เซียวจิ้งที่ได้ยินที่จางเหมี่ยวลี่เอ่ยขึ้นมาเขาก็ถึงกับนิ่งค้างเลยทีเดียว อีกทั้งยังคิดว่าตนเองหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำ
แต่ไหนแต่ไรมา จางเหมี่ยวลี่เอาแต่เร่งเร้าให้เขารีบแต่งงานกับนาง ไม่ก็หาทางทำให้ตนเองตกเป็นภรรยาของเขาให้ได้ แต่วันนี้นางกลับมาบอกเขาว่าให้เลื่อนงานแต่งงานออกไป
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่รอคอยคำตอบจากเซียวจิ้งอย่างใจจดใจจ่อ นางคาดเดาว่าเขาคงจะต้องเห็นด้วยกับนางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ชอบจางเหมี่ยวลี่อยู่แล้ว นางเข้าใจดีว่าหากต้องฝืนแต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันทรมานเพียงใด
เซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปในใจนาง ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวว่า
"จางเหมี่ยวลี่ เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือ"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็มุ่นคิ้ว ก่อนจะตอบ
"ข้ารู้ว่าท่านพี่จิ้งไม่ว่าง ท่านมีงานมากมายให้ต้องจัดการ ข้าก็รอคำตอบอยู่นี่อย่างไรเล่า ท่านบอกข้ามาสิตกลงแล้วจะเลื่อนงานแต่งไปนานเท่าใด หนึ่งปีหรือไม่ หรือว่าสอง..."
"เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! การแต่งงานระหว่างเจ้าและข้าใช่ว่าจะทำตามความต้องการของเจ้าได้ทุกอย่าง"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะมองเซียวจิ้งด้วยความไม่เข้าใจ
เซียวจิ้งเมื่อได้เห็นสายตาไม่เข้าใจและมีแต่คำถามเต็มไปหมดอยู่บนใบหน้าของจางเหมี่ยวลี่ เขาจึงตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนนิดๆ
"เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่ คิดจะปั่นหัวข้าหรืออย่างไร ข้าขอบอกเจ้าเลยนะว่าไม่สำเร็จ และบอกเจ้าอีกครั้งว่า หากเราแต่งงานกันแล้ว เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำไป เราต่างคนต่างอยู่ ข้าจะพยายามปฏิบัติต่อเจ้าให้ดี เพราะเห็นแก่บิดาของเจ้า แต่หากเจ้าสร้างปัญหาให้ข้าไม่หยุด ก็อย่าหาว่าข้าไม่รักษาสัญญา"
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจี่ยงหร่านเม้มริมฝีปากแน่น ในขณะที่เซียวจิ้งกำลังจะเดินจากไป นางก็ลุกลี้ลุกลนรีบยื่นมือไปดึงเสื้อเขาในทันที เซียวจิ้งไม่ทันตั้งตัวจึงเซถอยหลัง เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือไปจับเอวหนาของเขาเอาไว้ เซียวจิ้งที่ถูกนางสวมกอดจากทางด้านหลังก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเห็นว่ายามนี้เขาและนางใกล้กันเกินไปแล้ว อีกทั้งสภาพเขาตอนนี้เหมือนกับสาวน้อยที่ถูกสวมกอดและจางเหมี่ยวลี่คือบุรุษที่กำลังลวนลามเขา
อีกทั้งยามนี้คนทั้งคู่ก็อยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลจางอีกด้วย เซียวจิ้งรีบแกะมือของจางเหมี่ยวลี่ก่อนจะต่อว่า
"จางเหมี่ยวลี่เจ้าจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว!"
"ก็ท่านจะล้มข้าแค่่ช่วยรับท่านไว้ ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าปล่อยให้ท่านล้มไปแล้ว คนช่วยเหลือยังมาบ่นมาด่า นิสัยแย่จริงเชียว ถ้ารู้ว่าท่านนิสัยเช่นนี้ให้ตายข้าก็ไม่คบหากับท่านเป็นแน่!"
เซียวจิ้งที่ถูกจางเหมี่ยวลี่ต่อว่าก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก ทุกครามีแต่เขาที่ด่าทอนาง แต่เมื่อถูกนางด่ากลับบ้างเขากลับเถียงไม่ออก
ด้านเจี่ยงหร่านเมื่อเห็นว่านางพูดอ้อมค้อมไปเซียวจิ้งก็คงจะไม่เข้าใจ นางจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
"คืออย่างนี้ ที่ข้าอยากให้ท่านเลื่อนงานแต่งออกไป เพราะว่าข้าจะสมัครเข้าไปเป็นทหารหญิง"
เซียวจิ้งหันขวับมามองจางเหมี่ยวลี่ในทันที ก่อนจะแค่นเสียงหึออกมา
"จางเหมี่ยวลี่ ค่ายทหารไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่น"
"ข้าก็ไม่ได้ไปไปเที่ยวเล่นนี่ ข้าอยากเป็นทหารหญิง"
"เจ้าเพ้อไปแล้วหรือ เรื่องนี้ข้าไม่อนุญาต"
"ท่านเป็นบิดาข้าหรือจึงไม่อนุญาต"
"จางเหมี่ยวลี่!"
