Share

บทที่ 11

Author: หูเทียนเสี่ยว
เมื่อได้ยินคำพูดของชายผู้นี้ ผู้สูงอายุใหญ่ก็ขมวดคิ้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้สูงอายุสามแข็งทื่อ "เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร จวนของข้าจะขาดแคลนยาของเสี่ยวจิ่วได้เช่นไร ทว่าข้ายังคงขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน"

จั๋วซือหราน "ขอบพระทัยท่านอ๋องแทนข้าด้วย"

“ขอรับ เมื่อข้าส่งมอบของเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับไปรายงานเดี๋ยวนี้ ข้าขอลา และข้าขอคุณหนูจิ่วหายดีเร็ว ๆ ขอรับ”

หลังจากผู้ติดตามของตระกูลเฟิงจากไป

ผู้สูงอายุใหญ่กล่าวอย่างเคร่งขรึม "ผู้ใดเข้ากะของคลัง นำตัวมา"

จั๋วซือหรานยิ้มอย่างสงบ นางกล่าวว่า "ผู้อาวุโสใหญ่เจ้าคะ ผู้ที่ดูแลคลังของจวนแค่มองว่าใครมีฐานะสูงกว่ากัน และจะฟังคำสั่งของคนผู้นั้น หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากใครบางคน ก็จะมิกล้าทำเช่นนี้หรอก"

ผู้อาวุโสใหญ่"ข้ารู้ว่าเจ้ามีความคับแค้นอยู่ในใจ เจ้าได้สสั่งสอนเสี่ยวลิ่วแล้ว เจ้าก็ยกโทษให้นางไปเสีย อย่าทำให้คนภายในตระกูลเสียความรู้สึกต่อกันเลย "

จั๋วซือหรานพูดต่อ "หนูเทียบกับพี่ลิ่วมิได้หรอก นางยุยงให้คนนอกทำหนอนพิษกู่ใส่ข้า การกระทำเช่นนี้ ข้ายังไม่เรียกร้องความยุติธรรมเลย"

“ทั้งหมดนี้ไม่มีที่เป็นยหลักฐานอันใด เหตุใดจึงต้องทำร้ายความส้มพันธ์พี่น้องด้วย” ผู้อาวุโสสามตะโกน “เสี่ยวจิ่ว หยุดคิดเล็ดคิดน้อยจนเกินเหตุได้แล้ว”

จั๋วซือหรานยิ้มอย่างเย็นชา "ผู้อาวุโสสาม ข้าถูกลงโทษตามกฎตระกูลเก้าแส้แล้ว หากร่างกายของข้าแย่กว่านี้ กระดูกของข้าอาจถูกตีจนหักก็ได้ ไม่อยากให้ข้าคิดเล็กคิดน้อยจนเกินเหตุหรือ ก็ได้ เช่นนั้นให้จั๋วหรูซินถูกเฆี่ยนเก้าเส้นด้วยเช่นกันสิ"

ผู้อาวุโสสามโกรธ "เจ้า นี่"

ผู้อาวุโสใหญ่รีบอ้าปาก "เอาล่ะ เรื่องนี้ค่อยว่ากันมาทีหลัง"

ผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่ได้ซักถามและจัดการกับหลิวเย่ หากต้องตัดสินเรื่องที่จั๋วซือหรานถูกใส่หนอนพิษกู่ ก็ต้องรอหลังจากหลิวเย่จะถูกสอบปากคำแน่นอน

ดังนั้นจั๋วซือหรานไม่เรียกร้องเรื่องนี้อีก

ผู้อาวุโสที่สามถามแบบเหน็บ ๆ "ถ้าเช่นนั้น เรื่องที่เจ้าสามารถดึงกระบี่ของตระกูลเฟิงเหยียนออกมาได้ เป็นเรื่องจริงหรือ เจ้ากับเขาครองคู่กันโดยไม่บอกใครหรือ"

