อง ขอมิ้งอยู่กับลูกเถอะค่ะ ขอร้องล่ะ”
นายหัวหนุ่ม ตอบรับคำขอของหญิงสาวโดยการลากแขน ดึงตัวเธอลงมาด้านล่าง เปิดประตู แล้วผลักให้ร่างเล็กล้มลงที่พื้นระเบียง
“กลับไปได้แล้ว ฉันใจดีกับเธอแล้วนะ ถ้าไม่อย่างนั้นจะให้คนลากเอาไปทิ้งหน้าสวน”
“พี่ป้อง มิ้งขอล่ะ ขอให้ได้อยู่กับลูก อย่าไล่มิ้งไปอีกเลย”
วัชรมัยคลานมากอดขาแข็งแรงไว้แน่น แนบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตากับท่อนขา น้ำตาร้อนซึมกางเกงเขาเปียกชุ่ม
“เธอเลือกแล้วนะมิ้งเมื่อห้าปีก่อน เธอเลือกจะทิ้งลูก ทิ้งฉันไว้ที่นี่ เธอบอกเองว่าต้องการอิสระ แล้วตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไรอีก หรือว่าใกล้ตายแล้วถึงสำนึกว่าตัวเองทำผิดน่ะฮึ”
ไม่มีคำตอบใดหลุดจากปากคู่สวย มีเพียงเสียงสะอื้นปานจะขาดใจ และความร้อนของน้ำตาที่ซึมแทรกผ่านเนื้อผ้ามา
“ลูกกำลังโต แกกำลังมีอนาคตสดใส เธอกลับมาเป็นรอยด่างในชีวิตแกทำไม”
ลมกลางคืนเงียบสงบ แม้หรีดเรไรก็ไม่ส่งเสียง พระจันทร์หลบเร้นอยู่ในเมฆหนาทึบ โลกหล้ามืดมนไร้แสงสว่าง เหมือนความรู้สึกวัชรมัยยามนี้
“ถ้ายังอยากทำตัวเป็นแม่ที่ดี ก็ไปจากชีวิตลูกซะ ส่วนที่เหลือฉันจะอธิบายลูกเอง”
ไผทหน้านิ่ง น้ำเสียงมั่นคง แต่ในอกเจ็บแปลบ เหมือนมีมีดปลายแหลมเป็นร้อย ๆ เล่มสวบ เมื่อนึกถึงใบหน้าเศร้าของลูกชาย ยามรู้ว่ามารดาจากไปแล้ว
“มิ้งไม่ไป...มิ้งจะอยู่กับลูก ขอโอกาสเถอะค่ะ มิ้งจะไม่สร้างปัญหา สัญญา”
วัชรมัยพร่ำละล่ำลักกับท่อนขา กอดแน่นดังเป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิต
“จะให้ฉันเชื่อใจผู้หญิงใจดำ ร้ายกาจที่ทิ้งลูกที่เพิ่งคลอดไปนะหรือ”
นายหัวไผทอาศัยแรงผู้ชายที่เยอะกว่า แกะมือเหนียวหนึบเป็นตุ๊กแกของอดีตภรรยาออกอย่างง่ายดาย ลากเธอออกจากพื้นระเบียงจนถึงสนามหญ้าหน้าบ้าน
“เฮ้ย! ใครก็ได้ที่อยู่หน้าบ้าน เอาผู้หญิงคนนี้ออกไปนอกสวนหน่อย”
เสียงคำรามของผู้เป็นนายทำเอาคนงานที่เดินลาดตระเวนตรวจความเรียบร้อยในสวนสะดุ้ง
“ครับ นายหัว”
หนุ่มผิวแทนร่างสันทัด รีบมาหาเจ้านายทันที
“เอาผู้หญิงคนนี้ออกไป อย่าให้มาเหยียบสวนนี้อีก!” ดังเป็นคำสั่งตาย วัชรมัยกรีดร้องสุดเสียง หน้าเหยเก
