เจี่ยงหร่านทนอ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว เจ้าของร่างเดิมใจกล้าเหลือเกิน นางทำสิ่งที่สตรีทั่วไปไม่ทำกันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ช่างเป็นสตรีที่น่ากลัวเสียจริงเชียว
นางจัดการปิดหีบใบนั้นและเลื่อนเก็บเอาไว้ที่ใต้เตียงเช่นเดิม ในขณะเดียวกันก็มีเสียงของเยว่ซินที่แจ้งนางว่าอาหารมาแล้ว
เจี่ยงหร่านเองก็หิวจนตาลาย เมื่อเดินมาถึงนางก็ยิ้มจนนัยน์ตาโค้ง อาหารเช่นนี้สิจึงจะเหมาะสมกับนาง
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงจับตะเกียบคีบอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย อีกทั้งยังแบ่งส่วนที่เหลือให้สาวใช้นำไปกินอีกด้วย มื้อนี้นับว่าเป็นมื้อที่อิ่มที่สุดแล้ว ตั้งแต่ถูกขังอยู่ที่คุกหลวง ฟ่านเหยาไม่เคยให้นางกินดีอยู่ดี ให้อาหารนางเพียงวันละมื้อ ล้วนเป็นโจ๊กที่ใสราวกับน้ำข้าว เจี่ยงหร่านยกมือลูบท้องตนเอง ก่อนจะเรอออกมาอย่างสบายอารมณ์ เยว่ซินมองท่าทีของผู้เป็นนายด้วยความตะลึงงัน แต่ก่อนคุณหนูมักจะรักษากิริยามารยาท งดงามไร้จุดบกพร่อง แต่วันนี้นางกลับยกขาขึ้นพาดโต๊ะ อีกทั้งเรอออกมาอีกด้วย
เป็นเพราะคุณไสยสะท้อนเข้าตัวเป็นแน่แท้ คุณหนูของนางจึงเสียสติถึงเพียงนี้ น่าสงสารเหลือเกิน
เมื่อเจ้านายกินอาหารอิ่มแล้ว เยว่ซินก็ตรงไปที่โต๊ะ ก่อนจะยกถ้วยน้ำแกงรกเด็กตุ๋นสมุนไพรที่จางเหมี่ยวลี่กินเป็นประจำมาวางบนโต๊ะ ตอนที่นางเปิดถ้วยก็รู้สึกอยากจะอาเจียน กลิ่นของมันไม่ได้น่าพิศมัยเลย แต่จางเหมี่ยวลี่กลับดื่มลงไปราวกับมันคืออาหารรสเลิศ
ด้านเจี่ยงหร่านนั้นกำลังนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ชั่วขณะนางก็ได้กลิ่นบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกเวียนหัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่าเย่วซินกำลังยกถ้วยน้ำแกงถ้วยหนึ่งมาวางลงตรงหน้านาง กล่าวว่า
"เชิญดื่มเจ้าค่ะคุณหนู นี่เป็นของที่ได้มาใหม่ ยังสดใหม่อยู่เลยนะเจ้าคะ"
เจี่ยงหร่านลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะยกถ้วยน้ำแกงขึ้นมาดมๆ นับว่าจวนตระกูลจางนี้่ใช้ได้เลย มีทั้งของคาวของหวาน นางกินอิ่มแล้วยังมีน้ำแกงล้างปากอีก แต่กลิ่นค่อนข้างแรงไปหน่อย คาดว่าคงจะเป็นกลิ่นสมุนไพรบางอย่าง
ด้วยเหตุนี้ นางก็มิคิดสิ่งใดมากความอีก แต่ก่อนยามอยู่ที่ค่ายทหารนางก็เป็นคนที่กินง่ายอยู่ง่าย พ่อครัวทำอันใดให้กินนางก็กิน คนเราต้องกินเพื่อให้มีชีิวิตรอดมิใช่หรือ?
นางจึงเปิดฝาถ้วยออก กลิ่นของมันทำให้นางถึงกับเบ้หน้า นางดื่มเข้าไปคำหนึ่งรู้สึกว่าคาวมากจนนางแทบจะอาเจียนออกมาทันที
"เยว่ซิน นี่มันน้ำแกงอันใดช่างคาวยิ่งนัก"
"เอ่อ คุณหนูจำไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็งุนงงสงสัยขึ้นมา
"ใช่น่ะสิ ตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมาก็ลืมอะไรไปหลายอย่างเลย ว่าอย่างไร นี่น้ำแกงอันใด"
พูดจบนางก็ยกขึ้นจะดื่มต่อ ในขณะที่กำลังจะกลืนลงคอ ก็ได้ยินเยว่ซินตอบว่า
"นี่เป็นน้ำแกงรกเด็กตุ๋นสมุนไพรที่คุณหนูชอบอย่างไรเล่าเจ้าคะ เป็นรกเด็กทารกที่เพิ่งเกิดใหม่เมื่อสองวันก่อน บ่าวนำมาตากแห้งและนำมาตุ๋น...ว๊าย!"
