เหลาสุราแห่งนี้เป็นเหลาสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแคว้นฟงหลิง เป็นกิจการเดียวที่ตระกูลท่านตามี นับตั้งแต่ท่านตาท่านยายและท่านแม่ตายจากไป กิจการนี้เคยตกไปอยู่ในมือของหลี่ฟางมารดาเลี้ยงของเขา นางอ้างว่าเขาอายุยังน้อยยังไม่รู้เรื่องยื่นมือมาจัดการบัญชี เมื่อเขาเติบโตขึ้นต้องใช้ความพยายามอยู่ไม่น้อย เพื่อให้กิจการนี้กลับมาอยู่ในมือของตนอีกครั้ง
แม้หลี่ฟางจะเคยดูแลกิจการอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับไม่อาจทำให้มีกำไรงอกงามขึ้นมาได้ เพราะสูตรลับทั้งหมดท่านแม่ให้เขาเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี เมื่อเขากลับมาดูแลอีกครั้ง จึงมอบสูตรลับให้คนที่ไว้ใจได้ ก่อนที่เหลาสุราจะกลับมาทำเงินเป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง นับแต่นั้นทุกครั้งยามที่กลับมาเมืองหลวง เขามักจะมาอยู่ที่นี่ไม่ยอมกลับตำหนักชินอ๋องอีกเลย
เมื่อเดินเข้ามาด้านในแล้ว ชายหนุ่มก็ขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของเหลาสุรา ที่นี่คือที่พักของเขา ทุกอย่างถูกจัดแต่งอย่างหรูหรา มิได้ด้อยไปกว่าตอนที่เขาพำพักในตำหนักชินอ๋องเลย ท่านลุงหม่าบ่าวรับใช้คนสนิทของท่านแม่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว ก็ติดตามเขามาอยู่ที่นี่ด้วย เมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้ว ท่านลุงหม่าก็ดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด
"ซื่อจื่อท่านกลับมาแล้ว บ่าวเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ท่านแล้ว อีกสักครู่จะให้คนนำอาหารขึ้นมาส่งนะขอรับ"
เซียวจิ้งพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง เขาถอดเสื้อผ้าออก ก่อนจะเดินเข้าไปแช่ตัวในอ่างน้ำ ไอน้ำลอยวนจนราวกับม่านหมอกหนา เขาหลับตาลงพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมามากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องของเจี่ยงหร่าน
นับตั้งแต่รู้ว่านางสิ้นชีพจิตใจของเขาหมองเศร้าไม่น้อยเลย ไม่อาจลบภาพนางไปได้จากจิตใจได้ อีกทั้งยังโกรธแค้นฉู่อี้เฉินที่ไม่รักษานางเอาไว้ให้ดี
ทั้งที่เป็นคนได้ครอบครองทุกพื้นที่ในใจของนาง แต่กลับบีบคั้นนางจนหมดทางรอด
ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของจางเหมี่ยวลี่
เดิมทีสตรีนางนั้นสิ้นใจตายไปแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้ราวปาฎิหารย์ อีกทั้งแววตาที่มองเขาก็ดูผิดปกติต่างไปจากเดิมเป็นอย่างยิ่ง
เซียวจิ้งยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว รู้สึกว่าระยะนี้เรื่องราวรอบตัวคล้ายจะผิดแปลกไปไม่น้อยเลย
ยามนี้เป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงค่อนข้างดีไม่เลว เจี่ยงหร่านตื่นขึ้นมาแต่เช้า ก่อนจะออกมาเดินยืดเส้นยืดสายที่ลานกว้างด้านหน้าเรือนอย่างอารมณ์ดี ช่วงหลายวันที่มาอยู่ในร่างนี้เจี่ยงหร่านต้องปรับตัวไม่น้อย แต่ถึงแม้จะต้องปรับตัว แต่นางรู้ดีว่าคนเราอย่างไรก็ไม่อาจละทิ้งนิสัยเดิมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดไปได้
ตั้งแต่มาเกิดใหม่ในร่างนี้ เจี่ยงหร่านได้เรียนรู้ทุกอย่าง เรื่องมากมายที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อนเหมือนตอนที่อยู่แคว้นซ่ง
ที่นี่ยังคงมิได้เปิดกว้างให้สตรีทำตามใจชอบได้มากเท่ากับแคว้นซ่ง การแต่งกายก็มักแต่งด้วยสีสันสดใส แต่งหน้าทาปากหน้าราวกับจะไปเล่นงิ้ว นางในร่างเก่านั้นชอบสวมเสื้อผ้าสีมืดทึบ เพราะชีวิตอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้ไม่ได้มีโอกาสสวมใส่เสื้อผ้างดงามเหมือนหญิงสาวอื่นๆ นอกจากสวมชุดทหารแล้ว ก็ไม่เคยได้สวมชุดงดงามหรือแต้มชาดผัดแป้งเลยสักครา