“พี่ป้อง มิ้งขอร้องล่ะ มิ้งแค่อยากอยู่กับลูก”
คนงานละล้าละลัง ถึงมาอยู่ใหม่ แต่ก็พอได้ยินเรื่องซุบซิบว่าแม่ของสกลกันต์ทิ้งเขาไป อดีตเมียนายหัวไผทเป็นชื่อต้องห้ามของที่นี่ ใครฝ่าฝืนมีสิทธิ์คอขาดได้ทันที
“พี่ป้อง”
ร่างที่หนุ่มคนงานจับไว้ดิ้นรนอย่างน่าสงสาร ใบหน้าบิดเบี้ยวเปื้อนน้ำตา
“เอาตัวออกไป แล้ววางกำลังคนเพิ่ม อย่าให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในสวนได้อีก”
คนงานรับคำ ลากวัชรมัยที่ทั้งดิ้นทั้งกรีดร้องปานโลกถล่มออกจากบริเวณบ้านไป
ไผทยืนตระหง่านนิ่ง ใบหน้าทะมึงทึง ร่างนั้นยืนอยู่นานกระทั่งเรียกร้องอันน่าสงสารแผ่วลงจนเบาบางเจือไปกับอากาศคืนนี้
ชายหนุ่มหันกลับมาก็เจอกับวิเชียรที่ยืนอยู่ข้างบันไดบ้าน
“ทำแบบนี้ไม่โหดไปเหรอครับ สงสารคุณมิ้ง”
วิเชียรรู้ตั้งแต่พวกยายพุดมาเม้าท์กันในโรงอาหารแล้วว่าวัชรมัยซมซานกลับมา
เขารู้ว่าเธอต้องโดนจัดการ แต่ไม่คิดว่าไผทจะโหด สั่งคนลากกันออกไปเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้
“ผู้หญิงที่ทิ้งลูกกูไป สมควรโดนอย่างนี้แล้ว”
นายหัวกัดฟันกรอด แผลใจเมื่อห้าปีที่คิดว่าแห้งแล้ว วันนี้กลับมากลัดหนอง ความเจ็บอกปะทุ
เขาจึงเลือกใช้วิธีเด็ดขาดเอาไฟนาบปิดแผลฆ่าเชื้อมันเสียเลย แม้จะทิ้งรอยสักเท่าใดก็ช่างหัวมัน!
“คุณมิ้งเธอน่าสงสารนะครับ”
ในสายตาวิเชียร คู่ไผทกับวัชรมัยน่าจะผิดฝาผิดตัว ไผทเป็นผู้ใหญ่ก็จริง แต่ด้วยภาระต้องคุมกิจการมากมาย อยู่ท่ามกลางผู้มีอิทธิพล พลอยทำให้เขามีบุคลิกแข็งกร้าวเย็นชา
ส่วนวัชรมัยคือสาวน้อยอ่อนต่อโลก เชื่อแต่พี่สาว เมื่อกลับมาเหลือตัวคนเดียวในโลก วัชรมัยก็เทความรัก ความหวังทุกอย่างมาทางสามี
การเป็นภรรยานายหัวนั้นสบาย แต่ไม่ง่าย วัชรมัยที่ไม่มีทั้งคนหนุนหลัง ไม่มีทั้งอำนาจบารมี เธอจึงอยู่ยาก
ช่วงนั้นไผทยุ่ง ๆ อยู่ด้วย จึงไม่ได้เอาใจใส่ภรรยา กระทั่งคนรอบข้างทักว่าเธอผ่ายผอม ไม่มีความสุข เมื่อพาไปเจอแพทย์ก็พบว่าตั้งครรภ์
แต่ด้วยสภาพจิตใจอันไม่มั่นคงผสมกับฮอร์โมนส์คนท้องที่แปรปรวน ชีวิตคู่จึงสิ้นสุดลงทันทีที่สกลกันต์คลอดออกมา
เด็กสาวอายุน้อยที่ไม่เหลือใครเป็นที่พึ่งในโลกนี้ ร่างเล็ก ๆ ไหล่ห่อที่ออกไปจากไร่นี้ยังติดตาวิเชียร
