ดินแดนสุญญตา
สถานที่ที่อยู่ระหว่างภพมารและภพสวรรค์ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าที่รกร้างว่างเปล่าจะมีมารที่มีพลังชั่วร้ายแอบซ่อนตัวอยู่นับพันปี
ขณะที่กงจื่อเย่กำลังต่อสู้กับหลิ่งปินเพื่อแย่งชิงเทพดารากลับมา กองทัพสวรรค์ของเทพสงครามและสวีต้าเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าร่วมการศึกสงครามในครั้งนี้
ในสายตาของเทพเซียนที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาต่างมองว่าศัตรูที่เป็นภัยต่อสามภพมากที่สุดคือกงจื่อเย่ อดีตจอมมารที่เพิ่งจะสูญสลายไปไม่นาน
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ร่างกายและพลังที่สมบูรณ์เกินกว่าที่ควรคงเป็นเพราะเขาเร่งกลืนกินพวกเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งยังไม่รู้ว่าสติยังคงอยู่ครบถ้วนหรือเลือนหายแล้วใช้สัญชาตญาณนำทางอยู่กันแน่
“ช้าก่อน” สวีต้าเฟิงออกคำสั่งห้ามทหารสวรรค์เคลื่อนไหวก่อนดูลาดเลาฉากการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า แล้วหารือกับเทพปฐพีว่า “โจมตีมารตนนั้นก่อน สวีลู่ชิงตกอยู่ในอันตราย หากนางปลอดภัย ข้าเชื่อว่ากงจื่อเย่จะสงบอารมณ์ลงได้”
“เหตุใดไม่สังหารไปพร้อมกันเลยเล่า” เทพปฐพีผู้มีนิสัยทะลวงทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่แยแสถามด้วยความสงสัย “เพราะเขาเป็นสามีน้องสาวเจ้า เจ้าจึงขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น” เทพวายุส่ายหน้า
“ท่านลุง ช่วยท่านแม่เร็วเข้า” อีนั่วเห็นสวีต้าเฟิงยังคงนิ่งงันถกเถียงกับเทพปฐพีจึงตะโกนเสียงดังข้ามมาจากอีกฝั่งหนึ่งพลันร่ายพลังมารที่บิดาเคยสอนไว้ถล่มหลิ่งปินช่วยเขาอีกแรง
“เฮ้อ” เทพวายุถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว เอาเป็นว่านางคือผู้เดียวที่จอมมารยอมสยบ เพราะฉะนั้นแล้วห้ามปล่อยให้นางเป็นอันใดไปเด็ดขาด”
เทพปฐพียิ้มมุมปากแล้วส่งสัญญาณให้กองทัพสวรรค์เคลื่อนพลโจมตีหลิ่งปินและบริวารที่เป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว
มารตนนั้นไม่ใช่พวกไม่มีความคิด เมื่อเห็นว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายจึงใช้สวีลู่ชิงเป็นโล่กำบัง บังคับให้นางร่ายอาคมคุ้มกันเขาจากกองทัพสวรรค์
แววตาของมันดุดันไม่แพ้ใคร แสยะยิ้มชั่วร้ายเหมือนทุกอย่างกำลังเข้าแผนที่วางไว้พลางคิดในใจว่า จะเป็นอย่างไรหนอหากได้กินเทพเซียนพวกนั้นจนพุงกาง วันนั้นข้าคงจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบเทียม
ฝันไปเถอะ กงจื่อเย่เจาะเข้าไปในความคิดของมันได้อย่างง่ายดายด้วยพลังของมารตนก่อนหน้าที่เขาสังหารพลางรวบรวมสิ่งที่เขามีทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวโจมตีหลิ่งปินไม่ยั้งมือจนร่างของมันกระเด็นลอยไปไกลแล้วโอบรับสวีลู่ชิงกลับมาในอ้อมแขนตนเอง
พลังมารในแก่นวิญญาณของเขาแทบเอ่อล้นเกินที่จะรับไหว เดิมทีต้องค่อย ๆ กลืนกิน ใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปีสำหรับพลังมหาศาลแต่เขากลับรับทุกสิ่งทุกอย่างมาทั้งหมดในไม่กี่ชั่วยาม
“เจ้า...” สวีลู่ชิงมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง พลังเทพบรรพกาลในแก่นวิญญาณของนางกำลังสั่นไหวบังคับให้นางสังหารเขา
กงจื่อเย่เองรู้สึกได้ว่าอันตรายที่เขากลัวที่สุดกำลังคืบคลานเข้ามาจึงพยายามควบคุมมันให้อยู่ในกำมือ
