เสียงฝีเท้าหลายคู่พร้อมกับเสียงพูดคุยครึกครื้นที่หน้าร้าน ทำให้มนิษาที่กำลังทอนเงินให้ลูกค้า หันขวับไปหาทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ในบรรดาลูกค้ากลุ่มใหญ่นั้น กลับไม่มีใบหน้าที่เธอคุ้นเคยและเผลอคาดหวังว่าจะได้เห็น...
พี่ดอกรักกับน้าน้อย รีบเข้าไปบริการลูกค้ากลุ่มใหม่ดังกล่าว คนงานทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของร้านต้นไม้แห่งนี้มาตั้งแต่มนิษายังเป็นเพียงเด็กมัธยมฯ เธอไว้ใจพวกเขาได้เท่ากับที่ไว้ใจครอบครัวของตัวเอง หญิงสาวจึงไม่เข้าไปวุ่นวายและเลิกจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านเงียบ ๆ ด้วยอาการเงื่องหงอย"วันนี้ทำอะไรน่ะพี่ส้ม"
มะนาวถามเนือย ๆ เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในครัวและเดินตรงไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำมารินใส่แก้วให้ตัวเอง "ขนมกรวยจ้ะ" "ทำคนเดียวเหรอ ไม่ให้นิดหน่อยมาช่วยล่ะ" "ทำคนเดียวได้ ทำง่ายแล้ววันนี้พี่ก็ทำไม่เยอะจ้ะ" คนเป็นพี่สาวตอบ กำลังหยอดแป้งลงในกรวยใบตองที่ม้วนเตรียมไว้แล้ว ตัวแป้งเนื้อขนมทำไม่ยาก ใช้แป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งถั่วเขียวอีกนิดหน่อย เติมกะทิ น้ำตาลปี๊บ เหยาะเกลือเล็กน้อยอย่าเผลอหลุดมือใส่ลงไปเยอะ แล้วก็กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ส้มหวานยังม้วนใบเตยลงไปผสมด้วยเพื่อเพิ่มความหอม กรวยที่หญิงสาวกำลังหยอดแป้งลงไป เสียบไว้กับรูของลังนึ่งเพื่อกันไม่ให้กรวยล้ม และที่เหลือก็ค่อย ๆ วางพิง ๆ กันไว้จนเต็มลังนึ่ง นอกจากจะทำกินเองนาน ๆ ดี วันดีคืนดีสริดาก็จะทำเมนูนี้ไปฝากวางขายในตลาดหรือร้านแถวบ้าน ขายสามกรวยห้าบาทเท่านั้น เธอไม่รู้ว่าที่อื่นขายกันอย่างไร แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัดอย่างเช่นบ้านของเธอที่นี่ ก็ขายกันแค่ราคานี้และก็พออยู่กันได้ทั้งคนทำและคนกิน “เป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” สริดาถามเพราะเงยหน้าขึ้นจากลังนึ่งแล้วเห็นว่าน้องสาวนั่งมองแก้วน้ำเปล่าอยู่นิ่ง ๆ เป็นนานสองนาน ไม่เห็นจะยกดื่้มสักที เห็นท่าทางแบบนี้แล้วก็อดจะสงสัยไม่ได้ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมนิษาง่วงเหงาเศร้าซึมเหมือนใครเลยสักครั้ง "ว่าไงนะพี่ส้ม" "พี่ถามว่าเป็นอะไร หน้าตาไม่สะเบยเลย"“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
มนิษาตอบก่อนจะยกแก้วน้ำมาจิบกลบเกลื่อน“งั้นเหรอ แต่พี่ว่านาวดูเบื่อ ๆ มาสองสามวันแล้วนะ ที่ร้านก็ยุ่งไม่ใช่เหรอ แต่ทำหน้าอย่างกับไม่มีคนเข้าร้าน”
“เปล่าสักหน่อย คงแค่...อากาศมันร้อน ๆ น่ะ...”
