Home / รักโบราณ / ยอดบุปผาโฉมสะคราญ / บทที่ 8 เงื่อนงำการตายและการลอบสังหาร

Share

บทที่ 8 เงื่อนงำการตายและการลอบสังหาร

last update Last Updated: 2025-04-21 15:01:53

เมื่อฝึกจนเหงื่อออกไปทั่วทั้งร่างกายแล้ว เจี่ยงหร่านก็กลับมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่เรือน

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางก็ให้เยว่ซินตุ๋นน้ำแกงสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้นางดื่มแทนน้ำแกงรกเด็กที่น่ากลัวถ้วยนั้น เมื่อได้ดื่มน้ำแกงสมุนไพรร่างกายของนางก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือมีอยู่วันหนึ่งนางมีระดู เดิมทีหญิงสาวมีระดูก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่นางกลับปวดท้องอย่างหนักหน่วง และระดูที่ไหลออกมาล้วนเป็นเลือดสีดำเข้มจนน่ากลัว แรกเริ่มนางไม่คิดอะไรมาก แต่กระทั่งเดือนต่อมานางก็ยังมีอาการเช่นนี้อยู่อีก เจี่ยงหร่านจึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ

อาการเหมือนกับคนที่โดนพิษและยังขับพิษออกไม่หมดอย่างไรอย่างนั้น แต่เป็นพิษชนิดใดนางเองก็มิอาจรู้ได้ และไม่รู้ว่ามันจะส่งผลใดต่อชีวิตของนางในกาลต่อไปอย่างไรบ้าง

เจี่ยงหร่านครุ่นคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก จนกระทั่งนางรู้สึกว่าการตายของเจ้าของร่างเดิมอาจจะมีเงื่อนงำก็เป็นได้

หรือว่าร่างเดิมไม่ได้ตายเพราะล้มป่วย แต่ถูกวางยาพิษเช่นนั้นหรือ แล้วผู้ใดกันที่วางยาพิษนาง?

แล้วคนที่ลงมือเป็นผู้ใด และจุดประสงค์ที่สังหารจางเหมี่ยวลี่คือสิ่งใด?

น่าปวดหัวยิ่งนัก หากไม่รีบหาทางถอนพิษที่เหลือออกไปจากร่างกาย มันจะส่งผลต่อสุขภาพของนางเป็นแน่ หากได้เข้าค่ายทหารแล้วมีอาการเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องถูกคัดออก ในค่ายทหารย่อมไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์และคนป่วยเอาไว้เป็นแน่

เวลานี้มีทางเดียวคือต้องบำรุงร่างกายให้ดีก่อน

เมื่อคิดได้ดังนั้นเจี่ยงหร่านก็สั่งให้เยว่ซินไปหาซื้อสมุนไพรตามที่นางบอกมาต้ม มันเป็นสมุนไพรสูตรที่นางใช้ดื่มบำรุงร่างกายอยู่เสมอ และห้ามเยว่ซินบอกคนในจวน นางไม่อยากทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เพราะยามนี้อาการก็ยังไม่ได้เลวร้ายเท่าใดนัก

หลายวันต่อจากนั้นจางฮูหยินก็คิดจะไปไหว้พระเพื่อขอพรที่วัดบนเขา ตั้งใจจะพาจางเฉวียนและจางเหมี่ยวลี่ไปด้วย ถึงอย่างไรบุตรชายบุตรสาวก็เพิ่งก้าวจะข้ามผ่านความตายมาได้ ควรจะไหว้พระขอพรให้จิตใจสงบสุขจึงจะถูกต้อง

เช้าตรู่วันต่อมา จางเหมี่ยวลี่ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับมารดาและพี่ชาย ส่วนบิดานางนั้นมีเรื่องให้ต้องจัดการที่ค่ายทหารจึงไม่ได้เดินทางไปด้วยกัน

ระยะทางจากจวนตระกูลจางไปที่วัดบนเขานั้นต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางที่นานอยู่ไม่น้อยเลย ระหว่างทางจางฮูหยินสนทนากับบุตรสาวและบุตรชายอยู่หลายประโยค ทว่าเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่กลับไม่รู้ว่าควรจะสนทนาอันใดกับจางฮูหยินดี นางจึงนั่งฟังเงียบๆ เสียส่วนใหญ่

จางฮูหยินแม้จะสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของบุตรสาว แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ขอเพียงบุตรสาวของนางยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้จะกลายเป็นคนบ้านางก็ยินยอมแล้ว

เดินทางมาราวครึ่งค่อนวัน เวลาสายๆก็มาถึงวัดบนเขา เจี่ยงหร่านมองไปรอบๆ ก็พบว่าบริเวณวัดบนเขาแห่งนี้ค่อนข้างเงียบสงบและร่มรื่นไม่น้อยเลย อีกทั้งยังมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้ไม่ขาดสาย เจี่ยงหร่านเดินเข้าไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ที่อยู่ด้านใน เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเจี่ยงหร่านนางไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านี้ จนกระทั่งวันที่นางตายและวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างของจางเหมี่ยวลี่นางจึงจำต้องเชื่อขึ้นมา

