Share

บทที่ 12

Author: หูเทียนเสี่ยว
ที่จริงแล้วเฟิงเหยียนไม่มา จั๋วซือหรานกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

นางมีเวลาว่างพอดี นางจะได้วิเคราห์ชะตากรรมเดิมของเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ในหัว

ในชะตาเดิมของเจ้าของร่าง เวลานี้นางได้แต่งงานกับฉินตวนหยางแล้ว ซึ่งตามมารยาท นางไม่ได้มาร่วมงานดอกไม้ในวังแน่นอน รู้เพียงในงานดอกไม้ครั้งนี้ จั๋วหรูซินทดลองยาให้ไทเฮาด้วยตัวเอง เพราะไทเฮานอนติดเตียงเป็นเวลานาน และนางได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นเสียงเอกฉันท์

แต่ ณ ตอนนี้ หลังจากงานเลี้ยงเริ่มต้นได้ไม่นาน จั๋วหรูซินก็ลุกขึ้น

“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันทราบมาว่า ไทเฮาทรงประชวรนอนติดเตียงมานานแล้ว ซึ่งทำให้ท่านกังวลเป็นอย่างมาก...”

แต่โครงเรื่องต่อไปไม่ได้เป็นไปตามโครงเรื่องเดิม

เนื่องจากจั๋วหรูอหรานเปลี่ยนบทสนทนา "น้องสาวจิ่วของหม่อมฉันมีพรสวรรค์อย่างมาก มากเสียจนสามารถรักษาตัวจากแส้หนามของครอบครัวได้ภายในหนึ่งหรือสองวันหลังจากได้รับเฆี่ยนตีเก้าครั้ง ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งและพลังทางจิตวิญญาณ หากนางได้เป็นผู้ทดลองยายาของไทเฮา อาการเจ็บป่วยของไทเฮาจะหายขาดในไม่ช้า”

ก่อนเข้าร่วมงานดอกไม้ในวัง บิดาและผู้อาวุโสสามให้นางเสนอจั๋วซือหรานให้เป็นผู้ทดลองยาให้แก่ไทเฮา

ตามชื่อ ผู้ทดลองยาคือผู้ให้ยาโดยใช้พลังทางจิตวิญญาณ รวมไปถึงใช้เลือดเป็นตัวนำยา ผู้ทดลองยาบางคนถึงกับต้องทานยาจำนวนมาก หรือถูกของมีพิษกัดกิน ซึ่งบุคคลธรรมดาแบกรับการทดลองนี้ไม่ไหว

ร่างกายที่แข็งแกร่งของจั๋วซือหรานสามารถทนได้

แต่เนื่องจากจั๋วซือหรานเพิ่งได้รับโทษเก้าแส้ของตระกูลมา ให้นางมาเป็นผู้ทดลองยาอีกครั้งจะทำลายร่างกายของนางเสียหายอย่างแน่นอน

ตราบใดที่จั๋วซือหรานไม่ยอม จั๋วหรูซินจะเสนอตัวมาเป็นผูืทดลองยา แต่ร่างกายของนางทนไม่ไหวอย่างแน่นอน ต้องใช้เวลาบำรุงรักษาร่างกาย และอาการของไทเฮาก็ทนได้ไม่นานขนาดนั้น

เท่ากับว่า จั๋วหรูซิได้ชื่อเสียงโดยไม่ได้ทุ่มแรงใด ๆ หากมองในแง่นี้ นับว่านี่เป็นสถานการณ์ที่มีแต่ชัยชนะอย่างแน่นอน

ทุกคนมองดูนาง

จั๋วหรูซินถามอย่างกระตือรือร้นว่า "น้องสาวจิ่วเป็นคนที่มีความสามารถ ซึ่งควรออกแรงหน่อย ดังนั้นเจ้าคงไม่รังเกียจที่จะทุ่มแรงเล็กน้อยเพื่อแบ่งปันความกังวลของฮองเฮาใช่ไหม"

จั๋วซือหรานกระพริบตาเล็กน้อย โอ้ แท้จริงแล้ว เป็นแบบนี้เองหรือ ขุดหลุมพรางรอนางอยู่นี่เอง

“ข้าแค่ทุ่มแรงนิดเดียวเพียวเท่านั้น เหตุใดพี่สาวลิ่วถึงตื่นเต้นมากมายขนาดนี้ล่ะ”

