เซียวจิ้งที่ได้ยินที่จางเหมี่ยวลี่เอ่ยขึ้นมาเขาก็ถึงกับนิ่งค้างเลยทีเดียว อีกทั้งยังคิดว่าตนเองหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำ
แต่ไหนแต่ไรมา จางเหมี่ยวลี่เอาแต่เร่งเร้าให้เขารีบแต่งงานกับนาง ไม่ก็หาทางทำให้ตนเองตกเป็นภรรยาของเขาให้ได้ แต่วันนี้นางกลับมาบอกเขาว่าให้เลื่อนงานแต่งงานออกไป
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่รอคอยคำตอบจากเซียวจิ้งอย่างใจจดใจจ่อ นางคาดเดาว่าเขาคงจะต้องเห็นด้วยกับนางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ชอบจางเหมี่ยวลี่อยู่แล้ว นางเข้าใจดีว่าหากต้องฝืนแต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันทรมานเพียงใด
เซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปในใจนาง ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวว่า
"จางเหมี่ยวลี่ เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือ"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็มุ่นคิ้ว ก่อนจะตอบ
"ข้ารู้ว่าท่านพี่จิ้งไม่ว่าง ท่านมีงานมากมายให้ต้องจัดการ ข้าก็รอคำตอบอยู่นี่อย่างไรเล่า ท่านบอกข้ามาสิตกลงแล้วจะเลื่อนงานแต่งไปนานเท่าใด หนึ่งปีหรือไม่ หรือว่าสอง..."
"เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! การแต่งงานระหว่างเจ้าและข้าใช่ว่าจะทำตามความต้องการของเจ้าได้ทุกอย่าง"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะมองเซียวจิ้งด้วยความไม่เข้าใจ
เซียวจิ้งเมื่อได้เห็นสายตาไม่เข้าใจและมีแต่คำถามเต็มไปหมดอยู่บนใบหน้าของจางเหมี่ยวลี่ เขาจึงตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนนิดๆ
"เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่ คิดจะปั่นหัวข้าหรืออย่างไร ข้าขอบอกเจ้าเลยนะว่าไม่สำเร็จ และบอกเจ้าอีกครั้งว่า หากเราแต่งงานกันแล้ว เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำไป เราต่างคนต่างอยู่ ข้าจะพยายามปฏิบัติต่อเจ้าให้ดี เพราะเห็นแก่บิดาของเจ้า แต่หากเจ้าสร้างปัญหาให้ข้าไม่หยุด ก็อย่าหาว่าข้าไม่รักษาสัญญา"
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจี่ยงหร่านเม้มริมฝีปากแน่น ในขณะที่เซียวจิ้งกำลังจะเดินจากไป นางก็ลุกลี้ลุกลนรีบยื่นมือไปดึงเสื้อเขาในทันที เซียวจิ้งไม่ทันตั้งตัวจึงเซถอยหลัง เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือไปจับเอวหนาของเขาเอาไว้ เซียวจิ้งที่ถูกนางสวมกอดจากทางด้านหลังก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเห็นว่ายามนี้เขาและนางใกล้กันเกินไปแล้ว อีกทั้งสภาพเขาตอนนี้เหมือนกับสาวน้อยที่ถูกสวมกอดและจางเหมี่ยวลี่คือบุรุษที่กำลังลวนลามเขา
อีกทั้งยามนี้คนทั้งคู่ก็อยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลจางอีกด้วย เซียวจิ้งรีบแกะมือของจางเหมี่ยวลี่ก่อนจะต่อว่า
"จางเหมี่ยวลี่เจ้าจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว!"
"ก็ท่านจะล้มข้าแค่่ช่วยรับท่านไว้ ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าปล่อยให้ท่านล้มไปแล้ว คนช่วยเหลือยังมาบ่นมาด่า นิสัยแย่จริงเชียว ถ้ารู้ว่าท่านนิสัยเช่นนี้ให้ตายข้าก็ไม่คบหากับท่านเป็นแน่!"
