Share

บทที่ 12

Author: หูเทียนเสี่ยว
ที่จริงแล้วเฟิงเหยียนไม่มา จั๋วซือหรานกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

นางมีเวลาว่างพอดี นางจะได้วิเคราห์ชะตากรรมเดิมของเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ในหัว

ในชะตาเดิมของเจ้าของร่าง เวลานี้นางได้แต่งงานกับฉินตวนหยางแล้ว ซึ่งตามมารยาท นางไม่ได้มาร่วมงานดอกไม้ในวังแน่นอน รู้เพียงในงานดอกไม้ครั้งนี้ จั๋วหรูซินทดลองยาให้ไทเฮาด้วยตัวเอง เพราะไทเฮานอนติดเตียงเป็นเวลานาน และนางได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นเสียงเอกฉันท์

แต่ ณ ตอนนี้ หลังจากงานเลี้ยงเริ่มต้นได้ไม่นาน จั๋วหรูซินก็ลุกขึ้น

“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันทราบมาว่า ไทเฮาทรงประชวรนอนติดเตียงมานานแล้ว ซึ่งทำให้ท่านกังวลเป็นอย่างมาก...”

แต่โครงเรื่องต่อไปไม่ได้เป็นไปตามโครงเรื่องเดิม

เนื่องจากจั๋วหรูอหรานเปลี่ยนบทสนทนา "น้องสาวจิ่วของหม่อมฉันมีพรสวรรค์อย่างมาก มากเสียจนสามารถรักษาตัวจากแส้หนามของครอบครัวได้ภายในหนึ่งหรือสองวันหลังจากได้รับเฆี่ยนตีเก้าครั้ง ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งและพลังทางจิตวิญญาณ หากนางได้เป็นผู้ทดลองยายาของไทเฮา อาการเจ็บป่วยของไทเฮาจะหายขาดในไม่ช้า”

ก่อนเข้าร่วมงานดอกไม้ในวัง บิดาและผู้อาวุโสสามให้นางเสนอจั๋วซือหรานให้เป็นผู้ทดลองยาให้แก่ไทเฮา

ตามชื่อ ผู้ทดลองยาคือผู้ให้ยาโดยใช้พลังทางจิตวิญญาณ รวมไปถึงใช้เลือดเป็นตัวนำยา ผู้ทดลองยาบางคนถึงกับต้องทานยาจำนวนมาก หรือถูกของมีพิษกัดกิน ซึ่งบุคคลธรรมดาแบกรับการทดลองนี้ไม่ไหว

ร่างกายที่แข็งแกร่งของจั๋วซือหรานสามารถทนได้

แต่เนื่องจากจั๋วซือหรานเพิ่งได้รับโทษเก้าแส้ของตระกูลมา ให้นางมาเป็นผู้ทดลองยาอีกครั้งจะทำลายร่างกายของนางเสียหายอย่างแน่นอน

ตราบใดที่จั๋วซือหรานไม่ยอม จั๋วหรูซินจะเสนอตัวมาเป็นผูืทดลองยา แต่ร่างกายของนางทนไม่ไหวอย่างแน่นอน ต้องใช้เวลาบำรุงรักษาร่างกาย และอาการของไทเฮาก็ทนได้ไม่นานขนาดนั้น

เท่ากับว่า จั๋วหรูซิได้ชื่อเสียงโดยไม่ได้ทุ่มแรงใด ๆ หากมองในแง่นี้ นับว่านี่เป็นสถานการณ์ที่มีแต่ชัยชนะอย่างแน่นอน

ทุกคนมองดูนาง

จั๋วหรูซินถามอย่างกระตือรือร้นว่า "น้องสาวจิ่วเป็นคนที่มีความสามารถ ซึ่งควรออกแรงหน่อย ดังนั้นเจ้าคงไม่รังเกียจที่จะทุ่มแรงเล็กน้อยเพื่อแบ่งปันความกังวลของฮองเฮาใช่ไหม"

จั๋วซือหรานกระพริบตาเล็กน้อย โอ้ แท้จริงแล้ว เป็นแบบนี้เองหรือ ขุดหลุมพรางรอนางอยู่นี่เอง

“ข้าแค่ทุ่มแรงนิดเดียวเพียวเท่านั้น เหตุใดพี่สาวลิ่วถึงตื่นเต้นมากมายขนาดนี้ล่ะ”

ต้องบอกว่า แผนของคุณท่านจั๋วลิ่วและผู้อาวุโสสามดีเสียจริง

แต่พวกเขาพลาดไปเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ การที่มีนางอยู่ เพราะนางไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม

นางมาจากอีกโลกหนึ่ง และนางเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้โบราณและฝีมือทางการแพทย์ที่ลึกลับ

“ทำไมข้าต้องเป็นผู้ทดลองยาถึงจะบรรเทาความกังวลของฮองเฮาได้ล่ะ” จั๋วซือหรานพูดเบา ๆ “ข้ารักษาไทเฮาให้ได้ไม่ได้หรือ”

“พูดจาไร้ยางอาย” จั๋วหรูซินตะโกน “เจ้าคิดว่าหมอหลวงในวังทั้งหมดเป็นเพียงของตกแต่งเหรอ พวกเขายังรักษาไม่ได้ เจ้ากล้าพูดเกินตัวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวที่จะทำให้ครอบครัวของเราอับอายหรือ”

“อย่ายั่วข้าโมโหสิ พี่ลิ่ว”จั๋วซือหรานกล่าวต่อ “หมอหลวงทำไม่ได้ ข้าทำไม่ได้เช่นกันหรือใช่ เจ้าพยายามใส่ความข้าขนาดนี้ หากข้ารักษาให้หายดีได้ คำพูดของเจ้าในตอนนี้จะไม่น่าอับอายมากเลยหรือ”

“หรือขอรับ” มีเสียงหนึ่งดังก้องจากประตูห้องโถง “ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูจิ่วจะมีความสามารถเช่นนี้”

คนรับใช้ที่ประตูส่งสารว่า "ท่านชายเหยียนฉีมาถึงแล้วขอรับ ท่านอ๋องเหยียนเฟิงมาถึงแล้วขอรับ"

ชายร่างสูงทั้งสองเดินมาจากประตู

เฟิงเหยียนแต่งกายด้วยชุดสีดำเหมือนเดิม ใบหน้าอันงดงามของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าที่เย็นชา

ในทางกลับกัน ใบหน้าของเหยียนฉีเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เขาทำท่าเคารพแก่ฮองเฮาจากที่ไกล ๆ "เหยียนฉีมาสายโปรดฮ่องเฮาอย่าโกรธ จะตำหนิกระหม่อมมิได้นะ เป็นความผิดของอ๋องเฟิงทั้งนั้นพะยะคะ”

เหยียนส่ายผลักหน้าที่ด้วยน้ำเสียงที่ช้า ๆ "เขาขาเป๋"

ทุกคนรู้ดีว่า นอ๋องเฟิงได้รับบาดเจ็บที่ขาระหว่างการฝึกซ้อมประจำตระกูล และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่ต้องมองขายาวอันเหยียดตรงนั้น

ราชสำนักมีกำลังน้อย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องเคารพตระกูลใหญ่ทั้งห้า

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้มาเยือนยังเป็นบุตรชายผู้สูงศักดิ์ของตระกูลเฟิง ผู้กล้าหาญและเก่งในการต่อสู้ และมีบุตรชายผู้สูงศักดิ์ของตระกูลเหยียน ผู้เก่งด้านการแพทย์ด้วย

ฮองเฮายิ้มอย่างอ่อนโยน และกล่าวว่า "ไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงงานเลี้ยงดื่มชาและพูดคุยเท่านั้น มันไม่สำคัญว่า เจ้าจะมาก่อนเวลาหรือมาสาย"

“แค่ไม่คิดว่าจะตามทันเรื่องนี้” เหยียนฉีมองจั๋วซือหรานด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูจั๋วจิ่ว ผู้ดูแลหมอหลวงในวังเป็นอาสามของข้านะ เจ้ากล้ามากเลยนะ หากเจ้ารักษาไม่ได้ล่ะ”

“หากข้ารักษาได้ล่ะ” จั๋วซือหรานขมวดคิ้วและยิ้ม ดวงตาของนางเป็นประกาย “เช่นนั้น โปรดฮองเฮาเป็นพยานด้วยเพคะ”

ฮองเฮา "โอ้ เจ้าต้องการให้ข้าเป็นพยานในเรื่องใด"