หญิงสาวจุดธูปก่อนจะอธิษฐานขอพร ข้อแรกนางขอให้คนตระกูลเจี่ยง จงเดินทางไปปรโลกอย่างสงบสุข และขอให้วิญญาณของจางเหมี่ยวลี่ ไปสู่สุคติ และขออภัยที่นางยึดครองร่างนี้ของผู้อื่นเอาไว้ ข้อสองนางขอให้ทุกสิ่งที่นางปรารถนาราบรื่นสมดั่งใจหวัง ขอให้ทุกย่างก้าวของนางเป็นไปด้วยความมีสติและประคองตนอยู่บนความถูกต้องไม่หลงเดินทางผิดเช่นในอดีตอีก และข้อสาม ขอให้นางสามารถจัดการสังหารคนชั่วได้สำเร็จ

เมื่ออธิษฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็ปักธูปลง กระถางธูป สายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาปะทะใบหน้าจนเจี่ยงหร่านขนลุกเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองรูปปั้นพระโพธิสัตว์ครู่หนึ่ง

พระโพธิสัตว์จ้องมองลงมาที่นางด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นความเมตตา ราวกับรับรู้ถึงคำขอของนางแล้ว

เมื่อขอพรเรียบร้อยแล้ว นางก็บริจาคค่าน้ำมันตะเกียงและธูปเทียน เมื่อเดินออกมาด้านนอกก็พบกับจางฮูหยินและจางเฉวียนที่ยืนรอนางอยู่ คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ล้วนมองนางด้วยสายตาที่แปลกประหลาด อีกทั้งยังกระซิบกระซาบกัน เพราะนางฝึกวรยุทธ์ย่อมได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

คนเหล่านั้นบอกว่าคนใจมืดบอดเช่นนางวันนี้นึกครึ้มใจอะไรจึงมาเข้าวัดเข้าวากัน มิใช่ว่่าจะมาเผาวัดหรอกนะ?

หรือว่ามนต์ดำย้อนเข้าตัวนาง ดูสิหน้าตาไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย น่าสงสารซื่อจื่อยิ่งนักที่ต้องแต่งนางเป็นภรรยาเวรกรรมแท้ๆ

เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่คร้านจะสนใจสตรีเหล่านั้นที่ลอบนินทานาง หญิงสาวเดินไปหามารดาและพี่ชาย จางฮูหยินมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่ก่อนจะเอ่ย

"แม่ดีใจนักที่เจ้ายอมมาไหว้พระไหว้เจ้า ทุกครั้ง เอ่อ ช่างมันเถอะ"

จางฮูหยินทำเหมือนจะพูดบางอย่าง ทว่ากลับพูดไม่ออก จางเฉวียนที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงกล่าวชักชวนขึ้นมา

"ท่านแม่ มิสู้ไปกินอาหารเจกันดีหรือไม่ขอรับ อาหารเจที่วัดนี้รสชาติดีมาก"

"นั่นสิ เหมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าไปกับแม่เร็วเข้า เฉวียนเอ๋อร์เจ้ามาประคองแม่ที"

จางฮูหยินตอบรับอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องรับรอง ซึ่งทางวัดจัดเตรียมเอาไว้ให้กับผู้ที่เดินทางมากราบไหว้และบริจาคค่าน้ำมันธูปเทียน เจี่ยงหร่านเป็นคนกินง่ายเมื่ออาหารมาถึงนางก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน พบว่ารสชาติอาหารเจอร่อยใช้ได้ จางเฉวียนที่เห็นเช่นนั้น ก็มองดูน้องสาวด้วยแววตาเอื้อเอ็นดู

มิใช่ว่าเขาไม่สงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไปของน้องสาว แต่เขาเองไม่อยากจะคิดอันใดให้มากความ

อย่างไรเสียเขาก็ชอบน้องสาวที่มีนิสัยน่ารักเช่นนี้มากกว่า

หลังจากกินอาหารเจเรียบร้อยแล้ว คนทั้งสามก็สนทนากันเรื่องต่างๆ แต่เจี่ยงหร่านไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของสตรีมากนัก ทั้งเรื่องเครื่องสำอางประทินโฉม ผ้าผ่อนแพรพรรณเสื้อผ้าที่แสนงดงามนางล้วนไม่ชำนาญ แต่หากเป็นเรื่องรบราฆ่าฟัน อาวุธชนิดใดเหมาะจะใช้เป็นอาวุธประจำกายนางยังจะรู้มากกว่าเสียอีก

เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงบ่ายคล้าย จางฮูหยินก็เห็นว่าถึงเวลาที่จะกลับจวนได้แล้ว แต่ยังไม่ทันที่คนทั้งสามจะได้เดินทางกลับ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของบรรดาหญิงสาวและเหล่าบุรุษที่ร้องตะโกนขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงฆ่าฟัน เจี่ยงหร่านนิ่วหน้า ก่อนจะหันไปสบตากับจางเฉวียน

"เสียงเหมือนมีคนกำลังฆ่ากัน"

เมื่อจางเหมี่ยวลี่เอ่ยขึ้นมา จางเฉวียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เขาจึงหันมาสั่งความกับจางเหมี่ยวลี่ทันที

"เจ้าดูท่านแม่ให้ดี ข้าจะออกไปดู"

"ไม่ได้ ท่านเพิ่งจะหายดี อีกทั้งบาดแผลก็เพิ่งจะเข้าที่ ข้าไปดูเองดีกว่า"

“ไม่ได้! เจ้าเป็นสตรี เหมี่ยวเอ๋อร์!"