เมื่อมานึกย้อนดูแล้ว นางโง่เหลือเกิน นางมีสภาพไม่น่ามองถึงเพียงนั้น ผิวพรรณไม่ได้ขาวสะอาด ใบหน้าไม่แต่งเติม ร่างกายมีรอยแผลจากการฝึก ฉู่อี้เฉินจะมาหลงรักนางได้อย่างไรกัน ต่างจากฟ่านเหยาที่แต่งกายสวยงามอ่อนหวานดึงดูดหัวใจบุรุษ นั่นต่างหากที่เรียกว่าหญิงงามอย่างแท้จริง
เจี่ยงหร่านรู้ดีว่าการที่นางมาอยู่ในร่างนี้นับว่าสะดวกสบายไม่น้อย จางเหมี่ยวลี่คือบุตรสาวแม่ทัพใหญ่แคว้นฟงหลิง การจะทำอันใดย่อมสะดวกมากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นอิสตรี นางเองก็ยังไม่กล้าพอที่เอาร่างของจางเหมี่ยวลี่ไปเสี่ยงอันตรายเช่นการวางแผนคิดจะสังหารฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยา
พูดตามตรงก็คือ ในยามนี้นางยังมืดแปดด้าน คงทำได้เพียงดูสถานการณ์ไปพลางๆ ก่อน ถือว่าเรียนรู้เรื่องราวในแคว้นฟงหลิงไปด้วย
นางถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะเหลือบตามองโต๊ะเครื่องแป้ง หญิงสาวผู้นี้มีเครื่องประทินโฉมมากมายจนแทบจะเปิดร้านได้อยู่แล้ว บางอย่างยังใช้ไม่หมดนางก็ซื้อมาใหม่ เจี่ยงหร่านหยิบชาดทาปากขึ้นมาพิจารณาดู พบว่ามันมีกลิ่นบุปผาที่หอมจัด แต่สำหรับนางแล้วกลิ่นเช่นนี้ฉุนจมูกเกินไป
นางมองไปรอบๆ บรรยากาศในจวนตระกูลจางนับว่ายอดเยี่ยมมาก ทุกอย่างดูงดงามกว่าจวนตระกูลเจี่ยงของนางเสียอีก
เจี่ยงหร่านเดินไปได้ครู่หนึ่งเกือบจะล้มฟาดพื้น ชุดที่สวมใส่มันรุ่มร่ามเหลือเกิน ไม่เหมือนชุดฝึกทหาร แต่นางก็พยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้คุ้นชิน มิให้เป็นที่สงสัยและจับตามองของคนในจวน
ที่สำคัญท่านแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินก็ดีต่อบุตรสาวเป็นยิ่งนัก ต่อให้นางดูแปลกประหลาดพิสดารเพียงใด ทั้งบิดามารดาก็ยังบอกว่านางดีที่สุด
ไม่แปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดเจ้าของร่างเดิมจึงนิสัยเสียและร้ายกาจเช่นนี้ เพราะถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามอกตามใจนั่นเอง
"เหมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าออกมาเดินรับลมหรือ"
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งทักทายขึ้นมาทำให้เจี่ยงหร่านต้องหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นจางเฉวียนพี่ชายของจางเหมี่ยวลี่นั่นเอง
จางเฉวียนองอาจรูปงาม ได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากการไปออกรบครั้งก่อน เพราะว่าร่างกายแข็งแรงดีพักเพียงไม่กี่วันอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว พี่ชายผู้นี้นับว่าเอ็นดูน้องสาวอยู่ไม่น้อย และเป็นคนเดียวในจวนที่กล้าเอ่ยวาจาตักเตือน ยามที่เจ้าของร่างเดิมทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เจี่ยงหร่านฉีกยิ้มกว้างให้จางเฉวียน นางเดินเข้าไปหาเขาด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย นางไม่คุ้นชินกับคนตระกูลจาง จึงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสนทนากับพี่ชายผู้นี้เช่นไรดี
"ท่านพี่หายดีแล้วหรือเจ้าคะ"
หญิงสาวไถ่ถามด้วยน้ำเสียงที่กระด้างอยู่บ้าง เพราะอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก บิดาสอนนางทุกอย่าง ทำให้นางสนิทกับบิดามาก เรื่องความอ่อนหวานเยี่ยงสตรี หรือสนทนาพาทีเยี่ยงหญิงสาวในห้องหอนางล้วนแล้วไม่ชินเท่าใดนัก
จางเฉวียนเคยชินเสียแล้วกับท่าทีไม่สนใจสิ่งใดของจางเหมี่ยวลี่ เพราะถูกเขาดุด่าสั่งสอนอยู่เสมอนางจึงไม่ค่อยจะสนิทสนมกับพี่ชายเช่นเขาเท่าใดนัก
แต่ได้ยินท่านพ่อท่านแม่บอกว่า ตั้งแต่จางเหมี่ยวลี่ฟื้นขึ้นมาก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เหมือนกับไม่ใช่คนเดิม เขาเองก็สงสัยเช่นกัน ถึงอย่างไรน้องสาวก็ฟื้นคืนมาแล้ว หากเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดคุยกับนาง
"ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าเล่า ได้ยินสาวใช้บอกว่าเจ้าตื่นเช้ากว่าเมื่อก่อนมาก อีกทั้งยังลุกขึ้นมาฝึกวรยุทธ์ เมื่อ่ใดกันที่เจ้ากลับมาสนใจการฝึกฝนร่างกายอีกครั้ง"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ลอบตกใจไม่น้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
"เพราะว่าข้าผ่านความตายมาแล้วหนหนึ่ง จึงทำให้คิดได้เจ้าค่ะ ว่าควรทำสิ่งที่สมควรทำมากกว่า"
"ดีมาก เห็นเจ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเช่นนี้ ข้าเองก็ดีใจ เจ้าอย่าได้เอาเวลาไปสนในศาสตร์ที่น่ารังเกียจเช่นนั้นอีกเลยนะ เวลานี้ผู้คนล้วนหวาดกลัวเจ้ากันหมดแล้ว"
เจี่ยงหร่านยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ ก่อนกล่าวลาแล้วเดินกลับมาที่เรือนของตน เมื่อมาถึงก็พบว่าสาวใช้ได้เตรียมอาหารรอเอาไว้แล้ว สาวใช้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดนางมีนามว่าเยว่ซิน หลายวันมานี้นางสังเกตเห็นว่าเยว่ซินค่อนข้างหวาดกลัวนาง ไม่ใช่แค่เยว่ซินแม้แต่สาวใช้คนอื่นๆ ก็เกรงกลัวกันทั้งสิ้น
เจ้าของร่างเดิมทุบตีบ่าวไพร่ไม่เว้นวัน ผู้ใดบ้างจะไม่ยำเกรง
แต่ก่อนเจี่ยงหร่านก็มีสาวใช้ แต่นางจะแบ่งทุกอย่างให้สาวใช้ นางได้กินสิ่งใดสาวใช้ย่อมได้กิินด้วยเสมอ
เจี่ยงหร่านนั่งลงที่เก้าอี้แล้วจ้องมองอาหารตรงหน้าด้วยแววตาอึ้งงันครู่หนึ่ง อาหารยังคงเป็นเช่นทุกวัน มีแต่ผัก ไม่มีเนื้อเลยแม้แต่น้อย เจี่ยงหร่านเริ่มทนไม่ไหวแล้ว นางรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้รักสวยรักงามแต่ทำเช่นนี้มันเกินไปหน่อยกระมัง
นางรอดชีวิตรอดมาได้เช่นใดกัน ด้วยการกินอาหารเพียงเท่านี้?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจี่ยงหร่านจึงหันไปหาเยว่ซินในทันที แต่นางยังไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแค่มองเยว่ซินก็สะดุ้งเสียแล้ว
"คุณหนู บ่าว บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวควรจะลดข้าวลงให้เหลือครึ่งชาม"
ลดข้าวครึ่งชาม!
บ้าไปแล้วหรือนี่ เอาข้าวให้คนกินหรือเซ่นผีกันแน่?
เจี่ยงหร่านเห็นว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การแล้ว นางคงต้องหิวตายเป็นแน่ แต่ไหนแต่ไรนางกินข้าวมื้อละสองสามถ้วยเสียด้วยซ้ำ
"เลิกกลัวแล้วฟังข้าก่อนเถอะ"
อาจเพราะนางใช้น้ำเสียงที่ดุดันเหมือนสั่งทหารไปหน่อย เยว่ซินจึงยิ่งหวาดผวาเข้าไปใหญ่ เจี่ยงหร่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าว
"เยว่ซิน เจ้าฟังนะ เจ้าไม่ต้องกลัว ต่อไปข้าจะไม่ตีเจ้าแล้ว เราจะอยู่กันอย่างสงบสุข แต่ก่อนข้าอาจทำไม่ดีกับพวกเจ้า แต่ต่อไปนี้ข้าจะทำดีต่อพวกเจ้าดีหรือไม่"
เยว่ซินเงยหน้ามามองจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาที่ขลาดกลัวพร้อมกับแอบครุ่นคิดในใจ
สวรรค์ คุณหนูของพวกนางแช่น้ำว่านสมุนไพรน้ำไหลเข้าสมองจนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือนี่!
จะใจดีได้สักกี่วันกันเชียว
แม้ในใจจะลอบนินทาเจ้านาย แต่เยว่ซินก็ยังพยักหน้าเบาๆ เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือไปประคองเยว่ซินขึ้นมา พลางพูดว่า
"เมื่อเข้าใจแล้ว จงฟังข้า ไปทำอาหารที่มีเนื้อมาเยอะๆ เอาข้าวมาเพิ่มอีกสามถ้วย เข้าใจหรือไม่"
"ห๊ะ!"
"ไม่ต้องตกใจ รีบไปเร็วเข้าข้าหิวแล้ว"
เยว่ซินพยักหน้าอย่างสับสนงงงวย นางรีบไปสั่งให้บ่าวไพร่ในจวนทำอาหารตามที่เจ้านายบอก บ่าวรับใช้ในโรงครัวต่างตั้งวงนินทากันอย่างลับๆ
ต้องเป็นวิญญาณอดอยากที่มาสิงคุณหนูอย่างแน่นอน ร้อยวันพันปีนางไม่กินของเช่นนี้
ให้ตายเถอะ มีผีกี่ตนที่สิงคุณหนูกันแน่?