ด้วยเอ็นดูเหมือนน้อง เขาจึงสงสาร...แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้
“แล้วมึงไม่สงสารปราบบ้างเหรอไงฮึ! ไอ้เชียร”
ผู้เป็นนายคำรามในลำคอ
“ผู้หญิงคนนั้นกลับมาให้ลูกกูเสียใจชัด ๆ”
ดวงตาคมวาวโรจน์ขึ้นในความมืด โทสะมากมายเต้นร่าอยู่ในนั้น
“แต่เขาเป็นแม่ลูกกันนะครับนาย จะกีดกันไม่ให้เจอได้สักเท่าไรกันเชียว”
วิเชียรถอนหายใจ ไผทรักแรงเกลียดแรงถึงเพียงนี้ สั่งคนลากถูลู่ถูกังไปนอกสวน หวังว่าวัชรมัยคงเข็ด ไม่มาต่อกรอีก
“กูจะส่งปราบไปเรียนสิงคโปร์ ไปให้ไกลจนแม่นั่นตามไม่ได้”
ไผทคิดว่าวัชรมัยคงเงินหมด อยากเอาลูกมาต่อรองขอเงินเพิ่มอีก จะว่าไปเธอก็เก่งจัดการเงินสิบล้านให้ใช้ได้ถึงห้าปี
ทีแรกเขาคิดว่าวัชรมัยจะซมซานกลับมาขอเงินตั้งแต่ปีแรกเสียด้วยซ้ำ
“เอาเถอะครับนาย เอาที่สบายใจ”
วิเชียรพรูลมหายใจออกปาก มีแต่เขาที่อยู่ด้วยกันมานาน จึงได้รับสิทธิ์ให้พูดประชดได้ โดยไม่โดนเตะตูดเสียก่อน
“มึงมากินเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อย”
ลูกน้องเลิกคิ้ว
“คืนนี้กูนอนไม่หลับหรอก”
จะบอกสกลกันต์เรื่องวัชรมัยหายไปยังไง เขายังไม่รู้เลย ต้องให้คนที่บอกให้หลอกลูกเรื่องแม่ไปทำหน้าที่นางฟ้าบนสวรรค์อย่างวิเชียรช่วยอีกครั้งแล้ว
พักนี้มักมีข่าวลือเกี่ยวกับนายหัวไผทกับเมียแปลก ๆ อย่างเช่นเขาเลี้ยงเมียอด ๆ อยาก ๆ ไม่ค่อยยอมให้กินเนื้อสัตว์ ผู้เห็นเหตุการณ์คนที่หนึ่งเล่าว่า“วันก่อนฉันไปซูเปอร์มาร์เก็ต นายหัวอ่ะนะ พอเห็นเมียหยิบไส้กรอกเยอรมันกับแฮมสเปนใส่รถเข็นปุ๊บก็หยิบออกปั๊บ เมียหน้าบึ้งหน้างอบอกว่าอยากกินเท่าไรก็ไม่ให้กิน”ผู้เล่าจีบปากจีบคอทำตาเล็กตาน้อยสมใจ เมื่อในกลุ่มเม้าท์เงียบกัน ท่าทางตั้งใจฟังมาก“แต่พอลูกอ้อนเท่านั้นแหละ รีบหยิบกลับมาใส่ทันที”“ว่าแล้ว...นายหัวยอมรับกลับมาเป็นเมียแค่อยากให้กลับมาเป็นแม่ของลูก อยากแค่ให้ครอบครัวสมบูรณ์”คนตั้งใจฟังตบเข่าฉาด“ใช่ ๆ นายหัวน่ะขี้เหนียว ตอนไปรับลูกฉันเคยได้ยินว่าเมียบอกอยากไปกินข้าวนอกบ้าน แกดุเมียใหญ่ว่าไม่ต้องไป ให้กินที่บ้านน่ะดีแล้ว อยากกินอะไรก็ทำกิน”ผู้ปกครองนักเรียนอนุบาลท่านหนึ่งรีบเสริม“ใช่ ๆ ฉันเคยเจอที่ร้านคาเฟ่น้องเก๋ นายหัวไม่ให้เงินเมียใช้สักบาท อยากกินอะไรก็ต้องแบมือขอผัว”“เมียที่ผัวไม่รักชัด ๆ”เสียงถอดถอนหายใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้ม ตาสั่นระริก“แต่แกก็ไม่มีใครนอกจากเมียนี่”สาวนางหนึ่งรีบใส่ไฟ“ที่ไม่ยอมมีใครเพราะนายหัวเห็นแก่ลูก ทำตั
