นับจากวันนั้น เจี่ยงหร่านก็กลายเป็นจางเหมี่ยวลี่ไปโดยปริยาย แรกเริ่มนางไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก คาดว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง
ด้านเซียวจิ้งนั้น หลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาก็เดินทางเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสด็จลุงของตน ฮ่องเต้เซียวหลางดีใจเป็นอย่างมากที่หลานชายกลับมาอย่างปลอดภัย
ฮ่องเต้มีบุตรชายที่เกิดจากฮองเฮาหนึ่งคนและบุตรีหนึ่งคน องค์หญิงใหญ่เซียวหลิงคือบุตรสาวคนโตปีนี้อายุยี่สิบปีแล้ว เพราะเขาสุขภาพไม่สู้ดีทำให้มีบุตรยาก เมื่อสิบปีก่อนฮองเฮาเพิ่งจะมีพระประสูติกาลองค์รัชทายาท นามว่าเซียวหลง เวลานี้มีอายุได้สิบปีแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่สามารถมีทายาทได้อีก ในวังหลวงมิได้รับนางสนมเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว
มีเสียงเล่าลือหนาหูว่าเขารักใคร่เซียวจิ้งราวกับบุตรแท้ๆของตน นั่นอาจทำให้เซียวจิ้งมีใจคิดก่อกบฏแต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้นิสัยของเซียวจิ้งเป็นอย่างดี หลานชายผู้นี้หากไม่มีเรื่องสำคัญ ย่อมไม่คิดจะกลับเมืองหลวงอยู่แล้ว
เพราะอย่างนี้ข่าวลือภายนอกจึงมิอาจส่งผลใดๆ ต่อฮ่องเต้และฮองเฮาได้เลยแม้แต่น้อย
"ถวายพระพรเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ"
เซียวจิ้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม ฮ่องเต้เซียวหลางยิ้มกว้าง ทักทายอย่างเป็นกันเอง
"ไม่ต้องมากพิธี มานั่งดื่มชากับลุงเร็วเข้า แล้วเล่าให้ลุงฟังทีว่า สงครามรอบนี้เป็นเช่นไร"
เซียวจิ้งพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้ามผู้เป็นเสด็จลุงด้วยท่าทีผ่อนคลาย
"นับว่าดีพ่ะย่ะค่ะ ต้าฉีแม้จะไม่ยอมศิโรราบแต่การศึกครั้งนี้ ทำให้พวกเขาต้องเสียกำลังทหารไปไม่น้อยเลย คาดว่าคงไม่สามารถก่อคลื่นลมได้ในเร็ววัน ส่วนแคว้นฉู่นั้น ฮ่องเต้แคว้นฉู่ยินยอมสวามิภักดิ์ พร้อมกับจะส่งทูตมาเจรจาเพื่อสันติภาพ ส่วนแคว้นซ่งเป็นแคว้นที่มีกำลังทหารไม่ด้อยไปกว่าแคว้นของเรา เรื่องนี้จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดพ่ะย่ะค่ะ แต่หลานคิดว่า ยามนี้ฮ่องเต้แคว้นซ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ อำนาจการเมืองยังไม่มั่นคง อาจจะยังไม่คิดก่อสงครามในเร็ววัน เราต้องถือโอกาสนี้เปิดรับทหารใหม่เข้ามาเพิ่ม เพื่อฝึกฝนเตรียมพร้อมเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้เซียวหลางเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย สนทนาต่อ
"ได้ ลุงจะทำตามที่เจ้าบอก อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านป้าฮองเฮาของเจ้าน่ะ อยากให้มีการเปิดรับสตรีเข้าเป็นทหาร เพราะเซียวหลิงเองมีความสามารถด้านบู๊ ติดตรงที่นางเป็นสตรีจึงไม่สามารถเข้ากองทัพได้ ข้าจึงคิดว่าหากเราเปิดรับสมัครทหารหญิงจะให้เซียวหลิงเข้าร่วมด้วย ข้าคิดว่ายามนี้เราควรเปิดกว้างแล้ว บางทีอาจจะมีหญิงสาวที่เป็นเพชรยอดมงกุฎซ่อนตัวอยู่ในแคว้นของเราก็ได้ เจ้าเห็นเป็นเช่นไร"
เซียวจิ้งยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พลางกล่าวช้าๆ
"เรื่องนี้หลานไม่คัดค้าน เดิมทีแคว้นซ่งเป็นแคว้นแรกที่เปิดกว้างเรื่องนี้ เคยมีสตรีนางหนึ่งเป็นถึงรองแม่ทัพกองทัพหวังหย่ง แต่น่าเสียดายที่หลังจากผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางหมดประโยชน์ ฮ่องเต้องค์ใหม่จึงไม่เก็บนางเอาไว้"
"เขาคิดอะไรอยู่จึงสังหารยอดฝีมือของตนเอง"
"เพราะคิดว่านางเป็นภัยร้าย เก็บเอาไว้เกรงว่านางจะก่อคลื่นลมกระมัง"
ฮ่องเต้เซียวหลงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ย
"เรื่องนี้เจ้าคงเห็นด้วย แต่ขุนนางเก่าแก่ที่คร่ำครึยึดถือกฎระเบียบพวกนั้นคงจะคัดค้านข้าหัวชนฝาเป็นแน่"
"เสด็จลุง พระองค์คือเจ้าของแผ่นดิน ขุนนางพวกนั้นจะอยู่เหนือท่านได้อย่างไร อีกทั้งในยามนี้สตรีหลายคนมีฝีมือไม่ต่างจากบุรุษ พวกนางมีมือมีเท้าเช่นเดียวกับพวกเรา เหตุใดไม่ลองให้โอกาสพวกนางดูเล่า หากไม่มีความก้าวหน้าก็เพียงแค่ปลดพวกนางเท่านั้นเอง"
