ตอนที่ 6 เฉินปี่
หนิงเหอกวาดตามองสินค้าชั้นล่างของร้านหงลู่ฝางแห่งนี้ด้วยความสนใจ มุมหนึ่งของร้านเป็นที่สำหรับขายสี่สมบัติล้ำค่าในห้องหนังสือ (พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก) หนิงเหอมองพู่กันมากมายที่ตั้งโชว์วางเรียงรายกันอย่างสวยงาม รวมถึงกระดาษชนิดต่าง ๆ อย่างสนใจ
ในห้องโถงชั้นนี้มีภาพปักต่างๆ รวมถึงฉากกั้นที่มีภาพวาดตั้งวางเอาไว้หลายอย่าง สมกับเป็นร้านที่ขายงานศิลปะโดยแท้
“หนิงเหอ เจ้ามาทางนี้สิ”เซียวต้าถงที่เห็นนางเมียงมองของในร้านด้วยสายตาหลงใหลอยู่ก็เรียกนางให้ไปอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน
หนิงเหอจึงละความสนใจในของต่างๆ และเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว
เพียงเข้ามาด้านใน หนิงเหอก็จ้องมองสิ่งของตรงหน้าราวกับคนโง่งม ภาพวาดต่างๆ วางเรียงรายกันราวกับแกลเลอรี่ภาพวาดในยุคปัจจุบันที่นางจากมา
หนิงเหอค่อยๆ เดินเข้าไปมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาพิจารณา ก่อนจะมองมุมด้านข้างที่เขียนชื่อผู้รังสรรค์ของแต่ละภาพเอาไว้
หนิงเหอค่อยๆ ไล่มองภาพเหล่านั้นไปทีละภาพด้วยความสนใจ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ภาพๆ หนึ่ง ที่ทำให้หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะ เป็นภาพนกอินทรีที่กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ มองดูภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาก้มต่ำ
ท่าทางของมันคล้ายผู้อยู่เบื้องสูงกำลังมองเหล่ามดปลวกตัวน้อยที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง ภาพนี้เป็นภาพที่เหนือกว่าภาพทั้งหมดที่อยู่ภายในห้องนี้ ก่อนที่นางจะมองไปที่มุมภาพด้านล่างเพื่อมองดูว่าชื่อผู้วาดคือใคร
เฉินปี่
พู่กันเทพ?
เพียงนามพู่กันของอีกฝ่ายก็ทำเอาหนิงเหอถึงกับหลุดขำออกมา ช่างทระนงตนยิ่ง ไม่มีความถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแต่หนิงเหอเท่านั้นที่มองภาพนั้นด้วยสายตาชื่นชม แม้แต่เซียวต้าถงที่มีความชอบด้านภาพวาดและอักษร ยังมองภาพนั้นด้วยสายตาตื่นตะลึงและชื่นชมเช่นกัน
“หลงจู่ ภาพนี้ขายเท่าไหร่” เซียวต้าถงหันไปถามหลงจู่ที่เดินตามพวกเขาเข้ามาจากทางด้านหลังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ตอนที่เขามากับสหายเมื่อวันก่อนยังไม่เห็นภาพนี้เข้ามาตั้งเอาไว้เลย นั่นหมายความว่าภาพวาดภาพนี้พึ่งจะเข้ามาตั้งแสดงไว้ที่นี่ และมันคงยังไม่มีเจ้าของ
“เรียนคุณชายเซียว ภาพวาดภาพนี้เป็นภาพที่นายท่านของเรานำมาวางเอาไว้เพื่อให้ลูกค้าได้ชมมันเท่านั้น ไม่ได้ขายขอรับ” หลงจู่ที่เดินเข้ามากล่าวตอบ