เซียวจิ้งที่ถูกจางเหมี่ยวลี่ต่อว่าก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก ทุกครามีแต่เขาที่ด่าทอนาง แต่เมื่อถูกนางด่ากลับบ้างเขากลับเถียงไม่ออก
ด้านเจี่ยงหร่านเมื่อเห็นว่านางพูดอ้อมค้อมไปเซียวจิ้งก็คงจะไม่เข้าใจ นางจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
"คืออย่างนี้ ที่ข้าอยากให้ท่านเลื่อนงานแต่งออกไป เพราะว่าข้าจะสมัครเข้าไปเป็นทหารหญิง"
เซียวจิ้งหันขวับมามองจางเหมี่ยวลี่ในทันที ก่อนจะแค่นเสียงหึออกมา
"จางเหมี่ยวลี่ ค่ายทหารไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่น"
"ข้าก็ไม่ได้ไปไปเที่ยวเล่นนี่ ข้าอยากเป็นทหารหญิง"
"เจ้าเพ้อไปแล้วหรือ เรื่องนี้ข้าไม่อนุญาต"
"ท่านเป็นบิดาข้าหรือจึงไม่อนุญาต"
"จางเหมี่ยวลี่!"
"ไม่รู้ล่ะ ข้ามาบอกท่านแล้ว ท่านจะอนุญาตหรือไม่ข้าไม่สนใจ ตกลงตามนี้เลื่อนงานแต่งออกไปก่อน ให้ข้าเข้ากองทัพแล้วเราค่อยว่ากันอีกที ท่านก็เดินทางกลับดีดีล่ะ อ้อ กลับจวนไปอย่าลืมกินเยอะๆ ไม่เจอกันเพียงไม่นาน เอวท่านบางจนจะเหมือนสตรีอยู่แล้ว"
กล่าวจบจางเหมี่ยวลี่ก็เดินจากไปทันที เซียวจิ้งรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าใดกัน
หรือที่คนเล่าลือว่านางเล่นของจนเสียสติไปแล้ว มันจะเป็นเรื่องจริงกันนะ
เซียวจิ้งคร้านจะคิดสิ่งใดต่ออีก เขาจึงเดินทางกลับไปที่เหลาสุราในทันที
ค่ำคืนนี้อากาศค่อนข้างดี สายลมอ่อนๆ พััดโบกโบย ดวงจันทร์บนท้องนภากระจ่างใส ดาวกระพริบวิบวาวชวนมองยิ่งนัก เซียวจิ้งยามนี้กำลังนั่งอยู่ที่ิริมหน้าต่าง ในมือของเขามีกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งวางอยู่ เขายื่นมือไปเปิดกล่องออกมา ของในนั้นคือปิ่นปักผมและเส้นผมของเจี่ยงหร่านที่เขาเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี
ทุกคืนเขาจะนั่งมองของเหล่านี้ ราวกับว่ามันเป็นเสมือนตัวแทนของนางที่ยังวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขา
เช้าวันต่อมา เกิดการถกเถียงกันอย่างหนักในราชสำนัก ขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วยที่สตรีจะเข้าร่วมค่ายทหาร เพราะแคว้นฟงหลิงมีธรรมเนียมปฏิบัติต่อกันมาอย่างยาวนาน สตรีควรอยู่ในเรือน รอวันแต่งงาน เป็นภรรยาและมารดาที่ดี จะให้ออกมาจับดาบต่อสู้เช่นเดียวกับบุรุษเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเลย
ส่วนอีกฝ่ายเห็นด้วยไม่ได้คัดค้าน เพราะคิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว สตรีไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงภรรยาและมารดาที่ดีเพียงอย่างเดียว ในอดีตไทเฮาแคว้นฟงหลิงก็เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่อดีตฮ่องเต้มาแล้ว เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดไม่สมควร
ฮ่องเต้เซียวหลางที่นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกรทอดสายตามองเหล่าขุนนางถกเถียงกัน ก่อนจะใช้นิ้วเคาะที่โต๊ะเป็นจังหวะจนเหล่าขุนนางต่างเงียบเสียงและไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก เซียวจิ้งที่ยืนอยู่ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา เพราะเรื่องนี้เขากับเสด็จลุงคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
ฮ่องเต้เซียวหลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวดักคอ
"ที่พวกเจ้าถกเถียงกันไปมาไม่จบไม่สิ้นข้าเองก็เข้าใจ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเป็นของตนเอง แต่ในอดีตเสด็จแม่ของข้าเคยร่วมรบกับเสด็จพ่อจนได้รับชัยชนะมาแล้ว นั่นสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าสตรีไม่ได้ด้อยไปเสียทั้งหมด ที่พวกเจ้าทั้งหลายคัดค้านไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะผิดกฎระเบียบ ผิดธรรมเนียมปฏิบัติที่ที่มีมาช้านานอันใดเหล่านั้นหรอก แต่เป็นเพราะพวกเจ้าเกรงว่าสตรีจะขึ้นมามีอำนาจเหนือกว่าพวกเจ้ามากกว่ากระมัง"