ต้องบอกว่า แผนของคุณท่านจั๋วลิ่วและผู้อาวุโสสามดีเสียจริง

แต่พวกเขาพลาดไปเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ การที่มีนางอยู่ เพราะนางไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม

นางมาจากอีกโลกหนึ่ง และนางเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้โบราณและฝีมือทางการแพทย์ที่ลึกลับ

“ทำไมข้าต้องเป็นผู้ทดลองยาถึงจะบรรเทาความกังวลของฮองเฮาได้ล่ะ” จั๋วซือหรานพูดเบา ๆ “ข้ารักษาไทเฮาให้ได้ไม่ได้หรือ”

“พูดจาไร้ยางอาย” จั๋วหรูซินตะโกน “เจ้าคิดว่าหมอหลวงในวังทั้งหมดเป็นเพียงของตกแต่งเหรอ พวกเขายังรักษาไม่ได้ เจ้ากล้าพูดเกินตัวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวที่จะทำให้ครอบครัวของเราอับอายหรือ”

“อย่ายั่วข้าโมโหสิ พี่ลิ่ว”จั๋วซือหรานกล่าวต่อ “หมอหลวงทำไม่ได้ ข้าทำไม่ได้เช่นกันหรือใช่ เจ้าพยายามใส่ความข้าขนาดนี้ หากข้ารักษาให้หายดีได้ คำพูดของเจ้าในตอนนี้จะไม่น่าอับอายมากเลยหรือ”

“หรือขอรับ” มีเสียงหนึ่งดังก้องจากประตูห้องโถง “ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูจิ่วจะมีความสามารถเช่นนี้”

คนรับใช้ที่ประตูส่งสารว่า "ท่านชายเหยียนฉีมาถึงแล้วขอรับ ท่านอ๋องเหยียนเฟิงมาถึงแล้วขอรับ"

ชายร่างสูงทั้งสองเดินมาจากประตู

เฟิงเหยียนแต่งกายด้วยชุดสีดำเหมือนเดิม ใบหน้าอันงดงามของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าที่เย็นชา

ในทางกลับกัน ใบหน้าของเหยียนฉีเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เขาทำท่าเคารพแก่ฮองเฮาจากที่ไกล ๆ "เหยียนฉีมาสายโปรดฮ่องเฮาอย่าโกรธ จะตำหนิกระหม่อมมิได้นะ เป็นความผิดของอ๋องเฟิงทั้งนั้นพะยะคะ”

เหยียนส่ายผลักหน้าที่ด้วยน้ำเสียงที่ช้า ๆ "เขาขาเป๋"

ทุกคนรู้ดีว่า นอ๋องเฟิงได้รับบาดเจ็บที่ขาระหว่างการฝึกซ้อมประจำตระกูล และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่ต้องมองขายาวอันเหยียดตรงนั้น

ราชสำนักมีกำลังน้อย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องเคารพตระกูลใหญ่ทั้งห้า

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้มาเยือนยังเป็นบุตรชายผู้สูงศักดิ์ของตระกูลเฟิง ผู้กล้าหาญและเก่งในการต่อสู้ และมีบุตรชายผู้สูงศักดิ์ของตระกูลเหยียน ผู้เก่งด้านการแพทย์ด้วย

ฮองเฮายิ้มอย่างอ่อนโยน และกล่าวว่า "ไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงงานเลี้ยงดื่มชาและพูดคุยเท่านั้น มันไม่สำคัญว่า เจ้าจะมาก่อนเวลาหรือมาสาย"

“แค่ไม่คิดว่าจะตามทันเรื่องนี้” เหยียนฉีมองจั๋วซือหรานด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูจั๋วจิ่ว ผู้ดูแลหมอหลวงในวังเป็นอาสามของข้านะ เจ้ากล้ามากเลยนะ หากเจ้ารักษาไม่ได้ล่ะ”

“หากข้ารักษาได้ล่ะ” จั๋วซือหรานขมวดคิ้วและยิ้ม ดวงตาของนางเป็นประกาย “เช่นนั้น โปรดฮองเฮาเป็นพยานด้วยเพคะ”

ฮองเฮา "โอ้ เจ้าต้องการให้ข้าเป็นพยานในเรื่องใด"