ด้านเจี่ยงหร่านที่กำลังถูกคนซุบซิบนินทาว่าถูกผีอดอยากมาสิงก็กำลังเดินดูบริเวณโดยรอบภายในเรือนเหลียนฮวา เพราะหลายวันก่อนนางยังเพลียไม่น้อย อีกทั้งยังอาเจียนเอาของเสียออกไปมากจนต้องนอนซมอยู่บนเตียงหลายวัน จึงยังไม่ได้เดินดูข้าวของใช้ในเรือนของตน
เรือนด้านนอกนั้นไม่มีอะไรมาก ทุกอย่างล้วนตกแต่งอย่างงดงาม ภาพวาดทิวทัศน์นั้นดูแล้วเหมือนจะเป็นฝีมือของเจ้าของร่างเดิมเพราะมีตัวอักษรคำว่าเหมี่ยวกำกับเอาไว้ด้านล่างภาพวาดนั้น นับว่ามีฝีมือไม่น้อยเลย
ช่างเป็นสาวงามที่เพียบพร้อมจริงๆ นางก็เคยเป็นเช่นนี้ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ แต่กลับมิได้มีใบหน้าที่งดงามเท่าร่างนี้
เจี่ยงหร่านเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ห้องนอน สายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นหีบใบหนึ่งอยู่ที่ใต้เตียงนอน หญิงสาวจึงนั่งลงและยื่นมือไปเลื่อนหีบใบนั้นออกมาเปิดดู มันไม่ได้ใส่กุญแจทำให้เปิดออกดูได้โดยง่าย เมื่อเปิดออกมา นางก็ถึงกับตื่นตะลึง
นี่มันอันใดกัน!
เหตุใดจึงมีแต่ยันต์สาปแช่งเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีตำราการสาปแช่งอีกด้วย
เจี่ยงหร่านรื้อค้นของเหล่านั้นขึ้นมาดู พบว่ามีทั้งตำราสาปแช่ง ตำราความงาม ตำราขอพร ยังมีวิธีแช่น้ำกลางแสงจันทร์เพื่อให้ผิวพรรณขาวผ่อง ในแผ่นยันต์มีชื่อของสตรีหลายคน ที่นางไม่รู้จักเขียนอยู่บนแผ่นยันต์นั้นเต็มไปหมด
เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ขมวดคิ้วแน่น ฉับพลันภาพเก่าๆก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าของร่างเดิมทำพิธีสาปแช่งสตรีทุกคนที่งดงามกว่านาง เก่งกว่านาง เพียงเพราะความริษยา
เจี่ยงหร่านโคลงศีรษะแทบไม่อยากจะเชื่อ หน้าตางดงามถึงเพียงนี้ เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ แต่กับเล่นของพวกนี้ได้อย่างไรกัน บ้าไปแล้ว!
นางยังคงรื้อค้นต่อไป จนกระทั่งไปพบกับตำราเล่มหนึ่ง นางจึงเปิดออกอ่านเมื่อเปิดดูเจี่ยงหร่านถึงกับตัวแข็งทื่อจนทำสิ่งใดไม่ถูก
ข้าจะต้องทำให้พี่เซียวจิ้งยกขาเรียวสวยของข้าพาดบ่าเขาให้ได้
ไม่นานก็ต้องแต่งงานกันแล้ว อีกเมื่อใดกันที่ข้าจะได้เป็นภรรยาของเขา ข้าสัญญาว่าจะทำหน้าที่ภรรยาให้ดี
อาหารพวกนี้ข้าสวดขอพรไปแล้ว เมื่อพี่เซียวจิ้งกินเข้าไปก็จะต้องหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นแน่
ให้ตายเถอะ ข้าอยากจะอมแท่งมังกรของเขาใจจะขาดอยู่แล้ว ทำอย่างไรดี!
นอกจากคำบรรยายแล้วยังมีภาพของบุรุษและสตรีที่กำลังร่วมรักกัน เจี่ยงหร่านมองออกว่าคนในภาพคือเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่เพราะมีชื่อของคนทั้งสองกำกับเอาไว้
ให้ตายเถอะ! นี่คลั่งไคล้เสียจนเก็บเอามาวาดเป็นฉากๆ ได้เลยหรือนี่!
ก่อนหน้านี้ นางรู้แล้วว่าร่างนี้คือว่าที่ภรรยาของเซียวจิ้งสหายแดนไกลผู้นั้นของนาง เจี่ยงหร่านถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางใคร่ครวญอยู่ในใจ
สหายเซียว ที่แท้ท่านก็มีความลำบากใจไม่ต่างจากข้าเหมือนกันสินะ!