จั๋วซือหรานเหลือบมองผู้อาวุโสสามด้วยรอยยิ้มจาง ๆ นางคว้าประเด็นสำคัญของประโยคแล้วถามกลับ "ใช่น่ะสิ ข้าดึงกระบี่ประจำตระกูลของท่านอ๋องเฟิงออกมาได้ แล้วทำไม จั๋วหรูซินดึงมันออกมาไม่ได้หรือ"

“หึ เจ้าเอาเปรียบผู้อื่นและโอ้อวดให้มันน้อย ๆ หน่อย กระบี่ประจำตระกูลของเฟิงเหยียนมีความลึกลับมากมาย ไม่มีใครสามารถดึงมันออกมาได้ยกเว้นตัวเขาเอง แต่เจ้าดึงมันออกมาได้ ผู้ใดจะไปรู้ว่าเป็นเพราะเจ้าและเขาตกลงครองคู่กันโดยไม่บอกผู้อื่นจึงทำเช่นนั้นได้กันหรือไม่”

ผู้อาวุโสสามยังพูดจาเหน็บแนม เขาสะกิดอย่างชัดว่า นางเป็นสตรีร้อยลิ้นกะลาวนหลงรักคนง่าย เพราะถึงอย่างไร นางเป็นผู้ที่ถอนการหมั้นหมายก่อน และร้องแต่งงานกับฉินตวนหยางตอนนี้กลับไม่แต่งงานกับฉินตวนหยาง และบอกว่า กระบี่ประจำตะกูลของเฟิงเหยียนคือของขวัญแทนใจ

ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนพูดตรง ๆ "เสี่ยวจิ่ว หลังจากข้าตรวจสอบเรื่องที่เจ้าถูกปองร้ายและพบความจริงได้แล้ว ผู้สั่งการเบื้องหลังต้องได้รับบทลงโทษอย่างแน่น แต่ความผิดของเจ้าก็ไม่สามารถลดทอนลงได้แม้แต่น้อย เจ้าต้องไปซ่อมความสัมพันธ์กับตระกูลเฟิง และเจ้าต้องเอาสัญญาหมั้นกับเฟิงเหยียนกลับมาให้ได้ด้วย”

ดวงตาของจั๋วซือหรานกระตุกเล็กน้อย นางลองเอ่ยถาม "หากเสี่ยวจิ่วไร้ความสามารถ ไม่สามารถเอาสัญญาการหมั้นกับท่านอ๋องเฟิงกลับมาได้ล่ะ "

“ตระกูลไม่เลี้ยงผู้ไร้ความสามารถ ต่อไปเจ้าและน้องชายของเจ้าจะไม่ได้รับการการฝึกฝนใด ๆ จากในตระกูล” ผู้อาวุโสมองดูกล่องยาน้ำค้างหยกสามกล่องในมือของนาง “แต่ในเมื่อเฟิงเหยียนถึงนำกระบี่ประจำตระกูลมาเป็นของขวัญแทนใจ และให้เจ้าใช้กระบี่ส่วนตัวของเขา และยังสั่งคนนำยารักษาอาการบาดเจ็บมาให้เจ้า หากเจ้าอยากได้สัญญาการหมั้นกลับ คงไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ เจ้าเห็นด้วยไหม”

เห็นด้วยอะไรล่ะ

นี่เท่ากับจับนางไปย่างบนไฟ ทำได้ยากมาก

แต่ตอนนี้นางอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสสาม จั๋วซือหรานไม่สามารถแสดงความกลัวได้

นางยิ้ม "เหอะ ๆ ...แน่นอนอยู่แล้ว"