“หากหม่อมฉันรักษาอาการป่วยของไทเฮาได้ หม่อมฉันขอประทารพระราชโองกรการหมั้นเพคะ” จั๋วซือหรานกล่าว

ฮองเฮาถาม"ถ้าหากเจ้ารักษาไม่หายล่ะ"

จั๋วซือหรานยืนขึ้น เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้อยู่บนที่สูง แต่มันทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความภาคภูมิใจของนาง

นางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันก็จะเป็นผู้ทดลองยาให้ไทเฮาก็ไม่เสียหายอะไร"

“เช่นนั้น พวกเจ้าทุกคนตามข้าไปที่ตำหนักหย่งโซ่วด้วยกันและเป็นพยานร่วมกับข้า” ฮองเฮากล่าว

จั๋วหรูซินไม่คาดคิดถึงสิ่งนี้ นางรีบเดินไปหาจั๋วซือหราน แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ "เจ้าบ้าไปแล้วหรือ"

จั๋วซือหรานมองนางอย่างเย็นชา "นี่เป็นเรื่องที่เจ้าตั้งใจก่อมามิใช่หรือ ข้าทำในสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว เจ้าไม่พอใจหรือ"

“แต่ข้าไม่ได้ให้เจ้าโอ้อวดว่า เจ้าสามารถรักษาความเจ็บป่วยของไทเฮาได้ ท่านชายของตระกูลเหยียนอยู่ในงานด้วย เจ้าพูดอย่างนั้นไม่กล้วจะเดือดร้อนภายหลังหรือ” จั๋วหรูซินกัดฟันพูด

จั๋วซือหราน "ข้าจะเดือดร้อนหรือไม่ ไม่รบกวนเจ้าเป็นห่วง"

“เจ้าพูดเกินความสามารถ เพื่อต้องการขอพระราชโองการการหมั้นระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องเฟิงเหยียน หากเจ้าทำให้ตระูลอับอาย เหล่าผู้อาวุโสจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่” จั๋วหรูซินพูดอย่างเคร่งขรึม นางคิดว่าตัวเองมองแผนการของจั๋วซือหรานออก

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จั๋วซือหรานยิ้ม นางเบาเสียงลง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้าย "เฟิงเหยียนและข้ารักกัน สายใยรักของเราผูกกัน ทำไมเราต้องมีพระราชโองการการหมั้นล่ะ เจ้าไปกังวลเรื่องของเจ้าเองเสียดีกว่า”

หัวใจของจั๋วหรูซินเต้นรัว "หมาย หมายถึงอะไร"

จั๋วซือหรานยิ้มอย่างสดใสจนเห็นฟันขาวเล็ก ๆ ของนาง “พี่ลิ่ว ลืมไปหรือ คู่รักของพี่ลิ่ว ฉินตวนหยาง ข้าเหลือไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษนะ”

จั๋วซือหรานไม่ใช่คนบริสุทธิ์ จั๋วหรูซินกล้าหาผู้ชายชั่ว ๆ เช่นนี้ให้นาง นางก็จะโยนเขากลับไปหาจั๋วหรูซินอย่างแน่นอน

จั๋วหรูซิน: "เจ้า"

จั๋วซือหรานไม่สนใจนางและไม่มองนาง นางเดินจากไปอย่างสง่างาม

จั๋วหรูซินหวาดกลัวเล็กน้อย แต่นางรีบสงบอารมณ์ทันที นางเยาะเย้ยในใจว่า นางกำลังคิดอะไรอยู่ จั๋วซือหรานจะรักษาโรคของไทเฮาได้อย่างไร นางไปเป็นตัวตลกมากกว่า

จั๋วหรูซินเร่งฝีเท้าและมุ่งหน้าไปยังตำหนักหย่งโซ่ว

ไม่ไกลจากด้านหลังของพวกนาง เหยียนฉีมองไปยังชายที่สวมชุดสีดำ เวลานี้ สีหน้าของชายพูดนี้ไร้ความรู้สึก เหยียนฉียิ้มอย่างขำขันว่า "คนสองคนรักกัน มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และผูกพันกันตลอดชีวิตที่เหลือ เจ้าและจั๋วจิ่วมาถึงจุดนี้แล้วหรือ "