“หากหม่อมฉันรักษาอาการป่วยของไทเฮาได้ หม่อมฉันขอประทารพระราชโองกรการหมั้นเพคะ” จั๋วซือหรานกล่าว

ฮองเฮาถาม"ถ้าหากเจ้ารักษาไม่หายล่ะ"

จั๋วซือหรานยืนขึ้น เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้อยู่บนที่สูง แต่มันทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความภาคภูมิใจของนาง

นางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันก็จะเป็นผู้ทดลองยาให้ไทเฮาก็ไม่เสียหายอะไร"

“เช่นนั้น พวกเจ้าทุกคนตามข้าไปที่ตำหนักหย่งโซ่วด้วยกันและเป็นพยานร่วมกับข้า” ฮองเฮากล่าว

จั๋วหรูซินไม่คาดคิดถึงสิ่งนี้ นางรีบเดินไปหาจั๋วซือหราน แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ "เจ้าบ้าไปแล้วหรือ"

จั๋วซือหรานมองนางอย่างเย็นชา "นี่เป็นเรื่องที่เจ้าตั้งใจก่อมามิใช่หรือ ข้าทำในสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว เจ้าไม่พอใจหรือ"

“แต่ข้าไม่ได้ให้เจ้าโอ้อวดว่า เจ้าสามารถรักษาความเจ็บป่วยของไทเฮาได้ ท่านชายของตระกูลเหยียนอยู่ในงานด้วย เจ้าพูดอย่างนั้นไม่กล้วจะเดือดร้อนภายหลังหรือ” จั๋วหรูซินกัดฟันพูด

จั๋วซือหราน "ข้าจะเดือดร้อนหรือไม่ ไม่รบกวนเจ้าเป็นห่วง"

“เจ้าพูดเกินความสามารถ เพื่อต้องการขอพระราชโองการการหมั้นระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องเฟิงเหยียน หากเจ้าทำให้ตระูลอับอาย เหล่าผู้อาวุโสจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่” จั๋วหรูซินพูดอย่างเคร่งขรึม นางคิดว่าตัวเองมองแผนการของจั๋วซือหรานออก

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จั๋วซือหรานยิ้ม นางเบาเสียงลง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้าย "เฟิงเหยียนและข้ารักกัน สายใยรักของเราผูกกัน ทำไมเราต้องมีพระราชโองการการหมั้นล่ะ เจ้าไปกังวลเรื่องของเจ้าเองเสียดีกว่า”

หัวใจของจั๋วหรูซินเต้นรัว "หมาย หมายถึงอะไร"

จั๋วซือหรานยิ้มอย่างสดใสจนเห็นฟันขาวเล็ก ๆ ของนาง “พี่ลิ่ว ลืมไปหรือ คู่รักของพี่ลิ่ว ฉินตวนหยาง ข้าเหลือไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษนะ”

จั๋วซือหรานไม่ใช่คนบริสุทธิ์ จั๋วหรูซินกล้าหาผู้ชายชั่ว ๆ เช่นนี้ให้นาง นางก็จะโยนเขากลับไปหาจั๋วหรูซินอย่างแน่นอน

จั๋วหรูซิน: "เจ้า"

จั๋วซือหรานไม่สนใจนางและไม่มองนาง นางเดินจากไปอย่างสง่างาม

จั๋วหรูซินหวาดกลัวเล็กน้อย แต่นางรีบสงบอารมณ์ทันที นางเยาะเย้ยในใจว่า นางกำลังคิดอะไรอยู่ จั๋วซือหรานจะรักษาโรคของไทเฮาได้อย่างไร นางไปเป็นตัวตลกมากกว่า

จั๋วหรูซินเร่งฝีเท้าและมุ่งหน้าไปยังตำหนักหย่งโซ่ว

ไม่ไกลจากด้านหลังของพวกนาง เหยียนฉีมองไปยังชายที่สวมชุดสีดำ เวลานี้ สีหน้าของชายพูดนี้ไร้ความรู้สึก เหยียนฉียิ้มอย่างขำขันว่า "คนสองคนรักกัน มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และผูกพันกันตลอดชีวิตที่เหลือ เจ้าและจั๋วจิ่วมาถึงจุดนี้แล้วหรือ "

ด้วยทักษะของพวกเขา พวกเขาสามารถได้ยินการคุยระหว่างจั๋วซือหรานและจั๋วหรูซินได้อย่างชัดเจน

เฟิงเหยียนขมวดคิ้วและเหลือบมองเหยียนฉีอย่างเย็นชา “หากเจ้ามีเวลามาก ก็ไปรักษาสมองของตัวเองเถิด ชื่อเสียงของตระกูลตัวเองจะถูกคนทำลายอยู่แล้ว ยังมีเวลาแกล้งข้าอีกหรือ”

เหยียนฉีสะดุ้ง จากนั้นโบกมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "แม้ว่าความสามารถของคุณอาสามของข้าจะไม่ได้สูงที่สุดในบรรดาตระกูล แต่ก็ยังเก่งพอ เขายังรักษาความเจ็บป่วยของไทเฮาไม่ได้...เจ้าเชื่อความสามารถของจั๋วจิ่วขนาดนี้เลยหรือ”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1460

    จั๋วซือหรานคิดๆ เสริมเข้ามาอีกประโยคหนึ่ง "ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ต้องหนี ก็ต้องไปทำความเข้าใจสถานการณ์แบบรูปธรรมมาก่อน"รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งยิ่งไปกว่านั้นจั๋วซือหรานหลังจากที่รู้เป้าหมายของสภาผู้อาวุโส ในใจก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นรางๆอันที่จริงนางเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามิติในแหวนเสวียนเหยียนของตนเองมันคืออะไรกันแน่ไม่แน่ การเดินทางครั้งนี้อาจจะได้คำตอบเส้นทางไปยังเมืองโม่ ยาวไกลมากจริงๆ ระหว่างทางก็เจอสถานการณ์หลายอย่าง ทั้งคนปล้นกับสัตว์ประหลาด เจอมาหมดถ้านี่เป็นกลุ่มอื่นคงจะจบลงที่กลางทางแล้วแต่โจรพวกนี้ก็ดวงไม่ดี ดันมาเจอกับกลุ่มของพวกเขาขั้นตอนโดยพื้นฐานจะเป็นปันอวิ๋นกับถังฉือสองคน ซึ่งหารือกันอย่างเกียจคร้านถังฉือ: "เจ้าไปไหม?"ปันอวิ๋น: "ข้าขี้เกียจ เจ้าไปแล้วกัน"ถังฉือ: "ข้าเองก็ขี้เกียจ"ปันอวิ๋น: "คืนนี้ข้าจะให้ซือหรานย่างปลา น้ำจิ้มผลไม้ปลาย่างของนางนี่อย่างเด็ด"ถังฉือ: "ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"จากนั้นถังฉือก็ออกไปไม่ถึงสองนาที การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงจั๋วซือหรานบางครั้งตอนที่นอนกลางวันก็ไม่รู้เรื่องนี้เลย! เพิ่งมารู้เรื่องเอาตอนย่างปลาช่วง

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1459

    ถังฉือน่าจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้จริงๆ ดังนั้นจึงรู้เนื้อหาไม่ค่อยมากนักถ้าหากเป็นจั๋วซือหรานล่ะก็ คงจะตรวจสอบเป้าหมาย แผนการ ของอีกฝ่ายมาจนหมดแล้วยังดีที่ถึงแม้ข้อมูลของถังฉือจะไม่เยอะมาก แต่พอบวกกับข้อมูลที่ปันอวิ๋นรู้บางส่วนรวมส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน ก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวออกมาได้จั๋วซือหรานรวบรวมข้อมูลคร่าวๆ แล้วจึงสรุปออกมา"สรุปก็คือ ในเรื่องที่สภาผู้อาวุโสลิ้มรสความหอมหวานจากเกาะลอยฟ้าด้วยพลังแห่งมังกรคราม เลยคิดอยากจะได้พลังแห่งสัตว์เทพที่มากกว่า หวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม ต้องการ...แดนอุดมคติบนโลกมนุษย์"พูดถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็หัวเราะเบาๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง ทั้งเหมือนประชดและเหมือนไม่มี นางเสริมขึ้นมาคำหนึ่ง "แดนอุดมคติบนโลกมนุษย์ที่เป็นของพวกเขาเท่านั้น"น่าจะประมาณนี้นั่นล่ะเพียงแต่ว่าล้มเหลวไปแล้ว เพราะพลังสัตว์เทพที่ได้รับมาจากการพันธนาการ มันไม่ได้ผลลัพธ์แบบที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้"หลักๆ คือเจ้าเสียวหม่านี่รู้ข้อมูลมาน้อยเกินไปแล้ว" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้น "ดังนั้นพวกเรารีบไปที่เมืองโม่ดีกว่า ชิงตัวซงซีกับเยี่ยนเหวยมาก่อน ข้อมูลที่พวกเขารู้ต้องมากกว่านี้แน่นอน"จั