ที่ตลอดผ่านมา ผู้อาวุโสใหญ่เป็นผู้ที่เคร่งขลึมและไม่ค่อยยิ้ม เมื่อเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน ใบหน้าของเขาเริ่มมีรอยยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี อีกสองวันจะมีงานดอกไม้ในวัง เฟิงเหยียนเป็นท่านอ๋องของตระกูลเฟิง ดังนั้นเขาต้องเข้าร่วมพิธีในวันนั้นอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง อาการบาดเจ็บของเจ้าก็คงจะหายดีแล้ว อย่าพลาดงานนี้ล่ะ”

จั๋วซือหราน "เสี่ยวจิ่ว...ข้ารับคำสั่ง"

หลังจากนั้นไปสองวัน จั๋วซือหรานได้รักษาบาดแผลและวิเคราะห์ความสามารถของร่างนี้

ต้องยอมรับว่า เจ้าของร่างเดิมได้รับการยกย่องจากตระกูลจั๋วเช่นนี้ นางมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาเสียจริง ไม่เพียงแต่นางมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ในสายเลือดตระกูลจั๋วเพียงเท่านั้น อีกทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าปกติอีกด้วย ซึ่งเข้ากันได้อย่างดีกับศิลปะการต่อสู้โบราณที่นางเคยฝึกฝนในชาติที่แล้ว

ภายในเวลาสองวัน อาการบาดเจ็บร้ายแรงที่ได้จากการลงโทษที่ทำตามกฎตระกูลเก้าแส้เกือบหายสนิทแล้ว

ในเช้าตรู่ มีสาวใช้นำเครื่องแต่งกายมา เพื่อแต่งตัวให้นาง

“ผู้อาวุโสใหญ่สั่งข้าน้อยมาแต่งกายให้แก่คุณหนูจิ่วเจ้าค่ะ”

จั๋วซือหรานนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางมองไปที่สาวใช้ที่กำลังเตรียมจะแต่งหน้าหนัก ๆให้กับนาง

"เดี๋ยว" จั๋วซือหรานจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่า มีคนสั่งสาวใช้ผู้นี้มาก่อเรื่องอัตราย

นางห้ามสาวใช้ทำต่อ"ข้าทำเอง"

สาวใช้หยุดการเคลื่อนไหวทันที นางใจฝ่อเล็กน้อยและพูดโน้มน้าวว่า “คุณหนูจิ่วให้บ่าวทำให้เถิด”

“ให้เจ้าแต่งหน้าเหมือนตัวตลกให้ข้า และให้ข้าไปงานดอกไม้ตลก ๆ เช่นนั้นหรือ จั๋วหรูซินยังจะมีลูกเล่นใหม่ ๆ บ้างไหม” จั๋วซือหรานขมวดคิ้วและสั่ง "ออกไป!"

จั๋วซือหรานแต่งหน้าและแต่งกายด้วยตนเอง

แต่เดิมนางสวยอยู่แล้ว แม้ไม่ได้แต่งหน้า หากแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยก็สวยงดงามยิ่งขึ้นไปอีก

เป็นที่น่าดึงดูดความสนใจผู้คนในงาน

“นางกลับมาจริง ๆ...”

“นางกล้ามางานดอกไม้ในวังได้จริง ๆ ! นางโดนลงโทษตามกฎตระกูลมิใช่หรือ ทำไมหายไวเช่นนี้”

จั๋วหรูซินยืนอยู่ข้าง ๆ นางสวมผ้าคลุมเพื่อปิดรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนาง เวลานี้นางโกรธอย่างมากจนต้องกัดฟัน

สองวันแล้ว รอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางเพิ่งค่อย ๆ จางหาย ทำไมอาการบาดเจ็บของจั๋วซือหรานถึงหายสนิทได้

ผู้ดูแลโน้มน้ามอยู่ข้าง ๆ นางพูดว่า "คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูอย่าหุนหันพลันแล่น คุณท่านลิ่วเคยสั่งไว้ ท่านต้องใจเย็น ๆ หลัง ๆ มีโอกาสจัดการนางอยู่เจ้าค่ะ"