การประชุมสมาชิกหอการค้าจังหวัด เริ่มต้นอย่างน่าเบื่อ นักการเมืองท้องถิ่นขึ้นมาพล่ามไร้สาระขายฝันเพื่อหาเสียง ก่อนนายกสมาคมจะกลับมาครองไมค์ได้เข้าสู่ช่วงการประชุมที่แท้จริงหลัก ๆ เป็นการพูดถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจของภาคและจังหวัดนายกสมาคมไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่ยังกลัวนักธุรกิจรุ่นเดียวกันตามไม่ทัน จึงมีทั้งคลิปพรีเซนเทชั่น ทั้งกราฟให้ดูไม่ใช่การประชุมที่แย่นักในสายตาไผท ช่วงพักเบรกนักธุรกิจแยกนั่งคุยเป็นกลุ่ม ๆ เขายังเลือกนั่งกับเถ้าแก่ฮงและหนุ่มสถาปนิกเถ้าแก่ฮงวิดีโอคอลกับหลาน ๆ ของลูกอีกคนที่อยู่ในอเมริกา เสียงสองเสียงสามแสดงความเป็นอากงใจดีเรียกรอยยิ้มจากสมาชิกร่วมโต๊ะได้“ลูกเฮียนี่เก่งจริง ๆ ได้เรียนต่อถึงเมืองนอกเมืองนา แถมยังได้เมียฝรั่ง มีหลานลูกครึ่งน่ารัก”ผู้พูดเป็นเจ้าสัวภัตตาคารอาหารจีนขึ้นชื่อของจังหวัด“มันกระตือรือร้นของมันเอง ใครจะไปคิดล่ะว่าแค่เรียนถ่ายรูปก๊อกแก๊ก ๆ เผลอแป๊บเดียวมันได้ทุนเรียนต่อเมืองนอก เรียนจบมันบอกได้ทำงานในฮอลลีวูด ผมก็ไม่รู้อะไรหรอก รู้จักแต่ชอว์บราเธอร์หนังฮ่องกง ฮาร์ตมันพาเข้าโรงไปดูหนังพี่มันถ่ายภาพ ถึงรู้ว่ามันเก่ง ทำงานดี นี่หลานก็บอกพ่อมันไปถ
“แม่คร้าบ...พ่อเหมือนหมีแพนด้าเลย”สกลกันต์ชี้ไปยังใต้ตาบิดาที่สีคล้ำ บ่งบอกอาการอดนอน มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งฝีมือไผท“หรือว่าตาพ่อเลอะร่า ๆ เหมือนแม่เกล”นิ้วป้อมชี้ นึกถึงสภาพหน้าแม่เพื่อนที่เคยเห็นตอนเปียกฝน เกลบอกเปื้อนอะไรสักอย่างชื่อร่า ๆ“มาสคาร่าหรือเปล่าครับ”วัชรมัยรินน้ำส้มผสมน้ำสับปะรด เอาใจลูกและเขาที่ส่งบรรยากาศมาคุอึมครึม“พ่อเขาไม่ได้ใช้มาสคาร่าหรอก”“แต่ตาพ่อดำเหมือนแพนด้า” เจ้าตัวย้ำ ขมวดคิ้วจ้องเขม็ง“กังฟูแพนด้า”สกลกันต์ไม่ได้ชอบเจ้าฮีโร่อ้วนตุ้ยนุ้ยนี่นะ แค่ตอนเด็ก