อะไรจะมา?หวงเหวินจวิ้นมองชีหยวนด้วยความสงสัยและหวาดระแวง จากนั้นจึงได้ยินเสียงนางกล่าวเสียงเรียบ “ข้าจะสังหารหมาป่าจ่าฝูง มันตายเมื่อใด ฝูงหมาป่าย่อมแตกกระเจิง เมื่อนั้นพวกเจ้าหาวิธีต้อนพวกมันไปทางกลุ่มคนนั้น เข้าใจหรือไม่?”เวลานี้หวงเหวินจวิ้นฟังคำของคุณหนูใหญ่ผู้นี้แล้วไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยยามเป็นตายเช่นนี้ ไหนเลยจะมาสนใจเรื่องไมตรีจิตเขากระแทกเสียงถามอย่างไม่ไว้หน้า “คุณหนูใหญ่ ท่านต้องพูดให้ชัดเจน! พวกเรามาเป็นผู้คุ้มกันเพื่อปกป้องท่าน ไม่ใช่มาสังเวยชีวิต! ตกลงท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?!”ฟังจากคำพูดของชีหยวน คล้ายว่านางไปหาเรื่องผู้ใดเข้า ฝูงหมาป่าพวกนี้ก็คงเป็นแผนของศัตรูหากเป็นเช่นนั้น คนที่กำลังจะมาถึงก็คือศัตรู นั่นก็หมายความว่ามาเพื่อฆ่าคน!ชีหยวนหันขวับกลับมาจ้องเขา เพียงพริบตา กระบี่อ่อนในมือของนางก็จ่ออยู่บนลำคอของเขาชีหยวนเห็นบรรดาผู้คุ้มกันทั้งหลายหันมาจ้องนางเป็นตาเดียว นางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าคิดว่าพวกมันจะแยกแยะว่าใครเป็นใครอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกัน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ หากอยากมีชีวิตรอด พวกเจ้าก็มีเพียงทางเดียวคือต้องสู้สุดกำลัง!”
ทว่าเวลานี้ ชีหยวนได้ใช้การกระทำพิสูจน์แล้วว่านางไม่ได้กล่าวคำลวงหัวหน้าฝูงหมาป่าถูกกระแทก มันกลิ้งไปไกลก่อนจะยันกายลุกขึ้นมาอีกครั้ง มันใช้กรงเล็บกรีดพื้น แยกเขี้ยวขู่คำรามใส่ชีหยวน ขนทั่วร่างลุกชันพร้อมสู้ชีหยวนก็ฉวยโอกาสจากแรงกระแทกกระโจนลงจากหลังม้าที่ตกใจสุดขีด พุ่งเข้าใส่หัวหมาป่าเต็มกำลัง กระบี่อ่อนในมือนางฟาดลงบนศีรษะหัวหน้าฝูงอย่างแรงฉีกเปิดบาดแผลลึกจนเกือบถึงกระดูกหัวหน้าฝูงหมาป่าถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งคลุ้มคลั่งสุดขีด มันคำรามลั่น ก่อนจะพุ่งเข้าหาชีหยวนอีกฝั่งหนึ่ง หลิ่วจิงหงที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับสะท้านในใจชีหยวนเป็นตัวอะไรกันแน่?!จวนหย่งผิงโหวผ่านมาหลายต่อหลายรุ่นก็ไม่เคยมีผู้ใดดุดันถึงเพียงนี้ นางโผล่มาจากที่ใดกันแน่?!บัดนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิ่วหมิงจูจึงพ่ายแพ้ให้แก่ชีหยวนด้วยความสามารถเช่นนี้ ในเมืองหลวงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเทียบเคียงได้สีหน้าของหลิ่วจิงหงเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม ความคิดที่จะฆ่าชีหยวนยิ่งแน่วแน่กว่าเคยฆ่า! จะต้องฆ่าให้ได้ สตรีเช่นนี้ หากกลายเป็นศัตรูแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีทางปล่อยไว้เด็ดขาดหากปล่อยไปย่อมเป็นภั