เจี่ยงหร่านทนอ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว เจ้าของร่างเดิมใจกล้าเหลือเกิน นางทำสิ่งที่สตรีทั่วไปไม่ทำกันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ช่างเป็นสตรีที่น่ากลัวเสียจริงเชียวนางจัดการปิดหีบใบนั้นและเลื่อนเก็บเอาไว้ที่ใต้เตียงเช่นเดิม ในขณะเดียวกันก็มีเสียงของเยว่ซินที่แจ้งนางว่าอาหารมาแล้วเจี่ยงหร่านเองก็หิวจนตาลาย เมื่อเดินมาถึงนางก็ยิ้มจนนัยน์ตาโค้ง อาหารเช่นนี้สิจึงจะเหมาะสมกับนางเมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงจับตะเกียบคีบอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย อีกทั้งยังแบ่งส่วนที่เหลือให้สาวใช้นำไปกินอีกด้วย มื้อนี้นับว่าเป็นมื้อที่อิ่มที่สุดแล้ว ตั้งแต่ถูกขังอยู่ที่คุกหลวง ฟ่านเหยาไม่เคยให้นางกินดีอยู่ดี ให้อาหารนางเพียงวันละมื้อ ล้วนเป็นโจ๊กที่ใสราวกับน้ำข้าว เจี่ยงหร่านยกมือลูบท้องตนเอง ก่อนจะเรอออกมาอย่างสบายอารมณ์ เยว่ซินมองท่าทีของผู้เป็นนายด้วยความตะลึงงัน แต่ก่อนคุณหนูมักจะรักษากิริยามารยาท งดงามไร้จุดบกพร่อง แต่วันนี้นางกลับยกขาขึ้นพาดโต๊ะ อีกทั้งเรอออกมาอีกด้วยเป็นเพราะคุณไสยสะท้อนเข้าตัวเป็นแน่แท้ คุณหนูของนางจึงเสียสติถึงเพียงนี้ น่าสงสารเหลือเกินเมื่อเจ้านายกินอาหารอิ่มแล้ว เยว่ซินก็ตรงไปที่โต๊ะ ก่อนจะย
เมื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นบุรุษเรียบร้อย เจี่ยงหร่านก็เดินลงมาจากรถม้าพร้อมกับเยว่ซิน ในมือของนางมีพัดอันหนึ่ง หญิงสาวสะบัดพัดกางออก พร้อมกับโบกพัดไปมา ท่าทางราวกับคุณชายเสเพลที่กำลังมาหาความสำราญยังเหลาสุราอย่างไรอย่างนั้นเมื่อเดินเข้ามาในเหลาสุราจิ๋นฮวาก็มีคนมาต้องรับนาง เป็นเด็กหนุ่มท่าทางนอบน้อมผู้หนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ เด็กหนุ่มจ้องมองเจี่ยงหร่านพลางค้อมคำนับ"ข้าน้อยไม่เคยเห็นหน้าคุณชายมาก่อนเลย ท่านคงเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงใช่หรือไม่"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะสอบถาม"เหลาสุราของเจ้ามีสุราชั้นดีอันใดบ้างเอามาให้ข้าลองดื่มหน่อย ขอสุราที่แรงที่สุด"ชายหนุ่มจ้องมองเจี่ยงหร่านอย่างอึ้งงัน สุราที่แรงที่สุดเช่นนั้นหรือเดิมทีเหลาสุราจิ๋นฮวามีสุราที่แรงที่สุดอยู่แล้ว เป็นสูตรลับเฉพาะที่ซื่อจื่อทำขึ้นมา โดยมีข้อแม้ว่าหากผู้ใดดื่มแล้วไม่เมาจะได้ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเป็นรางวัล เขาใคร่ครวญในใจก็คาดเดาได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้คงจะมาท้าประลองหวังเงินกระมัง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยิ้มแย้มพลางตอบรับคำ"ขอห้องชั้นบน เอาที่เห็นเมืองหลวงชัดๆ""เชิญทางนี้ขอรับ"หนุ่มน้อยพูดจบก็ผายมื
เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมานางจึงหมุนตัวมามอง ก่อนจะพบว่าเป็นเซียวจิ้งนั้นเองความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั้น หลงใหลคลั่งใคล้เซียวจิ้งเป็นอย่างมาก มักจะหาหนทางเข้าใกล้จนแทบจะสิงร่างเขาอยู่แล้ว และไม่ยินยอมให้สตรีใดมาเข้าใกล้เขาอีกด้วย ถึงขนาดเผาโรงน้ำชาก็เคยทำมาแล้วนางไม่รู้ว่าจะเอ่ยทักทายเขาเช่นไรดี จะให้นางเข้าไปออดอ้อนเขาเหมือนเจ้าของร่างเดิมเคยทำ นางก็ทำไม่เป็น เมื่อคิดได้เช่นนั้นางจึงเดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะยิื่นมือไปตบไหล่ของเขาอย่างสนิทสนมและเอ่ยทักทาย"ว่าอย่างไรสหาย...เอ่อ ท่านพี่จิ้ง"เซียวจิ้งปรายตามองมือของจางเหมี่ยวลี่ที่จับอยู่บนไหล่เขาปราดหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงกายหลบ อีกทั้งยังยกมือขึ้นปัดไหล่ที่ถูกนางจับราวกับรังเกียจเป็นอย่างยิ่งเจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นก็แอบนึกนินทาในใจให้ตายเถอะ รังเกียจถึงเพียงนี้เชียวหรือ สหายเซียว ไม่เคยเห็นท่านในด้านนี้มาก่อนเลยเซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาที่เรียบเฉย ก่อนจะถามขึ้น"เจ้าทำอันใด"เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ"ท่านพี่จิ้ง ข้าก็มาดื่มสุราอย่างไรเล่า ข้าดื่มหมดกาแล้วยังไม่เ