ๆ บิดากับวิเชียรเปิดให้ดูบ่อย แถมฟัดแก้มนุ่มนิ่มจนแดงเขาชอบฮีโร่ตัวสูงปราดเปรียวปีนป่ายเก่งแล้วก็มีชุดเท่ ๆ อย่างสไปเดอร์แมนมากกว่า“กินข้าวไป อย่าพูดมากเดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”บิดาตักกุ้งยัดปากช่างจ้อ เมื่อลิ้นสัมผัสกุ้งเนื้อเด้ง รสหวานกระจายทั่วปาก สกลกันต์กลับมาสนใจการเคี้ยวอาหารทันทีไผทจ้องเขม็งมายังเธอ ส่งสายตาข่มขู่ ขุ่นเคืองอารมณ์ค้างคาเรื่องเมื่อคืน วัชรมัยแกล้งไม่สนใจ ยกน้ำส้มขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์“เตเต้ปราบไปโรงเรียนก่อนนะ เป็นเด็กดีอยู่เฝ้าบ้าน ถ้ามีขโมยมาก็กัดตูดไล่มันลงทะเลเลย”ลูกพ
เพราะวัชรมัยมัวแต่มุ่งมั่นกับตำมะขาม สามีจึงทำไก่ทอดเกลือ กับต้มกระดูกหมูผักกาดดองให้“ไหนพี่ป้องไม่ให้กินโปรเซสเซ่นฟูดส์ไง”เธอหมายถึงอาหารแปรรูป ที่รวมของหมักดองด้วย“ผักดองมีพรีไบโอติกส์ ดีต่อลำไล้”ไผทซื้อหนังสือเกี่ยวกับการดูแลคนเป็นโรคมะเร็งมาหลายเล่ม เขาอ่านซ้ำจนจำขึ้นใจ ต้องการจะดูแลเธอให้ดีที่สุด“หมูที่ใช้ก็เป็นหมูคุโรบุตะ เจ้าของเลี้ยงแบบปล่อย มันจะไม่เครียด ไม่เพิ่มสารก่อมะเร็ง”เพิ่งรู้ว่ามีการเลี้ยงหมูให้ไม่เครียดด้วย วัชรมัยเคยได้ยินแต่การเลี้ยงวัวทะนุถนอมแบบฟาร์มญี่ปุ่น เปิดเพลงให้ฟัง มีนวดตัว ให้วัวกินเบียร์ สร้างอารมณ์วัวให้ดี เพื่อกลายเป็นเนื้อคุณภาพเยี่ยมกิโลกรัมละเป็นหมื่นไผทไปหาเนื้อหมูพวกนี้มาจากไหน“มิ้งรู้สึกตัวเองเป็นภาระพี่ป้องจัง”เธอรำพึงพลางตักตำมะขามเข้าปาก รสคล้ายกับที่วารีเคยทำ ความเศร้าเพราะคิดว่าตนช่างอ่อนแอเหลือเกินกลับมาเกาะกุมในอกโดยพลัน“พี่เป็นผัวเธอนะ เมียตัวแค่นี้ดูแลได้สบายมาก”มือสีเข้มตักไก่ทอดใส่จานเธอ“กินเยอะ ๆ จะได้มีเนื้อมีหนัง ตอนกอดจะได้นุ่มนิ่ม เต็มไม้เต็มมือ”สายตาคมวับวาวพราว วัชรมัยรู้ได้ทันที นายหัวไม่หยุดแค่กอดอย่างเดียวแน่“ห