เหล่าขุนนางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต่างเงียบกริบไม่กล้าเอ่ยวาจาใดอีก ฮ่องเต้ถึงกับยกไทเฮาขึ้นมาอ้าง หากพวกเขายังพูดพล่ามไม่เลิกเช่นนี้ ไม่เท่ากับการลบหลู่เกียรติของไทเฮาหรอกหรือ ฮ่องเต้เซียวหลางที่เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ย
"ประกาศราชโองการออกไป อีกสิบห้าวันข้าจะเปิดรับสมัครทหารหญิง เข้าฝึกในค่ายทหารที่แบ่งแยกสำหรับสตรี หากหญิงสาวคนไหนมีฝีมือ ค่อยคัดเลือกเข้าไปทำงานในกองทัพร่วมกับบุรุษ แบ่งแยกตามตำแหน่งหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกนาง ที่สำคัญการฝึกจะเคร่งครัดเช่นเดียวกับบุรุษไม่มีอันใดต่างกัน"
เหล่าขุนนางที่ไม่เห็นด้วยต่างลอบก่นด่าฮ่องเต้ในใจ ส่วนเหล่าขุนนางที่เห็นด้วยก็ดีใจไม่น้อยอยากจะรีบกลับจวนไปหาบุตรสาวที่ร่างกายแข็งแรงกำยำของตน เพื่อส่งพวกนางเข้ามาสมัครเป็นทหารหญิงเสียเดี๋ยวนี้ เผื่อว่าในอนาคตบุตรสาวจะได้มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนักให้ได้เชิดหน้าชูตาบ้าง
หลังจากไม่มีสิ่งใดแล้ว ขุนนางทั้งหมดต่างแยกย้ายกันกลับไป ฮ่องเต้เซียวหลางหันมามองเซียวจิ้ง ก่อนจะให้หลานชายติดตามเป็นเพื่อนตนระหว่างทางกลับตำหนัก
สองลุงหลานเดินไปด้วยกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน ฮ่องเต้เซียวหลางหันมามองเซียวจิ้ง ค่อยๆ เริ่มสนทนา
"ได้ยินว่าหลายวันก่อนเจ้ากลับจวน แล้วยังทะเลาะกับบิดาของเจ้าอีกด้วย"
เซียวจิ้งที่ได้ยินก็ตอบยิ้มๆ
"เสด็จลุงช่างรู้ข่าวรวดเร็วยิ่งนัก"
ฮ่องเต้เซียวหลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยเช่นไรดี น้องชายผู้ไม่เอาไหนของเขาผู้นั้น วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเคล้านารี ไม่ชอบใจที่บุตรชายเป็นทหาร ในอดีตเคยฝึกซ้อมการต่อสู้กับเขาที่เป็นพี่ชายและพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า อีกทั้งวรยุทธ์ก็ไม่ได้เรื่อง นับแต่นั้นเซียวฟงก็ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยกับเขา และไม่ชอบที่เซียวจิ้งเข้ามาเป็นทหาร
ส่วนหลานชายของเขาผู้นี้ ก็นิสัยเย็นชาไม่สนใจบิดาเท่าที่ควร ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก
เดินมาได้ไม่นานก็ถึงหน้าตำหนักมังกรสวรรคฺ์ ฮ่องเต้เซียวหลางจึงเอ่ยขึ้นมา
"หลายวันก่อนเซียวหลิงและเซียวหลงต่างเอ่ยว่าคิดถึงเจ้า หากมีเวลาก็มาสนทนาเป็นเพื่อนกับพวกเขาหน่อย อย่างไรก็เป็นพี่น้องกัน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้พูดคุยกันแล้ว เซียวจิ้งจึงขอตัวกลับไปที่เหลาสุราของตน ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถม้าเขาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เมื่อสองปีก่อน เขายังอยู่ที่ชายแดน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ามารดาเลี้ยงและน้องชายอยากให้เขาตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงขนาดรอไม่ไหวส่งนักฆ่ามาสังหารเขาแต่กลับไม่สำเร็จ
เดิมทีเขาไม่อยากคิดสิ่งใดให้มากความ แต่เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนั้นมันทำให้เขาเริ่มคิดขึ้นมาว่า การตายของท่านแม่อาจจะเกี่ยวกับมารดาเลี้ยงของเขา
แต่เพราะเรื่องราวผ่านมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งพยานหลักฐานย่อมอาจถูกทำลายไปจนหมดและยามนั้นเขาก็ยังไม่มีอำนาจและกำลังคนไม่พอ จึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรวจสอบจากตรงไหนก่อนดี
ครั้งนี้ได้กลับมาเมืองหลวงแล้วและคนของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย เขาคงจะต้องหาทางสืบเรื่องราวของหลี่ฟางให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียแล้ว
เซียวจิ้งยื่นมือขึ้นไปเปิดผ้าม่านรถม้าออก ก่อนที่สายตาของเขาจะเห็นใครคนหนึ่งที่กำลังสั่งให้สาวใช้ช่วยขนโคมไฟขึ้นรถม้า
นั่นมันจางเหมี่ยวลี่ใช่หรือไม่?