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1458

    สายตาของปันอวิ๋นก็มองมาทางเขา รู้สึกทอดถอนใจหน่อยๆถังฉือไม่พูดต่อ แต่ปันอวิ๋นก็เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องราวหลังจากนั้นจึงหันมาบอกกับจั๋วซือหรานว่า "พยัคฆ์ขาวนั่นตอนนั้นก็เป็นเขานี่ล่ะที่จับไป""..." จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายความเงียบงันของถังฉือเมื่อครู่ทันทีมิน่า น่าจะตอนนั้นสินะ เขาถึงได้เข้าใจต่อเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง"สรุปคือ..." ถังฉือเนื่องจากมีนิสัยแบบนั้น ดังนั้นต่อให้รู้สึกเชิงขอโทษอยู่บ้าง แต่มันก็เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเขาพูดต่อว่า "สรุปคือ หลังจากข้าพาเขาไป พวกเขาก็หาวิธีคิดจะใช้พลังแห่งพยัคฆ์ขาว ข้าเข้าใจไม่มากนัก จำได้ลางๆ ว่า พวกเขาหวังจะมีพลังแห่งสัตว์เทพ แล้วจะสร้างปาฏิหาริย์เหมือนเกาะลอยฟ้าขึ้นมา"ฟังถึงตรงนี้ จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ถึงอย่างไร คนที่เคยลิ้มรสความหอมหวานมาแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อยากจะลิ้มรสความหอมหวานมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์เพียงแต่ว่า จั๋วซือหรานเพิ่งจะคิดแบบนี้ ก็เห็นถังฉือขมวดคิ้ว เหมือนจะดูไม่ค่อยพอใจกับเนื้อหาคำพูดของตัวเองราวกับว่า รู้สึกว่าคำพูดของตัวเอง ยังแสดงความหมายที่อยากจะบอกออกมาไ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1457

    จั๋วซือหรานพูดถึงตรงนี้ ก็หัวเราะขึ้นมา แต่ไม่ใช่หัวเราะใส่เฟิงเหยียนหรือปันอวิ๋นถ้าให้พูดจริงๆ น่าจะเป็นเจ้าสภาผู้อาวุโสสมควรตายนั่นมากกว่าจั๋วซือหรานหัวเราะเสียงเย็นชา "พวกเขาพอได้ลิ้มลองของดีแล้ว ต้องไม่ยอมปล่อยวางพลังสัตว์เทพไปแน่นอน"พลังแห่งมังกรครามสามารถทำให้เกาะมังกรลอยบนท้องฟ้าได้ ทำให้ฐานที่มั่นพวกเขาดูราวกับเป็นปาฏิหาริย์แห่งทวยเทพได้อย่าว่าแต่สภาผู้อาวุโสพวกนี้เลยจั๋วซือหรานลองสมมติว่าถ้าตนเองเป็นแบบนั้น ก็คงรู้สึกอยากจะรู้ว่าพลังของสัตว์เทพอื่นๆ จะเป็นเช่นไร"ใช่เลย" ปันอวิ๋นถอนหายใจ "เพียงแต่ว่า พลังสัตว์เทพมันหาได้ง่ายๆ เสียที่ไหนกัน"ถังฉือที่อยู่ข้างๆ ก็พูดต่อมาว่า "พวกเราหามาตั้งหลายปี ไอ้ที่หาเจอจริงๆ ก็มีแค่หงส์แดงกับพยัคฆ์ขาวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นแค่พวกน้ำไร้รากด้วย"จั๋วซือหรานรู้สึกสนใจกับคำพูดนี้ของถังฉือ"น้ำไร้ราก..."ประหลาด จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายคำนี้ของถังฉือขึ้นทันทีพลังแห่งพยัคฆ์ขาวที่ถังฉือพูดถึงเป็นอย่างไร จั๋วซือหรานไม่รู้แต่ที่นางรู้คือบนตัวเฟิงเหยียน หรือก็คือพลังหงส์แดงที่สืบทอดมาของตระกูลเฟิงมันก็ดูเป็นน้ำไร้รากจริงๆ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1456

