“เมื่อไรมึงจะยอมไปนอนบ้านกูสักที มากี่หนก็จะนอนแต่โรงแรม” ทยากรเอ่ยกับธีทัตที่เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ เขาขับรถมารับเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนที่สนามบิน ชวนแวะกินข้าวร้านประจำก่อนจะไปส่งโรงแรม
“กูชอบอาหารเช้าโรงแรม มึงทำไม่อร่อยไงไอ้ทอยกูเลยไม่อยากไปนอนด้วย”
ธีทัตแกล้งตอบ ทยากรหัวเราะหึ ๆ รู้ว่าเพื่อนเกรงใจเพราะตอนนี้แฟนสาวของเขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ถ้าทยากรอยู่คนเดียวตามประสาหนุ่มโสดแบบเมื่อก่อน ธีทัตก็คงจะไม่ปฏิเสธ
ทยากรคือหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนของ ‘ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์’ เมื่อสถาปนิกหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีที่เชียงใหม่ เขาลงขันเปิดบริษัทกับธีทัตและเพื่อนรักอีกหนึ่งคนที่เรียนสถาปัตย์เหมือนกัน โดยมีธีทัตเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดคือถือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทยากรกับเพื่อนอีกคนคนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ แบ่งหน้าที่กันไปตามความถนัด
แม้สำนักงานหลักจะอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ตัวทยากรเองก็มารับงานที่กรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา วันนี้ที่ธีทัตเดินทางมาก็เพื่อจะมาช่วยประเมินโครงสร้างอาคารของโปรเจกต์ใหม่ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญารีโนเวต
“บ้านเก่าแถวคลองสานเหรอวะ กูนึกว่าแถวนั้นจะโดนนายทุนซื้อไปทำคอนโดหมดแล้ว”
ธีทัตถามเมื่อเปิดดูรูปในแท็บเล็ตที่เพื่อนส่งให้ดูตอนอยู่บนรถ
“หลังนี้ยังรอดเพราะอยู่ใกล้ศาลเจ้า ก็คงมีเศรษฐีติดต่อขอซื้ออยู่เรื่อยนั่นแหละ แต่เจ้าของเก่าใจแข็งไม่ยอมขาย นี่เพิ่งเสียไป คนที่ได้มรดกเป็นหลาน มีลูกค้าเก่าให้คอนแทกต์เราไป เขาก็เลยติดต่อเรามา”
“อย่างกับนิยาย” ธีทัตเปรย
“ถ้ามึงได้เห็นของจริง จะยิ่งกว่านิยายอีก”
ทยากรบอกอย่างกระตือรือร้น แค่ครั้งแรกที่ลูกค้าส่งรูปถ่ายบ้านมาให้ดู เขาบอกตัวเองในใจว่าจะรับงานรีโนเวตบ้านเก่าริมน้ำเจ้าพระยาหลังนี้ทันทีแบบไม่เสียเวลาคิด ธีทัตก็มีอาการคล้าย ๆ กัน เพราะแม้จะเห็นเพียงแค่รูปถ่าย แต่อาคารสองชั้นกึ่งไม้กึ่งปูนในรูปนี้ก็มีร่องรอยสถาปัตยกรรมโบราณที่ชวนให้เขาตื่นเต้นและรู้สึกท้าทายที่จะได้ทำงาน