เขาพูดยังไม่ทันจบจางเหมี่ยวลี่ก็พุ่งทะยานออกไปนอกห้องเสียแล้ว เมื่อมาถึงนางก็พบกับคนชุดดำหลายสิบคนที่กำลังไล่ล่าสังหารคน อีกทั้งยังจุดไฟเผาอารามวัดอย่างไร้ความเคารพ เจี่ยงหร่านขมวดคิ้วแน่น นางรู้สึกว่าเหมือมีบางอย่างผิดปกติ

เดิมที่แคว้นฟงหลิงคงจะต้องมีการคุ้มกันที่แน่นหนา แล้วเหตุใดจึงมีนักฆ่าเหล่านี้ลักลอบเข้ามาได้ อีกทั้งท่าทางของพวกมันก็เหมือนกับกำลังตามล่าสังหารใครบางคนอีกด้วย แต่เพราะหาไม่พบจึงไล่สังหารทุกคนที่พบเจอ

ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็มีคนชุดดำผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหานาง พร้อมกับยกดาบขึ้นหมายจะสังหาร เจี่ยงหร่านที่เห็นแล้ว ก็มองนักฆ่าด้วยใบหน้าเรียบเฉยมิได้แสดงท่าทางตกใจกลัวเลยแม้แต่น้อย นางเบี่ยงกายหลบคมดาบได้ทันท่วงที ก่อนจะยกมือขึ้นและฟาดเข้าไปที่แผ่นหลังของคนชุดดำผู้นั้นอย่างเต็มแรง แล้วจัดการแย่งดาบในมือของมันมาก่อนจะสังหารคนอย่างรวดเร็ว

การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เอกลักษณ์พิเศษของกองกำลังหวังหย่งก็คือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ดาบยาวในมือกวัดแกว่งราวกับพู่กันวาดภาพ เพียงไม่นานเหล่านักฆ่าชุดดำก็เริ่มทยอยล้มตายลงไปทีละคน จางเฉวียนที่เป็นห่วงน้องสาวจึงวิ่งออกมาดูโดยให้เยว่ซินอยู่เป็นเพื่อนมารดาก่อน เมื่อได้ออกมาเห็นภาพตรงหน้าเขาก็ตะลึงงันไปทันที

เมื่อใดกันที่จางเหมี่ยวลี่มีฝีมือเช่นนี้!

คนชุดดำย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง เจี่ยงหร่านที่ประมือกับนักฆ่าไปหลายกระบวนท่ากลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ

วิถีทางการต่อสู้เหมือนกับทหารของแคว้นซ่งที่ฉู่อี้เฉินฝึกฝนเอาไว้ไม่มีผิด

เป็นไปไม่ได้ ฉู่อี้เฉินจะใจกล้าลอบส่งทหารลับเข้ามาในแคว้นฟงหลิงเลยอย่างนั้นหรือ!

เขาเล็ดลอดสายตาที่เข้มงวดกวดขันของทหารแคว้นฟงหลิงมาได้อย่างไรกัน

เหล่านักฆ่าที่เห็นว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจี่ยงหร่านก็คิดจะหนี แต่ในขณะที่พวกเขากำลังคิดจะหลบหนีก็พบว่ามีลูกธนูพุ่งเข้ามาแทงที่ขาจนล้มลงไม่อาจหนีไปได้ เมื่อเจี่ยงหร่านหันไปมองก็พบว่าเป็นเซียวจิ้งนั่นเอง

"คุ้มกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องลงเขาให้หมด!"

บรรดาทหารต่างรับคำ ก่อนจะพาเหล่าชาวบ้านและคนที่มาไหว้พระเดินทางลงเขาไป มีบางส่วนที่ล้มตายเพราะหนีไม่ทัน ส่วนอารามในวัดก็เสียหายไปไม่น้อย แต่โชคดีที่ไต้ซือในวัดปลอดภัยดีและช่วยดับไฟได้ทัน เหล่านักฆ่าถูกรวบตัวกลับไป เซียวจิ้งเดินเข้ามาหาจางเหมี่ยวลี่พลางเอ่ย

"ไม่คิดว่าเจ้าจะมีฝีมือถึงเพียงนี้"

เขาเองก็สงสัยไม่น้อยเช่นกัน เมื่อครู่เขาได้รับรายงานจากสายลับว่ามีคนส่งนักฆ่าไปที่วัดบนเขา เป็นไปได้ว่าเป้าหมายคือจางเฉวียน เพราะจางเฉวียนเป็นบุตรชายแม่ทัพใหญ่ หากสังหารจางเสวียนสำเร็จนอกจากจะทำให้ตระกูลจางสิ้นทายาทสืบสกุลแล้ว ยังสามารถทำให้ขวัญกำลังใจของแม่ทัพใหญ่จางหมดสิ้นลงไปด้วย เขาจึงรีบเร่งรุดมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือจางเสวียน

แต่สิ่งที่เหนือการคาดหมายก็คือ จางเหมี่ยวลี่กลับสังหารนักฆ่าตายไปหลายคน ตอนที่เขามาถึงเห็นนางกำลังต่อสู้อย่างไม่หวาดหวั่น ดวงตานิ่งสงบราวกับเคยผ่านการฆ่าฟันมานับครั้งไม่ถ้วน การเคลื่อนไหวก็รวดเร็วราวกับถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่าทางการต่อสู้ของนางมันทำให้เขาคิดถึงใครบางคนขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เจี่ยงหร่าน!

เซียวจิ้งเคยประมือกับเจี่ยงหร่านในสงครามอยู่หลายครั้งเขาจึงจำท่วงท่าการต่อสู้ของนางได้

จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีทาง!