เมื่อฝึกจนเหงื่อออกไปทั่วทั้งร่างกายแล้ว เจี่ยงหร่านก็กลับมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่เรือนตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางก็ให้เยว่ซินตุ๋นน้ำแกงสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้นางดื่มแทนน้ำแกงรกเด็กที่น่ากลัวถ้วยนั้น เมื่อได้ดื่มน้ำแกงสมุนไพรร่างกายของนางก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือมีอยู่วันหนึ่งนางมีระดู เดิมทีหญิงสาวมีระดูก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่นางกลับปวดท้องอย่างหนักหน่วง และระดูที่ไหลออกมาล้วนเป็นเลือดสีดำเข้มจนน่ากลัว แรกเริ่มนางไม่คิดอะไรมาก แต่กระทั่งเดือนต่อมานางก็ยังมีอาการเช่นนี้อยู่อีก เจี่ยงหร่านจึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติอาการเหมือนกับคนที่โดนพิษและยังขับพิษออกไม่หมดอย่างไรอย่างนั้น แต่เป็นพิษชนิดใดนางเองก็มิอาจรู้ได้ และไม่รู้ว่ามันจะส่งผลใดต่อชีวิตของนางในกาลต่อไปอย่างไรบ้างเจี่ยงหร่านครุ่นคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก จนกระทั่งนางรู้สึกว่าการตายของเจ้าของร่างเดิมอาจจะมีเงื่อนงำก็เป็นได้หรือว่าร่างเดิมไม่ได้ตายเพราะล้มป่วย แต่ถูกวางยาพิษเช่นนั้นหรือ แล้วผู้ใดกันที่วางยาพิษนาง?แล้วคนที่ลงมือเป็นผู้ใด และจุดประสงค์ที่สังหารจางเหมี่ยวลี่คือสิ่งใด?น่าปวดหัวยิ่งน
เซียวจิ้งที่ได้ยินที่จางเหมี่ยวลี่เอ่ยขึ้นมาเขาก็ถึงกับนิ่งค้างเลยทีเดียว อีกทั้งยังคิดว่าตนเองหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำแต่ไหนแต่ไรมา จางเหมี่ยวลี่เอาแต่เร่งเร้าให้เขารีบแต่งงานกับนาง ไม่ก็หาทางทำให้ตนเองตกเป็นภรรยาของเขาให้ได้ แต่วันนี้นางกลับมาบอกเขาว่าให้เลื่อนงานแต่งงานออกไปนี่มันเรื่องอันใดกัน?เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่รอคอยคำตอบจากเซียวจิ้งอย่างใจจดใจจ่อ นางคาดเดาว่าเขาคงจะต้องเห็นด้วยกับนางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ชอบจางเหมี่ยวลี่อยู่แล้ว นางเข้าใจดีว่าหากต้องฝืนแต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันทรมานเพียงใดเซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปในใจนาง ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวว่า"จางเหมี่ยวลี่ เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือ"เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็มุ่นคิ้ว ก่อนจะตอบ"ข้ารู้ว่าท่านพี่จิ้งไม่ว่าง ท่านมีงานมากมายให้ต้องจัดการ ข้าก็รอคำตอบอยู่นี่อย่างไรเล่า ท่านบอกข้ามาสิตกลงแล้วจะเลื่อนงานแต่งไปนานเท่าใด หนึ่งปีหรือไม่ หรือว่าสอง...""เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! การแต่งงานระหว่างเจ้าและข้าใช่ว่าจะทำตามความต้องการของเจ้าได้ทุกอย่าง"เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่่นนั้นก็ชะงัก
ด้านเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ ยามนี้นางกำลังให้สาวใช้ช่วยกันยกโคมไฟเข้าไปไว้ในรถม้า อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว ผู้คนจึงนิยมซื้อโคมไฟไปประดับประดาตกแต่งจวนของตนอีกทั้งที่แคว้นฟงหลิงนอกจากจะมีการประดับประดาโคมแล้ว ยังมีการลอยโคมในแม่น้ำเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับจากไปแล้วอีกด้วย เจี่ยงหร่านจึงตั้งใจว่าจะไปลอยโคมให้คนตระกูลเจี่ยงหวังให้แสงสว่างจากโคมไฟส่องนำทางให้พวกเขาเดินทางไปปรโลกได้อย่างราบรื่นสงบสุข"คุณหนูเจ้าคะ เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ โคมไฟทั้งหมดสาวใช้นำขึ้นรถม้าหมดแล้ว""ดีมาก จริงสิ พวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว เยว่ซินเจ้าไปซื้อบะหมี่มากินคนละชามข้าจ่ายเอง""เจ้าค่ะ"เยว่ซินรับคำและยิ้มอย่างอารมณ์ดี ระยะหลังมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับนิสัยใหม่ของคุณหนู ซ้ำยังภาวนาให้จางเหมี่ยวลี่เป็นเช่นนี้ตลอดไป เพราะนางทั้งได้กินอิ่มและไม่ถูกทุบตีเซียวจิ้งมองดูจางเหมี่ยวลี่ที่นั่งกินบะหมี่กับเหล่าสาวใช้และคนขับรถม้า เขาก็แอบแปลกใจจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากจะไม่ชอบกินของข้างทางเช่นนี้แล้ว จางเหมี่ยวลี่ยังไม่อนุญาตให้บ่าวรับใช้เสนอหน้ามาเข้าใกล้โต๊ะอาหารของนาง มีครั้งหนึ่งเขาไปที่จวนตระกูลจางแล
เมื่อลงมาจากรถม้าแล้ว เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ก็มองดูบริเวณโดยรอบครู่หนึ่ง ที่แคว้นซ่งของนางก็มีงานเทศกาลเช่นนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังจัดได้ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากแคว้นฟงหลิงเลยแม้แต่น้อย ผู้คนล้วนออกมาเที่ยวชมงานกันอย่างคึกคักสนุกนานมีครั้งหนึ่งนางไม่ได้มีงานให้ต้องจัดการในค่ายทหาร นางจึงอยากจะชวนฉู่อี้เฉินไปด้วยกัน แต่เขาอ้างว่ามีเรื่องด่วนให้ต้องจัดการ นางจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงออกไปเที่ยวคนเดียว นางเดินเที่ยวเล่นจนรู้สึกว่าเบื่อแล้ว จึงคิดจะกลับ แต่ระหว่างทางกลับได้พบกับฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยากำลังเดินเที่ยวชมงานด้วยกันยามนั้นนางไม่ได้คิดสิ่งใดมากมายนัก อีกทั้งฉู่อี้เฉินยังบอกว่าเดิมทีสะสางงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไปหานางที่จวน แต่บ่าวที่จวนบอกว่านางมาเดินเที่ยวงานเขาจึงออกมาตามหา ประจวบเหมาะกับที่พบเจอฟ่านเหยาพอดี จึงถามว่าเจอนางหรือไม่ คนทั้งสองจึงมาเดินตามหานางจางเหมี่ยวลี่รู้สึกเย้ยหยันตนเองอยู่ในใจ นางช่างโง่เง่าไร้เดียงสายิ่งนัก ไม่ประสาเรื่องชายหญิง หลงเชื่อชายโฉดหญิงชั่วอย่างหมดใจนางกับฟ่านเหยาที่ผ่านมานับว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ฟ่านเหยามักจะแนะนำเรื่องเครื่องประทินโฉ
หลังจากเทศกาลโคมไฟผ่านพ้นไป เซียวจิ้งได้แต่คิดในใจว่าเขาจะต้องมองจางเหมี่ยวลี่ใหม่แล้วตั้งแต่นางฟื้นจากความตายก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขาไม่เชื่อเรื่องที่ว่าจะมีผีหรือวิญญาณมาสิงร่างนาง และไม่เชื่อว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้เพียงชั่วข้ามคืนนี่คือปริศนาที่ทำให้เขาสงสัย เพราะนางคือหญิงสาวที่ต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขา หากวันดีคืนดีนิสัยเดิมของนางกลับมา เขาคงปวดหัวไม่น้อยเพราะฉะนั้น เขาจึงอยากจับตาดูนาง ดูว่าทุกสิ่งที่เป็นไปในยามนี้เป็นเพราะนางเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่เมื่องานสมรสพระราชทานยังไม่ได้กำหนดวัน เสด็จลุงเห็นใจที่เขาต้องแต่งงานทั้งที่ไม่เต็มใจ จึงถือเอาฤกษ์สะดวก แม่ทัพใหญ่จางเองก็ไม่อยากจะเร่งรัดเขา จึงรอเพียงวันใดที่เขาพร้อมแล้วค่อยแต่งก็ย่อมได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่นางขอเลื่อนการแต่งงาน ในใจของเซียวจิ้งคิดว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ระหว่างที่เลื่อนงานออกไปนั้นเขาจะได้จับตาดูความเป็นไปของนางได้ยาวนานขึ้นวันเวลาล่วงเลยมา จนถึงวันที่ใกล้จะเปิดรับสมัครทหารหญิง เจี่ยงหร่านในจางเหมี่ยวลี่นำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของตน แม่ทัพใหญ่จางนั้นนอกจากจะไม่คัดค้านแล้วยังสนับสนุน เพียงแต่ว่าน
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ
หลายวันต่อมา ฮ่องเต้เซียวหลางก็มีรับสั่งให้คณะทูตของแคว้นซ่งเข้าเฝ้า จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับอย่างสมเกียรติ และยังให้ขุนนางชั้นสูงรวมถึงบุตรสาวและฮูหยินเอกเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าเจี่ยงหร่านเองก็ต้องร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกันเจี่ยงหร่านวันนี้สวมชุดขุนนางหญิง ที่ทางราชสำนักเพิ่งตัดส่งมาให้เข้าร่วมงานตามตำแหน่งทางการทหารของนาง หญิงสาวเดินเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยท่าทีองอาจผึ่งผาย เซียวหลิงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาทักทายนาง ก่อนจะดึงนางให้ไปลองชิมขนมที่ตนเพิ่งทำขึ้นมาใหม่ เจี่ยงหร่านอยู่สนทนากับเซียวหลิงได้ไม่นาน ก็ต้องกลับมานั่งประจำตำแหน่งที่เดิมของตน ไม่นานนัก ขันทีก็ประกาศว่าฮ่องเต้เซียวหลางเสด็จมาถึงแล้ว ทุกคนจึงรีบลุกขึ้นและอยู่ในความสงบฮ่องเต้เซียวหลางเดินเข้ามาพร้อมกับฮองเฮาของตน ส่วนเซียวจิ้งนั้นยามเดินอยู่ด้านหลังพร้อมกับบิดาและมารดาเลี้ยง ทั้งยังมีเซียวกั๋วมาร่วมงานด้วย อย่างไรเสียก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แม้ในยามปกติจะไม่ลงรอยกันมากเพียงใด แต่เมื่อมีคนต่างแคว้นเข้ามา ย่อมต้องแสดงออกว่าพี่น้องรักใคร่กันดีเพื่อไม่ให้ศัตรูมองเห็นจุดอ่อนได้"ทุกคนลุกขึ้นเถ
ด้านเจี่ยงหร่านที่ได้รับทราบว่าผู้นำคณะทูตเดินทางมาสวามิภักดิ์ในครั้งนี้ก็คือราชครูฟ่านบิดาของฟ่านเหยา ถ้วยชาในมือถูกกำเอาไว้แน่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินออกจากเรือนมุ่งหน้าไปที่รถม้า นางบอกเยว่ซินว่าจะไปที่หอสุราจิ๋นฮวา อีกทั้งยังไม่ให้เยว่ซินตามไปด้วยเมื่อมาถึงนางมุ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ลุงหม่าเองระยะหลังมานี้ เริ่มจะคุ้นเคยกับเจี่ยงหรานมากขึ้น เมื่อนางมาถึงเขามักจะจัดห้องที่ด่ีที่สุดให้ และสั่งให้คนนำสุราชั้นดีส่งให้นางอย่างรู้งานวันนี้เซียวจิ้งเองก็มิได้มีงานเร่งด่วน เมื่อได้ยินว่าเจี่ยงหร่านต้องการพบเขา และรออยู่ชั้นสองของเหลาสุรา ชายหนุ่มก็รีบตรงมาหานางทันที เมื่อมาถึงก็พบว่า ในห้องมีเจี่ยงเฮ่าอยู่ด้วย เจี่ยงเฮ่ายิ้มให้เซียวจิ้งอย่างนอบน้อม เซียวจิ้งเองก็ยิ้มตอบอย่างมีมารยาท แล้วเดินเข้ามานั่งลงข้างกายของเจี่ยงหร่านและถามขึ้นมา"เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ ให้คนส่งจดหมายมาก็ได้ ข้าจะรีบไปหาเจ้าเอง"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาได้ แล้วพูดว่า"เซียวจิ้ง ที่ข้ามาพบท่านครั้งนี้เพราะมีเรื่องที่อยากขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ข้าคิดไตร่ตรองมาทั้งคืนแล้ว"เซียวจิ้ง
เซียวจิ้งเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้เจี่ยงหร่าน อย่างแผ่วเบา เอ่ยกับนางว่า"อาหร่าน เจ้าอย่าให้ความเกลียดชังกัดกินจิตใจเจ้าจนทุกข์ทรมานเลยนะ"เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่เงยหน้าขึ้นมามองเซียวจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อครู่เพราะนางถูกความโกรธแค้นครอบงำจิตใจมากเกินไป จึงทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ"ทำไมหรือสหายเซียว ท่านกลัวข้าถลำลึกเช่นนั้นหรือ""ข้ากลัวเจ้าไม่มีความสุข ข้าอยากเห็นเจ้ามีสุขไร้ทุกข์กังวล"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักไปอึดใจ คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่นางกำลังจะถลำลึกจนถูกความแค้นกัดกินครอบงำจิตใจ ทว่าเซียวจิ้งกลับสามารถดึงนางขึ้นมาจากหลุมดำภายในจิตใจได้ทุกครั้งเขาเหมือนแสงสว่างที่ส่องประกายเจิดจ้าและงดงามยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเจี่ยงหร่านมีสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมาทันที"แม้นางจะตั้งครรภ์ แต่ได้ยินว่าระยะหลังมานี้สุขภาพไม่สู้ดีเท่าใดนัก มักจะอารมณ์เสียจนเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง แต่นางมีโทสะเรื่องใดนัั้นคนของข้ายังสืบได้ไม่แน่ชัด"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มน้อยๆ"สหา