ดาบอ่อนของชีหยวนถูกดึงออกจากร่างของเขา พร้อมกับเลือดที่พุ่งกระเซ็นออกมาอย่างมากมายคนรอบข้างต่างตกตะลึงจนไม่ทันตั้งตัวจะช่วยได้ทันท่วงที หลิ่วจิงหงมองชีหยวนด้วยดวงตาเบิกโพลง ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาคิดในใจคือ: เป็นไปได้ยังไง? ทั้งชีวิตของเขาที่ราบรื่นมาโดยตลอด สิ่งใดที่ต้องการก็ไม่เคยพลาดมือเดิมทีเขาเป็นแค่ลูกนอกสมรสที่ไม่มีตัวตนในครอบครัว กระทั่งเมื่ออายุเจ็ดถึงแปดขวบ ถึงถูกพากลับตระกูลหลิ่วในนามของลูกบุญธรรมแต่แม้จะเริ่มต้นจากจุดที่ยากลำบากเช่นนี้ เขาและแม่รวมถึงน้องสาวก็เอาชนะทุกอุปสรรคมาจนถึงวันนี้แม้ว่าน้องสาวของเขาจะมีตำแหน่งในนามแค่เพียงกุ้ยเฟย แต่ใครๆ ก็รู้ดีว่าพระนางคือหญิงผู้เป็นที่รักยิ่งของฮ่องเต้หย่งชางจึงนำพาให้ฐานะตำแหน่งตระกูลหลิ่วยิ่งใหญ่เกรียงไกร แซงหน้าตระกูลขุนนางและญาติฝ่ายในของราชสำนัก จนมีอำนาจเหนือใครในราชสำนักคนที่มีความสามารถอย่างเขา น่าจะยังคงก้าวต่อไปได้โดยไม่มีสะดุด ควรจะกำจัดชีหยวนตัวตลกที่ขวางทางออกไปให้พ้น แล้วช่วยเหลือสนับสนุนอ๋องฉีให้ขึ้นครองบัลลังก์ในที่สุด และก้าวต่อไปอีกขั้นเขาจะตายได้อย่างไร?! จะตายได้ไง?!"ชีหยวนไม่สนใจสิ่งที่เขาค
เหล่าองครักษ์ของหลิ่วจิงหงตอนนี้กลายเป็นนกตกใจคันธนูเมื่อเห็นคนจำนวนมากและหมาป่าวิ่งไล่ตามมาทางตน แน่นอนว่าต้องสู้จนตัวตายไม่เช่นนั้นล่ะ?หรือจะอยู่รอความตายที่นี่งั้นหรือ?ในที่แห่งนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่น่ากลัวกว่าผีเสียอีก!ฝูงหมาป่าถูกต้อนให้ไล่ล่าไปทางกลุ่มคนเหล่านั้น และในไม่ช้าก็โดนพวกนั้นต้านทานอย่างสุดชีวิต ฆ่าเพื่อนร่วมฝูงไปอย่างน้อยสิบกว่าตัวความโกรธแค้นจากการสูญเสียจ่าฝูงและพวกพ้องของพวกมันถูกจุดชนวนออกมาเต็มที่ จนพวกมันถึงกับเริ่มสู้ตายอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อไล่ฆ่าเหล่าองครักษ์ของหลิ่วจิงหงประกอบกับการช่วยเหลือของกลุ่มคนคุ้มกันที่นำโดยหวงเหวินจวิ้น ทำให้ไม่นานเหล่าองครักษ์ล้มตายก็มี บาดเจ็บก็มีในหุบเขานั้น มีศพของหมาป่าและมนุษย์กระจัดกระจายไปทั่ว ดูแล้วเหมือนสนามรบอย่างแท้จริงใบหน้าของหวงเหวินจวิ้นยังคงมีบาดแผล เมื่อเห็นชีหยวนจับข้อมือลุกขึ้นยืน เขาก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าชีหยวนอันตรายอย่างยิ่งอย่ามองว่านางดูเหมือนจะอ่อนแอบอบบาง ทว่าตอนที่นางฆ่าคน นางแทบไม่กระพริบตาเลย!ชีหยวนเลิกคิ้วมองเขา “พอแล้ว เจ้าไปได้แล้ว”ริมฝ