“เออ ก็ร้อนจริงนั่นแหละ พี่ว่านึ่งขนมเสร็จแล้วจะทำน้ำมะนาวอัญชันไปให้ดื่มกันพอดีเลย รอแป๊บก็แล้วกัน”
มนิษาโล่งใจที่พี่สาวหันไปสนใจเรื่องอื่นแทนเพราะกลัวว่าพี่จะไล่บี้เรื่องที่เธอมีอาการไม่ปกติมาแล้วหลายวัน สาวน้อยเจ้าของร้านต้นไม้ไม่อยากหาคำตอบว่าทำไมจู่ ๆ จึงรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมดเสียทุกอย่าง
สริดาที่หยอดขนมใกล้เสร็จแล้ว แอบอมยิ้มกับตัวเอง สองพี่น้องไม่เคยแยกห่างจากกัน ยี่สิบสี่ชั่วโมงของมนิษาก็คือยี่สิบสี่ชั่วโมงของสริดา มีหรือที่น้องสาวผิดปกติไปแล้วคนเป็นพี่จะดูไม่ออก และอาการเบื่อ ๆ อยาก ๆ ของมนิษาก็เริ่มเป็นตั้งแต่ที่ธีทัตหายหน้าหายตาไปเกือบสองสัปดาห์แล้วนั่นแหละ
แต่คนเป็นพี่เลือกจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะต่อให้เอ่ยออกไปในสิ่งที่สังเกตเห็น น้องสาวตัวแสบอย่างมะนาวก็คงไม่มีทางยอมรับโดยง่ายให้เสียฟอร์มอย่างแน่นอน
**
วิศวกรหนุ่มอยู่กรุงเทพฯ หนนี้เกือบครึ่งเดือน วันที่จะเดินทางกลับ แม้ธีทัตบอกว่านั่งแท็กซี่ได้แต่ทยากรก็ยืนยันจะขับรถมาส่งเพื่อนที่สนามบินแล้วอยู่รอจนกว่าธีทัตจะขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่
สองหนุ่มเลือกเข้าร้านกาแฟระหว่างรอเวลา มีลูกค้าวัยรุ่นยืนสั่งกาแฟคิวก่อนหน้า กระเป๋าสะพายห้อยพวงกุญแจอันใหญ่เป็นตัวตุ๊กตาเด็กผู้หญิงตาโตปากคว่ำทั้งน่ารักและตลก
ธีทัตที่ต่อคิวอยู่ด้านหลังก้มมองพวงกุญแจตุ๊กตาแล้วเผลอยิ้มขัน...ตุ๊กตานี่หน้าเหมือนยัยมะนาวชะมัดเลย
“ยิ้มอะไรวะ”
ทยากรถามเมื่อธีทัตเดินถือถ้วยกาแฟกลับมาที่โต๊ะ ดวงตายังเป็นประกาย
“ตุ๊กตาแบบนั้นกำลังฮิตกันหรือไง เหมือนช่วงนี้กูจะเห็นบ่อย ๆ”
เขาถามพลางพยักเพยิดไปทางโต๊ะข้าง ๆ
“ไม่รู้สิ กูไม่เคยสังเกต”
“กูอยากได้สักตัวว่ะ หาซื้อที่ไหนดี”
“มึงอยากได้ตุ๊กตา? จะเอาไปทำไม”
“ไปฝากเด็กแถวบ้าน”
ธีทัตตอบยิ้ม ๆ ไม่รู้หรอกว่ายัยตัวแสบที่ชอบทำตาเหลือกปากคว่ำใส่เขาจะนึกถึงกันบ้างหรือเปล่า แต่เขานึกถึงเธออยู่บ่อย ๆ ตอนอยู่ที่โรงแรม บางคืนที่เขานั่งดื่มคนเดียวเงียบ ๆ ที่บาร์ ชายหนุ่มก็นึกอยากให้ใครบางคนมานั่งด้วยตรงนั้นเพื่อที่จะได้เถียงกัน คุยกัน ให้คลายเหงา
นี่ถ้ายัยเด็กมะนาวรู้ว่าเขานึกถึงเธอทุกวันแบบนี้ คงจะแหวใส่เขาจนหูแทบแตก และจะต้องด่าด้วยว่าเขาคิดจะเป็นพระยาเทครัว เผลอ ๆ จะกาหัวว่าเขาเป็นไอ้พวกโรคจิต... แค่จินตนาการสีหน้าของมนิษาตอนนี้ธีทัตก็ยังเผลอหัวเราะ... เออแฮะ คงไม่ต้องรอให้โดนมะนาวต่อว่าเพราะตอนนี้ธีทัตก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะผิดปกติขึ้นมาแล้วจริง ๆ