พรวด!
"แค่่กๆ แค่ก เจ้าว่าน้ำแกงอันใดนะ!"
"น้ำแกงรกเด็กตุ๋นสมนุไพรเจ้าค่ะ"
หลังจากนั้นเยว่ซินก็เห็นว่าถ้วยน้ำแกงถูกโยนลอยออกไปนอกเรือนทันที พร้อมกับจางเหมี่ยวลี่ที่ิวิ่งไปอาเจียนออกจนหมดไส้หมดพุงอยู่ด้านหน้าเรือน
เรื่องนี้เดือดร้อนไปถึงแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินต้องตามหมอมาตรวจดูอาการบุตรสาวของนาง เมื่อพบว่าไม่เป็นอะไรมาก จึงจัดเทียบยาบำรุงให้สองสามเทียบแล้วจากไป
"เหมี่ยวเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงอาเจียนเช่นนั้นเล่า"
จางฮูหยินซักถามบุตรสาวด้วยความห่วงใย แม่ทัพใหญ่จางเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน ด้านจางเฉวียนก็มองน้องสาวด้วยแววตาที่แปลกใจอยู่ไม่น้อย
เจี่ยงหร่านไม่รู้จะบอกอย่างไรดี หากนางทำตัวแปลกไปทุกคนคงจะต้องสงสัยแน่ ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่เท่าใด แต่จางเฉวียนพี่ชายนั้นนางไม่แน่ใจว่าเขาจะมองออกหรือไม่
เจี่ยงหร่านหลับตาลง ก่อนจะครุ่นคิดวางแผนเรื่องหนึ่งขึ้นมา
"คือข้าดื่มน้ำแกงรกเด็กเข้าไปจึงอาเจียนออกมาเจ้าค่ะ ตอนที่ข้าหมดสติไป ข้าฝันว่า มีเด็กที่คลอดมาทวงรกคืน พวกเขายื่นมือมาดึงทิึ้งทำร้ายข้า ข้ากลัวมาก พอตื่นขึ้นมา จึงหวาดกลัวมิได้บอกเรื่องนี้ให้พวกท่านรู้ อีกอย่างหลังจากที่ผ่านความตายมาได้ ข้าเองก็จำเรื่องราวทุกอย่างไม่ค่อยได้ เมื่อเยว่ซินยกน้ำแกงเข้ามาข้าจึงดื่มเข้าไป แต่ได้ยินนางบอกว่าเป็นน้ำแกงรกเด็กข้าจึงหวาดกลัวจนอาเจียนออกมาเจ้าค่ะ"
จางฮูหยินที่ได้ยินก็นิ่วหน้า ซักถามอย่างสงสัย
"เอ๊ะ! รกพวกนั้นได้มาจากการคลอดไม่ได้มีเด็กตายเสียหน่อย หรือว่า.. เย่วซิน ยามที่เจ้าไปซื้อได้สืบมาอย่างละเอียดหรือไม่"
เยว่ซินที่ได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงก่อนจะเร่งตอบคำถามของนายหญิง
"เอ่อ บ่าวไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง เพียงรีบซื้อแล้วรับกลับเลยเจ้าค่ะ แต่เคยได้ยินว่ามีเด็กทารกคลอดและตายหลายคน บ่าวขอภัยเจ้าค่ะ บ่าวไม่เคยถามพวกสตรีเหล่านั้น อีกทั้งยังไม่ตรวจสอบที่มาที่ไปของรกเหล่านั้นให้ชัดเจนก่อนนำมาให้คุณหนู"
จางฮูหยินที่ได้ยินก็ด่าทอเย่วซินไปหลายประโยค ด้านแม่ทัพใหญ่จางก็กล่าวกับบุตรสาวอย่างอ่อนโยน
“เหมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าอย่าโมโหที่พ่อตักเตือนเจ้าเลยนะ เจ้าเลิกดื่มเถอะ รกเหล่านั้นไม่รู้ว่าเด็กพวกนั้นมีโรคติดต่อหรือไม่ เจ้าก็เกือบตายมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ที่ฝันเห็นเด็กที่ตายเหล่านั้น มาทวงรกของพวกเขาคืน คงจะเป็นการมาเตือนเจ้าด้วย"
แม่ทัพใหญ่จางยกเรื่องผีสางมาอ้าง เพราะรู้ว่าบุตรสาวเชื่อเรื่องพวกนี้มากที่สุด เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่พยักหน้าเห็นด้วยและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก ด้านจางเฉวียนไม่ได้ติดใจเรื่องใด เขาคิดว่านับเป็นเรื่องดีหากจางเหมี่ยวลี่จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นได้เสียที
เมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพัก จางฮูหยินสั่งให้เยว่ซินดูแลจางเหมี่ยวลี่ให้ดี ก่อนจะเดินจากไป