“เจ้าของเขาเสียดายลวดลายเก่า ๆ อยากให้เราประเมินว่าโครงสร้างเดิมยังพอไหวไหม ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็อาจจะต้องทุบทิ้ง กูนัดเขาพรุ่งนี้”
สถาปนิกหนุ่มบอกระหว่างที่ขับรถพาเพื่อนไปที่โรงแรม
“แล้ววิกกี้เป็นไงบ้าง”
ธีทัตปิดแท็บเล็ตก่อนจะถามถึงแฟนเพื่อนที่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่ง
“ก็สบายดี เพิ่งกลับจากบิน”
“เมื่อไรแต่ง”
“รอมึงแต่งก่อนไง”
“เดี๋ยวเหอะไอ้ทอย ไม่รีบแต่งแฟนมึงเขาน้อยใจ รอไม่ได้ เขาจะไปแต่งกับคนอื่นเสียก่อน”
ธีทัตสนิทกับเพื่อนมากพอจะกล้าหยอก ทยากรหัวเราะเบา ๆ
“ไม่หรอก...วิกกี้เขาเข้าใจ”
สถาปนิกหนุ่มตอบด้วยความเชื่อมั่น ตอนนี้ทั้งเขาและวรปรียายังคงทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาให้กัน แต่นั่นก็เพื่ออนาคตของทั้งคู่ ชายหนุ่มคิดไว้ในใจแล้วว่าถ้าเสร็จจากงานรีโนเวตบ้านเก่าที่คลองสานหลังนี้ เขาจะขอวรปรียาแต่งงานสักที และเมื่อถึงวันนั้นเขาก็คงจะเป็นผู้ชายที่โชคดีและมีความสุขที่สุดในโลก
**บ้านสองชั้นขนาดห้าห้องนอนในโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่มองเห็นวิวดอยสุเทพ คือบ้านที่ฟ้าลดาอยู่มาตั้งแต่เด็ก ๆ อีกหลังที่ติดกันคือบ้านของอาแท้ ๆ อย่างนุชจรี บิดาของฟ้าลดาเป็นคนเสนอให้พี่น้องซื้อบ้านติดกันเพื่อจะได้ช่วยกันดูแลบุพการี นุชจรีเห็นด้วยและทำให้สองบ้านแทบจะกลายเป็นบ้านหลังเดียวกันแค่มีบ่อปลาคาร์ฟคั่นตรงกลาง ย่าของฟ้าลดาชอบออกมานั่งดูปลาในบ่อ ตั้งแต่หลานสาวคนเดียวกลับมาจากอังกฤษเธอก็จะมานั่งเป็นเพื่อนคุณย่าของเธอด้วยเสมอ
แต่วันนี้หลานสาวบอกว่าตัวเองไม่ค่อยสบาย ย่าน้อยเลยนั่งดูโทรทัศน์กับนุชจรีในห้องนั่งเล่นแทน
เฟื่องฟ้าต้มข้าวต้มแล้วยกขึ้นไปให้ลูกสาวที่อยู่ชั้นสอง เคาะประตูห้องนอนอยู่หลายทีก็ไม่มีเสียงตอบรับ จึงเปิดประตูเข้าไป จังหวะเดียวกับที่ฟ้าลดาเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ ดวงหน้าสวยหวานซีดเซียวจนคนเป็นแม่ตกใจ
"ฟ้า เวียนหัวอีกแล้วเหรอลูก"
เฟื่องฟ้าเอ่ยอย่างกังวล รีบวางถาดข้าวต้มที่โต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด
"นิดหน่อยค่ะแม่"
คนเป็นลูกตอบเสียงแผ่ว พาตัวเองไปที่เตียงกว้างหนานุ่มแล้วทิ้งตัวอย่างหมดแรง เฟื่องฟ้ารีบเข้าไปหาลูกสาว จับเนื้อจับตัวด้วยความเป็นห่วง
“ไหวไหม ลุกมากินอะไรสักหน่อยดีไหม แม่ต้มข้าวต้มกุ้งมาให้ ใส่ขิงเยอะ ๆ อย่างที่ฟ้าชอบด้วย”
“ถึงว่าหอมจัง”
ฟ้าลดาบอกทั้งที่ยังนอนหลับตา
“หอมใช่ไหม อย่างนั้นลุกมากินสักหน่อยดีไหมลูก”
“ฟ้ายังกินอะไรไม่ค่อยลงเลยค่ะแม่...”