ไผทรีบพาเมียออกจากตลาดนัด ก่อนที่เธอจะหาอะไรมาเป็นงานทำมากกว่านี้ วัชรมัยหยิบเครื่องประดับทำจากกะลามะพร้าวมาชื่นชม สมองคิดจะมิกซ์แอนด์แมทกับชุด หรือออกแบบเครื่องประดับแบบไหนดีถ้าผสมกับสตอรี่เรื่องความยั่งยืน เป็นของธรรมชาติผลิตจากชุมชน ไม่มีการใช้ส่วนไหนจากสัตว์ยิ่งน่าสนใจ มันขายได้ในต่างประเทศ หรือจะชิมลางแตกแบรนด์เล็ก ๆ ขายแต่ทางออนไลน์ดีสมองการค้าวัชรมัยคิดไปเรื่อย กระทั่งรถคันโตหยุดที่สวน เธอหันซ้ายหันขวา โน่นก็คนงาน นั่นก็ต้นปาล์ม ภูเขาสีเขียวห่างอยู่ลิบ ๆ มีหมอกยามเช้าคลอเคลียคลุมวิวสวยดีอยู่หรอก แต่เขาเอาเธอมาทำไม“มิ้งขอกลับบ้านได้ไหมคะ”“อยู่นี่แหละ ใกล้ตาฉัน เกิดล้มไปจะยุ่ง ป้านิดลาไปเยี่ยมญาติ ไม่มีใครดูเธอ อยู่นี่ดูแลได้ดีกว่า”ไผทประกาศบอกคนสนิทถึงอาการป่วยของวัชรมัย ไม่ทันไรก็รู้กันทั้งสวน เขาขี้เกียจหาต้นตอว่าใครปูดข่าว ดีเสียอีกจะได้มีคนเพิ่มช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลเธอให้“อยู่ในรถ ฉันจะติดเครื่องไว้ให้”แอร์เย็นก็จริง แต่วัชรมัยนั่งนิ่งนาน ๆ ชักเบื่อ มองออกไปเห็นต้นมะขามแผ่กิ่งก้านแตกใบในสวน มันคงอยู่มานานเพราะมีกิ่งห้อยย้อยจนต้องเอาไม้มาค้ำไม่ไห้ต้นล้มฝักดิบสีน้ำตาลอ
“แม่คร๊าบ มีโฮมเลสมานอนในสนามบ้านเราด้วย”ไผทหยีตาขึ้นเพราะเสียงแจ้ว ๆ นอกเต็นท์มีแสงสว่างลอดเข้ามา“ไม่ใช่โฮมเลสครับ”วัชรมัยปรามเจ้าตัวกลม ที่เดินเข้าไปเกาะเต็นท์สนามสีเขียวเข้ม เมื่อคืนเธอนอนกอดลูกสบายมาก สดชื่นอารมณ์ดีจนลงมาทำมื้อเช้า ปล่อยสกลกันต์นอนต่อแป๊บเดียว ไม่คิดลูกจะตื่นเร็วขนาดนี้“ก็เขาไม่มีบ้านไม่ใช่เหรอ ถึงนอนเต็นท์”ปากเล็กยู่ยืนยันความคิดตัวเอง“เหมือนข่าวโฮมเลสในทีวีที่ปราบเคยดูในโรงอาหาร”“พ่อไม่ใช่โฮมเลส”เต็นท์เปิดมาพร้อมหน้าตึง ๆ ของคนนอนไม่พอ มือสางผมผมสีดำยุ่งตกระหน้าผาก ไผทขมวดคิ้ว เมื่อเห็นแม่กับลูกใส่ชุดนอนหมีน้อยเข้ากัน ...แล้วชุดเขาล่ะแม่งเอ๊ย! ไม่ยุติธรรมสักนิด ปรกติไผทไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ทว่าตั้งแต่มีเมียนี่เขาเหมือนโดนลูกทิ้ง กลายเป็นหมาหัวเน่า เป็นคนนอกโดยสมบูรณ์แบ่งแยกกันชัดเจนก็เสื้อทีมนี่แหละ มีเขาแตกต่างอยู่คนเดียว“ทำไมพ่อมานอนเต็นท์ล่ะ”สกลกันต์เคยไปกางเต็นท์เที่ยวป่าชมธรรมชาติกับบิดาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าสนุกมาก ...หมายถึงขี่หลังบิดาสนุก“อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”เขาสลัดศีรษะไล่ความง่วงงุน“หลับสบายไหมคะพี่ป้อง”ไผทหงุดหงิดกับรอยยิ้