**“อ้าว...นั่นคุณธีมานี่คะ”
ดอกรักที่กำลังจัดเรียงถุงต้นกล้าให้เข้าที่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าใครที่อยู่หน้าร้าน มีแค่สองคนที่ยังเรียกธีทัตว่าคุณ ก็คือพี่ดอกรักกับน้าน้อย เพราะทั้งคู่มีอายุมากกว่าธีทัตหลายปี ส่วนมนิษานั้นไม่นับ หญิงสาวนึกอยากจะใช้สรรพนามเรียกขานชายหนุ่มว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้น
และตอนนี้มนิษาก็ใจหายวาบเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน ก่อนจะค่อย ๆ หันไปหาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงข้ามกับใบหน้าคมคุ้นตามที่เดินยิ้มแฉ่งตรงมาหาพร้อมถุงของฝากเต็มสองมือ
“สวัสดีครับพี่ดอกรัก”
“สวัสดีค่ะคุณธี หายไปไหนตั้งนานคะ ไม่เห็นหน้าเลย”
“เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ ครับ...ไปทำงานมา”
ประโยคหลังเขาตั้งใจเอ่ยกับเจ้าของร้านต้นไม้
“อ้าว... น้องมะนาวก็อยู่ด้วยหรือนี่ พี่ไม่ทันเห็น สวัสดีจ้ะ”
มนิษาแยกเขี้ยวใส่ รู้ว่าเขาแกล้ง
“ผมซื้อของมาฝากครับพี่ดอกรัก” ดอกรักรีบถอดถุงมือออกก่อนเอื้อมมือไปรับถุงของฝากจากชายหนุ่ม ธีทัตซื้อมาฝากครบทุกคนเหมือนเช่นเคย แต่ถุงสุดท้ายที่อยู่ในมือ เขาตั้งใจส่งให้คนตาโตปากคว่ำที่จ้องเขาอยู่ไม่วางตา
“อันนี้ของคุณมะนาว ตั้งใจซื้อมาเป็นบรรณาการโดยเฉพาะ รับไปสิขอรับ”
“อะไรน่ะ”
หญิงสาวมองอย่างหวาดระแวง
“ก็ดูเอาเองสิ ไม่ใช่ระเบิดหรอกน่า”
“ถึงเป็นระเบิดจริงแล้วคิดหรือว่าจะกลัว”
มนิษาบอกเชิด ๆ ก่อนยอมรับของฝากจากมือเขา ในถุงใบใหญ่นั้นมันคือกล่องกระดาษขนาดเกือบเท่าลูกบาส ด้านหน้าฉลุเป็นช่อง ทำให้มองเห็นว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคือตุ๊กตาเด็กผู้หญิงหน้าบึ้งปากคว่ำ...
ดวงตากลมโตของคนรับเผลอเบิกกว้าง ดอกรักที่ยืนรอท่าอยู่โพล่งออกมา
“หน้าเหมือนมะนาวเลย!”
มนิษาเผลอหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกระแอมไอแก้เก้อ แต่ดอกรักยังคงหัวเราะร่วนแบบไม่เก็บอาการ
“อย่าบอกนะคะคุณธีว่าที่ตั้งใจซื้อตุ๊กตาตัวนี้มาให้เพราะคิดว่าหน้าเหมือนมะนาว”
“พี่ดอกรักเห็นแวบแรกก็คิดเหมือนผมใช่ไหมล่ะครับ”
“นี่คุณจะบอกว่าฉันหน้าเหมือนตุ๊กตาเหรอ ตุ๊กตามันทำหน้าโกรธอยู่นะ”
“ก็ใช่น่ะสิ นี่ไง ตอนนี้ก็เหมือน”
“คุณธี!”
ธีทัตตั้งท่าจะรับตุ๊กตาไว้เพราะมนิษาเงื้อแขนขึ้นสูงจนเขานึกว่าเธอจะปามันทิ้ง แต่หญิงสาวไม่ได้ทำเช่นนั้น แค่ชูเร่าในอากาศ ตากลมยังจ้องเขาอย่างเอาเรื่อง แต่แววตาคู่นั้นไม่อาจเก็บซ่อนความขบขันระคนขัดเขินไว้ได้
“ตลกตายล่ะ!”
