ด้านเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ ยามนี้นางกำลังให้สาวใช้ช่วยกันยกโคมไฟเข้าไปไว้ในรถม้า อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว ผู้คนจึงนิยมซื้อโคมไฟไปประดับประดาตกแต่งจวนของตน
อีกทั้งที่แคว้นฟงหลิงนอกจากจะมีการประดับประดาโคมแล้ว ยังมีการลอยโคมในแม่น้ำเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับจากไปแล้วอีกด้วย เจี่ยงหร่านจึงตั้งใจว่าจะไปลอยโคมให้คนตระกูลเจี่ยงหวังให้แสงสว่างจากโคมไฟส่องนำทางให้พวกเขาเดินทางไปปรโลกได้อย่างราบรื่นสงบสุข
"คุณหนูเจ้าคะ เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ โคมไฟทั้งหมดสาวใช้นำขึ้นรถม้าหมดแล้ว"
"ดีมาก จริงสิ พวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว เยว่ซินเจ้าไปซื้อบะหมี่มากินคนละชามข้าจ่ายเอง"
"เจ้าค่ะ"
เยว่ซินรับคำและยิ้มอย่างอารมณ์ดี ระยะหลังมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับนิสัยใหม่ของคุณหนู ซ้ำยังภาวนาให้จางเหมี่ยวลี่เป็นเช่นนี้ตลอดไป เพราะนางทั้งได้กินอิ่มและไม่ถูกทุบตี
เซียวจิ้งมองดูจางเหมี่ยวลี่ที่นั่งกินบะหมี่กับเหล่าสาวใช้และคนขับรถม้า เขาก็แอบแปลกใจจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากจะไม่ชอบกินของข้างทางเช่นนี้แล้ว จางเหมี่ยวลี่ยังไม่อนุญาตให้บ่าวรับใช้เสนอหน้ามาเข้าใกล้โต๊ะอาหารของนาง มีครั้งหนึ่งเขาไปที่จวนตระกูลจางและเห็นว่านางตบตีสาวใช้เพียงเพราะสาวใช้ปรนนิบัตินางกินอาหารช้า
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่นางทำดีต่อบ่าวไพร่เช่นนี้
การเปลี่ยนแปลงของจางเหมี่ยวลี่ทำให้เซียวจิ้งสงสัยไม่น้อยเลย
ด้านเจี่ยงหร่านที่รู้สึกว่ามีคนมองตนอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพบกับเซียวจิ้งที่กำลังนั่งอยู่ในรถม้าและจ้องมองนางด้วยความฉงนสงสัย เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงยกมือขึ้นทักทายเซียวจิ้งทันที เซียวจิ้งหลบไม่ทันเขาจึงปั้นหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ
"ท่านพี่จิ้ง ไม่คิดว่าท่านจะผ่านทางมาพอดี รอก่อนสักครู่นะ"
เอ่ยจบนางก็เดินไปสั่งบะหมี่มาอีกชาม ก่อนจะเดินมาที่รถม้าของเขาและยื่นชามบะหมี่ให้เขา เซียวจิ้งปรายตามองบะหมี่ชามนั้นในหัวพลันผุดภาพหนึ่งขึ้นมา
ภาพที่นางสวดคาถาพึมพำบางอย่างและกัดนิ้วตนเองหยดเลือดจากปลายนิ้วลงไปในอาหารที่นำมาให้เขา เซียวจิ้งถึงกับพูดไม่ออก
เจี่ยงหร่านที่เห็นว่าเซียวจิ้งไม่รับชามบะหมี่ไปเสียทีจึงคะยั้นคะยอขึ้นมา
"กินหน่อยเถอะน่า ข้าไม่ได้ทำของอันใดใส่ลงไปหรอก"
เซียวจิ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่รับชามบะหมี่ไป เจี่ยงหร่านจึงฉุนเฉียวขึ้นมาบ้างแล้ว
"กินๆไปเถอะนะ กลัวอันใดกัน จะกินไม่กิน ไม่กล้ากินข้ากินให้ดูก่อนก็ได้"
เอ่ยจบนางก็ยกชามบะหมี่ขึ้นกิน พร้อมกับยกชามกระดกน้ำซุปที่เหลือลงคอรวดเดียวหมด
เซียวจิ้ง "....."