เจี่ยงหร่านที่เห็นว่าหมดเรื่องหมดราวแล้ว ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา นางกดดันทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา นางมิใช่บุตรสาวที่แท้จริงของตระกูลจาง ย่อมมีความรู้สึกอึดอัดและไม่คุ้นเคยจริงๆ
หลังจากวันนั้นเจี่ยงหร่านก็สั่งให้เยว่ซินนำรกเหล่านั้นไปทิ้งและห้ามนำเข้ามาในจวนอีก ส่วนยันต์สาปแช่งพวกนั้นนางก็สั่งให้คนหาแม่กุญแจมาใส่เก็บเอาไว้ใต้เตียง คิดว่าหากไม่เปิดออกมาอีกก็คงไม่เป็นอะไร
อยากพบเจอไต้ซือที่ให้จางเหมี่ยวลี่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้เสียจริง หากเจอข้าจะอัดเขาให้น่วมจนบิดามารดาจำหน้าไม่ได้เชียว คนแก่ก็คนแก่เถอะ สอนเรื่องที่ไม่เข้าท่า
หลายวันต่อมาเจี่ยงหร่านที่เอาแต่ขลุกอยู่ในจวนก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย นางจึงชวนเยว่ซินออกไปเดินเล่นที่นอกจวน เยว่ซินเองก็ติดตามไปคอยดูแล อีกทั้งยังมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก นางเกรงว่าคุณหนูจะไปมีเรื่องตบตีใครเข้าอีก ยามนี้ซื่อจื่อก็กลับมาเมืองหลวงแล้วด้วย หากคุณหนูเห็นว่ามีหญิงสาวมาเกาะแกะซื่อจื่อจะต้องลงไม้ลงมือกับหญิงสาวเหล่านั้นเป็นแน่
เจี่ยงหร่านสีหน้าดูเป็นปกติ เดิมทีนางอยากพบเซียวจิ้ง อยากขอบคุณที่เขาช่วยเตือนนางในครั้งนั้น แต่ยามนี้เป็นสตรีอีกคนไม่ใช่เจี่ยงหร่านเขายังจะอยากสนทนากับนางอีกหรือ?
ซ้ำร้ายเซียวจิ้งไม่ชอบสตรีนางนี้อีกด้วย นางเห็นภาพตอนที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ใหม่ๆ พบว่าเขาไม่แม้แต่จะอยากอยู่ใกล้สตรีนามว่าจางเหมี่ยวลี่คนนี้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อคิดถึงเซียวจิ้งนางก็เผยรอยยิ้ม นางและเขาพบกันโดยบังเอิญ ยามนั้นนางแต่งกายเป็นบุรุษไปล่าสัตว์ในป่า กลับเจอเขาที่ถูกทำร้ายนางจึงเข้าช่วยเหลือ นับแต่นั้นยามที่นางไปล่าสัตว์ที่ป่าแห่งนั้นก็จะได้พบเจอเซียวจิ้งอยู่เสมอ นานวันเข้าก็กลายเป็นสหายสนิทกัน
จนกระทั่งเขารู้ว่านางเป็นสตรี เดิมทีนางคิดว่าเขาจะไม่คบหานางต่อ แต่กลับกันเขายังคงสนิทสนมกับนางเช่นเดิม
เซียวจิ้งมีใบหน้าหล่อเหลางดงามราวกับเทพสวรรค์ ต่างจากนางที่มิได้มีความงามเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับไม่รังเกียจนาง คนทั้งสองนัดพบกันอยู่บ่อยครั้ง ในเวลานั้นนางสร้างเรือนเล็กๆหลังหนึ่งไว้พักผ่อนยามที่ไปล่าสัตว์ เขาเองก็มาหานางที่นั่นอยู่เป็นประจำ
แท้จริงแล้วนางไม่ได้ไปล่าสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องการสืบดูสถานการณ์ทางทหารแคว้นฟงหลิงไปด้วย
เวลาผ่่านไปร่วมปี นางจึงได้รู้ว่าที่แท้จริงเซียวจิ้งคือรองแม่ทัพแคว้นฟงหลิง แคว้นศัตรูของนาง นางจึงพยายามตัดความสัมพันธ์กับเขา หากฮ่องเต้แคว้นซ่งทราบเรื่องนี้ย่อมคิดว่านางมีใจคิดเป็นกบฏ
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ เซียวจิ้งกลับลอบแฝงตัวเข้ามาในแคว้นซ่ง ปะปนกับชาวบ้านแม้เขาจะปลอมตัวแต่นางก็จำเขาได้
"ท่านทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร นับแต่นี้พวกเราไม่ใช่สหายกันอีกแล้ว ท่านและข้านับว่าเป็นศัตรู"
"ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า อาหร่าน"
"แต่ข้าสามารถสังหารท่านได้ทุกเมื่อ อยู่ที่แคว้นฟงหลิงท่านอาจจะเป็นรองแม่ทัพผู้เก่งกาจ แต่เมื่ออยู่ที่แคว้นซ่งท่านนับว่าเป็นข้าศึก!"