มนิษาพูดใส่คนทั้งสองก่อนจะเดินเชิดหน้ากลับเข้าไปในตัวบ้าน มือยังกอดกล่องตุ๊กตาไว้ไม่ยอมปล่อย ธีทัตกับดอกรักหัวเราะตามหลัง แน่ใจว่าทันได้เห็นมนิษากลั้นยิ้ม
หญิงสาวขมวดคิ้ว เมื่อจอดรถไว้หน้ารั้วบ้านก็ต้องทำใจอยู่สักพักกว่าจะยอมลงจากรถศรัณส่งยิ้มอบอุ่นหล่อเหลามาให้ มือประคองช่อกุหลาบช่อใหญ่ไว้ด้วย เธอจ้องดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่หลายดอกที่ถูกจัดอย่างประณีต ไม่ใช่เพราะประทับใจแต่เพราะไม่อยากจะมองหน้าเจ้าของช่อดอกไม้ตรง ๆ“น้องส้ม...พี่คิดถึงส้มจังเลยครับ”ศรัณเอ่ยเสียงนุ่มพลางยื่นช่อกุหลาบให้หญิงสาวที่เขาตั้งใจมาหา แต่หนนี้สริดาไม่แม้แต่จะรักษาน้ำใจด้วยการรับไว้“คราวก่อนส้มพูดชัดแล้วนะคะว่าไม่อยากให้พี่โซ่กลับมาที่นี่อีก”“พี่รู้ แต่พี่คิดถึงส้มมากเกินไป หลายวันมานี้พี่แทบไม่มีสมาธิทำงานเลยนะครับ...ในหัวพี่คิดถึงแต่เรื่องของส้มตลอดเวลา ว่าต้องทำยังไงส้มถึงจะเชื่อว่าพี่รักแล้วก็จริงจังกับส้มจริง ๆ”สริดาถอนหายใจ เหลือจะเชื่อจริง ๆ ผู้ชายคนนี้“กลับไปเถอะค่ะ อย่าให้ส้มต้องไล่ซ้ำซากเลย ส้มเหนื่อย...”“พี่จะกลับแต่อยากให้ส้มรู้ว่าเมียพี่...ภรรยาตามกฎหมายคนนั้น เขายินดีหย่าให้พี่แล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมียมานานหลายปีแล้ว ที่ทนอยู่ก็เพราะลูก แต่ตอนนี้เขายอมรับแล้วว่าเขาก็ไม่อยากแกล้งพี่อีกต่อไป เขาจะหย่าให้ครับ”“ถ้าอย่างนั้น
วันพระใหญ่ สริดากับองุ่นออกไปทำบุญที่วัดตั้งแต่ตอนกลางวัน คนเป็นป้ายังคงรู้สึกผิด แม้หลานสาวบอกให้ลืมมันไปได้แล้วก็ตาม“กรวดน้ำไปเยอะ ๆ เลยนะลูก พวกเจ้ากรรมนายเวรมันจะได้ไม่มารังควานเราอีก”องุ่นบอกหลานสาว สริดาอดยิ้มขันไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ป้าขอน้ำมนตร์จากหลวงพ่อ เพื่อจะมาผสมน้ำอาบ ไล่เสนียดจัญไรออกจากชีวิต“นายคนนั้นมันติดต่อเรามาอีกไหมส้มหวาน”หลังจากไม่ได้เอ่ยชื่อศรัณมานาน องุ่นก็เลียบเคียงถามจนได้ สริดาอยากปิดเรื่องที่เขาแวะมาที่บ้านหลายวันก่อนแต่ก็ตัดสินใจบอกความจริงไป“เวรกรรม ยังกล้ามาอีกหรือนี่ มันมาเซ้าซี้ตอแยอะไรอีกได้ แล้วได้แจ้งตำรวจหรือเปล่าลูก”“เขายังไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะป้าหงุ่น ไม่ต้องห่วงนะคะ”สริดารีบบอก“ป้าหงุ่นอย่าเพิ่งบอกน้องนะคะ แค่เลี้ยงทิวลิป มะนาวก็น่าจะวุ่นพออยู่แล้ว”“อืม ป้าไม่บอกหรอก แต่ส้มก็อย่าประมาทนะลูก บอกคนงานให้เฝ้าบ้านกันดี ๆ แล้วถ้ามันกลับมาอีกก็โทรแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกไปเลย”“ค่ะป้าหงุ่น”สริดารับคำเพื่อให้ผู้อาวุโสสบายใจ เอาไว้ถ้าศรัณยังไม่ยอมเลิกราจริง ๆ ตอนนั้นเธอค่อยใช้ไม้แข็งกับเขาอย่างที่ป้าบอกก็แล้วกัน**“เมื่อไรจะหายเห่อลูกสักที ใจคอ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่วิศวินต้องกลับออสเตรเลีย