นางจะซื้อโคมไฟมากมายไปทำอะไรกัน?
ด้านเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ ยามนี้นางกำลังให้สาวใช้ช่วยกันยกโคมไฟเข้าไปไว้ในรถม้า อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว ผู้คนจึงนิยมซื้อโคมไฟไปประดับประดาตกแต่งจวนของตนอีกทั้งที่แคว้นฟงหลิงนอกจากจะมีการประดับประดาโคมแล้ว ยังมีการลอยโคมในแม่น้ำเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับจากไปแล้วอีกด้วย เจี่ยงหร่านจึงตั้งใจว่าจะไปลอยโคมให้คนตระกูลเจี่ยงหวังให้แสงสว่างจากโคมไฟส่องนำทางให้พวกเขาเดินทางไปปรโลกได้อย่างราบรื่นสงบสุข"คุณหนูเจ้าคะ เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ โคมไฟทั้งหมดสาวใช้นำขึ้นรถม้าหมดแล้ว""ดีมาก จริงสิ พวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว เยว่ซินเจ้าไปซื้อบะหมี่มากินคนละชามข้าจ่ายเอง""เจ้าค่ะ"เยว่ซินรับคำและยิ้มอย่างอารมณ์ดี ระยะหลังมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับนิสัยใหม่ของคุณหนู ซ้ำยังภาวนาให้จางเหมี่ยวลี่เป็นเช่นนี้ตลอดไป เพราะนางทั้งได้กินอิ่มและไม่ถูกทุบตีเซียวจิ้งมองดูจางเหมี่ยวลี่ที่นั่งกินบะหมี่กับเหล่าสาวใช้และคนขับรถม้า เขาก็แอบแปลกใจจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากจะไม่ชอบกินของข้างทางเช่นนี้แล้ว จางเหมี่ยวลี่ยังไม่อนุญาตให้บ่าวรับใช้เสนอหน้ามาเข้าใกล้โต๊ะอาหารของนาง มีครั้งหนึ่งเขาไปที่จวนตระกูลจางแล
เมื่อลงมาจากรถม้าแล้ว เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ก็มองดูบริเวณโดยรอบครู่หนึ่ง ที่แคว้นซ่งของนางก็มีงานเทศกาลเช่นนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังจัดได้ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากแคว้นฟงหลิงเลยแม้แต่น้อย ผู้คนล้วนออกมาเที่ยวชมงานกันอย่างคึกคักสนุกนานมีครั้งหนึ่งนางไม่ได้มีงานให้ต้องจัดการในค่ายทหาร นางจึงอยากจะชวนฉู่อี้เฉินไปด้วยกัน แต่เขาอ้างว่ามีเรื่องด่วนให้ต้องจัดการ นางจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงออกไปเที่ยวคนเดียว นางเดินเที่ยวเล่นจนรู้สึกว่าเบื่อแล้ว จึงคิดจะกลับ แต่ระหว่างทางกลับได้พบกับฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยากำลังเดินเที่ยวชมงานด้วยกันยามนั้นนางไม่ได้คิดสิ่งใดมากมายนัก อีกทั้งฉู่อี้เฉินยังบอกว่าเดิมทีสะสางงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไปหานางที่จวน แต่บ่าวที่จวนบอกว่านางมาเดินเที่ยวงานเขาจึงออกมาตามหา ประจวบเหมาะกับที่พบเจอฟ่านเหยาพอดี จึงถามว่าเจอนางหรือไม่ คนทั้งสองจึงมาเดินตามหานางจางเหมี่ยวลี่รู้สึกเย้ยหยันตนเองอยู่ในใจ นางช่างโง่เง่าไร้เดียงสายิ่งนัก ไม่ประสาเรื่องชายหญิง หลงเชื่อชายโฉดหญิงชั่วอย่างหมดใจนางกับฟ่านเหยาที่ผ่านมานับว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ฟ่านเหยามักจะแนะนำเรื่องเครื่องประทินโฉ