"เช่นนั้นเจ้าก็สังหารข้าเลยสิ"
"เซียวจิ้ง อย่าคิดว่าข้าพูดล้อเล่น"
"ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ล้อเล่น อาหร่าน หากเจ้ายอมไปกับข้า ข้าสัญญาว่าวันที่ข้ายึดแคว้นซ่งได้ บิดาของเจ้าและคนตระกูลเจี่ยงจะปลอดภัย"
"เพ้อฝันเกินไปแล้ว ที่นี่คือบ้านของข้า แคว้นซ่งคือดินแดนที่ข้ารักและจะต้องปกป้องด้วยชีวิต หากเจอกันในสนามรบ ข้าไม่มีทางละเว้นท่านแน่"
หลังจากนั้น คืนหนึ่งเขาก็ลอบมาพบนางที่จวนตระกูลเจี่ยงอีกครั้ง เขารู้แม้กระทั่งห้องพักของนาง เขามาเตือนว่าอย่าเชื่อใจฉู่อี้เฉิน คนเช่นนั้นเจ้าเล่ห์มากกล แต่นางกลับไม่ยอมเชื่อคำพูดเขา มีเพียงใจที่รักมั่นคงและเชื่อใจฉู่อี้เฉิน นางด่าว่าเขาไปหลายประโยค และตัดความสัมพันธ์กับเขาอย่างจริงจัง
สุดท้ายเขาและนางก็เจอกันในสนามรบ
แต่นางก็ตัดใจสังหารเขาไม่ลง ศึกครั้งนั้นเซียวจิ้งได้รับบาดเจ็บสาหัส นั่นเป็นสนามรบเดียวที่แคว้นซ่งสามารถเอาชนะแคว้นฟงหลิงได้ ทำให้นางมีหน้ามีตาในราชสำนักขึ้นมาไม่น้อย แต่นางกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
นางไม่เคยคิดจะสังหารเขา แม้จะเป็นสหายกันในช่วงเวลาอันสั้นๆ แต่นางก็รับรู้ได้ว่าเขาเป็นคนดี
น่าเสียดายที่แม้จะเป็นคนดีเพียงใด แต่เมื่อยืนอยู่คนละฝ่ายอย่างไรเสียย่อมนับเป็นศัตรู
เจี่ยงหร่านถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ภาพในความทรงจำไม่เคยจางหายไปไหน นางดีใจที่ได้พบเขาอีกครั้ง แต่การพบกันครั้งนี้นางกลับมาอยู่ในร่างของจางเหมี่ยวลี่สตรีที่เขาแสนจะเกลียดชัง
นี่เป็นบทลงโทษที่ข้าต้องชดเชยให้ท่านใช่หรือไม่สหายเซียว
เจี่ยงหร่านยื่นมือไปเปิดผ้าม่านรถม้าออก ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นโรงสุราแห่งหนึ่ง ป้ายหน้าร้านเขียนเอาไว้ว่า เหลาสุราจิ๋นฮวา
"จอดรถม้า ข้าจะไปที่เหลาสุราแห่งนั้น"
เยว่ซินที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบทักท้วงขึ้นมาทันที
"ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู สตรีเข้าโรงสุราไม่เหมาะสม หากท่านแม่ทัพและฮูหยินทราบเรื่องนี้บ่าวต้องถูกโบยจนตายเป็นแน่!"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็โคลงศีรษะ โน่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ แคว้นฟงหลิงนี่คร่ำครึจริงเชียว
นางครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะสั่งให้รถม้ามุ่งหน้าไปที่ร้านขายเสื้อผ้าบุรุษ ที่นี่มีเสื้อผ้าสำเร็จขายอยู่ไม่น้อย นางจึงเลือกซื้อมาชุดหนึ่ง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนใส่ชุดบุรุษและรวบผมขึ้น มองดูแล้วเหมือนหนุ่มน้อยรูปงาม ก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนรถม้า เยว่ซินมองดูเจ้านายของตน รู้สึกตื่นตะลึงไม่น้อย เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยงลี่ที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี หยอกเย้านางไปว่า
"ว่าอย่างไรสาวน้อย อยากมาเป็นอนุของข้าหรือไม่"
"คุณหนู! ท่านล้อเล่นอันใดกันเจ้าคะ"
เจี่ยงหร่านที่เห็นท่าทีเขินอายของเยว่ซินก็หัวเราะออกมา เอ่ยออกมาดังๆ
"ไปเหลาสุรากัน"
เมื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นบุรุษเรียบร้อย เจี่ยงหร่านก็เดินลงมาจากรถม้าพร้อมกับเยว่ซิน ในมือของนางมีพัดอันหนึ่ง หญิงสาวสะบัดพัดกางออก พร้อมกับโบกพัดไปมา ท่าทางราวกับคุณชายเสเพลที่กำลังมาหาความสำราญยังเหลาสุราอย่างไรอย่างนั้นเมื่อเดินเข้ามาในเหลาสุราจิ๋นฮวาก็มีคนมาต้องรับนาง เป็นเด็กหนุ่มท่าทางนอบน้อมผู้หนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ เด็กหนุ่มจ้องมองเจี่ยงหร่านพลางค้อมคำนับ"ข้าน้อยไม่เคยเห็นหน้าคุณชายมาก่อนเลย