"ไอ๊หยา ขออภัย ข้าเผลอกินหมดชามเลย เช่นนั้นข้าจะไปซื้อให้ท่านใหม่ดีหรือไม่”
"ไม่ต้อง ข้าจะกลับแล้ว หลีกไปอย่าเกะกะขวางทางข้า"
กล่าวจบเขาก็สั่งให้คนขับรถม้าจากไปทันที เจี่ยงหร่านทีเห็นเช่นนั้นก็โคลงศีรษะ นิสัยกินของยากของเซียวจิ้งนี่แก้ไม่หายเลยจริงๆ
ด้านเซียวจิ้งนั้นเมื่อกลับมาถึงเหลาสุราแล้ว เขาก็พลันนึกถึงจางเหมี่ยวลี่ขึ้นมา
ท่าทางการพูดของนางเหมือนกับคนๆ หนึ่งที่เขาไม่เคยลืมเลือนไปจากหัวใจ
เจี่ยงหร่าน…
ครั้งหนึ่งเขาและนางติดอยู่ในป่าด้วยกันเพราะหิมะตกหนัก อากาศรอบด้านค่อนข้างหนาวเย็น อาหารก็ไม่มี เดิมทีเขานัดนางมาพบแต่ไม่คาดคิดว่าหิมะจะตกหนักจนปิดทางลงเขา ยามนั้นมีงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านมา เจี่ยงหร่านจึงจับมันมาตุ๋นน้ำแกงกินเพื่อประทังความหิวและให้ร่างกายอบอุ่น นางกินได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ต่างจากเขาที่แม้จะอยู่ในสนามรบแต่กลับไม่ได้ขาดแคลนอาหารการกิน เขากินไม่ลงนางจึงกินให้เขาดูก่อน แต่เพราะนางลืมตัวจึงกินจนหมด นางยิ้มแหยๆ ให้เขาและบอกว่าจะไปจับงูมาตุ๋นน้ำแกงให้เขาใหม่ ดื่มน้ำแกงงูดีต่อสุขภาพเพราะถือเป็นยาอายุวัฒนะ เขาทนไม่ไหวจึงอาเจียนออกมา นางคิดว่าเขาหิวจนอยากอาเจียน จึงคะยั้นคะยอเขาว่าให้กินน้ำแกงงูเถอะนางจะไปจับมาตุ๋นให้อีกครั้ง
เซียวจิ้งคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา ยามที่คิดถึงเจี่ยงหร่านเขามักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
น่าเสียดายที่นางอายุสั้นเกินไป
เซียวจิ้งสลัดความคิดจากเรื่องของเจี่ยงหร่าน ก่อนจะหวนคิดถึงจางเหมี่ยวลี่อีกครา เรื่องที่นางอยากเข้าค่ายทหารดูแล้วมิได้พูดเล่น เขาไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ หลายวันมานี้เขาเดาใจของนางไม่ออกเลย
สองวันต่อมาเมืองหลวงแคว้นฟงหลิงก็จัดงานเทศกาลโคมไฟขึ้น ผู้คนต่างไปเที่ยวชมงานที่จัดขึ้นในเมืองหลวง เดิมทีเจี่ยงหร่านก็คิดจะชวนเยว่ซินไปด้วยกัน แต่ในระหว่างที่นางกำลังเตรียมตัว ก็มีสาวใช้มาแจ้งว่าเซียวจิ้งมารออยู่ที่เรือนใหญ่แล้ว
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าเขาจะมารอนางทำไม ด้านเยว่ซินที่เห็นว่าเจ้านายของตนมีท่าทางสงสัย จึงเตือนขึ้นมาว่า
"คุณหนูลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ เมื่อถึงเทศกาลโคมไฟเมื่อใด ซื่อจื่อจะมารับคุณหนูไปเที่ยวเสมอ"