"อืม เรื่องนี้ยังต้องประชุมปรึกษาหารือเสียก่อน คาดว่าไม่เกินหนึ่งเดิือนคงจะมีคำตอบ ว่าแต่เจ้าเถอะ กลับตำหนักอ๋องบ้างสิ บิดาเจ้าคงรออยู่"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเซียวจิ้งก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน ฮ่องเต้เซียวหลางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา
"จิ้งเอ๋อร์ อย่างไรเขาก็คือบิดาเจ้า เจ้าจะเฉยชาต่อเขาเช่นนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ ตราบใดที่มีลุงอยู่ ตำแหน่งซื่อจื่อไม่มีทางหลุดไปจากมือเจ้า"
"หลานไม่เคยอยากได้ตำแหน่งนี้"
"จิ้งเอ๋อร์"
"ในเมื่อเสด็จลุงเอ่ยปาก หลานก็จะไปพบเขาเสียหน่อย ขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อเอ่ยจบเซียวจิ้งก็ขอตัวออกจากวังหลวงในทันที เขาเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ดวงตาของชายหนุ่มเรียบเฉยราวกับไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
ตำหนักชินอ๋อง
ยามนี้ เซียวจิ้งยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูตำหนักชินอ๋อง หากไม่มีเรื่องสำคัญ เขาไม่เคยคิดอยากจะมาเหยียบที่ตำหนักนี้เลยแม้แต่น้อย คนเฝ้าหน้าประตูที่เห็นเขาก็ทักทายด้วยความดีใจ ก่อนจะเปิดประตูให้เขาเข้าไปด้านใน เซียวจิ้งเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ผ่านสาวใช้น้อยใหญ่ที่ทำความเคารพและมองเขาด้วยแววตาที่ชื่นชม ก่อนที่ชายหนุ่มจะมาหยุดอยู่ที่เรือนใหญ่
เสียงพูดคุยสนทนาดังขึ้นมาไม่ขาดสาย มีทั้งเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยสนิทสนม เซียวจิ้งรู้ดีว่านั่นคือเสียงของมารดาเลี้ยงและน้องชายต่างมารดาของเขา
ชินอ๋องเซียวฟงที่กำลังเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเซียวจิ้งยืนอยู่ด้านหน้าประตู ก็ร้องเรียกทันที
"จิ้งเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ รีบเข้ามาเร็วเข้า"
หลี่ฟาง พระชายาเอกชินอ๋องหันมามองเซียวจิ้งด้วยแววตาที่เรียบเฉย แม้กระทั่ง เซียวกั๋ว ก็ยังมองพี่ชายด้วยสายตาที่ห่างเหิน
เดิมทีพวกนางสองแม่ลูกภาวนาอยู่ทุกวันขอให้เซียวจิ้งตายตกไปในสนามรบเสียเลย ตำแหน่งซื่อจื่อจะได้ตกเป็นของบุตรชายนาง
แต่นอกจากเซียวจิ้งจะดวงแข็งไม่ตายแล้ว ยังกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เหยียบตำหนักอ๋องได้อีก
เซียวจิ้งไม่สนใจสายตาของสองแม่ลูก เขาเดินเข้ามาทำความเคารพบิดา
"คารวะเสด็จพ่อ"
ชินอ๋องเซียวฟงมองบุตรชายด้วยสายตาอ่อนโยน พลางบ่นขึ้นมา
"ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าอย่าเข้าสนามรบ เจ้าดูข้าสิ ในวัยหนุ่มข้าน่ะคือองค์ชายผู้เลื่องชื่อ คัดอักษรวาดภาพล้วนเก่งกาจดีงามทั้งสิ้น ไม่เคยจับดาบจับกระบี่ แต่เจ้ากลับเอาอย่างมารดาของเจ้า ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ"
ไม่กล่าววาจาใดยังพอทนได้ แต่เมื่อได้ยินชินอ๋องเซียวฟงเอ่ยถึงมารดาผู้ล่วงลับ เซียวจิ้งก็แค่นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา
"ทำไมหรือ ท่านแม่ข้าเก่งกาจการรบ ไม่ได้เก่งการด้านวิชาจิ้งจอกล่อลวงใจบุรุษสินะ ท่านจึงไม่ชอบ"
"จิ้งเอ๋อร์ เจ้ากลับมาก็ชวนข้าทะเลาะ เจ้าลูกอกตัญญู หากกลับมาแล้วเอ่ยวาจาเช่นนี้จะเสนอหน้ามาทำไมกัน!"
"หากเสด็จลุงไม่บอก ข้าก็ไม่อยากมาเยียบสถานที่โสโครกเช่นนี้หรอก"
"หึ ทุกวันนี้เจ้าก็เห็นเขาเป็นบิดาแทนข้าอยู่แล้วนี่ ไสหัวไปสิ ไปขอตำแหน่งสูงศักดิ์จากเสด็จลุงของเจ้าเสียเถอะ"
เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รั้งอยู่ต่อ เขาหันหลังเดินออกมาจากตำหนักชินอ๋องอย่างไม่สนใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่เหลาสุราในทันที
เหลาสุราแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งเดียวที่ท่านแม่เหลือเอาไว้ให้กับเขา
เป็นสถานที่เดียวที่เขารู้สึกว่ามันเป็นบ้านที่แท้จริงของเขา
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