เขารีบสลัดความคิดที่เป็นไปไม่ได้นี้ออกไปเสีย เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เจี่ยงหร่านตายไปแแล้ว

แต่จางเหมี่ยวลี่ไปเรียนการต่อสู้เหล่านี้มาจากที่ใด นางอยู่แต่จวน ไม่ได้ไปไหน และมีวรยุทธ์เพียงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหลังจากที่นางตายแล้วฟื้นจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปจนน่าประหลาดใจ

เจี่ยงหร่านหันมามองเซียวจิ้ง นางไม่คิดว่าเขาจะมา จึงวางสีหน้าไม่ถูก รีบโยนดาบในมือทิ้งลงไปที่พื้นรีบร้อนแก้ตัวทันที

"ท่านพี่จิ้งชมเกินไปแล้ว เพราะระยะหลังมานี้ข้าฝึกฝนทุกวัน มีพี่ใหญ่ช่วยชี้แนะจึงพอสามารถปกป้องตนเองได้"

ถ่อมตัวเสียด้วย?

เซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ไม่คลาดสายตาราวกับไม่เชื่อคำที่นางเอ่ย ด้านจางฮูหยินนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาบุตรสาวทันที

"เหมี่ยวเอ๋อร์ แม่ตกใจแทบตาย เจ้าบาดเจ็บหรือไม่"

"ไม่เจ้าค่ะ"

"เจ้าอย่าทำเช่นวันนี้อีกนะ แม่กลัวเจ้าจะตายจากไปอีกครั้ง"

จางฮูหยินพูดไปดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา จนทำให้เจี่ยงหร่านรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย ด้านจางเฉวียนเองก็ตำหนิด้วยความเป็นห่วง

"ข้ารู้ว่าเจ้ามีวรยุทธ์ แต่ไม่คิดว่าจะมีฝีมือถึงเพียงนี้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่พวกนั้นฝีมือไม่เท่าไหร่ หากเป็นนักรบเดนตายเจ้าคงไม่สามารถรับมือได้"

เจี่ยงหร่านได้ฟังแล้วก็เพียงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะนึกในใจ

กับท่านข้าก็รับมือได้สบายมาก พี่ชาย!

จางเฉวียนหันไปมองเซียวจิ้ง แล้วซักไซ้ไล่เรียง

"อาจิ้งเจ้ามาได้เช่นไร"

เซียวจิ้งละสายตาจากจางเหมี่ยวลี่ก่อนจะหันมาทำความเคารพจางฮูหยินพลางเอ่ยกับจางเฉวียน

"สายลับของข้ารายงานมาว่า ฉู่อี้เฉินลอบส่งนักฆ่าปะปนเข้ามากับผู้อพยพจากไฟสงคราม คาดว่าจะเข้ามาสังหารเจ้าโดยเฉพาะ"

จางเฉวียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใจหายวาบ เขารู้ดีว่าเพราะเหตุใด ด้วยเพราะเขาเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ พวกมันจึงคิดจะทำลายขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร หากท่านพ่อล้มลง แคว้นฟงหลิงย่อมตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เพราะเหล่าทหารทั้งหมดล้วนขึ้นตรงกับบิดาของเขาทั้งสิ้น

"รีบกลับจวนก่อนเถอะ ข้าจะกลับไปพร้อมเจ้าด้วย"

"ขอบใจเจ้ามากนะอาจิ้ง"

"อืม"

พูดจบก็ยังคงหันมามองจางเหมี่ยวลี่ราวกับจะจับผิด เจี่ยงหร่านที่อยู่ในร่างจางเหมี่ยวลี่ถึงกับร้องโอดครวญในใจ เหตุใดไม่ให้นางไปอยู่ในร่างแม่ทัพใหญ่ หรือคนที่เขาชอบก็ได้ นางจะได้ไม่ต้องอดทนที่เขาส่งสายจับผิดเช่นนี้มองนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เมื่อลงมาจากเขาแล้ว ก็มาถึงจวนตระกูลจางในช่วงเวลาเย็นย่ำ หลังจากส่งทุกคนเข้าจวนอย่างปลอดภัยแล้ว เซียวจิ้งจึงขอตัวกลับ เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินตามเซียวจิ้งมาที่นอกประตูจวน เซียวจิ้งหันมามองนางก่อนจะพูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะ

"เจ้าตามข้ามาทำไม เป็นสตรีไม่ควรเดินตามบุรุษเช่นนี้ หากใครมาเห็นเจ้าจะทำเช่นไร ยางอายมีบ้างหรือไม่ จางเหมี่ยวลี่"

เจี่ยงหร่านถอนหายใจออกมา พร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย อะไรกัน ปากเขานี่มัน!

"ท่านพี่จิ้ง คือว่าข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่านเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ"

เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาเย็นชา เหอะ นางคงจะขอให้เขารับรัก หรือไม่ก็คงจะขอให้เขารีบแต่งงานกับนางเร็วๆ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาใช่หรือไม่?

 เมื่อคิดได้เขาจึงตัดบทขึ้นมาทันที

"เจ้าจะขอเรื่องใด ขอให้ข้ารักเจ้าคนเดียว หรือว่าอยากจะขอให้ข้าแต่งงานกับเจ้าเร็วๆ หรือว่าอยากยกเลิกงานแต่งดีเล่า"

เจี่ยงหร่านที่ได้เช่นนั้น ก็ลอบนับถือเซียวจิ้งในใจ เขาเดาถูกเลยยอดเยี่ยมจริงๆ

เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะตอบ

"ท่านพี่จิ้งช่างเดาใจข้าถูกต้องเลยเจ้าค่ะ คืออย่างนี้ ข้าอยากจะขอให้ท่านเลื่อนงานแต่งไปก่อน เลื่อนไปสักสามเดือน ไม่สิ หกเดือน ไม่ๆๆ เอาหนึ่งปีไปเลย เอ๊ะ เมื่อครู่ท่านบอกว่ายกเลิก มันยกเลิกได้จริงหรือไม่เจ้าคะ"

"หืม?"