"เพราะเพิ่งอาเจียนออกไปใช่ไหม แม่ว่าลูกต้องยอมไปหาหมอได้แล้วนะ ไปกับแม่วันนี้เลย"
""ฟ้าไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ แค่โรคกระเพาะจริง ๆ เป็นมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่โน่นแล้ว"
"ยิ่งเป็นมานานแล้วก็ยิ่งต้องไปหาหมอนะลูก นี่แม่ไม่เห็นเราจะมีหยูกยาอะไรติดตัวเลย..."
คนเป็นแม่ถอนหายใจก่อนตัดสินใจถาม
"บอกแม่มาเถอะฟ้า นี่ลูกท้องใช่ไหม"
"แม่! เปล่าสักหน่อย"
"ที่บอกว่าเปล่าเพราะยังไม่ได้ตรวจ หรือตรวจแล้วแต่ยังคิดจะโกหกแม่"
ฟ้าลดาลืมตาขึ้น ฝืนลุกขึ้นนั่งเพื่อมาคุยกับแม่ให้เป็นเรื่องเป็นราว
“ทำไมแม่คิดว่าฟ้าท้องล่ะคะ”
“ก็อาการมันฟ้อง แม่ว่าพ่อกับอานุชก็คงดูออกเหมือนกันแต่เลือกที่จะไม่ถาม ทุกคนแค่รอให้ฟ้าพร้อมที่จะพูด”
สีหน้าฟ้าลดาสลดลงอีกด้วยความละอาย เฟื่องฟ้าจับมือลูกสาวมาบีบไว้
“ไม่มีใครตำหนิอะไรลูกเลยนะ ทุกคนแค่เป็นห่วง ตกลงว่าอย่างไร ได้ตรวจบ้างหรือยัง”
"ยังไม่ได้ตรวจเลยค่ะ”
“แล้วรออะไรอยู่ กลัวใช่ไหม เดี๋ยวแม่จะไปเป็นเพื่อน”
คนเป็นลูกสาวเงียบอีก เฟื่องฟ้าถอนหายใจ
"เดวิดรู้หรือเปล่า”
"ยังไม่รู้ค่ะ หนูโกรธเขา ไม่อยากจะบอก"
"ถ้าเขาเป็นพ่อแล้วหนูจะไม่บอกได้ยังไง ตกลงมีปัญหาอะไรกัน หรือว่า...เลิกกันแล้ว"
ฟ้าลดาส่ายหน้า วินาทีต่อมาน้ำตาก็ไหลเป็นทำนบแตก
เฟื่องฟ้าเองก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออกไปเหมือนกัน ได้แต่กางแขนโอบลูกสาวเอาไว้ ปล่อยให้คนเป็นลูกได้ร้องไห้ระบายออกมาจนกว่าจะพอใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนเป็นแม่ก็พร้อมจะอยู่ข้าง ๆ คอยกางปีกปกป้องผองภัยให้กับลูกเสมอ ไม่ว่าลูกคนนั้นจะเก่งกล้ามาจากไหนหรือจะอายุเท่าไรแล้วก็ตาม
ภูมิวัตน์ส่งต่อบ้านให้เพื่อนอย่างเรียบร้อยก่อนตัวเองจะย้ายไปอเมริกา ธีทัตจึงได้เวลาขนของย้ายเข้าไปอยู่อย่างเป็นทางการ และเริ่มตกแต่งทั้งข้างนอกและข้างในให้เข้ากับรสนิยมตัวเองธิดาแม้ไม่อยากให้ลูกชายแยกบ้านแต่ก็ต้องยอมรับว่าบ้านและที่ดินหลังนี้สวยงามคุ้มค่าน่าอยู่"ภูมิเพื่อนลูกเขาดูแลบ้านดีมากเลยนะ ไม่มีเสียหายตรงไหนเลย แล้วลูกจะขึ้นบ้านใหม่เมื่อไรล่ะธี”คนเป็นแม่ถามระหว่างเดินสำรวจบ้าน"ใหม่ที่ไหนแม่ ซื้อต่อจากไอ้ภูมิก็ไม่ใหม่แล้วสิ""ก็ใหม่ของเรา จะเก่าของใครก็ช่างสิ”ธิดาพูดพลางเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ฝ้าเพดานในห้องรับแขกที่สูงไปถึงชั้นสองทำให้ตัวบ้านดูโปร่งโล่ง"ถึงธีจะไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน แต่ยังไงมันก็เป็นบ้านของเราแล้ว ทำบุญเลี้ยงพระสักทีก็น่าจะดีนะลูก ถ้าไม่อยากจัดอะไรให้ยุ่งยาก แค่นิมนต์พระมาสัก ๙ รูป ๑๒ รูปก็ได้""ทำอย่างที่แม่เขาบอก พ่อว่าก็ดีนะ"คงเดชออกความเห็นบ้าง"ก็ได้ครับ ผมยังไงก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ผมเช็คตารางงานก่อน แล้วได้วันไหนจะบอกแม่อีกที"ธิดาคิดว่าอาจต้องรออีกหลายวั