    เขาพยักหน้า "พวกเขาสะสมมานานหลายปี มีทรัพยากรที่ดีที่สุด มีเส้นสายที่ดีที่สุดกับสำนักต่างๆ"ถังฉือพูดต่อไปและเพราะมีทรัพยากรเช่นนี้ พวกเขาจึงมีสายข่าวที่เยอะถึงเยอะมากๆสัตว์เทพเอย สัตว์ชั่วร้ายเอย สิ่งที่คนปรารถนาแต่ไม่อาจเอื้อมถึง แค่คิดก็ยังไม่กล้าจะคิด ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว กลับเป็นสิ่งที่ได้มาง่ายดายและเพราะได้มาง่ายดาย จึงไม่ได้ดูมีคุณค่าขนาดนั้นดังนั้น จึงมีทะเลทรายทางเหนือขึ้นมาทะเลทรายทางเหนือก็เหมือนกับเป็นศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งของสภาผู้อาวุโส รวบรวมตัวตนอันตรายจำนวนมากไว้ เป็นตัวตนที่สภาผู้อาวุโสรู้สึกว่าเก็บไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่จะทิ้งก็เสียดายถ้าบอกว่าให้ทิ้งไป พวกเขาก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ถ้าจะบอกว่ามีค่า...ก็เหมือนไม่ได้ไปถึงขนาดนั้นดังนั้นจึงให้พวกเขาอยู่กันที่ทะเลทรายทางเหนือ อยู่ในเมืองโม่ทั้งใช้งานต่อได้ และไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตของสภาผู้อาวุโสด้วยจั๋วซือหรานฟังออกถึงความหมายในคำพูดนี้"ดังนั้นก็คือ...ที่พวกเขาเอาคนเหล่านี้มาทำงานในเมืองโม่ อันที่จริงก็เพื่อไม่ให้พวกเขาไปยังฐานที่มั่นสภาผู้อาวุโส แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของพวกเขาต่อไปได้"

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1455

    ถังฉือชอบจั๋วซือหราน ไม่ใช่ความรู้สึกชอบแบบหนุ่มสาว แต่เป็นความชอบแบบบริสุทธิ์ใจดังนั้น ขอแค่จั๋วซือหรานอยากรู้ ถังฉือก็จะตอบสิ่งที่รู้ออกมาทั้งหมดดังนั้นจั๋วซือหรานจึงมีความเข้าใจต่อสภาผู้อาวุโส และทะเลทรายทางเหนือพอควรแล้วสภาผู้อาวุโส ตอนแรกสุดที่ก่อตั้ง ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี และไม่มีการกดขี่ข่มเหงตอนนั้น แผ่นดินใหญ่แตกแยกล่มสลายแคว้นเล็กต่างๆ สับสนวุ่นวายไม่พัก สู้กันไปสู้กันมาตอนนั้นลัทธิยังไม่เรียกเป็นลัทธิ แต่ยังเรียกเป็นแค่กลุ่มสำนัก และกลุ่มสำนักภูเขาหรือกลุ่มสำนักริมน้ำก็ผุดขึ้นมาไม่ขาดสายและก็มีการช่วงชิงระหว่างกันทั้งที่ลับที่แจ้งอยู่ไม่น้อยพูดแบบนี้ดีกว่า เป็นยุคสมัยที่ค่อนข้างวุ่นวายเลยทีเดียวระหว่างแคว้นรบราต่อสู้กัน วุ่นวายไม่หยุดหย่อนระหว่างสำนักเองก็ต่อสู้กัน มีคนตายไปไม่น้อยสถานการณ์เช่นนี้ยืดยาวต่อมาเป็นเวลานาน กินเวลาหลายสิบปีเลยทีเดียวต่อมาไม่รู้เนื่องจากโอกาสอะไร โดยรวมคือ มีสำนักอันดับแรกที่ก่อตั้งขึ้นจากการร่วมตัวเป็นพันธมิตรพลังของสำนักเช่นนี้แน่นอนว่าไม่ใช่ธรรมดา ดีกว่ากลุ่มสำนักแต่ก่อนมากมายดังนั้น เพื่อจะต่อสู้กับสำนักนี้ สำนักอื่นๆ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status