เทพดาราเอื้อมมือแตะกลางหน้าอกของเขาแล้วร่ายอาคมช่วยควบคุมความชั่วร้ายอีกแรง “อดทนอีกสักนิดได้หรือไม่” นางกล่าวกับคนตรงหน้า
“ท่านแม่” อีนั่วรีบวิ่งมาหาทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วง คอยเฝ้าระวังไม่ให้หลิ่งปินฉวยโอกาสลอบทำร้ายบิดามารดาในเวลานี้
เมื่อเทพปฐพีเห็นว่าจอมมารอยู่ในมือของเทพดาราแล้วจึงพุ่งความสนใจมาที่มารอีกตนอย่างเต็มที่ สั่งกองทัพกระหน่ำจัดการมันอย่างไม่ปรานี ท้ายที่สุดแล้วมารร้ายหนึ่งตนที่ถูกจอมมารถล่มใส่จนบาดเจ็บ ไม่เหลือแรงสู้ทหารสวรรค์หลายร้อยได้จึงพ่ายแพ้ไป
“เฮ้อ” สวีลู่ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีฟ้าจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา รู้สึกลึก ๆ ในใจว่าเป็นห่วงเขาแต่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ” จอมมารเอ่ยถามคนตรงหน้า
“...” นางไม่ตอบเพราะกำลังสับสนว่าความรู้สึกนั้นเป็นของนางหรือเป็นเพราะถูกจอมมารเจ้าเล่ห์ทำเสน่ห์ให้หลงใหล
กงจื่อเย่ยิ้มด้วยความสดใสเปลี่ยนจากมารชั่วร้ายที่พร้อมทำลายสามภพเป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังมองคนรักของตนอย่างลึกซึ้งพลางสวมกอดนางแนบแน่นไม่สนสายตาของผู้ใด
“ท่านลุง ไม่เป็นอันใดแล้วขอรับ” เขาเอ่ยปากบอกให้สวีต้าเฟิงแน่ใจ แม้เห็นกับตาว่าพลังชั่วร้ายสงบลงแล้วแต่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจอมมารคิดสิ่งใดอยู่
ทว่า กงจื่อเย่รู้ดีว่ายามที่พลังมารเปี่ยมล้นเช่นนี้ ทางเดียวที่จะรักษาแก่นวิญญาณของสวีลู่ชิงเอาไว้ได้และไม่ทำให้นางถูกพลังเทพบรรพกาลบังคับให้กำจัดเขา จอมมารจะต้องเสียสละสลายพลังทั้งหมด
เขาจึงคิดจัดการตัวเองอย่างที่เคยทำเมื่อไม่นานมานี้ คิดจะเป็นเพียงนกน้อยที่คอยอยู่เคียงข้างนาง แต่ก่อนจะไปขอจุมพิตนางสักหน่อยคงดี
ริมฝีปากของเขาสัมผัสคนตรงหน้าที่ไม่ทันได้ตั้งตัว รสจูบแผ่วเบาจนทำให้สวีลู่ชิงเคลิบเคลิ้มโดยไม่รู้ตัว
สวีต้าเฟิงและเทพปฐพี รวมถึงทหารสวรรค์กลายเป็นพยานในครั้งนี้ สนามรบเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสนามรักไปโดยปริยาย
“เจ้าคิดว่ายังน่าห่วงอีกหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าตราบใดที่นางปลอดภัย เจ้ามารนั่นไม่กล้าก่อเรื่องใดหรอก” สวีต้าเฟิงหันไปมองเทพปฐพีที่ยังคงกำอาวุธเทพในมือไว้แน่นเผื่อว่ามารเจ้าเล่ห์คิดลอบโจมตี
“ยังวางใจไม่ได้หรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่าที่แห่งนี้ยังมีมารน้อยอีกตน หลานเจ้าน่ะ ไม่อันตรายจริงหรือ” เขาเอ่ยถามบ้างแต่สวีต้าเฟิงยืนยันหนักแน่นว่าเขาควบคุมอีนั่วไม่ให้ก่อเรื่องได้
“ข้าถึงบอกอย่างไรเล่าว่าถ้านางยังอยู่ ทั้งจอมมาร มารน้อยจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว” เทพวายุยืนยันคำเดิมหลังจากสังเกตอีนั่วมานาน หลานชายของเขาดูเป็นเด็กน้อยธรรมดาเท่านั้น ไม่มีทีท่าจะใช้พลังมารโดยไม่จำเป็น
“เฮอะ” เทพปฐพีสบถเล็กน้อยก่อนถอนกำลังนำตัวหลิ่งปินไปกักขังเพียงชั่วพริบตา
ดินแดนแห่งนี้จึงมีเพียงแค่จอมมาร สวีลู่ชิงและมารน้อยอยู่กันสามคนตามลำพัง
“เจ้าจูบข้าทำไม” สวีลู่ชิงพยายามดันหน้าอกเขาออก
แววตาของจอมมารเศร้าสลดเล็กน้อย “จูบลาไม่ได้หรือ ข้าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกนานเลย”
“ครั้งที่แล้วเจ้าก็พูดเช่นนี้”
“ยอมให้ข้าหน่อยไม่ได้หรือ เยว่ชิง”