“อ้าว...นั่นคุณธีมานี่คะ”ดอกรักที่กำลังจัดเรียงถุงต้นกล้าให้เข้าที่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าใครที่อยู่หน้าร้าน มีแค่สองคนที่ยังเรียกธีทัตว่าคุณ ก็คือพี่ดอกรักกับน้าน้อย เพราะทั้งคู่มีอายุมากกว่าธีทัตหลายปี ส่วนมนิษานั้นไม่นับ หญิงสาวนึกอยากจะใช้สรรพนามเรียกขานชายหนุ่มว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้นและตอนนี้มนิษาก็ใจหายวาบเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน ก่อนจะค่อย ๆ หันไปหาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงข้ามกับใบหน้าคมคุ้นตามที่เดินยิ้มแฉ่งตรงมาหาพร้อมถุงของฝากเต็มสองมือ“สวัสดีครับพี่ดอกรัก”“สวัสดีค่ะคุณธี หายไปไหนตั้งนานคะ ไม่เห็นหน้าเลย”“เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ ครับ...ไปทำงานมา”ประโยคหลังเขาตั้งใจเอ่ยกับเจ้าของร้านต้นไม้“อ้าว... น้องมะนาวก็อยู่ด้วยหรือนี่ พี่ไม่ทันเห็น สวัสดีจ้ะ”มนิษาแยกเขี้ยวใส่ รู้ว่าเขาแกล้ง“ผมซื้อของมาฝากครับพี่ดอกรัก” ดอกรักรีบถอดถุงมือออกก่อนเอื้อมมือไปรับถุงของฝากจากชายหนุ่ม ธีทัตซื้อมาฝากครบทุกคนเหมือนเช่นเคย แต่ถุงสุ
เสียงฝีเท้าหลายคู่พร้อมกับเสียงพูดคุยครึกครื้นที่หน้าร้าน ทำให้มนิษาที่กำลังทอนเงินให้ลูกค้า หันขวับไปหาทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ในบรรดาลูกค้ากลุ่มใหญ่นั้น กลับไม่มีใบหน้าที่เธอคุ้นเคยและเผลอคาดหวังว่าจะได้เห็น... พี่ดอกรักกับน้าน้อย รีบเข้าไปบริการลูกค้ากลุ่มใหม่ดังกล่าว คนงานทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของร้านต้นไม้แห่งนี้มาตั้งแต่มนิษายังเป็นเพียงเด็กมัธยมฯ เธอไว้ใจพวกเขาได้เท่ากับที่ไว้ใจครอบครัวของตัวเอง หญิงสาวจึงไม่เข้าไปวุ่นวายและเลิกจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านเงียบ ๆ ด้วยอาการเงื่องหงอย"วันนี้ทำอะไรน่ะพี่ส้ม" มะนาวถามเนือย ๆ เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในครัวและเดินตรงไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำมารินใส่แก้วให้ตัวเอง "ขนมกรวยจ้ะ" "ทำคนเดียวเหรอ ไม่ให้นิดหน่อยมาช่วยล่ะ" "ทำคนเดียวได้ ทำง่ายแล้ววันนี้พี่ก็ทำไม่เยอะจ้ะ" คนเป็นพี่สาวตอบ กำลังหยอดแป้งลงในกรวยใบตองที่ม้วนเตรียมไว้แล้ว ตัวแป้งเนื้อขนมทำไม่ยาก ใช้แป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งถั่วเขียวอีกนิดหน่อย เติมกะทิ น้ำตาลปี๊บ เหยาะเกลือเล็กน้อยอย่าเผลอหลุดมือใส่ลงไปเยอะ แล้วก็กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