เมื่อวานนี้นายท่านเจ้าของร้านมาที่นี่ ก่อนจะให้นำภาพวาดภาพนี้มาตั้งแขวนไว้ในนี้เพื่อให้ผู้ที่ชอบผลงานศิลปะให้ชมภาพผลงานของพู่กันเทพที่ทุกคนต่างเลื่องลือกัน
เซียวต้าถงมองภาพนั้นด้วยความเสียดาย แต่ความเสียดายนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเลื่อมใสเจ้าของร้านแห่งนี้ ผลงานที่ดีเช่นนี้หากได้แบ่งบันให้ผู้อื่นได้ชื่นชม นั่นมันก็ดีกว่าที่เขาจะนำมันไปชื่นชมอยู่เพียงผู้เดียว
“หลงจู่ หากสหายของข้าต้องการนำภาพวาดมาขายให้แก่ร้านท่าน จะต้องทำสิ่งใดบ้าง?” เซียวต้าถงถามโดยไม่อ้อมค้อมทันที จุดประสงค์ที่มาในวันนี้ก็เพื่อสิ่งนี้
“เรียนคุณชายเซียว หากสหายของท่านต้องการที่จะขายภาพวาดให้แก่ทางร้านนั้น จะต้องตรวจสอบดูว่าเป็นภาพวาดของผู้ใดก่อน? แต่หากภาพวาดนั้นเป็นของผู้อื่น จำต้องมีการตรวจสอบดูว่าภาพนั้นได้มาถูกต้องหรือไม่ กระบวนการตรวจสอบค่อนข้างวุ่นวายไม่น้อย แต่หากภาพวาดนั้นเป็นภาพที่เขาเป็นคนวาดเอง จำต้องลงทะเบียนนามพู่กันเสียก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำชื่อกัน และเป็นปัญหาในภายหลังได้ขอรับ”
หลงจู่อธิบาย
หนิงเหอที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย การที่ตรวจสอบนามพู่กันก่อนเป็นการป้องกันที่ดียิ่งสำหรับไม่ให้ผู้อื่นแอบอ้างผลงานเลียนแบบ หรือแม้แต่สวมรอยเป็นเจ้าของผลงานนั้นๆ
“หากข้าต้องการลงทะเบียนจะต้องทำเช่นไร?” เซียวต้าถงเอ่ยถามต่อ
“อย่างแรก เจ้าของผลงานตัวจริงต้องมาที่นี่ด้วย ตามด้วยผลงานหนึ่งชิ้นเพื่อลงทะเบียนกับทางร้านเราได้เลย และแน่นอนว่า ประวัติและความเป็นมาของนักวาด ทางร้านจะเก็บไว้เป็นความลับอย่างดีขอรับ…” หลงจู่กล่าวตอบ
หนิงเหอมีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าที่นี่มีการลงทะเบียนด้วย นางไม่ได้วาดผลงานใดมาเลย จะลงทะเบียนนามพู่กัน คงต้องรอโอกาสหน้าแล้ว
“มีค่าใช้จ่ายหรือไม่?”
“เรียนคุณชายเซียว ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ผลงานที่นักวาดนำมาด้วยในตอนลงทะเบียน ทางร้านจำเป็นจะต้องเก็บมันเอาไว้ เพื่อใช้ตรวจสอบลายเส้นผลงานชิ้นต่อไปขอรับ”
“งั้นก็ลงทะเบียนเลย” เซียวต้าถงตอบกลับอีกฝ่ายทันที
ทำเอาหนิงเหอที่อยู่ด้านหลังยื่นแขนออกไปกระตุกแขนเสื้อของอีกฝ่ายอย่างแรง ทำให้เซียวต้าถงหันกลับมามองที่นาง
“คุณชาย แต่ข้าไม่ได้วาดภาพมาด้วย” หนิงเหอพูดเสียงเบาพอที่จะทำให้อีกฝ่ายได้ยินกันเพียงแค่สองคน
“เจ้าไม่ได้นำมา แต่ข้านำมาด้วย อยู่นั่นไงละ” เซียวต้าถงชี้ไปที่กระบอกใส่ภาพที่อยู่ในมือของหลงจู่ หนิงเหอจำได้ว่าภาพนั้นเป็นภาพที่อีกฝ่ายจะนำมาใส่กรอบมิใช่หรือ?