ท่านคงเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงใช่หรือไม่"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะสอบถาม"เหลาสุราของเจ้ามีสุราชั้นดีอันใดบ้างเอามาให้ข้าลองดื่มหน่อย ขอสุราที่แรงที่สุด"ชายหนุ่มจ้องมองเจี่ยงหร่านอย่างอึ้งงัน สุราที่แรงที่สุดเช่นนั้นหรือเดิมทีเหลาสุราจิ๋นฮวามีสุราที่แรงที่สุดอยู่แล้ว เป็นสูตรลับเฉพาะที่ซื่อจื่อทำขึ้นมา โดยมีข้อแม้ว่าหากผู้ใดดื่มแล้วไม่เมาจะได้ตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเป็นรางวัล เขาใคร่ครวญในใจก็คาดเดาได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้คงจะมาท้าประลองหวังเงินกระมัง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยิ้มแย้มพลางตอบรับคำ"ขอห้องชั้นบน เอาที่เห็นเมืองหลวงชัดๆ""เชิญทางนี้ขอรับ"หนุ่มน้อยพูดจบก็ผายมื
เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมานางจึงหมุนตัวมามอง ก่อนจะพบว่าเป็นเซียวจิ้งนั้นเองความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั้น หลงใหลคลั่งใคล้เซียวจิ้งเป็นอย่างมาก มักจะหาหนทางเข้าใกล้จนแทบจะสิงร่างเขาอยู่แล้ว และไม่ยินยอมให้สตรีใดมาเข้าใกล้เขาอีกด้วย ถึงขนาดเผาโรงน้ำชาก็เคยทำมาแล้วนางไม่รู้ว่าจะเอ่ยทักทายเขาเช่นไรดี จะให้นางเข้าไปออดอ้อนเขาเหมือนเจ้าของร่างเดิมเคยทำ นางก็ทำไม่เป็น เมื่อคิดได้เช่นนั้นางจึงเดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะยิื่นมือไปตบไหล่ของเขาอย่างสนิทสนมและเอ่ยทักทาย"ว่าอย่างไรสหาย...เอ่อ ท่านพี่จิ้ง"เซียวจิ้งปรายตามองมือของจางเหมี่ยวลี่ที่จับอยู่บนไหล่เขาปราดหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงกายหลบ อีกทั้งยังยกมือขึ้นปัดไหล่ที่ถูกนางจับราวกับรังเกียจเป็นอย่างยิ่งเจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นก็แอบนึกนินทาในใจให้ตายเถอะ รังเกียจถึงเพียงนี้เชียวหรือ สหายเซียว ไม่เคยเห็นท่านในด้านนี้มาก่อนเลยเซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาที่เรียบเฉย ก่อนจะถามขึ้น"เจ้าทำอันใด"เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ"ท่านพี่จิ้ง ข้าก็มาดื่มสุราอย่างไรเล่า ข้าดื่มหมดกาแล้วยังไม่เ
เมื่อฝึกจนเหงื่อออกไปทั่วทั้งร่างกายแล้ว เจี่ยงหร่านก็กลับมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่เรือนตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางก็ให้เยว่ซินตุ๋นน้ำแกงสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้นางดื่มแทนน้ำแกงรกเด็กที่น่ากลัวถ้วยนั้น เมื่อได้ดื่มน้ำแกงสมุนไพรร่างกายของนางก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือมีอยู่วันหนึ่งนางมีระดู เดิมทีหญิงสาวมีระดูก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่นางกลับปวดท้องอย่างหนักหน่วง และระดูที่ไหลออกมาล้วนเป็นเลือดสีดำเข้มจนน่ากลัว แรกเริ่มนางไม่คิดอะไรมาก แต่กระทั่งเดือนต่อมานางก็ยังมีอาการเช่นนี้อยู่อีก เจี่ยงหร่านจึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติอาการเหมือนกับคนที่โดนพิษและยังขับพิษออกไม่หมดอย่างไรอย่างนั้น แต่เป็นพิษชนิดใดนางเองก็มิอาจรู้ได้ และไม่รู้ว่ามันจะส่งผลใดต่อชีวิตของนางในกาลต่อไปอย่างไรบ้างเจี่ยงหร่านครุ่นคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก จนกระทั่งนางรู้สึกว่าการตายของเจ้าของร่างเดิมอาจจะมีเงื่อนงำก็เป็นได้หรือว่าร่างเดิมไม่ได้ตายเพราะล้มป่วย แต่ถูกวางยาพิษเช่นนั้นหรือ แล้วผู้ใดกันที่วางยาพิษนาง?แล้วคนที่ลงมือเป็นผู้ใด และจุดประสงค์ที่สังหารจางเหมี่ยวลี่คือสิ่งใด?น่าปวดหัวยิ่งน