จากสนามบินเชียงใหม่ชายหนุ่มต้องไปต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ เขาไม่ได้ให้ใครมาส่งนอกจากลูกพี่ลูกน้อง“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไร”ธีทัตถาม วิศวินหัวเราะ“ฉันยังอยู่ไม่จุใจนายอีกเหรอ นี่ก็อยู่จนแม่นึกว่าฉันจะกลับมาอยู่เชียงใหม่แล้วนะ”“ก็ถาม ๆ ดู เผื่อว่าหนนี้มีอะไรจูงใจให้นายกลับมา”ธีทัตเอ่ยทีเล่นทีจริง“ตกลงแกกับส้มหวานนี่มันยังไงวะ”“ก็ไม่ไงนี่”วิศวินทำเป็นง่วนกับการตรวจเช็คความเรียบร้อยของกระเป๋าและตั๋วโดยสาร“ส้มหวานก็น่ารักดี คุยด้วยแล้วสบายใจ... น่าเห็นใจเขาที่เจอผู้ชายที่ไม่ดี”“ก็เพราะผู้ชายดี ๆ มันไม่กล้าจีบน่ะสิ ไอ้พวกไม่ดีเลยเอาไปกินเสียหมด”“มันก็ต้องมีคนดี ๆ หลงเหลือบ้างล่ะน่า... คนที่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับเขาได้ ดูแลเขาได้...”วิศวินเอ่ยเบา ๆ เหมือนตั้งใจจะพูดกับตัวเองถ้าเป็นเมื่อก่อนธีทัตอาจจะยุให้ลูกพี่ลูกน้องเดินหน้าสานสัมพันธ์กับสริดาให้รู้แล้วรู้รอดและเขาจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้ด้วยอีกแรง แต่หลังจากผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาทั้งร้ายและดี ชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนจึงคิดว่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติโดยตัวเขาเองไม่ต้องเข้าไปยุ่งจะดีกว่า
ระหว่างรอธีทัตซื้ออาหารอีสานมาสมทบ สริดาเข้าครัวเพื่อทำอาหารเพิ่มอีกสองสามเมนูเพราะป้าองุ่นก็จะมาร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน“มะนาวไปนั่งดูทีวีรอพี่ข้างนอกไป จะมานั่งทำไมในครัว”เธอบอกน้องสาว มนิษาบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมหยิบข้าวต้มมัดที่นึ่งสุกแล้วใส่จานเดินออกจากครัว ปล่อยให้พี่สาวกับนิดหน่อยช่วยกันล้างผักหั่นผักกันไป นาทีต่อมาวิศวินก็เดินพับแขนเสื้อเข้ามา“พี่วิน จะรับอะไรหรือคะ”“เปล่าครับ พี่จะมาช่วยเป็นลูกมือน่ะ”“ขอบคุณนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ส้มกับนิดหน่อยทำสองคนก็ไหว พี่วินไปนั่งคุยกับมะนาวเถอะค่ะ”“มะนาวก็ไล่พี่มาช่วยส้มเหมือนกัน” วิศวินอ้างส่งเดช “ให้พี่ช่วยเถอะครับ พี่ทำครัวเป็นนะ”“จริงหรือคะ”เป็นนิดหน่อยที่ถาม ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันพลางเดินไปหยิบมีดทำครัวขึ้นมาหนึ่งเล่ม“ให้พี่หั่นผักให้ดูไหมล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าโม้”สริดาเกรงใจแต่ก็ยอมหลีกทางให้ และฝีมือหั่นผักด้วยความเร็วและเนี้ยบระดับพ่อครัวมืออาชีพก็ทำให้สองสาวอ้าปากค้าง“โอ้โห...อย่างกับที่เขาแข่งทำอาหารในโทรทัศน์แน่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยร้องอย่างตื่นเต้น วิศวินหัวเราะเบา ๆ“ตอนพี่จบไฮสกูล...หมายถึงม.ปลายน่ะ พี่ไปเรียนเป็นเชฟอยู่เกือบสามปีเ