จั๋วหรูซินโกรธและกัดฟันแล้วพูดว่า "ข้ารู้แล้ว"

จั๋วซือหรานก้าวไปข้างหน้า นางเผชิญต่อสายตาที่โกรธแค้นของจั๋วหรูซิน และนางนั่งบนรถม้าโดยอารมณ์ดี

งานดอกไม้ในวังจัดขึ้นฤดูกาลละครั้ง และแน่นอนว่า ในช่วงฤดูหนาว ไม่มีดอกไม้ให้ชมหรอก แต่เดิมนั้นราชสำนักเป็นผู้จัดงาน และเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่ตระกูลขุนนาง งานนี้ไม่ได้จัดเพื่อชมดอกไม้ แต่ชมหญิงสาวที่มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ ๆ

มีการแข่งขันความงามในหมู่สตรีจากตระกูลหลายตระกูล แต่จั๋วซือหรานยังคงได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น

เพราะนางสวยและเด่นอย่างมาก

เดิมทีจั๋วซือหรานมีหน้าตาอย่างสวยเทวดา วินาทีที่ดวงตาคู่นั้นล้นความกล้าหาญออกมา ความงดงามนั้นเต็มไปด้วยเอกลัษณ์ส่วนตัว และเต็มไปด้วยความภาพภูิใจ ซึ่งดึงดูดสายตาของผู้คนอย่างมาก แม้ว่านางจะแต่งหน้าเล็กน้อย แต่ก็งดงามมากพอแล้ว

ในชาติที่แล้ว จั๋วซือหรานเป็นสายสืบยอดฝีมือของหน่วยงานนางแข็งขันแกร่งกล้า ทะนงในศักดิ์ศรี

และเจ้าของร่างเดิมไม่ใช่คนอ่อนแอเสียหน่อย นางเกิดมามีอำนาจบารมี ได้รับการยกย่องมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนต่างภาคภูมิใจ

เมื่อนางลงจากรถม้า คนรับใช้ของเรือนผู้อื่นจ้องนางอย่างเยาะเย้ย ราวกับว่ากำลังย้ำถามว่า ทำไมนางถึงกล้ามาที่นี่อีก

จั๋วซือหรานเผชิญหน้ากับสายตาที่เยาะเย้ยของเขา รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางสดใส แต่คำพูดของนางนั้นเย็นชามาก "เจ้ามองอะไร หากยังมองอีก ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา”

สีหน้าของคนรับใช้หยุดนิ่ง เขารีบถอนสายตากลับ

จนงานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้น เฟิงเหยียนยังไม่ปรากฎตัว

ทุกคนมองจั๋วซือหรานด้วยความสงสาร

“ท่านอ๋องเฟิงไม่มาเพราะไม่อยากเห็นจั๋วจิ่วแน่ ๆ ”

“นางยังพูดต่อสาธารณะชนอีกว่า นางรักท่านอ๋องเฟิงอย่างสุดซึ้งหัวใจ ช่างน่าอับอายจริง ๆ”
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Pa Mod
ตระกูลแบบนี้จะอยู่ไปเพื่อ.......ให้เขาฆ ่าตุยรึงัย,นางเอก
VIEW ALL COMMENTS