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าตาสงสัย เซียวต้าถงจึงไขข้อกระจ่างให้แก่นางได้ฟัง
“ภาพที่ข้าจะนำมาใส่กรอบก็คือภาพที่เจ้าวาดนั่นแหละ ข้าพึ่งจะมีโอกาสนำมาใส่กรอบวันนี้ ในเมื่อต้องมีภาพวาดที่มอบให้แก่ทางร้าน ก็ใช้ภาพนั้นเถอะ”
“แต่…แต่ภาพนั้นข้าได้มอบให้แก่คุณชายแล้ว” เมื่อมอบให้แก่อีกฝ่ายแล้ว ก็เป็นของอีกฝ่าย นางจะใช้ภาพนั้นได้อย่างไร
“เจ้าจะกลัวอะไร ในเมื่อเจ้าเป็นคนวาดภาพนั้นแล้ว…หากเจ้ารู้สึกติดค้างข้า เอาไว้หลังจากนี้ เจ้าวาดภาพใหม่ให้ข้าอีกสักภาพก็แล้วกัน” เซียวต้าถงยิ้มตอบนาง ก่อนจะหันไปหาหลงจู่
“หลงจู่ สหายข้าต้องการลงทะเบียนนามพู่กันแล้ว”
ที่ทั้งสองสนทนากันเมื่อครู่หลงจู่ที่ยืนอยู่ได้ยินทั้งหมด เขาจ้องมองพิจารณาเด็กหนุ่มที่ใส่ชุดบ่าวรับใช้ด้านหลังคุณชายเซียวอย่างละเอียดอีกครั้ง มองอย่างไรเด็กคนนี้ก็เหมือนเด็กฐานะต่ำต้อยคนหนึ่ง เหตุใดสามารถเป็นเพื่อนกับนายน้อยเซียวได้
แต่ถึงอย่างนั้น เอาไว้เมื่อเห็นผลงานก่อนก็แล้วกัน
“ทั้งสามเชิญนั่ง” หลงจู่พาทั้งสามคนมายังโต๊ะที่มีไว้สำหรับรับรองแขก ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะของตนเอง เพื่อหยิบกระดาษบางอย่างออกมาสองแผ่น และยื่นให้แก่พวกเรา
“นี่เป็นสัญญาและข้อตกลงต่างๆ ท่านลองอ่านและลงลายมือชื่อของนักเขียนไว้ที่ตรงนี้ขอรับ”
เซียวต้าถงหยิบมันขึ้นมาอ่านเป็นคนแรก เพราะเขาเข้าใจว่า หนิงเหออาจจะอ่านข้อตกลงเหล่านี้ไม่เข้าใจ เพราะตัวอักษรเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอักษรทางการซึ่งชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ได้เข้าสำนักศึกษาจะอ่านมันไม่ค่อยเข้าใจนัก และอาจจะทำให้พวกเขาเสียเปรียบในการลงนามสัญญา
เมื่ออ่านจบ เซียวต้าถงก็พยักหน้าและยื่นมันให้แก่หนิงเหอ
“ข้อตกลงเป็นธรรม เจ้าสามารถลงลายมือชื่อของตนเองได้เลย”
หนิงเหอกวาดสายตาอ่านสัญญาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหยิบพู่กันที่วางอยู่บนแท่นบนโต๊ะขึ้นมา ตวัดเขียนชื่อของตนเองลงไปด้วยความมั่นคง
กู้หนิงเหอ
………………………………………..