“เมื่อไรมึงจะยอมไปนอนบ้านกูสักที มากี่หนก็จะนอนแต่โรงแรม” ทยากรเอ่ยกับธีทัตที่เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ เขาขับรถมารับเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนที่สนามบิน ชวนแวะกินข้าวร้านประจำก่อนจะไปส่งโรงแรม“กูชอบอาหารเช้าโรงแรม มึงทำไม่อร่อยไงไอ้ทอยกูเลยไม่อยากไปนอนด้วย”ธีทัตแกล้งตอบ ทยากรหัวเราะหึ ๆ รู้ว่าเพื่อนเกรงใจเพราะตอนนี้แฟนสาวของเขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ถ้าทยากรอยู่คนเดียวตามประสาหนุ่มโสดแบบเมื่อก่อน ธีทัตก็คงจะไม่ปฏิเสธทยากรคือหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนของ ‘ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์’ เมื่อสถาปนิกหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีที่เชียงใหม่ เขาลงขันเปิดบริษัทกับธีทัตและเพื่อนรักอีกหนึ่งคนที่เรียนสถาปัตย์เหมือนกัน โดยมีธีทัตเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดคือถือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทยากรกับเพื่อนอีกคนคนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ แบ่งหน้าที่กันไปตามความถนัดแม้สำนักงานหลักจะอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ตัวทยากรเองก็มารับงานที่กรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา วันนี้ที่ธีทัตเดินทางมาก็เพื่อจะมาช่วยประเมินโครงสร้างอาคารของโปรเจกต์ใหม่ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญารีโนเวต
วันนี้ป้าองุ่นขับโฟล์กสวาเก้นรุ่นปี ๑๙๖๗ หรือ 'รถเต่า' สีน้ำเงินของตัวเองมากินข้าวเที่ยงกับหลานสาวอีกเช่นเคย นอกจากจิ๊นหมูนึ่ง[1] ผักนึ่ง ตำบะหนุน[2] น้ำพริกข่า[3] กับข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว) สริดาก็ยังเตรียมมะยงชิดลอยแก้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยเพราะรู้ว่าป้าจะต้องไปเที่ยวหาป้าธิดาเพื่อนสนิท หญิงสาวจึงทำเผื่อไปฝากบ้านนั้นอีกกล่องใหญ่ ๆ“เมื่อวานพี่ธีซื้อมาฝากเยอะแยะเลยค่ะ ส้มเลยแบ่งทำมะยงชิดโซดาให้คนงานกินแก้เหนื่อย แล้วก็แบ่งทำลอยแก้วให้ป้าหงุ่นกับป้าธิดาด้วย”“ขอบใจนะส้ม นี่ป้าไม่ได้กินมานานแล้วนะนี่”“มะยงชิดลอยแก้วทำง่ายค่ะป้าหงุ่น ถ้าวันไหนป้าอยากกินอีกบอกส้มก็ได้นะคะ แค่ปอกเปลือกคว้านเมล็ด แล้วก็ทำน้ำเชื่อม