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 9 ยื่นข้อเสนอ

    เซียวจิ้งที่ได้ยินที่จางเหมี่ยวลี่เอ่ยขึ้นมาเขาก็ถึงกับนิ่งค้างเลยทีเดียว อีกทั้งยังคิดว่าตนเองหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำแต่ไหนแต่ไรมา จางเหมี่ยวลี่เอาแต่เร่งเร้าให้เขารีบแต่งงานกับนาง ไม่ก็หาทางทำให้ตนเองตกเป็นภรรยาของเขาให้ได้ แต่วันนี้นางกลับมาบอกเขาว่าให้เลื่อนงานแต่งงานออกไปนี่มันเรื่องอันใดกัน?เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่รอคอยคำตอบจากเซียวจิ้งอย่างใจจดใจจ่อ นางคาดเดาว่าเขาคงจะต้องเห็นด้วยกับนางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ชอบจางเหมี่ยวลี่อยู่แล้ว นางเข้าใจดีว่าหากต้องฝืนแต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันทรมานเพียงใดเซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปในใจนาง ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวว่า"จางเหมี่ยวลี่ เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือ"เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็มุ่นคิ้ว ก่อนจะตอบ"ข้ารู้ว่าท่านพี่จิ้งไม่ว่าง ท่านมีงานมากมายให้ต้องจัดการ ข้าก็รอคำตอบอยู่นี่อย่างไรเล่า ท่านบอกข้ามาสิตกลงแล้วจะเลื่อนงานแต่งไปนานเท่าใด หนึ่งปีหรือไม่ หรือว่าสอง...""เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! การแต่งงานระหว่างเจ้าและข้าใช่ว่าจะทำตามความต้องการของเจ้าได้ทุกอย่าง"เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่่นนั้นก็ชะงัก

    Last Updated : 2025-04-21
  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 10 หวนคิดถึง

    ด้านเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ ยามนี้นางกำลังให้สาวใช้ช่วยกันยกโคมไฟเข้าไปไว้ในรถม้า อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว ผู้คนจึงนิยมซื้อโคมไฟไปประดับประดาตกแต่งจวนของตนอีกทั้งที่แคว้นฟงหลิงนอกจากจะมีการประดับประดาโคมแล้ว ยังมีการลอยโคมในแม่น้ำเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับจากไปแล้วอีกด้วย เจี่ยงหร่านจึงตั้งใจว่าจะไปลอยโคมให้คนตระกูลเจี่ยงหวังให้แสงสว่างจากโคมไฟส่องนำทางให้พวกเขาเดินทางไปปรโลกได้อย่างราบรื่นสงบสุข"คุณหนูเจ้าคะ เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ โคมไฟทั้งหมดสาวใช้นำขึ้นรถม้าหมดแล้ว""ดีมาก จริงสิ พวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว เยว่ซินเจ้าไปซื้อบะหมี่มากินคนละชามข้าจ่ายเอง""เจ้าค่ะ"เยว่ซินรับคำและยิ้มอย่างอารมณ์ดี ระยะหลังมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับนิสัยใหม่ของคุณหนู ซ้ำยังภาวนาให้จางเหมี่ยวลี่เป็นเช่นนี้ตลอดไป เพราะนางทั้งได้กินอิ่มและไม่ถูกทุบตีเซียวจิ้งมองดูจางเหมี่ยวลี่ที่นั่งกินบะหมี่กับเหล่าสาวใช้และคนขับรถม้า เขาก็แอบแปลกใจจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากจะไม่ชอบกินของข้างทางเช่นนี้แล้ว จางเหมี่ยวลี่ยังไม่อนุญาตให้บ่าวรับใช้เสนอหน้ามาเข้าใกล้โต๊ะอาหารของนาง มีครั้งหนึ่งเขาไปที่จวนตระกูลจางแล

    Last Updated : 2025-04-21
  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 11 งานโคมไฟ

    เมื่อลงมาจากรถม้าแล้ว เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ก็มองดูบริเวณโดยรอบครู่หนึ่ง ที่แคว้นซ่งของนางก็มีงานเทศกาลเช่นนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังจัดได้ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากแคว้นฟงหลิงเลยแม้แต่น้อย ผู้คนล้วนออกมาเที่ยวชมงานกันอย่างคึกคักสนุกนานมีครั้งหนึ่งนางไม่ได้มีงานให้ต้องจัดการในค่ายทหาร นางจึงอยากจะชวนฉู่อี้เฉินไปด้วยกัน แต่เขาอ้างว่ามีเรื่องด่วนให้ต้องจัดการ นางจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงออกไปเที่ยวคนเดียว นางเดินเที่ยวเล่นจนรู้สึกว่าเบื่อแล้ว จึงคิดจะกลับ แต่ระหว่างทางกลับได้พบกับฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยากำลังเดินเที่ยวชมงานด้วยกันยามนั้นนางไม่ได้คิดสิ่งใดมากมายนัก อีกทั้งฉู่อี้เฉินยังบอกว่าเดิมทีสะสางงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไปหานางที่จวน แต่บ่าวที่จวนบอกว่านางมาเดินเที่ยวงานเขาจึงออกมาตามหา ประจวบเหมาะกับที่พบเจอฟ่านเหยาพอดี จึงถามว่าเจอนางหรือไม่ คนทั้งสองจึงมาเดินตามหานางจางเหมี่ยวลี่รู้สึกเย้ยหยันตนเองอยู่ในใจ นางช่างโง่เง่าไร้เดียงสายิ่งนัก ไม่ประสาเรื่องชายหญิง หลงเชื่อชายโฉดหญิงชั่วอย่างหมดใจนางกับฟ่านเหยาที่ผ่านมานับว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ฟ่านเหยามักจะแนะนำเรื่องเครื่องประทินโฉ