ตอนที่ 20 ต้องการสีที่ใช้งานได้หนึ่งเดือนมานี้ ตั้งแต่เฉียนหยาแต่งเข้ามาที่บ้านของครอบครัวกู้ นอกจากงานซักผ้าแล้ว งานอื่นๆ ทุกคนในบ้านล้วนแต่ช่วยเหลือกันทั้งสิ้นกู้หลันโจวเองในช่วงนี้เหนื่อยกว่าทุกคนในบ้านยิ่งนัก เนื่องจากว่า ในยามกลางวัน เขาจะออกไปช่วยที่บ้านของเฉียนต้าหลางลงนาเกี่ยวข้าว กู้เหวินอี้เองก็เช่นกัน กู้อวี้สยงนั้นไม่มีที่ทำกินเหมือนครอบครัวอื่น ตัวเขาจึงมีอาชีพเป็นนายพราน แตกต่างจากครอบครัวเฉียน เฉียนต้าหลางมีพื้นที่ทำกินที่แบ่งกับน้องๆแล้วหลายหมู่ แต่เนื่องจากว่าเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวไม่มีลูกชาย ทำให้กู้หลันโจวพากู้เหวินอี้มาช่วยงานกู้หนิงเหอเดินมาที่ท้องนาที่ตอนนี้กำลังมีคนช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวในนาอย่างขะมักเขม้น นางใช้มือทั้งสองข้างแตะเลียนแบบกล้องถ่ายรูป เพื่อใช้สมองของตนเองจดจำภาพ บรรยากาศ และผู้คนที่กำลังทำงานอยู่ในท้องนาเอาไว้ เพื่อที่ว่านางจะได้นำไปวาดรูป“หนิงเหอ เจ้าทำอะไรอยู่หรือ?” เฉียนหยาที่เดินมาด้านหลังถามน้องสามีของนางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าทางแปลกๆ นางจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย“กำลังเก็บภาพเจ้าคะ”“เก็บภาพ? หมายถึงอะไร?”“ข้ากำลังเก็บภาพเหล่านี้
ตอนที่ 19 งานมงคลและแล้วก็ถึงวันมงคลของกู้หลันโจวและเฉียนหยาหนิงเหอตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวช่วยงาน เพียงฟ้าสางขบวนเจ้าสาวก็มาถึงบ้านของครอบครัวกู้ เฉียนหยาแต่งกายด้วยชุดเจ้าสาวสีแดงสด ด้านหลังของนางเป็นคนครอบครัวเฉียนที่พากันขนข้าวของสินเดิมเจ้าสาวตามมาเป็นขบวน นอกจากนั้น ยังมีชาวบ้านมากมายต่างมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านในชนบท ที่มีฐานะยากจน ทำให้งานแต่งงานไม่เหมือนในละครที่หนิงเหอเคยดูที่ฝ่ายเจ้าสาวจะนั่งเกี้ยวมายังบ้านของเจ้าบ่าวพิธีการที่จัดขึ้นเป็นแบบเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก ทุกคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือในการทำพิธีต่างๆ จากนั้นทางฝั่งของบ่าวสาวก็เปลี่ยนชุดออกมาต้อนรับแขกที่มารวมงาน และดื่มกินสังสรรค์กันจนถึงค่ำ ก็ถึงเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอที่สร้างเสร็จใหม่ เช้าวันรุ่งขึ้นเฉียนหยาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเพื่ออุ่นอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงเมื่อวานให้กับคนในบ้านกู้ โดยที่นางไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะหนักหนาอะไรสำหรับนาง กู้หลันโจวก็ตื่นแล้วเช่นกัน เขาเข้าครัวช่วยภรรยาที่พึ่งแต่งเข้ามาได้เพียงหนึ่งวันก่อไฟอุ่นอาหาร บรรยากาศภายในห้องค