ด้วยทักษะของพวกเขา พวกเขาสามารถได้ยินการคุยระหว่างจั๋วซือหรานและจั๋วหรูซินได้อย่างชัดเจน

เฟิงเหยียนขมวดคิ้วและเหลือบมองเหยียนฉีอย่างเย็นชา “หากเจ้ามีเวลามาก ก็ไปรักษาสมองของตัวเองเถิด ชื่อเสียงของตระกูลตัวเองจะถูกคนทำลายอยู่แล้ว ยังมีเวลาแกล้งข้าอีกหรือ”

เหยียนฉีสะดุ้ง จากนั้นโบกมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "แม้ว่าความสามารถของคุณอาสามของข้าจะไม่ได้สูงที่สุดในบรรดาตระกูล แต่ก็ยังเก่งพอ เขายังรักษาความเจ็บป่วยของไทเฮาไม่ได้...เจ้าเชื่อความสามารถของจั๋วจิ่วขนาดนี้เลยหรือ”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1369

    ได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ใบหน้าเย่เจิงที่ดูเคร่งขรึมแน่วแน่มาตลอด กลับยิ้มบางๆ ออกมาไม่ใช่รอยยิ้มประชดประชัน แต่คล้ายกับได้ยินเรื่องอะไรที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนอย่างไรอย่างนั้นเย่เจิงเอ่ยขึ้น "ข้าประจำการในเมืองลั่วหม่ามาห้าปี ถ้านับรวมกับเวลาที่อยู่ในกองทัพสยบแดนใต้ด้วย ก็แปดปีได้แล้ว"นับตั้งแต่อายุสิบแปดจนถึงยี่สิบหก แปดปีเต็มแปดปีนี้ ข้าล้วนประจำการอยู่ที่ชายแดนพรมแดนใต้ ร่วมรบกับกองทัพสยบแดนใต้ เคยทั้งแพ้และชนะมาแล้วเรื่องเกี่ยวกับ พรมแดนใต้ ก็เคยเห็นมามาก"ข้าเคยเห็นคนที่เคยสาบานว่าจะจัดการกับหลวนหนาน พวกเขามีทั้งที่ย้ายกลับเมืองหลวงไปแล้ว และมีที่เกษียณกลับบ้านเกิดด้วย" ตอนที่เย่เจิงพูดถึงตรงนี้ ก็หยุดพูดไปจากนั้น เส้นเสียงของเขาก็เหมือนเย็นวาบลงมากะทันหัน "แต่คนที่สาบานว่าจะจัดการซื่อหนาน ถ้าไม่ตาย ก็คือหายสาบสูญ"จั๋วซือหรานฟังออกถึงความเย็นชาในเสียงเขา แต่ไม่ใช่ความเย็นชาเพื่อเตือนนางแต่กลับเป็นอีกแบบ...เหมือนรู้สกว่านางไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้แบบส่งเดชไม่จริงจังเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะข้ามไปได้ง่ายๆ เรื่องนี้ อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียวดังนั้นจั๋วซือหรานจ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1368

    จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ก็หัวเราะขึ้นอย่างจนใจ นางเคยได้ยินคำชมต่อหน้าตาของนางมาไม่น้อยแต่วิธีพูดเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ของเย่เจิง ก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก"แม่ทัพเย่พูดแบบนี้ดูจะไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไรนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ข้าเป็นแบบนี้ไม่เหมือนคนสร้างวีรกรรมใหญ่ได้ แล้วต้องแบบไหนถึงจะสร้างวีรกรรมใหญ่ได้กัน?"เย่เจิงอ้าปากพะงาบ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดเขาก็เห็นว่าหญิงสาวตรงหน้า มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า "ถ้าเด็ดหัวท่านได้ในสามกระบวน แบบนี้ดูใกล้เคียงไหม?"พอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน เย่เจิงก็ตกตะลึง ปฏิกิริยาแรกก็คอื...หญิงสาวคนนี้ช่างโอหังนัก!และวินาทีต่อมา ร่างของจั๋วซือหรานก็หายไปจากจุดเดิมที่อยู่และตอนที่นางปรากฏตัวอีกครั้ง ระยะห่างของทั้งสองคนก็หายไปอย่างรวดเร็วพลังที่น่าเกรงขาม แทบจะพุ่งกดดันมาถึงตรงหน้า!เย่เจิงยกมือขึ้นปัดป้องกับตอบโต้ตามสัญชาตญาณ แต่นางลงมือได้แพรวพราว ทุกกระบวนท่ารู้สึกเหมือนปิดทางหนีของกระบวนท่าก่อนหน้าไปจนหมดตอนถึงกระบวนที่สาม นิ้วของนางก็กดอยู่ที่คอของเย่เจิงแล้วถ้าหากตอนนี้นิ้วของนางเป็นคมดาบล่ะก็ คงจะเด็ดหัวเขาไปได้จริงๆเย่เ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1367