"ไม่รู้ล่ะ ข้ามาบอกท่านแล้ว ท่านจะอนุญาตหรือไม่ข้าไม่สนใจ ตกลงตามนี้เลื่อนงานแต่งออกไปก่อน ให้ข้าเข้ากองทัพแล้วเราค่อยว่ากันอีกที ท่านก็เดินทางกลับดีดีล่ะ อ้อ กลับจวนไปอย่าลืมกินเยอะๆ ไม่เจอกันเพียงไม่นาน เอวท่านบางจนจะเหมือนสตรีอยู่แล้ว"
กล่าวจบจางเหมี่ยวลี่ก็เดินจากไปทันที เซียวจิ้งรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าใดกัน
หรือที่คนเล่าลือว่านางเล่นของจนเสียสติไปแล้ว มันจะเป็นเรื่องจริงกันนะ
เซียวจิ้งคร้านจะคิดสิ่งใดต่ออีก เขาจึงเดินทางกลับไปที่เหลาสุราในทันที
ค่ำคืนนี้อากาศค่อนข้างดี สายลมอ่อนๆ พััดโบกโบย ดวงจันทร์บนท้องนภากระจ่างใส ดาวกระพริบวิบวาวชวนมองยิ่งนัก เซียวจิ้งยามนี้กำลังนั่งอยู่ที่ิริมหน้าต่าง ในมือของเขามีกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งวางอยู่ เขายื่นมือไปเปิดกล่องออกมา ของในนั้นคือปิ่นปักผมและเส้นผมของเจี่ยงหร่านที่เขาเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี
ทุกคืนเขาจะนั่งมองของเหล่านี้ ราวกับว่ามันเป็นเสมือนตัวแทนของนางที่ยังวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขา
เช้าวันต่อมา เกิดการถกเถียงกันอย่างหนักในราชสำนัก ขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วยที่สตรีจะเข้าร่วมค่ายทหาร เพราะแคว้นฟงหลิงมีธรรมเนียมปฏิบัติต่อกันมาอย่างยาวนาน สตรีควรอยู่ในเรือน รอวันแต่งงาน เป็นภรรยาและมารดาที่ดี จะให้ออกมาจับดาบต่อสู้เช่นเดียวกับบุรุษเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเลย
ส่วนอีกฝ่ายเห็นด้วยไม่ได้คัดค้าน เพราะคิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว สตรีไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงภรรยาและมารดาที่ดีเพียงอย่างเดียว ในอดีตไทเฮาแคว้นฟงหลิงก็เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่อดีตฮ่องเต้มาแล้ว เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดไม่สมควร
ฮ่องเต้เซียวหลางที่นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกรทอดสายตามองเหล่าขุนนางถกเถียงกัน ก่อนจะใช้นิ้วเคาะที่โต๊ะเป็นจังหวะจนเหล่าขุนนางต่างเงียบเสียงและไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก เซียวจิ้งที่ยืนอยู่ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา เพราะเรื่องนี้เขากับเสด็จลุงคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
ฮ่องเต้เซียวหลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวดักคอ
"ที่พวกเจ้าถกเถียงกันไปมาไม่จบไม่สิ้นข้าเองก็เข้าใจ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเป็นของตนเอง แต่ในอดีตเสด็จแม่ของข้าเคยร่วมรบกับเสด็จพ่อจนได้รับชัยชนะมาแล้ว นั่นสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าสตรีไม่ได้ด้อยไปเสียทั้งหมด ที่พวกเจ้าทั้งหลายคัดค้านไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะผิดกฎระเบียบ ผิดธรรมเนียมปฏิบัติที่ที่มีมาช้านานอันใดเหล่านั้นหรอก แต่เป็นเพราะพวกเจ้าเกรงว่าสตรีจะขึ้นมามีอำนาจเหนือกว่าพวกเจ้ามากกว่ากระมัง"
เหล่าขุนนางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต่างเงียบกริบไม่กล้าเอ่ยวาจาใดอีก ฮ่องเต้ถึงกับยกไทเฮาขึ้นมาอ้าง หากพวกเขายังพูดพล่ามไม่เลิกเช่นนี้ ไม่เท่ากับการลบหลู่เกียรติของไทเฮาหรอกหรือ ฮ่องเต้เซียวหลางที่เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ย