"จริงหรือ"
"เจ้าค่ะ ท่านและซื่อจื่อเป็นคู่หมั้นกัน การไปเที่ยวงานด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดาเจ้าค่ะ รีบไปเถอะเจ้าค่ะ ซื่อจื่อคงรอนานแล้ว"
เจี่ยงหร่านยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดก็ถูกเยว่ซินดึงมาที่เรือนใหญ่เสียแล้ว เมื่อมาถึงก็พบกับเซียวจิ้งที่กำลังสนทนากับบิดาและมารดาของจางเหมี่ยวลี่ ส่วนพี่ชายของนางไม่รู้ว่ายามนี้อยู่ที่ใด คงจะออกไปเที่ยวงานโคมไฟแล้วกระมัง
แม่ทัพใหญ่จางที่เห็นว่าบุตรสาวของตนมาแล้วก็ยิ้มก่อนจะเอ่ย
"เหมี่ยวเอ๋อร์มาแล้ว ซื่อจื่อมารอเจ้านานแล้ว เที่ยวให้สนุกล่ะ ซื่อจื่อ ข้าฝากดูแลเหมี่ยวเอ๋อร์ด้วย"
"ขอรับ"
เซียวจิ้งรับคำ ก่อนจะเดินเข้ามาหาจางเหมี่ยวลี่ ถึงแม้ไม่อยากไปกับนาง แต่เพราะมีครั้งหนึ่งเขาไม่พานางไปเที่ยว นางถึงกับตามไปอาละวาดเขาในงาน ยามนั้นเขากำลังเดินเที่ยวเล่นคนเดียวและมีแม่นางน้อยมาทักทายด้วย เมื่อจางเหมี่ยวลี่มาเห็นว่าเขาพูดคุยกับสตรีนางอื่น นางจึงจัดการทำลายโคมไฟทุกดวงในร้านขายโคมและตบตีสตรีที่พูดคุยเขา จนต้องพานางกลับจวน นางต่อว่าหากเขาไม่พานางไปด้วยอีกนางจะทำเช่นนี้ทุกปี
เซียวจิ้งไม่ชอบเรื่องวุ่นวายจึงรับปากนางอย่างส่งๆ อีกทั้งเป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าแม่ทัพใหญ่จางและความสัมพันธ์ที่เสด็จลุงและแม่ทัพใหญ่จางเป็นสหายสนิทกันตั้งแต่วัยเยาว์ เขาจึงไม่อยากทำให้มันเป็นปัญหาใหญ่
นับแต่นั้น เขาจึงมารับจางเหมี่ยวลี่ไปเที่ยวงานโคมด้วยกันอยู่เสมอ
คนทั้งสองเดินมาถึงรถม้า เจี่ยงหร่านหอบหิ้วเอาโคมมาด้วย น้ำหนักมันน้อยนางเลยถือติดมือมาสามอัน ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยกัน ระหว่างทางเซียวจิ้งไม่พูดไม่จาสักคำ เจี่ยงหร่านเองก็ไม่รู้ว่าจะชวนเขาพูดคุยเรื่องใด หากยังอยู่ในร่างเดิมตอนที่เป็นเจียงหร่านยามนี้นางกับเขาคงนั่งกอดคอสนทนาพลางดื่มสุราด้วยกันไปแล้ว
เมื่อรถม้าหยุดลง เซียวจิ้งก็ลงมาจากรถม้าก่อน แล้วจึงรอให้นางเดินมาก่อนจะยื่นมือมาให้นางจับ เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นจึงยกมือขึ้นโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
"ไม่ต้องหรอก ข้าลงได้สบายมาก"
เอ่ยจบนางก็ยกชายกระโปรงขึ้น ก่อนจะกระโดดลงมาจากรถม้าแล้วหยิบโคมไฟมาด้วย
เซียวจิ้ง"......."
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