    Last Updated : 2025-04-21
  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 12 ทำข้อตกลง

    หลังจากเทศกาลโคมไฟผ่านพ้นไป เซียวจิ้งได้แต่คิดในใจว่าเขาจะต้องมองจางเหมี่ยวลี่ใหม่แล้วตั้งแต่นางฟื้นจากความตายก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขาไม่เชื่อเรื่องที่ว่าจะมีผีหรือวิญญาณมาสิงร่างนาง และไม่เชื่อว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้เพียงชั่วข้ามคืนนี่คือปริศนาที่ทำให้เขาสงสัย เพราะนางคือหญิงสาวที่ต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขา หากวันดีคืนดีนิสัยเดิมของนางกลับมา เขาคงปวดหัวไม่น้อยเพราะฉะนั้น เขาจึงอยากจับตาดูนาง ดูว่าทุกสิ่งที่เป็นไปในยามนี้เป็นเพราะนางเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่เมื่องานสมรสพระราชทานยังไม่ได้กำหนดวัน เสด็จลุงเห็นใจที่เขาต้องแต่งงานทั้งที่ไม่เต็มใจ จึงถือเอาฤกษ์สะดวก แม่ทัพใหญ่จางเองก็ไม่อยากจะเร่งรัดเขา จึงรอเพียงวันใดที่เขาพร้อมแล้วค่อยแต่งก็ย่อมได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่นางขอเลื่อนการแต่งงาน ในใจของเซียวจิ้งคิดว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ระหว่างที่เลื่อนงานออกไปนั้นเขาจะได้จับตาดูความเป็นไปของนางได้ยาวนานขึ้นวันเวลาล่วงเลยมา จนถึงวันที่ใกล้จะเปิดรับสมัครทหารหญิง เจี่ยงหร่านในจางเหมี่ยวลี่นำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของตน แม่ทัพใหญ่จางนั้นนอกจากจะไม่คัดค้านแล้วยังสนับสนุน เพียงแต่ว่าน

    Last Updated : 2025-04-21
  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 13 เข้าร่วมค่ายทหาร

    หลายวันต่อมาก็มีราชโองการจากราชสำนักออกประกาศเปิดรับสมัครสตรี ที่มีความสามารถจากทั่วทั้งแคว้นฟงหลิง เข้ามาเป็นทหารหญิงในค่ายทหาร ซึ่งถือเป็นครั้งแรก การเปิดรับสตรีเข้าค่ายทหารมี กฎระเบียบระบุเอาไว้ว่า หญิงสาวที่จะเข้าร่วมต้องยังไม่แต่งงาน มีอายุไม่เกินยี่สิบปี เมื่อพวกนางผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว จะต้องเข้าไปฝึกในค่ายทหารหญิงที่จัดเตรียมให้สตรีโดยเฉพาะเมื่อฝึกฝนจนผ่านทุกด่านได้แล้ว ก็จะได้รับพระราชทานตำแหน่งในราชสำนักหรือเข้าร่วมกองทัพแห่งแคว้นออกรบกับบุรุษได้ต่างมีเสียงวิพากวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าเป็นผู้หญิงจะไหวหรือ อีกทั้งการฝึกก็เหมือนกับบุรษทุกอย่าง ที่สำคัญแม่ทัพใหญ่จางและรองแม่ทัพเซียว ก็มาคุมการฝึกซ้อมด้วยตนเอง การฝึกทหารหญิงค่อนข้างเข้มงวดไม่ต่างจากบุรุษเลยด้วยซ้ำเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางแต่งกายอย่างทะมัดทะแมง จัดการรวบผมขึ้นเป็นทรงหางม้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่รับสมัครทหารหญิงในทันที เมื่อมาถึงก็พบกับหญิงสาวมากมายที่มาสมัคร พวกนางล้วนไม่ได้มีหน้าตางดงาม แต่ร่างกายกลับกำยำบึกบึนกว่าสตรีน้อยใหญ่ในเมืองหลวง อีกทั้งยังดูมีพละกำลังมากมายอีกด้วย

    Last Updated : 2025-04-21
  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 14 หาเรื่อง