    พอได้ยินเสียงนี้ จั๋วซือหรานก็รู้ว่าเจ้าของเสียงน่าจะเป็นแม่ทัพทหารประจำการเมืองลั่วหม่า...แม่ทัพเย่เจิงคนนั้นจั๋วซือหรานมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม "แม่ทัพดูแลเมืองลั่วหม่าได้สงบจริงๆ ข้าก็เลยรู้สึกสบายๆ น่ะ""ถ้าหากสงบจริง ใต้เท้าคงไม่โดนโจรปล้นที่ด้านนอกนั่นหรอก" เสียงของเย่เจิงดังลอดออกมาจากด้านในฟังเนื้อหาแล้ว เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องที่จั๋วซือหรานถูกปล้นแล้วจั๋วซือหรานเดินเข้าไปในโถง และเห็นแม่ทัพเย่ที่นั่งอยู่แล้วเทียบกับฉีฮ่าวที่ดูกักขฬะแล้วยังสง่างามกว่าหน่อย แต่ก็ยังดูดุดันกว่าอิงเซ่าที่สง่างามทรงภูมินิดๆ"แม่ทัพเย่" จั๋วซือหรานยิ้มๆสายตาของเย่เจิง พิจารณาอยู่บนตัวหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ในสายตาก็มีการสำรวจตรวจสอบอย่างไม่มีปิดบังเขาปักหลักอยู่ในเมืองลั่วหม่ามาหลายปี ถือได้ว่าเป็นการประจำการอยู่แนวหน้าตลอดทั้งปีคนแบบเขาจะเป็นพวกกระดูกแข็งและรับมือยากถ้าจะให้เขามาประจบสอพลออะไรแบบนั้น คงจะทำไม่ได้แน่สำหรับเรื่องนี้ พวกขุนนางใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวง ส่วนใหญ่ก็ไม่เต็มใจจะยอมรับเท่าไร กระทั่งรู้สึกขี้เกียจจะออกมาพบเสียด้วยซ้ำแต่สำหรับจั๋วซือหราน กลับโผล่หน้าออกมาด้วยต

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1366

    และขี้เกียจจะกลับไปบนรถม้าแล้ว จึงขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าตัวที่นำอยู่ เตรียมจะตรงไปยังจวนแม่ทัพเมืองลั่วหม่าตามที่ทหารชี้ทางไว้แต่ก่อนหน้าที่จะไป นางก็ยังไม่ลืมกำชับกับหัวหนาทหารว่า "คนพวกนี้ ถ้าออกมาจากในคุกก็จะมีใบรับรองความภักดีแล้ว พวกเขาคงจะไปช่วยพวกคนชั่วในเมืองซื่อหนานก่อเรื่องไม่ดีแน่ ดังนั้นห้ามปล่อยพวกเขาออกมาเด็ดขาด"ดวงตาของเหล่าโจรก็ถลึงโตขึ้นมา มองไปทางจั๋วซือหรานและหญิงสาวชุดแดงบนหลังม้านั้น ใบหน้าเล็กที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องประทิน งดงามหาใดเปรียบก็ยิ้มขึ้นมาจนเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวัน แต่ในแววตานั้นกลับไม่มีความอบอุ่นใดอยู่เลย ราวกับจะเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งเสียอีกสายตาที่ไม่มีความอบอุ่นใดของนางตกมาอยู่บนตัวพวกเขา จ้องมองมาเรียบๆ "พวกเจ้าคิดว่ากฏหมายใช้กับคนหมู่มากไม่ได้ พอปล้นชิงแล้วขอแค่ไปยังเมืองซื่อหนานได้ กฏหมายก็จะเอาผิดพวกเจ้าไม่ได้สินะ"นางจ้องพวกเขา "แต่ข้าเอาผิดพวกเจ้าได้ ทนรับเอาไว้ก็แล้วกัน"พูดคำนี้จบ จั๋วซือหรานก็คีบท้องม้า ติดตามทหารที่นำทาง ตรงไปยังจวนแม่ทัพทหารประจำการของเมืองลั่วหม่า เป็นส่วนหนึ่งของกองพันพยัคฆ์ทมิฬแห่งกองทัพสยบแดนใต้แม่ท