ตอนจะกินก็แค่ตักน้ำเชื่อมราด เติมน้ำแข็งอีกหน่อย เหมาะกับอากาศบ้านเราตอนนี้สุด ๆ”คนเป็นหลานบอกพลางตักให้ป้าชิมหนึ่งถ้วยใหญ่ ๆ“มะนาวไม่กินเหรอ”สริดาถามน้องสาวอย่างแปลกใจเพราะปกติมนิษาจะต้องถามหาของหวานด้วยเสมอ แต่วันนี้เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิก ตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมกินของฝากของธีทัตให้ป้าองุ่นเห็นเด็ดขาด“พ่อธีนี่ก็น่ารักจริง ๆ เลยน
ในห้องครัว สริดากำลังตั้งหม้อนึ่งถั่วเขียวซีกเพื่อเตรียมจะทำขนมถั่วแปบ ตอนที่มนิษากับนิดหน่อยช่วยกันยกกล่องลังผลไม้เข้ามาหลายกล่อง“พี่ธีเอามะยงชิดมาฝากค่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยรีบบอกโดยไม่ต้องรอให้ถามตอนแรกคนงานทุกคนไม่กล้าเรียกธีทัตว่าพี่ และยืนยันจะเรียก “คุณธี” เหมือนที่เรียกลูกค้าคนอื่น ๆ แต่เมื่อชายหนุ่มมาเป็นแขกบ้านนี้บ่อยครั้งเข้า และทุกครั้งที่มาเขาก็ขอร้องให้ทุกคนเลิกใช้คำเรียกขานที่ห่างเหิน คนงานทุกคนจึงค่อย ๆ เรียกเขาว่าพี่ธีหรือธีเฉย ๆ ได้อย่างสนิทปากสนิทใจ (แต่แน่ล่ะว่าสร้างความหมั่นไส้ให้ มนิษาอย่างที่สุด)“พี่ธีเอามาฝาก? ทั้งหมดนี่เลยหรือ”สริดาเปิดกล่องแล้วหยิบพวงมะยงชิดมาชื่นชมอย่างแปลกใจ แต่ละลูกผลใหญ่ ผิวสีส้มเนียนสวยน่ารับประทาน“ใช่แล้วจ้ะ ตอนแรกหนูนึกว่ามะปราง แต่พี่ธีบอกว่าเป็นมะยงชิด มันต่างกันยังไงอะพี่ส้ม”นิดหน่อยถามซื่อ ๆ ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักผลไม้ในประเทศตัวเองได้หมดนี่นา“ที่จริงมันก็คือมะปรางเหมือนกันนั่นล่ะจ้ะ มะปรางจะผลเล็กกว่ามะยงชิดแต่เม็ดในใหญ่กว่า เปลือกจะออกนวล ๆ แล้วก็หวานจัดกว่าด้วย แต่
เมื่อถึงห้องน้ำ ฟ้าลดาโก่งคออาเจียนอาหารออกมาจนหมดท้อง เธอรู้สึกคลื่นไส้มาเป็นเดือนแล้ว กินได้แต่น้ำผักผลไม้ แม่ก็สังเกตเห็นแต่หญิงสาวก็อ้างเพียงว่ากินแต่อาหารจืด ๆ มานานจนท้องไส้ไม่ค่อยยอมรับอาหารรสจัดแบบไทย ๆล้างปากล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็พาร่างบอบบางจนแทบปลิวลมกับใบหน้าซีดเซียวเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่อยากกลับไปที่โต๊ะแต่เลือกเดินออกไปสูดอากาศด้านนอกที่ระเบียงติดแม่น้ำเมื่อผลักประตูกระจกออกมา สายลมของเดือนมีนาคมก็สัมผัสใบหน้า แม้จะเป็นสายลมอุ่นแต่ก็ทำให้หายใจได้โล่งขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวนักเรียนนอกจึงหันกลับจะเข้าไปในร้าน ลูกค้าจากด้านในกำลังผลักประตูกระจกออกมาพอดีเธอจึงหยุดรอ ร่างสูงชะงักกึกตอนที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาตาคมเข้มคู่นั้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน“ฟ้า!”“ธี!”***สามปีก่อน...“ไม่อยากให้ฟ้าไปเลย แค่คิดว่าต้องอยู่คนเดียวก็ใจจะขาดแล้ว”ธีทัตออดอ้อนร่างบางเปล่าเปลือยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สองร่างอิงซบกันอยู่บนเตียงกว้าง ห้วงยามหวามหวานเพิ่งผ่านพ