    เพียงแค่การฝึกในวันแรกนั้น ผู้หญิงหลายคนก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไปหลายต่อหลายครั้ง เจี่ยงหร่านยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะมองดูเหล่าสตรีร่างกายบึกบึนหลายคนที่ถูกหามกลับไปที่ห้องพัก แม้ร่างกายจะใหญ่โตแต่เพราะไม่เคยผ่านการฝึกเช่นนี้มาก่อน จึงทำให้ร่างกายรับไม่ไหว เรื่องนี้นางเองเข้าใจดี เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ยังอยู่ในร่างเดิม เจี่ยงหร่านก็ผ่านการฝึกอย่างหนักเช่นเดียวกัน ซ้ำยังต้องฝึกร่วมกับบุรุษอีกด้วยเจี่ยงหร่านหันไปมองโจวลี่และอากัวที่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างกายนาง คนทั้งสองยิ้มซื่อๆ ให้นาง ใบหน้าดูเหนื่อยล้าไม่ต่างจากนางมากนัก อากัวหันมามองจางเหมี่ยวลี่ แล้วชมเชยเป็นการใหญ่"เจ้าใช้ได้นี่ ครั้งแรกข้าเห็นเจ้าบอบบาง ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ด้วย คาดไม่ถึงว่าจะแข็งแรงขนาดนี้"โจวลี่ที่ได้ยินอากัวเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้า ก่อนเสริมขึ้นว่า"นั่นสิ ปกติพวกคุณหนูในเมืองหลวงน่ะ บอบบางราวกับต้นหลิว แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น"เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ได้ยินก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดซึมออกตามใบหน้า พร้อมกับสนทนากับโจวลี่และอากัวอย่างสนิทสนม เซียวจิ้งที่มองดูอยู่บนหอสังเกตกา

    Last Updated : 2025-04-21
  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 15 อาหารมื้อค่ำ

    ข่าวที่สตรีนางนั้นถูกไล่ออกจากค่ายทหารสร้างความฮือฮาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทุกคนก็เห็นกับตาว่านางรังแกคนอื่นก่อน เรื่องนี้จึงไม่มีใครกล้ากล่าวโทษจางเหมี่ยวลี่ว่านางใช้อำนาจในทางมิชอบอีกช่วงเย็น เจี่ยงหร่านถูกลงโทษไม่ให้กินอาหารเย็น นางเองก็หิวอยู่บ้าง แต่ในเมื่อมีคำสั่งมาแล้วนางก็ไม่อยากขัดคำสั่ง จึงออกมายืนรับลมเล่นมองดูสิ่งต่างๆรอบตัวเมื่อครู่นี้ตอนที่ยังอยู่ในห้องพัก โจวลี่และอากัวลอบนำอาหารแห้งมาให้นาง แต่นางบอกไปว่าไม่เป็นอะไรนางทนได้ พวกเขาทั้งสองมองนางด้วยแววตาที่เห็นอกเห็นใจค่ำคืนนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย เจี่ยงหร่านหย่อนกายลงนั่งที่ใต้ต้นไม้ นางเอนกายพิงต้นไม้พลางชันเข่าขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้ามองดูดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้านางคิดถึงท่านพ่อท่านแม่เหลือเกิน แต่ยามนี้แคว้นซ่งไม่มีพื้นที่ให้นางเยียบย่างเข้าไปได้อีกแล้วหญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า การต้องมาอยู่ในร่างนี้เท่ากับต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่นางจะได้ก้าวเข้าสู่สมรภูมิสงคราม ใช้ดาบปลิดชีพคนชั่วช้าเช่นฉู่อี้เฉินได้"เพิ่งจะเข้าค่ายทหารมาได้เพียงไม่กี่วัน เจ้าก็ถอนหายใจเสียแล้วหรือ"เสียงของบุรุษที

    Last Updated : 2025-04-21
  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 16 ยันต์ปริศนา

    เช้าวันต่อมา ทุกคนตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาฝึกร่างกายวิ่งรอบค่ายทหารกันเหมือนเดิม ครูฝึกทหารแจ้งไว้ว่า อีกไม่กี่วันจะให้พวกนางเดินทางออกจากค่าย มุ่งหน้าสู่ภูเขาที่นอกเมือง เพื่อทำการฝึกนอกสถานที่ ให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมในป่าครั้งนี้องค์หญิงเซียวหลิงจะติดตามไปด้วย และองค์หญิงเองก็จะเข้าร่วมฝึกกับทุกคนเป็นกรณีพิเศษ เหล่าทหารหญิงในค่ายที่ได้ยินก็ลอบสูดปากอุทานในใจ จะมีองค์หญิงเข้ามาฝึกด้วยเชียวหรือ พวกนางจะต้องหาทางประจบองค์หญิงเข้าไว้ จะได้มีอำนาจวาสนาและอาจจะได้เลื่อนขั้นมีหน้ามีตาเร็ววันเจี่ยงหร่านที่อยู่ในร่างจางเหมี่ยวลี่เมื่อได้ยินว่าจะมีองค์หญิงมาร่วมฝึกด้วย ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร คิดเพียงว่าฮ่องเต้คงเห็นว่าองค์หญิงอยู่่ว่างๆ จึงให้มาฝึกร่างกายแก้เบื่อกระมัง?ด้านเซียวจิ้งนั้น วันนี้เขาเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับฮ่องเต้เซียวหลางได้สดับรับฟัง ฮ่องเต้ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะซักไซ้ด้วยความสนอกสนใจ"เป็นอย่างไรบ้าง พวกนางทำดีหรือไม่ เพราะแคว้นฟงหลิงยังไม่เคยมีทหารหญิงมาก่อน จึงต้องให้เจ้าและแม่ทัพใหญ่จางไปคอยควบคุมการฝึก ได้ยินว่าจางเหมี่ยวลี่คู่หมั้นขอ

    Last Updated : 2025-04-21

Latest chapter

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   ตอนพิเศษ

    หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   ตอนจบ

    เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 42 จัดการคน(เคยรัก)ที่แสนชั่วช้า

    กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 41 กลยุทธ์ลดทอนกำลังทหาร

    นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 40 หลุมศพ

    หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 39 ส่งมอบของขวัญ

    ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 38 หลอกล่อปลามาติดแห

    หลายวันต่อมา ฮ่องเต้เซียวหลางก็มีรับสั่งให้คณะทูตของแคว้นซ่งเข้าเฝ้า จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับอย่างสมเกียรติ และยังให้ขุนนางชั้นสูงรวมถึงบุตรสาวและฮูหยินเอกเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าเจี่ยงหร่านเองก็ต้องร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกันเจี่ยงหร่านวันนี้สวมชุดขุนนางหญิง ที่ทางราชสำนักเพิ่งตัดส่งมาให้เข้าร่วมงานตามตำแหน่งทางการทหารของนาง หญิงสาวเดินเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยท่าทีองอาจผึ่งผาย เซียวหลิงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาทักทายนาง ก่อนจะดึงนางให้ไปลองชิมขนมที่ตนเพิ่งทำขึ้นมาใหม่ เจี่ยงหร่านอยู่สนทนากับเซียวหลิงได้ไม่นาน ก็ต้องกลับมานั่งประจำตำแหน่งที่เดิมของตน ไม่นานนัก ขันทีก็ประกาศว่าฮ่องเต้เซียวหลางเสด็จมาถึงแล้ว ทุกคนจึงรีบลุกขึ้นและอยู่ในความสงบฮ่องเต้เซียวหลางเดินเข้ามาพร้อมกับฮองเฮาของตน ส่วนเซียวจิ้งนั้นยามเดินอยู่ด้านหลังพร้อมกับบิดาและมารดาเลี้ยง ทั้งยังมีเซียวกั๋วมาร่วมงานด้วย อย่างไรเสียก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แม้ในยามปกติจะไม่ลงรอยกันมากเพียงใด แต่เมื่อมีคนต่างแคว้นเข้ามา ย่อมต้องแสดงออกว่าพี่น้องรักใคร่กันดีเพื่อไม่ให้ศัตรูมองเห็นจุดอ่อนได้"ทุกคนลุกขึ้นเถ

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 37 ตลบหลัง

    ด้านเจี่ยงหร่านที่ได้รับทราบว่าผู้นำคณะทูตเดินทางมาสวามิภักดิ์ในครั้งนี้ก็คือราชครูฟ่านบิดาของฟ่านเหยา ถ้วยชาในมือถูกกำเอาไว้แน่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินออกจากเรือนมุ่งหน้าไปที่รถม้า นางบอกเยว่ซินว่าจะไปที่หอสุราจิ๋นฮวา อีกทั้งยังไม่ให้เยว่ซินตามไปด้วยเมื่อมาถึงนางมุ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ลุงหม่าเองระยะหลังมานี้ เริ่มจะคุ้นเคยกับเจี่ยงหรานมากขึ้น เมื่อนางมาถึงเขามักจะจัดห้องที่ด่ีที่สุดให้ และสั่งให้คนนำสุราชั้นดีส่งให้นางอย่างรู้งานวันนี้เซียวจิ้งเองก็มิได้มีงานเร่งด่วน เมื่อได้ยินว่าเจี่ยงหร่านต้องการพบเขา และรออยู่ชั้นสองของเหลาสุรา ชายหนุ่มก็รีบตรงมาหานางทันที เมื่อมาถึงก็พบว่า ในห้องมีเจี่ยงเฮ่าอยู่ด้วย เจี่ยงเฮ่ายิ้มให้เซียวจิ้งอย่างนอบน้อม เซียวจิ้งเองก็ยิ้มตอบอย่างมีมารยาท แล้วเดินเข้ามานั่งลงข้างกายของเจี่ยงหร่านและถามขึ้นมา"เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ ให้คนส่งจดหมายมาก็ได้ ข้าจะรีบไปหาเจ้าเอง"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาได้ แล้วพูดว่า"เซียวจิ้ง ที่ข้ามาพบท่านครั้งนี้เพราะมีเรื่องที่อยากขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ข้าคิดไตร่ตรองมาทั้งคืนแล้ว"เซียวจิ้ง

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 36 คณะทูต

    เซียวจิ้งเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้เจี่ยงหร่าน อย่างแผ่วเบา เอ่ยกับนางว่า"อาหร่าน เจ้าอย่าให้ความเกลียดชังกัดกินจิตใจเจ้าจนทุกข์ทรมานเลยนะ"เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่เงยหน้าขึ้นมามองเซียวจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เมื่อครู่เพราะนางถูกความโกรธแค้นครอบงำจิตใจมากเกินไป จึงทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ"ทำไมหรือสหายเซียว ท่านกลัวข้าถลำลึกเช่นนั้นหรือ""ข้ากลัวเจ้าไม่มีความสุข ข้าอยากเห็นเจ้ามีสุขไร้ทุกข์กังวล"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักไปอึดใจ คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่นางกำลังจะถลำลึกจนถูกความแค้นกัดกินครอบงำจิตใจ ทว่าเซียวจิ้งกลับสามารถดึงนางขึ้นมาจากหลุมดำภายในจิตใจได้ทุกครั้งเขาเหมือนแสงสว่างที่ส่องประกายเจิดจ้าและงดงามยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเจี่ยงหร่านมีสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมาทันที"แม้นางจะตั้งครรภ์ แต่ได้ยินว่าระยะหลังมานี้สุขภาพไม่สู้ดีเท่าใดนัก มักจะอารมณ์เสียจนเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง แต่นางมีโทสะเรื่องใดนัั้นคนของข้ายังสืบได้ไม่แน่ชัด"เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มน้อยๆ"สหา

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status