“สวีลู่ชิงต่างหาก” นางแย้งขึ้นมาทันใดเพราะจำชีวิตในชาติก่อนที่เป็นอู๋เยว่ชิงไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ภรรยาข้า ดูแลตัวเองให้ดีนะ ข้าหวังว่าแก่นวิญญาณของเจ้าจะปลอดภัย” น้ำเสียงของเขาจริงใจยิ่งกว่าครั้งใด เทพดาราไม่นึกเลยว่าจอมมารชั่วร้ายเปลี่ยนแปลงตนเองไปได้มากเพียงนี้
“อีนั่ว ข้าฝากเจ้าดูแลนาง” เขาเอื้อมมือลูบศีรษะมารน้อยอย่างอ่อนโยน “ต่อจากนี้ไปจะไม่มีมารปีศาจตนไหนกล้าทำร้ายเจ้ากับนางได้อีกแล้ว”
“ขอรับ” มารน้อยรับปากแล้วกอดสวีลู่ชิงแทนกงจื่อเย่ สายตาอาลัยอาวรณ์เล็กน้อยแม้จะยังโกรธบิดาอยู่บ้าง
“คิดถึงข้าบ้างนะ” กงจื่อเย่เอ่ยราวกับขอร้องให้จดจำเขาไว้ในใจ รอยยิ้มสุดท้ายแสนอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าจอมมารที่เคยร้ายกาจในวันวานก่อนที่ร่างกายของเขาจะสลายหายไปต่อหน้าต่อตาทั้งคู่
สุดท้ายแล้ว สามภพคงจะสงบสุขไปอีกนานแสนนานเพราะกงจื่อเย่กำจัดมารปีศาจที่คิดเป็นภัยในวันข้างหน้าจนเหี้ยนเหลือแต่เพียงไข่มังกรที่มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แต่เพราะมันช่วยเหลือเขาให้ได้พบที่ซ่อนจึงได้รับการยกเว้นให้รอดชีวิตอยู่ใต้พิภพดังเดิม
เสียงเศร้าสร้อยพัดผ่านตามสายลมอ้อนวอนคนรักของตนเอง
“อย่าลืมข้าเลยนะ”
“ข้ารักเจ้า”
“ภรรยาของข้า”
“ลู่ชิง”
แม้นางจะไม่เชื่อคำพูดของเขาแต่อดไม่ได้ที่จะสัมผัสถึงความรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจของจอมมาร
หลังเหตุการณ์ลักพาตัวสิ้นสุดลงเรื่องราวของอีนั่วถูกรายงานให้เทียนจวินได้รับรู้ เหล่าเทพเซียนอาวุโสต่างถกเถียงกันหลายชั่วยามด้วยความเคร่งเครียด หาวิธีควบคุมมารน้อยเพราะเกรงว่าเขาจะก่อความวุ่นวายเหมือนที่บิดาเคยทำสวีต้าเฟิงยังคงปกป้องน้องสาวและหลานชายเหมือนอย่างเคย “ข้ารับรองได้ว่าเขาไม่เป็นภัยต่อผู้ใดขอรับ”“ข้ายืนยันว่าอีนั่วเป็นเพียงมารน้อยธรรมดา หาใช่มารร้ายอย่างที่พวกท่านคิด เขาเป็นเพียงบุตรชายของข้า” สวีลู่ชิงเผชิญหน้ากับเทพอาวุโสเวลานี้ความเห็นถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายแต่ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่ลงความเห็นว่าอีนั่วไม่ควรเพ่นพ่านอยู่ในแดนสวรรค์ อีกทั้งยังต้องมีกองกำลังคอยจับตามองไม่ให้เขาฉวยโอกาสทีเผลอทำร้ายผู้ใดจนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าให
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ภพสวรรค์เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อนสวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่างครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุจอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบ
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
สำนักเซียนดาราสวรรค์“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักคล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า &ld
หลังเหตุการณ์ลักพาตัวสิ้นสุดลงเรื่องราวของอีนั่วถูกรายงานให้เทียนจวินได้รับรู้ เหล่าเทพเซียนอาวุโสต่างถกเถียงกันหลายชั่วยามด้วยความเคร่งเครียด หาวิธีควบคุมมารน้อยเพราะเกรงว่าเขาจะก่อความวุ่นวายเหมือนที่บิดาเคยทำสวีต้าเฟิงยังคงปกป้องน้องสาวและหลานชายเหมือนอย่างเคย “ข้ารับรองได้ว่าเขาไม่เป็นภัยต่อผู้ใดขอรับ”“ข้ายืนยันว่าอีนั่วเป็นเพียงมารน้อยธรรมดา หาใช่มารร้ายอย่างที่พวกท่านคิด เขาเป็นเพียงบุตรชายของข้า” สวีลู่ชิงเผชิญหน้ากับเทพอาวุโสเวลานี้ความเห็นถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายแต่ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่ลงความเห็นว่าอีนั่วไม่ควรเพ่นพ่านอยู่ในแดนสวรรค์ อีกทั้งยังต้องมีกองกำลังคอยจับตามองไม่ให้เขาฉวยโอกาสทีเผลอทำร้ายผู้ใดจนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าให