หลังจากเทศกาลโคมไฟผ่านพ้นไป เซียวจิ้งได้แต่คิดในใจว่าเขาจะต้องมองจางเหมี่ยวลี่ใหม่แล้วตั้งแต่นางฟื้นจากความตายก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขาไม่เชื่อเรื่องที่ว่าจะมีผีหรือวิญญาณมาสิงร่างนาง และไม่เชื่อว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้เพียงชั่วข้ามคืนนี่คือปริศนาที่ทำให้เขาสงสัย เพราะนางคือหญิงสาวที่ต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขา หากวันดีคืนดีนิสัยเดิมของนางกลับมา เขาคงปวดหัวไม่น้อยเพราะฉะนั้น เขาจึงอยากจับตาดูนาง ดูว่าทุกสิ่งที่เป็นไปในยามนี้เป็นเพราะนางเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่เมื่องานสมรสพระราชทานยังไม่ได้กำหนดวัน เสด็จลุงเห็นใจที่เขาต้องแต่งงานทั้งที่ไม่เต็มใจ จึงถือเอาฤกษ์สะดวก แม่ทัพใหญ่จางเองก็ไม่อยากจะเร่งรัดเขา จึงรอเพียงวันใดที่เขาพร้อมแล้วค่อยแต่งก็ย่อมได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่นางขอเลื่อนการแต่งงาน ในใจของเซียวจิ้งคิดว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ระหว่างที่เลื่อนงานออกไปนั้นเขาจะได้จับตาดูความเป็นไปของนางได้ยาวนานขึ้นวันเวลาล่วงเลยมา จนถึงวันที่ใกล้จะเปิดรับสมัครทหารหญิง เจี่ยงหร่านในจางเหมี่ยวลี่นำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของตน แม่ทัพใหญ่จางนั้นนอกจากจะไม่คัดค้านแล้วยังสนับสนุน เพียงแต่ว่าน
หลายวันต่อมาก็มีราชโองการจากราชสำนักออกประกาศเปิดรับสมัครสตรี ที่มีความสามารถจากทั่วทั้งแคว้นฟงหลิง เข้ามาเป็นทหารหญิงในค่ายทหาร ซึ่งถือเป็นครั้งแรก การเปิดรับสตรีเข้าค่ายทหารมี กฎระเบียบระบุเอาไว้ว่า หญิงสาวที่จะเข้าร่วมต้องยังไม่แต่งงาน มีอายุไม่เกินยี่สิบปี เมื่อพวกนางผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว จะต้องเข้าไปฝึกในค่ายทหารหญิงที่จัดเตรียมให้สตรีโดยเฉพาะเมื่อฝึกฝนจนผ่านทุกด่านได้แล้ว ก็จะได้รับพระราชทานตำแหน่งในราชสำนักหรือเข้าร่วมกองทัพแห่งแคว้นออกรบกับบุรุษได้ต่างมีเสียงวิพากวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าเป็นผู้หญิงจะไหวหรือ อีกทั้งการฝึกก็เหมือนกับบุรษทุกอย่าง ที่สำคัญแม่ทัพใหญ่จางและรองแม่ทัพเซียว ก็มาคุมการฝึกซ้อมด้วยตนเอง การฝึกทหารหญิงค่อนข้างเข้มงวดไม่ต่างจากบุรุษเลยด้วยซ้ำเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางแต่งกายอย่างทะมัดทะแมง จัดการรวบผมขึ้นเป็นทรงหางม้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่รับสมัครทหารหญิงในทันที เมื่อมาถึงก็พบกับหญิงสาวมากมายที่มาสมัคร พวกนางล้วนไม่ได้มีหน้าตางดงาม แต่ร่างกายกลับกำยำบึกบึนกว่าสตรีน้อยใหญ่ในเมืองหลวง อีกทั้งยังดูมีพละกำลังมากมายอีกด้วย
เพียงแค่การฝึกในวันแรกนั้น ผู้หญิงหลายคนก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไปหลายต่อหลายครั้ง เจี่ยงหร่านยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะมองดูเหล่าสตรีร่างกายบึกบึนหลายคนที่ถูกหามกลับไปที่ห้องพัก แม้ร่างกายจะใหญ่โตแต่เพราะไม่เคยผ่านการฝึกเช่นนี้มาก่อน จึงทำให้ร่างกายรับไม่ไหว เรื่องนี้นางเองเข้าใจดี เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ยังอยู่ในร่างเดิม