Latest chapter

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1367

    พอได้ยินเสียงนี้ จั๋วซือหรานก็รู้ว่าเจ้าของเสียงน่าจะเป็นแม่ทัพทหารประจำการเมืองลั่วหม่า...แม่ทัพเย่เจิงคนนั้นจั๋วซือหรานมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม "แม่ทัพดูแลเมืองลั่วหม่าได้สงบจริงๆ ข้าก็เลยรู้สึกสบายๆ น่ะ""ถ้าหากสงบจริง ใต้เท้าคงไม่โดนโจรปล้นที่ด้านนอกนั่นหรอก" เสียงของเย่เจิงดังลอดออกมาจากด้านในฟังเนื้อหาแล้ว เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องที่จั๋วซือหรานถูกปล้นแล้วจั๋วซือหรานเดินเข้าไปในโถง และเห็นแม่ทัพเย่ที่นั่งอยู่แล้วเทียบกับฉีฮ่าวที่ดูกักขฬะแล้วยังสง่างามกว่าหน่อย แต่ก็ยังดูดุดันกว่าอิงเซ่าที่สง่างามทรงภูมินิดๆ"แม่ทัพเย่" จั๋วซือหรานยิ้มๆสายตาของเย่เจิง พิจารณาอยู่บนตัวหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ในสายตาก็มีการสำรวจตรวจสอบอย่างไม่มีปิดบังเขาปักหลักอยู่ในเมืองลั่วหม่ามาหลายปี ถือได้ว่าเป็นการประจำการอยู่แนวหน้าตลอดทั้งปีคนแบบเขาจะเป็นพวกกระดูกแข็งและรับมือยากถ้าจะให้เขามาประจบสอพลออะไรแบบนั้น คงจะทำไม่ได้แน่สำหรับเรื่องนี้ พวกขุนนางใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวง ส่วนใหญ่ก็ไม่เต็มใจจะยอมรับเท่าไร กระทั่งรู้สึกขี้เกียจจะออกมาพบเสียด้วยซ้ำแต่สำหรับจั๋วซือหราน กลับโผล่หน้าออกมาด้วยต

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1366

    และขี้เกียจจะกลับไปบนรถม้าแล้ว จึงขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าตัวที่นำอยู่ เตรียมจะตรงไปยังจวนแม่ทัพเมืองลั่วหม่าตามที่ทหารชี้ทางไว้แต่ก่อนหน้าที่จะไป นางก็ยังไม่ลืมกำชับกับหัวหนาทหารว่า "คนพวกนี้ ถ้าออกมาจากในคุกก็จะมีใบรับรองความภักดีแล้ว พวกเขาคงจะไปช่วยพวกคนชั่วในเมืองซื่อหนานก่อเรื่องไม่ดีแน่ ดังนั้นห้ามปล่อยพวกเขาออกมาเด็ดขาด"ดวงตาของเหล่าโจรก็ถลึงโตขึ้นมา มองไปทางจั๋วซือหรานและหญิงสาวชุดแดงบนหลังม้านั้น ใบหน้าเล็กที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องประทิน งดงามหาใดเปรียบก็ยิ้มขึ้นมาจนเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวัน แต่ในแววตานั้นกลับไม่มีความอบอุ่นใดอยู่เลย ราวกับจะเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งเสียอีกสายตาที่ไม่มีความอบอุ่นใดของนางตกมาอยู่บนตัวพวกเขา จ้องมองมาเรียบๆ "พวกเจ้าคิดว่ากฏหมายใช้กับคนหมู่มากไม่ได้ พอปล้นชิงแล้วขอแค่ไปยังเมืองซื่อหนานได้ กฏหมายก็จะเอาผิดพวกเจ้าไม่ได้สินะ"นางจ้องพวกเขา "แต่ข้าเอาผิดพวกเจ้าได้ ทนรับเอาไว้ก็แล้วกัน"พูดคำนี้จบ จั๋วซือหรานก็คีบท้องม้า ติดตามทหารที่นำทาง ตรงไปยังจวนแม่ทัพทหารประจำการของเมืองลั่วหม่า เป็นส่วนหนึ่งของกองพันพยัคฆ์ทมิฬแห่งกองทัพสยบแดนใต้แม่ท