ตอนที่ 18 คำตอบของหม่าเจ่าคำตอบของหม่าเจ่า ทำให้สองแม่ลูกครอบครัวกู้กลับไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เมื่อส่งแขกออกไปแล้ว หม่าเจ่าก็กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง พร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง“เพราะเหตุใดเจ้าไม่ตอบรับคำขอเล่า เจ้าก็รู้ใจลูกสาวของตนเองไม่ใช่หรือ?” เฉียนต้าหลางถามภรรยา เรื่องที่เฉียนหยาลูกสาวของตนเอง ชื่นชอบกับเพื่อนเล่นสมัยเด็กอย่างกู้หลันโจว พวกเขาสองสามีภรรยาต่างรู้แก่ใจกันดี“คนพวกนั้นเห็นลูกสาวของเราเป็นตัวอะไร อยากแต่งก็พาแม่สื่อมา ไม่อยากแต่งก็ปฏิเสธพวกเราง่ายๆ” หม่าเจ่ายังคงเสียหน้ากับเรื่องที่ผ่านมาอยู่ นางจึงตอบกลับสามีด้วยน้ำเสียงที่ดัง ทำให้เฉียนหยาที่พึ่งกลับมาจากด้านนอกได้ยิน“ท่านแม่” เฉียนหยาเรียกมารดาของตนเอง ที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สู้ดีนักหม่าเจ่ามองหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองด้วยความหนักใจ สำหรับตัวนางแล้ว ครอบครัวกู้แม้จะยากจนอยู่บ้าง แต่นางที่รู้จักกู้หลันโจวมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้ดีว่ากู้หลันโจวจะต้องไม่มีวันทำให้ลูกสาวของนางเสียใจอย่างแน่นอน ส่วนลูกชายของหมู่บ้านข้างเคียงที่ส่งแม่สื่อมานั้น ฐานะทางบ้านไม่เลวเลยทีเดียว พ่อแม่สามีเองก็เป็นที่รู้จักของหลายหมู่บ้าน
ตอนที่ 17 มีเงินเพียงพอแล้วกู้อวี้สยงและหนิงเหอเดินออกมาจากร้านหงลู่ฝาง หนิงเหอจึงเสนอความคิดว่า พวกเขาควรซื้อเสบียงอาหารแห้งกลับไปที่บ้านสักเล็กน้อยก่อนกู้อวี้สยงเดินตามลูกสาวของเขาด้วยความเหม่อลอย พร้อมกับเอามือทาบที่หน้าอกของตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะด้านตรงอกของเขาตอนนี้ มีถุงเงินยี่สิบตำลึงอยู่ด้านใน กับอีกถุงเป็นเงินที่เขาขายเนื้อสัตว์มาแม้ว่าจะได้เงินมาเยอะจากเมื่อครู่ แต่หนิงเหอก็ไม่ได้ใช้เงินมือเติบแต่อย่างใด นางจัดแจงซื้อแป้ง ข้าวสาร ธัญพืชที่ที่บ้านไม่มีอยู่แล้วกลับไป“หนิงเหอ นี่พ่อกำลังฝันอยู่หรือไม่?” กู้อวี้สยงหันมาถามลูกสาวที่เดินอยู่ด้านข้าง ทำเอากู้หนิงเหอที่กำลังเดินอยู่ถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“ฮ่าๆๆ ท่านพ่อ ท่านไม่ได้ฝันไปหรอกเจ้าค่ะ” เพราะตอนนี้ในมือทั้งสองข้างของเขา เต็มไปด้วยข้าวของที่ลูกสาวซื้อกลับมา ทำให้ไม่มีมือจับตรงที่ถุงเงินที่อยู่ภายใต้เสื้อตนเองได้ เขากลัวเหลือเกิน ว่าเมื่อเขากลับไปถึงบ้านแล้วจะรู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งของเขาเท่านั้น“มันมีจริงๆ หรือ คนที่ยอมเสียเงินร้อยตำลึงเพื่อพัดเล่มหนึ่งเท่านั้น” กู้อวี้สยงถามขึ้น ไม่ใช่ว่า