ชีหยวนมองเห็นว่าใบหน้าของนางขาวซีด จึงเลิกคิ้วถามว่า: “กลัวหรือ?”ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่มันควรจะกลัว ทว่าจริงๆ แล้วหลีฮวาไม่ได้รู้สึกยากจะยอมรับได้อะไรขนาดนั้นนางส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดเสียงแผ่วว่า “หากข้าน้อยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากท่าน อีกไม่กี่วัน ข้าน้อยก็คงกลายเป็นศพแบบนี้ ถูกโยนทิ้งที่หลุมศพหมู่ โดยที่ไม่หลงเหลือแม้แต่ชื่อ”ดังนั้น นางจึงไม่กลัวชีหยวนเป็นคนดีขนาดนี้ สิ่งใดที่นางทำย่อมมีเหตุผลของนางเป็นแน่ถ้าไม่จำเป็นต้องฆ่าคนเหล่านี้จริงๆ นางเชื่อว่าชีหยวนคงไม่ลงมือเมื่อได้ยินหลีฮวาพูดเช่นนั้น ชีหยวนก็ยิ้ม ลูบหัวนางเบาๆ แล้วตอบรับ “ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกเจ้าเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เจ้าต้องจำให้ได้ เข้าใจหรือไม่?”หลีฮวารีบตั้งสมาธิรับฟัง “เข้าใจ! คุณหนูไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ หากบ่าวต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะตอบแทนบุญคุณท่านให้ได้!”คำพูดนี้นางคงฝึกมาจากพวกนักคุ้มกันเหล่านั้น และในที่สุดมันก็ได้ใช้งานจริงชีหยวนอดหัวเราะไม่ได้ “มันก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดนั้นหรอก ข้าแค่ต้องการให้เจ้าไปเมืองหลวงไปช่วยส่งข่าวให้ข้า”หลีฮวาไม่รู้แม้กระทั่งว่าประตูเมืองหลวงอยู่ตรงไหน แต่ในเมื่อชีหย
แสงจันทร์ลาลับ ดวงอาทิตย์ทอแสง เป็นวันใหม่อีกครั้งหวงเหวินจวิ้นจัดการงานเรียบร้อยแล้ว อดรนทนไม่ไหวรีบกลับบ้านไปหาภรรยาและลูกชายภายใต้แสงแดดสดใส ในลานบ้านมีเสื้อผ้าและผ้าห่มตากอยู่ ภรรยากำลังตากสมุนไพรใต้ราวไม้ ส่วนลูกชายก็กำลังจับก้อนอิฐที่กองไว้ตรงมุมกำแพงเพื่อพยายามหัดเดินเมื่อเห็นภาพนี้ เขายิ้มจนตาหยี พร้อมทั้งหัวเราะร่าแล้วร้องออกมา: “ลูกพ่อ!”เด็กน้อยวัยเพียงขวบกว่าๆ เห็นเขาแล้วก็ส่งเสียงอ้อแอ้อย่างดีใจ พยายามจะเดินไปหา แต่ก็ล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังตุบ แล้วร้องไห้จ้าออกมาทันทีหวงเหวินจวิ้นรีบเดินเข้าไปอุ้มเขาขึ้นมา ยิ้มพร้อมทั้งลูบจมูกเขาเบาๆ : “ลูกผู้ชายล้มแค่นี้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย!”ภรรยาเหลือบมองเขาด้วยสายตาตำหนิ “ลูกผู้ชายอะไรกัน? ยังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งหัดเดินไม่กี่วันเอง!”หวงเหวินจวิ้นหัวเราะเบาๆ วางลูกชายลง แล้วหยิบตั๋วเงินสองใบออกมาจากอกเสื้อส่งให้ภรรยาภรรยามองเขาอย่างสงสัย “นี่อะไร?”เมื่อนางเห็นจำนวนเงินบนตั๋วเงิน นางก็ตกตะลึงจนเบิกตาโพลง ร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ: “สวรรค์! ทำไมถึงมีเงินมากมายเยี่ยงนี้ได้?!”แม้ผู้คุ้มกันหวงเป็นหัวหน้ากองคุ้มกันจริง แต
ฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วพักนี้กินอิ่มนอนหลับ อันที่จริงแล้ว นางก็อยู่ในสภาพแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่พระชายาหลิ่วเสียชีวิตไป นางก็ได้ถูกกล่าวขานให้เป็นภรรยารองอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม และได้เข้าสู่จวนฉู่กั๋วกงโดยปริยาย ได้แต่งงานกับชายที่นางรักที่สุดสมใจนางปรารถนา ถึงแม้ในนามหลิ่วจิงหงและหลิ่วกุ้ยเฟย จะเป็นเพียงลูกบุญธรรมของนางแต่ในความเป็นจริงเป็นเยี่ยงไร คนในตระกูลหลิ่วรู้อยู่แก่ใจดังนั้นหลังจากที่พระชายาหลิ่วเสียชีวิตไป ฉู่กั๋วกงก็ยังเคยรู้สึกผิด จนถึงขั้นให้พระจากวัดหวงเจวี๋ยจัดพิธีกรรมหลายครั้ง อ้างว่าฝันร้ายทุกคืนจนไม่สามารถนอนหลับได้แต่นางกลับไม่ได้รับความทุกข์ใจใดๆ เช่นนี้แม้แต่น้อยตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็สู้นางไม่ได้ ถูกนางเล่นงานจนอยู่หมัด พอตายไปแล้วกลายเป็นผี แล้วจะทำอะไรนางได้อย่างนั้นหรือ?ผีน่ะมันหลอกลวงทั้งนั้น ในโลกนี้มีผีที่ไหนกัน! ตราบใดที่ตัวนางไม่รู้สึกผิดใจกับตัวเอง ใครก็อย่าหวังว่าจะมาควบคุมนางได้จนกระทั่งต่อมา ได้ยินข่าวลือว่าพระชายาหลิ่วอาจจะยังไม่ตาย ฮ่องเต้หย่งชางก็ทรงมีรับสั่งให้ชีเจิ้นไปตามหาตัวนางฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วถึงได้เริ่มมีอาการลนลานทว
หลิ่วหมิงจูเงียบโดยไม่พูดอะไรฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วก็หรี่ตาลง: “ตอนนี้แค่เด็กรากหญ้าต่ำต้อยคนหนึ่งก็สามารถทำให้เจ้าว้าวุ่นจนเสียความสงบและหมดกำลังใจได้! แล้วต่อไปเจ้าจะเป็นพระชายาของอ๋องฉีได้อย่างไร? หรือกระทั่งก้าวขึ้นเป็นมารดาของแผ่นดินในอนาคต! เมื่อเข้าไปในวังหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลอุบาย หากเจ้าไม่สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ คนอื่นจะช่วยเจ้าได้นานแค่ไหนกัน?”เมื่อพูดจบ นางก็มองหลิ่วหมิงจูด้วยความผิดหวัง: “ออกไป! ไปคิดทบทวนตัวเองให้ดี! เรื่องเล็กแค่นี้เอง เด็กรากหญ้าคนนั้นบางทีอาจจะถูกพ่อของเจ้าฆ่าตายในที่นั้นไปแล้วก็เป็นไปได้ คนแบบนั้นยังมีคุณค่าอะไรให้เจ้าต้องใส่ใจอีก?”ภายในห้องเงียบสงัด หลิ่วหมิงจูใช้มือปิดหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วอย่างสับสน ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วก้มคำนับ “ขอโทษเจ้าค่ะท่านย่า ทั้งหมดเป็นความผิดของหลานเอง หลานทำให้ท่านต้องผิดหวัง หลานรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร”เงียบไปชั่วครู่ นางก็เอ่ยถามด้วยความลังเลว่า: “แต่ หมอหลวงบอกว่าตอนนี้ร่างกายของหลานได้รับบาดเจ็บจนพลังชีวิตเสียหายหนัก และในอนาคตอาจจะไม่มีทายาทได้อีก เช่นนี้แล้ว หลานจะยังสามารถเป็นชายาอ๋องฉีได้
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