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1365

    ถ้าถูกจับเข้าห้องขัง พวกเขาไม่ใช่ยังต้องคิดหาวิธีแหกคุกออกมาอีกถึงจะหลบเข้าไปใช้ชีวิตอย่างสงบในซื่อหนานได้รึไงกัน?จากนั้น พวกเขาก็ได้ยินจั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไร ตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงนี้ ในใจก็รู้สึกตึกตักขึ้นมาอย่างประหลาด...น่าจะเพราะ...เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีกระมัง?สรุปคือ หลังจากเสียงหัวเราะเบาๆ ของนาง พวกเขาก็ได้ยินจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "โอ้ พวกเขาน่ะ..."สายตานางหรี่ลง แววตาเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายแล่นวาบในดวงตาพญาหงส์ของนาง"พวกเขาเป็นคนที่คิดจะมาปล้นขบวนรถข้าที่ด้านนอกเมืองลั่วหม่าน่ะ"พอคำนี้ออกไป เหล่าโจรต่อให้เดาได้ถึงความเป็นไปได้นี่ แต่ก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่และเหล่าทหารเองก็ตกตะลึงด้วยเช่นกัน ร้อนรนขึ้นมาทันที"มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? กำเริบเสิบสานเสียจริง!"ในดวงตาของหัวหน้าทหารมีความโกรธอยู่ตรงหน้าคนนี้คือว่าที่โหวหลวนหนานนะ ทั่วทั้งหลวนหนานล้วนเป็นพื้นที่ศักดินาของนาง ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่านางไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแออะไรเลยอีกด้วยชื่อเสียงของคนผู้นี้ลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เป็นตัวตนที่ค่อนข้างร้ายกาจเลยทีเดียว...ในอนาคตจะต้องมีเรื่องที่ต้อ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1364

    จั๋วซือหรานส่งป้ายผ่านด่านให้กับทหารทหารประตูเมืองหยิบป้ายผ่านด่านของนาง ขึ้นมามองไปมองมาอย่างละเอียดจากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อจั๋วซือหรานรู้สึกว่าปกติดี แม้ว่านางจะถูกอวยยศเป็นโหวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกแต่งตั้งพื้นที่ศักดินาเป็นหลวนหนานด้วยแต่การสื่อสารที่ยังไม่พัฒนานัก ทำเลที่ตั้งของเมืองลั่วหม่าเองก็ค่อนข้างห่างไกลอีกด้วยต่อให้แม่ทัพทีประจำการอยู่ในเมืองลั่วหม่าจะรู้ข่าวแล้ว แต่ก็อาจจะไม่ได้แจ้งลงมาขุนพลกับทหารด้านล่างยังไม่รู้ ก็ดูเป็นเรื่องปกติดังนั้นทหารจึงเห็นว่านางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ที่หยิบเอา 'ป้ายตราปลอม' ที่มีตราประทับโหวออกมาหลอกลวงฉับพลัน สีหน้าก็ปั้นยากขึ้นมาทันทีหัวเราะเย็นชาขึ้นเสียงหนึ่ง "เจ้านี่บังอาจนักนะ! เจ้าคิดจะล้อเล่นกับเมืองลั่วหม่ารึ? ตาสีตาสาที่ไหนแค่ถือป้ายผ่านทางมั่วๆ มา ก็คิดว่าจะเนียนเข้าไปในเมืองลั่วหม่าได้รึไงกัน?"จั๋วซือหรานครุ่นคิดสาเหตุปัญหาอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าน่าจะเพราะเนื้อหาในป้ายผ่านทางไม่ตรงกับข่าวที่พวกเขารู้มากระมังจะทำอะไรได้ล่ะ ป้ายผ่านทางสมัยนี้ก็ไม่มีเครื่องหมายป้องกันการปลอมแปลงอย่างพวกตราเลเซอ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1363