ตอนที่ 16 นกข่งเชวี่ยภาพนกข่งเชวี่ย(นกยูง)ตัวผู้ที่ถูกวาดอยู่บนพัด เจิ้งหย่งซีมองมันด้วยสายตาที่สั่นไหว ราวกับว่าเจ้านกที่ถูกวาดอยู่ กำลังลำแพนหางของมันโอ้อวดให้คนที่กำลังมองอยู่ได้เชยชมเจิ้งหย่งซีสังเกตที่หางของมันอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่า ผู้ที่วาดนั้นเก็บรายละเอียดหางของมันด้วยพู่กันที่เล็กที่สุด ไม่น่าเชื่อเลยว่า ภาพวาดที่ละเอียดลออนี้ จะใช้ระยะเวลาในการวาดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น“ไปตามคนส่งของเข้ามา” เจิ้งหย่งซีสั่งลูกน้องคนสนิทของตนเองให้ตามเด็กที่ร้านที่มาส่งของ เข้ามาหาเขา เพราะเขามีคำถามต้องการถามอีกฝ่ายเพียงไม่นาน ด้านหน้าประตูก็ปรากฏร่างของเด็กชายที่มีท่าทางประหม่าเป็นอย่างมากเดินเข้ามา“คารวะนายท่าน” เด็กรับใช้ที่ร้านคารวะอีกฝ่ายความสั่นเกรง“เด็กสาวที่นำของสิ่งนี้มาส่ง ก่อนที่นางจะจากไป นางได้บอกอะไรหรือไม่” เจิ้งหย่งซีมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนถามเสียงเรียบจะกลัวอะไรกันหนักหนา เขาเริ่มไม่สบอารมณ์“ระ.. เรียนนายท่าน แม่นางน้อยผู้นั้นไม่ได้กล่าวอะไร เพราะตอนนี้นางกำลังรอรับเงินอยู่ที่ร้านขอรับ นางบอกว่าต้องการรีบใช้เงิน” ยังอยู่ที่ร้าน?“หลี่หลิน เตรียมรถม้า”“ขอรับ”เมื่อได้ย
ตอนที่ 15 ส่งผลงาน“หลงจู่กล่าวว่า ไก่แต่ละตัว หนักประมาณ 2 จิน ให้ท่านตัวละ 150 อีแปะ ส่วนกระต่ายตัวละ 180 อีแปะ รวมทั้งสิ้น 960 อีแปะขอรับ” เด็กในร้านที่ทำหน้าที่แจกแจงเงินให้แก่กู้อวี้สยงก็พูดจาฉะฉาน เพราะเขาต้องทำเช่นนี้แทบทุกวันกับพ่อค้าเนื้อ หรือแม่ค้าผักที่นำมาส่งที่ร้านเนื่องจากร้านอาหารด้านหลังเป็นจุดรับของที่จะนำมาใช้ทำอาหาร จำต้องมีเด็กวิ่งเข้าออกเพื่อทำหน้าที่นี้ เพราะในครัวไม่สามารถให้คนนอกเข้าออกได้ เด็กคนนี้จึงรับหน้าที่นี้มาหลายปีแล้ว“ขอบคุณเจ้ามาก” เมื่อเห็นว่าราคาที่อีกฝ่ายให้มา เป็นราคาเดียวกับที่เขาคิดคร่าวๆ ไว้ในใจแล้ว กู้อวี้สยงจึงรับเงินที่อีกฝ่ายยื่นให้ และเก็บลงใส่ถุงเงินที่ตนพกมาก่อนมัดถุงไว้อย่างระมัดระวัง และเก็บไว้กับตนเอง“เราไปกันเถอะ” กู้อวี้สยงหันมาส่งยิ้มให้กับบุตรสาวก่อนจะพาอีกฝ่ายเดินไปทางถนนอีกเส้นหนึ่งที่อยู่คนละทางกับร้านอาหารแห่งนี้เนื่องจากตัวเมืองนี้มีถนนเส้นใหญ่อยู่สองเส้น เส้นแรกเป็นเส้นที่ร้านอาหารที่เขาไปเมื่อครู่ตั้งอยู่ ส่วนอีกเส้นเป็นเส้นที่ร้านหงลู่ฝางตั้งอยู่ เพียงมองดูก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่า ถนนทั้งสองเส้นนั้นต่างกันอย่างไร ถนน