เซียวจิ้งที่ได้ยินที่จางเหมี่ยวลี่เอ่ยขึ้นมาเขาก็ถึงกับนิ่งค้างเลยทีเดียว อีกทั้งยังคิดว่าตนเองหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำแต่ไหนแต่ไรมา จางเหมี่ยวลี่เอาแต่เร่งเร้าให้เขารีบแต่งงานกับนาง ไม่ก็หาทางทำให้ตนเองตกเป็นภรรยาของเขาให้ได้ แต่วันนี้นางกลับมาบอกเขาว่าให้เลื่อนงานแต่งงานออกไปนี่มันเรื่องอันใดกัน?เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่รอคอยคำตอบจากเซียวจิ้งอย่างใจจดใจจ่อ นางคาดเดาว่าเขาคงจะต้องเห็นด้วยกับนางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ชอบจางเหมี่ยวลี่อยู่แล้ว นางเข้าใจดีว่าหากต้องฝืนแต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันทรมานเพียงใดเซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปในใจนาง ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวว่า"จางเหมี่ยวลี่ เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือ"เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็มุ่นคิ้ว ก่อนจะตอบ"ข้ารู้ว่าท่านพี่จิ้งไม่ว่าง ท่านมีงานมากมายให้ต้องจัดการ ข้าก็รอคำตอบอยู่นี่อย่างไรเล่า ท่านบอกข้ามาสิตกลงแล้วจะเลื่อนงานแต่งไปนานเท่าใด หนึ่งปีหรือไม่ หรือว่าสอง...""เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! การแต่งงานระหว่างเจ้าและข้าใช่ว่าจะทำตามความต้องการของเจ้าได้ทุกอย่าง"เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่่นนั้นก็ชะงัก
ด้านเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ ยามนี้นางกำลังให้สาวใช้ช่วยกันยกโคมไฟเข้าไปไว้ในรถม้า อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว ผู้คนจึงนิยมซื้อโคมไฟไปประดับประดาตกแต่งจวนของตนอีกทั้งที่แคว้นฟงหลิงนอกจากจะมีการประดับประดาโคมแล้ว ยังมีการลอยโคมในแม่น้ำเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับจากไปแล้วอีกด้วย เจี่ยงหร่านจึงตั้งใจว่าจะไปลอยโคมให้คนตระกูลเจี่ยงหวังให้แสงสว่างจากโคมไฟส่องนำทางให้พวกเขาเดินทางไปปรโลกได้อย่างราบรื่นสงบสุข"คุณหนูเจ้าคะ เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ โคมไฟทั้งหมดสาวใช้นำขึ้นรถม้าหมดแล้ว""ดีมาก จริงสิ พวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว เยว่ซินเจ้าไปซื้อบะหมี่มากินคนละชามข้าจ่ายเอง""เจ้าค่ะ"เยว่ซินรับคำและยิ้มอย่างอารมณ์ดี ระยะหลังมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับนิสัยใหม่ของคุณหนู ซ้ำยังภาวนาให้จางเหมี่ยวลี่เป็นเช่นนี้ตลอดไป เพราะนางทั้งได้กินอิ่มและไม่ถูกทุบตีเซียวจิ้งมองดูจางเหมี่ยวลี่ที่นั่งกินบะหมี่กับเหล่าสาวใช้และคนขับรถม้า เขาก็แอบแปลกใจจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากจะไม่ชอบกินของข้างทางเช่นนี้แล้ว จางเหมี่ยวลี่ยังไม่อนุญาตให้บ่าวรับใช้เสนอหน้ามาเข้าใกล้โต๊ะอาหารของนาง มีครั้งหนึ่งเขาไปที่จวนตระกูลจางแล
เมื่อลงมาจากรถม้าแล้ว เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ก็มองดูบริเวณโดยรอบครู่หนึ่ง ที่แคว้นซ่งของนางก็มีงานเทศกาลเช่นนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังจัดได้ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากแคว้นฟงหลิงเลยแม้แต่น้อย ผู้คนล้วนออกมาเที่ยวชมงานกันอย่างคึกคักสนุกนานมีครั้งหนึ่งนางไม่ได้มีงานให้ต้องจัดการในค่ายทหาร นางจึงอยากจะชวนฉู่อี้เฉินไปด้วยกัน แต่เขาอ้างว่ามีเรื่องด่วนให้ต้องจัดการ นางจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงออกไปเที่ยวคนเดียว นางเดินเที่ยวเล่นจนรู้สึกว่าเบื่อแล้ว จึงคิดจะกลับ แต่ระหว่างทางกลับได้พบกับฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยากำลังเดินเที่ยวชมงานด้วยกันยามนั้นนางไม่ได้คิดสิ่งใดมากมายนัก อีกทั้งฉู่อี้เฉินยังบอกว่าเดิมทีสะสางงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไปหานางที่จวน แต่บ่าวที่จวนบอกว่านางมาเดินเที่ยวงานเขาจึงออกมาตามหา ประจวบเหมาะกับที่พบเจอฟ่านเหยาพอดี จึงถามว่าเจอนางหรือไม่ คนทั้งสองจึงมาเดินตามหานางจางเหมี่ยวลี่รู้สึกเย้ยหยันตนเองอยู่ในใจ นางช่างโง่เง่าไร้เดียงสายิ่งนัก ไม่ประสาเรื่องชายหญิง หลงเชื่อชายโฉดหญิงชั่วอย่างหมดใจนางกับฟ่านเหยาที่ผ่านมานับว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ฟ่านเหยามักจะแนะนำเรื่องเครื่องประทินโฉ