เจี่ยงหร่านก็ผ่านการฝึกอย่างหนักเช่นเดียวกัน ซ้ำยังต้องฝึกร่วมกับบุรุษอีกด้วยเจี่ยงหร่านหันไปมองโจวลี่และอากัวที่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างกายนาง คนทั้งสองยิ้มซื่อๆ ให้นาง ใบหน้าดูเหนื่อยล้าไม่ต่างจากนางมากนัก อากัวหันมามองจางเหมี่ยวลี่ แล้วชมเชยเป็นการใหญ่"เจ้าใช้ได้นี่ ครั้งแรกข้าเห็นเจ้าบอบบาง ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ด้วย คาดไม่ถึงว่าจะแข็งแรงขนาดนี้"โจวลี่ที่ได้ยินอากัวเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้า ก่อนเสริมขึ้นว่า"นั่นสิ ปกติพวกคุณหนูในเมืองหลวงน่ะ บอบบางราวกับต้นหลิว แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น"เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ได้ยินก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดซึมออกตามใบหน้า พร้อมกับสนทนากับโจวลี่และอากัวอย่างสนิทสนม เซียวจิ้งที่มองดูอยู่บนหอสังเกตกา
ข่าวที่สตรีนางนั้นถูกไล่ออกจากค่ายทหารสร้างความฮือฮาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทุกคนก็เห็นกับตาว่านางรังแกคนอื่นก่อน เรื่องนี้จึงไม่มีใครกล้ากล่าวโทษจางเหมี่ยวลี่ว่านางใช้อำนาจในทางมิชอบอีกช่วงเย็น เจี่ยงหร่านถูกลงโทษไม่ให้กินอาหารเย็น นางเองก็หิวอยู่บ้าง แต่ในเมื่อมีคำสั่งมาแล้วนางก็ไม่อยากขัดคำสั่ง จึงออกมายืนรับลมเล่นมองดูสิ่งต่างๆรอบตัวเมื่อครู่นี้ตอนที่ยังอยู่ในห้องพัก โจวลี่และอากัวลอบนำอาหารแห้งมาให้นาง แต่นางบอกไปว่าไม่เป็นอะไรนางทนได้ พวกเขาทั้งสองมองนางด้วยแววตาที่เห็นอกเห็นใจค่ำคืนนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย เจี่ยงหร่านหย่อนกายลงนั่งที่ใต้ต้นไม้ นางเอนกายพิงต้นไม้พลางชันเข่าขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้ามองดูดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้านางคิดถึงท่านพ่อท่านแม่เหลือเกิน แต่ยามนี้แคว้นซ่งไม่มีพื้นที่ให้นางเยียบย่างเข้าไปได้อีกแล้วหญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า การต้องมาอยู่ในร่างนี้เท่ากับต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่นางจะได้ก้าวเข้าสู่สมรภูมิสงคราม ใช้ดาบปลิดชีพคนชั่วช้าเช่นฉู่อี้เฉินได้"เพิ่งจะเข้าค่ายทหารมาได้เพียงไม่กี่วัน เจ้าก็ถอนหายใจเสียแล้วหรือ"เสียงของบุรุษที
เช้าวันต่อมา ทุกคนตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาฝึกร่างกายวิ่งรอบค่ายทหารกันเหมือนเดิม ครูฝึกทหารแจ้งไว้ว่า อีกไม่กี่วันจะให้พวกนางเดินทางออกจากค่าย มุ่งหน้าสู่ภูเขาที่นอกเมือง เพื่อทำการฝึกนอกสถานที่ ให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมในป่าครั้งนี้องค์หญิงเซียวหลิงจะติดตามไปด้วย และองค์หญิงเองก็จะเข้าร่วมฝึกกับทุกคนเป็นกรณีพิเศษ เหล่าทหารหญิงในค่ายที่ได้ยินก็ลอบสูดปากอุทานในใจ จะมีองค์หญิงเข้ามาฝึกด้วยเชียวหรือ พวกนางจะต้องหาทางประจบองค์หญิงเข้าไว้ จะได้มีอำนาจวาสนาและอาจจะได้เลื่อนขั้นมีหน้ามีตาเร็ววันเจี่ยงหร่านที่อยู่ในร่างจางเหมี่ยวลี่เมื่อได้ยินว่าจะมีองค์หญิงมาร่วมฝึกด้วย ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร คิดเพียงว่าฮ่องเต้คงเห็นว่าองค์หญิงอยู่่ว่างๆ จึงให้มาฝึกร่างกายแก้เบื่อกระมัง?