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากศรัณกลับไปกับครอบครัวของเขาในวันนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะเขาเองก็ไม่กล้าโผล่กลับมาให้เห็นหน้าอีก ทำเพียงส่งข้อความมาขอโทษสริดาและบอกว่าจะกลับมาอธิบายทุกอย่างทีหลัง“ส้มหวานเป็นไงบ้างวะไอ้ธี”วิศวินถามธีทัตหลังผ่านงานหมั้นไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่ได้เจอสริดาเลย ครั้นจะไปหาเธอที่บ้านหรือส่งข้อความไปก็ไม่แน่ใจว่าจะยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า“เห็นมะนาวบอกว่าก็ยังสบายดีนะ อาจมีโกรธบ้างแต่รวม ๆ ก็เหมือนทำใจได้”“แปลก แล้วจะเอายังไงต่อกับผู้ชายคนนั้น ครอบครัวเขา เมียเขา จะมาเอาเรื่องอะไรอีกไหม”วิศวินยังถามต่อด้วยความเป็นห่วง ธีทัตส่ายหน้า“เท่าที่รู้ ทางนั้นไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีก คงไม่อยากยุ่งกับเราเหมือนกัน มีแต่เมียฉันนี่ล่ะที่ร่ำ ๆ จะไปเอาเรื่องนายศรัณให้ได้ นี่ฉันขอไว้ว่าอย่าเพิ่งต่อความยาวสาวความยืด ไม่อย่างนั้นป่านนี้มะนาวตัวดีบุกศาลากลางแล้ว แม่เจ้าประคุณกะจะไปบู๊ทั้ง ๆ ที่ท้องโย้อยู่นั่นแหละ”ธีทัตหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่ก็พอเข้าใจว่าถ้าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงจะขำไม่ออก นึกแล้วก็โชคดีจริง ๆ ที่น้อง
“ส้มครับ...ไม่ว่าใครจะพูดอะไร พี่อยากให้ส้มเชื่อใจพี่นะครับ”“ส้มไม่เข้าใจค่ะ”“พี่รักส้มนะ รักจริง ๆ แล้วพี่จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”“อธิบายเรื่องอะไรคะ พี่โซ่พูดให้ชัด ๆ ได้ไหม ส้มงงไปหมดแล้ว”แต่ศรัณไม่มีเวลาอธิบายเพราะหฤทัยจูงมือพี่สะใภ้ก้าวอาด ๆ มาหา ชายหนุ่มหน้าซีดเป็นกระดาษ อุรัศยามองสามีที่สวมใส่ชุดไทยประยุกต์หล่อเหลาจัดเต็มแถมยังยืนเคียงข้างหญิงสาวอีกคนแต่งตัวโทนเดียวกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าสถานะของสองคนนี้คืออะไร...สริดาผงะไปเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวที่เธอยังไม่รู้จักจู่ ๆ ก็สะอื้นเสียงดัง น้ำตาร่วงพรู มารดาของศรัณโอบกอดหญิงสาวคนนั้นไว้ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่ดูอ่อนวัยที่สุด กำลังจ้องเธออย่างรังเกียจ“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”“ที่ถามนี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอ...”“ซ่า เดี๋ยวพี่พูดเอง”ศรัณพยายามปรามน้องสาว แต่ถึงตอนนี้แม้แต่ช้างก็ฉุดหฤทัยไม่อยู่แล้ว“จะพูดอะไร จะบอกเมียน้อยพี่หรือไงว่าที่กำลังร้องไห้อยู่นี่คือเมียตัวจริง เมียหลวง!”มีเสียงอุทานและฮือฮารอบข้างดังขึ้นเบา ๆ สีเลือดเผือดหายไปจากใบหน้าของสริดาทันที“ส้ม ฟังพี่ก่อนนะครับ...”เป็นอีกครั้งที่ศรัณยังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เพราะมนิษาท