ธีทัตยอมรับว่าเงินซื้อบ้านหลังนี้ไม่ใช่เงินที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองทั้งหมด แต่เป็นเงินมรดกจากปู่ย่าตายายที่ส่งต่อมาให้กับพ่อกับแม่ในรูปแบบของที่ดิน ตลาด โรงงาน และกิจการอีกหลายอย่าง และดอกผลจากธุรกิจเหล่านั้นก็ส่งต่อมาถึงเขาอีกทีเมื่อตกลงกันได้ ภูมิวัตน์ก็ยิ้มโล่งใจ ธีทัตโอบไหล่เพื่อน“คืนนี้ไปหาอะไรดื่มกัน อีกหน่อยมึงไปอยู่นู่นก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเอง”“ไม่ได้ ๆ มึงจะซื้อบ้านกูทั้งที ให้กูเลี้ยงเอง”ภูมิวัฒน์รีบบอก ก่อนจะกดโทรศัพท์ชวนเพื่อนสนิทอีกสี่ห้าคนออกไปสังสรรค์กันในคืนนี้ **ธีทัตกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านอาหารที่ภูมิวัตน์จองไว้ เขาแวะบอกพ่อกับแม่ให้กินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอ และบอกด้วยว่าเขาตกลงจะซื้อบ้านใหม่ต่อจากเพื่อนแล้ว“ตกลงซื้อแน่ใช่ไหมลูก”คงเดชถามย้ำ เขาได้เห็นรูปบ้านที่ลูกชายส่งมาแล้ว“ครับพ่อ ราคานี้แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เข้าอยู่ได้เลย”“โอ๊ย... เงินทองน่ะมีก็เก็บ ๆ กันไว้บ้างเถอะ”ธิดาเอ่ยขัดพลางมองลูกชายตาเขียว
“จริงเหรอ หมู่นี้ธีไปหาส้มหวานแทบทุกสัปดาห์เลยเหรอ”องุ่นถามย้ำอย่างตื่นเต้นเมื่อ ‘สายลับ’ ของหล่อนที่ทำงานอยู่บ้านหลานสาว โทรศัพท์มาบอก“ใช่ค่ะป้าหงุ่น เดือนก่อนคุณธีพาเพื่อนมาเรียนทำขนมกับพี่ส้ม ตอนนี้เห็นว่าเพื่อนกลับเยอรมันไปแล้ว แต่คุณธีก็ยังแวะมาหาทุกอาทิตย์ มากินข้าวบ้าง มาซื้อต้นไม้บ้าง หนูว่าเป็นข้ออ้างทั้งนั้นล่ะค่ะ...”สายขององุ่นหัวเราะคิกคัก ก่อนพูดต่อไปว่า“คุณธีคงจะเดินหน้าจีบพี่ส้มหวานจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่ป้าหงุ่นหวังแล้วล่ะค่ะ”“ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน ป้าล่ะกลัวจะแก่ตายก่อนได้เห็นหลานเป็นฝั่งเป็นฝา”“อ้าว... ทำไมจู่ ๆ พูดแช่งตัวเองอย่างนั้นล่ะคะ”“เออ ๆ ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ”องุ่นว่า หล่อนเพิ่งเกษียณจากราชการในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ยังไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ คงยังเร็วไปที่จะพูดจาดราม่าแบบวัยไม้ใกล้ฝั่ง“ขอบใจนะนิดหน่อยที่โทรมารายงานความคืบหน้า มีอะไรก็โทรมาบอกอีกนะ”“ได้เลยค่ะป้าหง