    พอได้ยินคำของจั๋วซือหราน เฟิงเหยียนก็ขมวดคิ้วจากนั้นก็ถามปันอวิ๋นขึ้นคำหนึ่ง "เป็นแบบนี้หรือ?""แปลกใหม่ดีใช่ไหมล่ะ?" ปันอวิ๋นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนแม้จะค่อนข้างไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรแค่รอการตัดสินใจของจั๋วซือหรานเขารู้สึกว่า ไม่ว่านางจะตัดสินใจยังไง เขาก็จะไม่มีความเห็นทั้งนั้นเนื่องจากนางนั้นเฉลียวฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร ความคิดของนางมักจะมั่นคงและมีเหตุผลแต่จั๋วซือหรานก็หัวเราะถามขึ้นมาว่า "ท่านอ๋องน้อยมีความคิดอะไรไหม?"ท่านอ๋องน้อยคิดในใจว่าข้าจะมีความคิดอะไรได้ ข้าอยู่กับไก่แล้วก็ต้องตามใจไก่ไปสิ...เขาชะงักไปครู่แล้วเอ่ยขึ้นว่า "ฟังเจ้านั่นล่ะ"ปันอวิ๋นหัวเราะอยู่ข้างๆ น่าจะเพราะชอบและพอใจที่ได้เห็นท่าทางเชื่อฟังและทำตามของเฟิงเหยียนแบบนี้หลังจากจั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม "ถ้างั้น...พวกเราก็คิดหาวิธีเนียนเข้าไปในเมืองซื่อหนานก่อนค่อยว่ากันแล้วกัน?"สำหรับเรื่องนี้ เฟิงเหยียนกับปันอวิ๋นไม่มีความเห็นใดอย่าว่าแต่เนียนเข้าไปในเมืองซื่อหนานเลย ต่อให้จะเนียนเข้าไปในสภาผู้อาวุโส ถ้าพวกเขาคิดหาวิธี ก็น่าจะพอทำได้อยู่ปันอ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1362

    จั๋วซือหรานเองก็ไม่มีอะไรต้องไต่สวนพวกเขาอีกแล้ว จึงเอียงหน้าไปทางแมงมุมของนางโจรพวกนั้นก็ขนลุกชูชันขึ้นทันที!เพราะครั้งที่แล้วตอนนางเอียงหน้าไปทางแมงมุมแมงมุมตัวนั้นก็เฉือนเนื้อของคนคนนั้นออกมา!อารมณ์หวาดกลัวของพวกเขา ก็เริ่มแผ่ซ่านขึ้นมาในใจอีกครั้งแต่คิดไม่ถึงว่า แมงมุมยักษ์ตัวนั้นจะไม่ได้กรีดเนื้อหนังพวกเขาเพียงแค่ขยับตัวนิดหน่อย ก็พ่นใยออกมาอีกสองสามก้อนทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพถูกห่อเหมือนดักแด้อีกครั้ง ขยับตัวไม่ได้ ปากก็พูดไม่ได้...เหลือแค่จมูกที่ยังหายใจกับดวงตาที่ยังมองวัตถุเห็นคนที่ถูกกรีดจนกรีดร้องไม่หยุดก่อนหน้าคนนั้น ตอนนี้เองก็เงียบเสียงไปแล้วด้วยตอนแรกเขายังอัดอั้นหน้าดำหน้าแดงอยู่ แต่เขาก็ค่อยๆ สงบลงมาแล้วเพราะหลังจากที่ใยแมงมุมของแมงมุมตัวนี้พันเข้ามา...บาดแผลก็เหมือนจะไม่ค่อยเจ็บแล้ว...?จั๋วซือหรานขี้เกียจจะสนใจพวกเขาเดินตามปันอวิ๋นขึ้นมาด้านหน้าปันอวิ๋นยังจุ๊ปาก เอียงตามองโจรพวกนั้น เบ้ปากเอ่ยขึ้นว่า "เจ้านี่ก็เมตตาเกินไป"ใยของแมงมุมหน้าผีมีฤทธิ์ทำให้ชาอยู่สินะ ยังไม่ทันได้สั่งสอนพวกเขาจนหนำใจเลยนี่? ดันหยุดความเจ็บปวดให้พวกเขาเสียแล้ว?แล

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status