"ประกาศราชโองการออกไป อีกสิบห้าวันข้าจะเปิดรับสมัครทหารหญิง เข้าฝึกในค่ายทหารที่แบ่งแยกสำหรับสตรี หากหญิงสาวคนไหนมีฝีมือ ค่อยคัดเลือกเข้าไปทำงานในกองทัพร่วมกับบุรุษ แบ่งแยกตามตำแหน่งหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกนาง ที่สำคัญการฝึกจะเคร่งครัดเช่นเดียวกับบุรุษไม่มีอันใดต่างกัน"
เหล่าขุนนางที่ไม่เห็นด้วยต่างลอบก่นด่าฮ่องเต้ในใจ ส่วนเหล่าขุนนางที่เห็นด้วยก็ดีใจไม่น้อยอยากจะรีบกลับจวนไปหาบุตรสาวที่ร่างกายแข็งแรงกำยำของตน เพื่อส่งพวกนางเข้ามาสมัครเป็นทหารหญิงเสียเดี๋ยวนี้ เผื่อว่าในอนาคตบุตรสาวจะได้มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนักให้ได้เชิดหน้าชูตาบ้าง
หลังจากไม่มีสิ่งใดแล้ว ขุนนางทั้งหมดต่างแยกย้ายกันกลับไป ฮ่องเต้เซียวหลางหันมามองเซียวจิ้ง ก่อนจะให้หลานชายติดตามเป็นเพื่อนตนระหว่างทางกลับตำหนัก
สองลุงหลานเดินไปด้วยกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน ฮ่องเต้เซียวหลางหันมามองเซียวจิ้ง ค่อยๆ เริ่มสนทนา
"ได้ยินว่าหลายวันก่อนเจ้ากลับจวน แล้วยังทะเลาะกับบิดาของเจ้าอีกด้วย"
เซียวจิ้งที่ได้ยินก็ตอบยิ้มๆ
"เสด็จลุงช่างรู้ข่าวรวดเร็วยิ่งนัก"
ฮ่องเต้เซียวหลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยเช่นไรดี น้องชายผู้ไม่เอาไหนของเขาผู้นั้น วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเคล้านารี ไม่ชอบใจที่บุตรชายเป็นทหาร ในอดีตเคยฝึกซ้อมการต่อสู้กับเขาที่เป็นพี่ชายและพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า อีกทั้งวรยุทธ์ก็ไม่ได้เรื่อง นับแต่นั้นเซียวฟงก็ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยกับเขา และไม่ชอบที่เซียวจิ้งเข้ามาเป็นทหาร
ส่วนหลานชายของเขาผู้นี้ ก็นิสัยเย็นชาไม่สนใจบิดาเท่าที่ควร ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก
เดินมาได้ไม่นานก็ถึงหน้าตำหนักมังกรสวรรคฺ์ ฮ่องเต้เซียวหลางจึงเอ่ยขึ้นมา
"หลายวันก่อนเซียวหลิงและเซียวหลงต่างเอ่ยว่าคิดถึงเจ้า หากมีเวลาก็มาสนทนาเป็นเพื่อนกับพวกเขาหน่อย อย่างไรก็เป็นพี่น้องกัน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้พูดคุยกันแล้ว เซียวจิ้งจึงขอตัวกลับไปที่เหลาสุราของตน ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถม้าเขาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เมื่อสองปีก่อน เขายังอยู่ที่ชายแดน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ามารดาเลี้ยงและน้องชายอยากให้เขาตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงขนาดรอไม่ไหวส่งนักฆ่ามาสังหารเขาแต่กลับไม่สำเร็จ
เดิมทีเขาไม่อยากคิดสิ่งใดให้มากความ แต่เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนั้นมันทำให้เขาเริ่มคิดขึ้นมาว่า การตายของท่านแม่อาจจะเกี่ยวกับมารดาเลี้ยงของเขา
แต่เพราะเรื่องราวผ่านมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งพยานหลักฐานย่อมอาจถูกทำลายไปจนหมดและยามนั้นเขาก็ยังไม่มีอำนาจและกำลังคนไม่พอ จึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรวจสอบจากตรงไหนก่อนดี
ครั้งนี้ได้กลับมาเมืองหลวงแล้วและคนของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย เขาคงจะต้องหาทางสืบเรื่องราวของหลี่ฟางให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียแล้ว
เซียวจิ้งยื่นมือขึ้นไปเปิดผ้าม่านรถม้าออก ก่อนที่สายตาของเขาจะเห็นใครคนหนึ่งที่กำลังสั่งให้สาวใช้ช่วยขนโคมไฟขึ้นรถม้า
นั่นมันจางเหมี่ยวลี่ใช่หรือไม่?
นางจะซื้อโคมไฟมากมายไปทำอะไรกัน?
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