ด้านเซียวจิ้งนั้น วันนี้เขาเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับฮ่องเต้เซียวหลางได้สดับรับฟัง ฮ่องเต้ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะซักไซ้ด้วยความสนอกสนใจ"เป็นอย่างไรบ้าง พวกนางทำดีหรือไม่ เพราะแคว้นฟงหลิงยังไม่เคยมีทหารหญิงมาก่อน จึงต้องให้เจ้าและแม่ทัพใหญ่จางไปคอยควบคุมการฝึก ได้ยินว่าจางเหมี่ยวลี่คู่หมั้นขอ
เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นก็นิ่วหน้า ดวงตาคู่สวยมองไปเหล่าทหารหญิงที่ยืนอยู่ในมือถือยันต์สาปแช่งไว้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายเซียวจิ้งสั่งให้คนนำยันต์สาปแช่งมาให้เขาดู เมื่อพิจารณามองดูแล้วก็พบว่ามันคือยันต์ที่จางเหมี่ยวลี่ชอบใช้เป็นประจำที่เขารู้ก็เพราะตอนที่แอบไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของนาง เขาเคยเห็นนางใช้มันมาก่อนเมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มก็เงยหน้าไปจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่เคร่งขรึม"กฎของค่ายทหารคือห้ามนำของเหล่านี้ติดตัวมา เจ้าแอบฝ่าฝืนเช่นนั้นหรือ"เจี่ยงหร่านที่ได้ยิน ก็จ้องมองเซียวจิ้งอย่างไม่ครั่นคร้าม ก่อนจะเอ่ย"มันไม่ใช่ของข้า"เมื่อนางพูดจบ เหล่าทหารหญิงที่ถือยันต์เมื่อครู่พลันโต้แย้งขึ้นมา"จะไม่ใช่ได้อย่างไร แต่ไหนแต่ไรชื่อเสียงของเจ้าก็ย่ำแย่มาโดยตลอด เจ้าสาปแช่งคนอื่น ทำตัวเป็นปรปักษ์กับสตรีทุกคนในเมืองหลวง เพียงเพราะหึงหวง...."สตรีนางนั้นยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ถูกสายตาเย็นชาของเซียวจิ้งปรายตามอง นางจึงเงียบปากลงไปในทันที จางเหมี่ยวลี่มองสตรีนางนั้นก่อนจะแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ"มันไม่ใช่ของข้า แล้วอีกอย่างเจ้ากล่าวหาว่าข้าเล่นของใช้ยันต์สาปแช่ง
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ
หลายวันต่อมา ฮ่องเต้เซียวหลางก็มีรับสั่งให้คณะทูตของแคว้นซ่งเข้าเฝ้า จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับอย่างสมเกียรติ และยังให้ขุนนางชั้นสูงรวมถึงบุตรสาวและฮูหยินเอกเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าเจี่ยงหร่านเองก็ต้องร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกันเจี่ยงหร่านวันนี้สวมชุดขุนนางหญิง ที่ทางราชสำนักเพิ่งตัดส่งมาให้เข้าร่วมงานตามตำแหน่งทางการทหารของนาง หญิงสาวเดินเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยท่าทีองอาจผึ่งผาย เซียวหลิงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาทักทายนาง ก่อนจะดึงนางให้ไปลองชิมขนมที่ตนเพิ่งทำขึ้นมาใหม่ เจี่ยงหร่านอยู่สนทนากับเซียวหลิงได้ไม่นาน ก็ต้องกลับมานั่งประจำตำแหน่งที่เดิมของตน ไม่นานนัก ขันทีก็ประกาศว่าฮ่องเต้เซียวหลางเสด็จมาถึงแล้ว ทุกคนจึงรีบลุกขึ้นและอยู่ในความสงบฮ่องเต้เซียวหลางเดินเข้ามาพร้อมกับฮองเฮาของตน ส่วนเซียวจิ้งนั้นยามเดินอยู่ด้านหลังพร้อมกับบิดาและมารดาเลี้ยง ทั้งยังมีเซียวกั๋วมาร่วมงานด้วย อย่างไรเสียก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แม้ในยามปกติจะไม่ลงรอยกันมากเพียงใด แต่เมื่อมีคนต่างแคว้นเข้ามา ย่อมต้องแสดงออกว่าพี่น้องรักใคร่กันดีเพื่อไม่ให้ศัตรูมองเห็นจุดอ่อนได้"ทุกคนลุกขึ้นเถ