หลังจากเทศกาลโคมไฟผ่านพ้นไป เซียวจิ้งได้แต่คิดในใจว่าเขาจะต้องมองจางเหมี่ยวลี่ใหม่แล้วตั้งแต่นางฟื้นจากความตายก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขาไม่เชื่อเรื่องที่ว่าจะมีผีหรือวิญญาณมาสิงร่างนาง และไม่เชื่อว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้เพียงชั่วข้ามคืนนี่คือปริศนาที่ทำให้เขาสงสัย เพราะนางคือหญิงสาวที่ต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขา หากวันดีคืนดีนิสัยเดิมของนางกลับมา เขาคงปวดหัวไม่น้อยเพราะฉะนั้น เขาจึงอยากจับตาดูนาง ดูว่าทุกสิ่งที่เป็นไปในยามนี้เป็นเพราะนางเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่เมื่องานสมรสพระราชทานยังไม่ได้กำหนดวัน เสด็จลุงเห็นใจที่เขาต้องแต่งงานทั้งที่ไม่เต็มใจ จึงถือเอาฤกษ์สะดวก แม่ทัพใหญ่จางเองก็ไม่อยากจะเร่งรัดเขา จึงรอเพียงวันใดที่เขาพร้อมแล้วค่อยแต่งก็ย่อมได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่นางขอเลื่อนการแต่งงาน ในใจของเซียวจิ้งคิดว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ระหว่างที่เลื่อนงานออกไปนั้นเขาจะได้จับตาดูความเป็นไปของนางได้ยาวนานขึ้นวันเวลาล่วงเลยมา จนถึงวันที่ใกล้จะเปิดรับสมัครทหารหญิง เจี่ยงหร่านในจางเหมี่ยวลี่นำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของตน แม่ทัพใหญ่จางนั้นนอกจากจะไม่คัดค้านแล้วยังสนับสนุน เพียงแต่ว่าน
หลายวันต่อมาก็มีราชโองการจากราชสำนักออกประกาศเปิดรับสมัครสตรี ที่มีความสามารถจากทั่วทั้งแคว้นฟงหลิง เข้ามาเป็นทหารหญิงในค่ายทหาร ซึ่งถือเป็นครั้งแรก การเปิดรับสตรีเข้าค่ายทหารมี กฎระเบียบระบุเอาไว้ว่า หญิงสาวที่จะเข้าร่วมต้องยังไม่แต่งงาน มีอายุไม่เกินยี่สิบปี เมื่อพวกนางผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว จะต้องเข้าไปฝึกในค่ายทหารหญิงที่จัดเตรียมให้สตรีโดยเฉพาะเมื่อฝึกฝนจนผ่านทุกด่านได้แล้ว ก็จะได้รับพระราชทานตำแหน่งในราชสำนักหรือเข้าร่วมกองทัพแห่งแคว้นออกรบกับบุรุษได้ต่างมีเสียงวิพากวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าเป็นผู้หญิงจะไหวหรือ อีกทั้งการฝึกก็เหมือนกับบุรษทุกอย่าง ที่สำคัญแม่ทัพใหญ่จางและรองแม่ทัพเซียว ก็มาคุมการฝึกซ้อมด้วยตนเอง การฝึกทหารหญิงค่อนข้างเข้มงวดไม่ต่างจากบุรุษเลยด้วยซ้ำเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางแต่งกายอย่างทะมัดทะแมง จัดการรวบผมขึ้นเป็นทรงหางม้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่รับสมัครทหารหญิงในทันที เมื่อมาถึงก็พบกับหญิงสาวมากมายที่มาสมัคร พวกนางล้วนไม่ได้มีหน้าตางดงาม แต่ร่างกายกลับกำยำบึกบึนกว่าสตรีน้อยใหญ่ในเมืองหลวง อีกทั้งยังดูมีพละกำลังมากมายอีกด้วย
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ
หลายวันต่อมา ฮ่องเต้เซียวหลางก็มีรับสั่งให้คณะทูตของแคว้นซ่งเข้าเฝ้า จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับอย่างสมเกียรติ และยังให้ขุนนางชั้นสูงรวมถึงบุตรสาวและฮูหยินเอกเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าเจี่ยงหร่านเองก็ต้องร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกันเจี่ยงหร่านวันนี้สวมชุดขุนนางหญิง ที่ทางราชสำนักเพิ่งตัดส่งมาให้เข้าร่วมงานตามตำแหน่งทางการทหารของนาง หญิงสาวเดินเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยท่าทีองอาจผึ่งผาย เซียวหลิงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาทักทายนาง ก่อนจะดึงนางให้ไปลองชิมขนมที่ตนเพิ่งทำขึ้นมาใหม่ เจี่ยงหร่านอยู่สนทนากับเซียวหลิงได้ไม่นาน ก็ต้องกลับมานั่งประจำตำแหน่งที่เดิมของตน ไม่นานนัก ขันทีก็ประกาศว่าฮ่องเต้เซียวหลางเสด็จมาถึงแล้ว ทุกคนจึงรีบลุกขึ้นและอยู่ในความสงบฮ่องเต้เซียวหลางเดินเข้ามาพร้อมกับฮองเฮาของตน ส่วนเซียวจิ้งนั้นยามเดินอยู่ด้านหลังพร้อมกับบิดาและมารดาเลี้ยง ทั้งยังมีเซียวกั๋วมาร่วมงานด้วย อย่างไรเสียก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แม้ในยามปกติจะไม่ลงรอยกันมากเพียงใด แต่เมื่อมีคนต่างแคว้นเข้ามา ย่อมต้องแสดงออกว่าพี่น้องรักใคร่กันดีเพื่อไม่ให้ศัตรูมองเห็นจุดอ่อนได้"ทุกคนลุกขึ้นเถ
ด้านเจี่ยงหร่านที่ได้รับทราบว่าผู้นำคณะทูตเดินทางมาสวามิภักดิ์ในครั้งนี้ก็คือราชครูฟ่านบิดาของฟ่านเหยา ถ้วยชาในมือถูกกำเอาไว้แน่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินออกจากเรือนมุ่งหน้าไปที่รถม้า นางบอกเยว่ซินว่าจะไปที่หอสุราจิ๋นฮวา อีกทั้งยังไม่ให้เยว่ซินตามไปด้วยเมื่อมาถึงนางมุ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ลุงหม่าเองระยะหลังมานี้ เริ่มจะคุ้นเคยกับเจี่ยงหรานมากขึ้น เมื่อนางมาถึงเขามักจะจัดห้องที่ด่ีที่สุดให้ และสั่งให้คนนำสุราชั้นดีส่งให้นางอย่างรู้งานวันนี้เซียวจิ้งเองก็มิได้มีงานเร่งด่วน เมื่อได้ยินว่าเจี่ยงหร่านต้องการพบเขา และรออยู่ชั้นสองของเหลาสุรา ชายหนุ่มก็รีบตรงมาหานางทันที เมื่อมาถึงก็พบว่า ในห้องมีเจี่ยงเฮ่าอยู่ด้วย เจี่ยงเฮ่ายิ้มให้เซียวจิ้งอย่างนอบน้อม เซียวจิ้งเองก็ยิ้มตอบอย่างมีมารยาท แล้วเดินเข้ามานั่งลงข้างกายของเจี่ยงหร่านและถามขึ้นมา"เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ ให้คนส่งจดหมายมาก็ได้ ข้าจะรีบไปหาเจ้าเอง"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาได้ แล้วพูดว่า"เซียวจิ้ง ที่ข้ามาพบท่านครั้งนี้เพราะมีเรื่องที่อยากขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ข้าคิดไตร่ตรองมาทั้งคืนแล้ว"เซียวจิ้ง
เซียวจิ้งเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้เจี่ยงหร่าน อย่างแผ่วเบา เอ่ยกับนางว่า"อาหร่าน เจ้าอย่าให้ความเกลียดชังกัดกินจิตใจเจ้าจนทุกข์ทรมานเลยนะ"เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่เงยหน้าขึ้นมามองเซียวจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อครู่เพราะนางถูกความโกรธแค้นครอบงำจิตใจมากเกินไป จึงทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ"ทำไมหรือสหายเซียว ท่านกลัวข้าถลำลึกเช่นนั้นหรือ""ข้ากลัวเจ้าไม่มีความสุข ข้าอยากเห็นเจ้ามีสุขไร้ทุกข์กังวล"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักไปอึดใจ คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่นางกำลังจะถลำลึกจนถูกความแค้นกัดกินครอบงำจิตใจ ทว่าเซียวจิ้งกลับสามารถดึงนางขึ้นมาจากหลุมดำภายในจิตใจได้ทุกครั้งเขาเหมือนแสงสว่างที่ส่องประกายเจิดจ้าและงดงามยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเจี่ยงหร่านมีสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมาทันที"แม้นางจะตั้งครรภ์ แต่ได้ยินว่าระยะหลังมานี้สุขภาพไม่สู้ดีเท่าใดนัก มักจะอารมณ์เสียจนเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง แต่นางมีโทสะเรื่องใดนัั้นคนของข้ายังสืบได้ไม่แน่ชัด"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มน้อยๆ"สหา