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1365

    ถ้าถูกจับเข้าห้องขัง พวกเขาไม่ใช่ยังต้องคิดหาวิธีแหกคุกออกมาอีกถึงจะหลบเข้าไปใช้ชีวิตอย่างสงบในซื่อหนานได้รึไงกัน?จากนั้น พวกเขาก็ได้ยินจั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไร ตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงนี้ ในใจก็รู้สึกตึกตักขึ้นมาอย่างประหลาด...น่าจะเพราะ...เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีกระมัง?สรุปคือ หลังจากเสียงหัวเราะเบาๆ ของนาง พวกเขาก็ได้ยินจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "โอ้ พวกเขาน่ะ..."สายตานางหรี่ลง แววตาเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายแล่นวาบในดวงตาพญาหงส์ของนาง"พวกเขาเป็นคนที่คิดจะมาปล้นขบวนรถข้าที่ด้านนอกเมืองลั่วหม่าน่ะ"พอคำนี้ออกไป เหล่าโจรต่อให้เดาได้ถึงความเป็นไปได้นี่ แต่ก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่และเหล่าทหารเองก็ตกตะลึงด้วยเช่นกัน ร้อนรนขึ้นมาทันที"มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? กำเริบเสิบสานเสียจริง!"ในดวงตาของหัวหน้าทหารมีความโกรธอยู่ตรงหน้าคนนี้คือว่าที่โหวหลวนหนานนะ ทั่วทั้งหลวนหนานล้วนเป็นพื้นที่ศักดินาของนาง ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่านางไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแออะไรเลยอีกด้วยชื่อเสียงของคนผู้นี้ลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เป็นตัวตนที่ค่อนข้างร้ายกาจเลยทีเดียว...ในอนาคตจะต้องมีเรื่องที่ต้อ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1364

    จั๋วซือหรานส่งป้ายผ่านด่านให้กับทหารทหารประตูเมืองหยิบป้ายผ่านด่านของนาง ขึ้นมามองไปมองมาอย่างละเอียดจากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อจั๋วซือหรานรู้สึกว่าปกติดี แม้ว่านางจะถูกอวยยศเป็นโหวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกแต่งตั้งพื้นที่ศักดินาเป็นหลวนหนานด้วยแต่การสื่อสารที่ยังไม่พัฒนานัก ทำเลที่ตั้งของเมืองลั่วหม่าเองก็ค่อนข้างห่างไกลอีกด้วยต่อให้แม่ทัพทีประจำการอยู่ในเมืองลั่วหม่าจะรู้ข่าวแล้ว แต่ก็อาจจะไม่ได้แจ้งลงมาขุนพลกับทหารด้านล่างยังไม่รู้ ก็ดูเป็นเรื่องปกติดังนั้นทหารจึงเห็นว่านางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ที่หยิบเอา 'ป้ายตราปลอม' ที่มีตราประทับโหวออกมาหลอกลวงฉับพลัน สีหน้าก็ปั้นยากขึ้นมาทันทีหัวเราะเย็นชาขึ้นเสียงหนึ่ง "เจ้านี่บังอาจนักนะ! เจ้าคิดจะล้อเล่นกับเมืองลั่วหม่ารึ? ตาสีตาสาที่ไหนแค่ถือป้ายผ่านทางมั่วๆ มา ก็คิดว่าจะเนียนเข้าไปในเมืองลั่วหม่าได้รึไงกัน?"จั๋วซือหรานครุ่นคิดสาเหตุปัญหาอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าน่าจะเพราะเนื้อหาในป้ายผ่านทางไม่ตรงกับข่าวที่พวกเขารู้มากระมังจะทำอะไรได้ล่ะ ป้ายผ่านทางสมัยนี้ก็ไม่มีเครื่องหมายป้องกันการปลอมแปลงอย่างพวกตราเลเซอ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status