ด้านเจี่ยงหร่านที่ได้รับทราบว่าผู้นำคณะทูตเดินทางมาสวามิภักดิ์ในครั้งนี้ก็คือราชครูฟ่านบิดาของฟ่านเหยา ถ้วยชาในมือถูกกำเอาไว้แน่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินออกจากเรือนมุ่งหน้าไปที่รถม้า นางบอกเยว่ซินว่าจะไปที่หอสุราจิ๋นฮวา อีกทั้งยังไม่ให้เยว่ซินตามไปด้วยเมื่อมาถึงนางมุ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ลุงหม่าเองระยะหลังมานี้ เริ่มจะคุ้นเคยกับเจี่ยงหรานมากขึ้น เมื่อนางมาถึงเขามักจะจัดห้องที่ด่ีที่สุดให้ และสั่งให้คนนำสุราชั้นดีส่งให้นางอย่างรู้งานวันนี้เซียวจิ้งเองก็มิได้มีงานเร่งด่วน เมื่อได้ยินว่าเจี่ยงหร่านต้องการพบเขา และรออยู่ชั้นสองของเหลาสุรา ชายหนุ่มก็รีบตรงมาหานางทันที เมื่อมาถึงก็พบว่า ในห้องมีเจี่ยงเฮ่าอยู่ด้วย เจี่ยงเฮ่ายิ้มให้เซียวจิ้งอย่างนอบน้อม เซียวจิ้งเองก็ยิ้มตอบอย่างมีมารยาท แล้วเดินเข้ามานั่งลงข้างกายของเจี่ยงหร่านและถามขึ้นมา"เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ ให้คนส่งจดหมายมาก็ได้ ข้าจะรีบไปหาเจ้าเอง"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาได้ แล้วพูดว่า"เซียวจิ้ง ที่ข้ามาพบท่านครั้งนี้เพราะมีเรื่องที่อยากขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ข้าคิดไตร่ตรองมาทั้งคืนแล้ว"เซียวจิ้ง
เซียวจิ้งเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้เจี่ยงหร่าน อย่างแผ่วเบา เอ่ยกับนางว่า"อาหร่าน เจ้าอย่าให้ความเกลียดชังกัดกินจิตใจเจ้าจนทุกข์ทรมานเลยนะ"เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่เงยหน้าขึ้นมามองเซียวจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อครู่เพราะนางถูกความโกรธแค้นครอบงำจิตใจมากเกินไป จึงทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ"ทำไมหรือสหายเซียว ท่านกลัวข้าถลำลึกเช่นนั้นหรือ""ข้ากลัวเจ้าไม่มีความสุข ข้าอยากเห็นเจ้ามีสุขไร้ทุกข์กังวล"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักไปอึดใจ คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่นางกำลังจะถลำลึกจนถูกความแค้นกัดกินครอบงำจิตใจ ทว่าเซียวจิ้งกลับสามารถดึงนางขึ้นมาจากหลุมดำภายในจิตใจได้ทุกครั้งเขาเหมือนแสงสว่างที่ส่องประกายเจิดจ้าและงดงามยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเจี่ยงหร่านมีสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมาทันที"แม้นางจะตั้งครรภ์ แต่ได้ยินว่าระยะหลังมานี้สุขภาพไม่สู้ดีเท่าใดนัก มักจะอารมณ์เสียจนเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง แต่นางมีโทสะเรื่องใดนัั้นคนของข้ายังสืบได้ไม่แน่ชัด"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มน้อยๆ"สหา