ดินแดนสุญญตาสถานที่ที่อยู่ระหว่างภพมารและภพสวรรค์ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าที่รกร้างว่างเปล่าจะมีมารที่มีพลังชั่วร้ายแอบซ่อนตัวอยู่นับพันปีขณะที่กงจื่อเย่กำลังต่อสู้กับหลิ่งปินเพื่อแย่งชิงเทพดารากลับมา กองทัพสวรรค์ของเทพสงครามและสวีต้าเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าร่วมการศึกสงครามในครั้งนี้ในสายตาของเทพเซียนที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาต่างมองว่าศัตรูที่เป็นภัยต่อสามภพมากที่สุดคือกงจื่อเย่ อดีตจอมมารที่เพิ่งจะสูญสลายไปไม่นานไม่ว่าจะมองอย่างไร ร่างกายและพลังที่สมบูรณ์เกินกว่าที่ควรคงเป็นเพราะเขาเร่งกลืนกินพวกเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งยังไม่รู้ว่าสติยังคงอยู่ครบถ้วนหรือเลือนหายแล้วใช้สัญชาตญาณนำทางอยู่กันแน่“ช้าก่อน” สวีต้าเฟิงออกคำสั่งห้ามทหารสวรรค์เคลื่อนไหวก่อนดูลาดเลาฉากการต่อสู้
เมื่อได้ยินเสียงมารน้อยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็กลับมาสมบูรณ์ แม้จะพยายามส่งกระแสจิตหาอีนั่วสักเท่าใด เขากลับไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายเลย“มันผู้ใดกล้าทำร้ายลูกเมียข้า” พลังมารชั่วร้ายแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ความโกรธกราดเกรี้ยวยิ่งทำให้พลังที่อยู่รอบตัวเขากลายเป็นยาพิษชั้นดีบ่อนทำลายสัตว์อสูรทีละนิดจอมมารสูบกลืนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเขาเข้าไปโดยไม่รู้ตัวแทบจะหลงลืมไปชั่วขณะว่าเขาคือผู้ใด พลันลึก ๆ ในใจเหมือนมีสายลมพริ้วไหวพัดผ่านต้นไม้แห่งชีวิตของเขา ดวงตาสีม่วงแดงจึงค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ“เยว่ชิงหรือ” เขาพึมพำสัมผัสความรู้สึกนั้น “เป็นเจ้าจริงหรือ”เขาหลับตาลงปล่อยใจหลงใหลกับสัมผัสอบอุ่นนั้นชั่วขณะ เมื่อพึงพอใจแล้วจึงกลับมาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรต
จอมมารที่เหลือเพียงเงาดำจาง ๆเดินทางร่อนเร่กลับภพมารตัวคนเดียว ระหว่างทางคอยสูบกินพลังชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาทีละนิดเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างมารปีศาจของตนเองหากแต่ครั้งนี้ทำไปเพื่อกลับคืนร่างเดิมให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ปกป้องครอบครัวเวลานั้นเขาลืมนึกไปเลยว่าตำแหน่งผู้ปกครองภพมารสามารถสั่นคลอนได้ทุกเมื่อ มัวแต่เป็นห่วงกลัวว่าสวีลู่ชิงจะถูกอสนีบาตจนแหลกสลายจึงรีบไปห้ามนางถ้าครั้งนี้กลับมาได้คงต้องวางแผนจัดการไม่ให้มีมารปีศาจตนใดคิดกระด้างกระเดื่องอยากชิงพลังอันกล้าแกร่งของอีนั่วหรือทำร้ายเขาแม้ว่าจะต้องสลายไปอีกครั้งเพราะกฎของสวรรค์ที่มารปีศาจอย่างเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ กงจื่อเย่คิดแล้วว่าแปลงร่างเป็นนกน้อยอยู่กับนางและลูกไม่ได้แย่สักเท่าใดนัก อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา