Share

บทที่ 7

Author: ฉินอันอัน
ชีเจิ้นเป็นผู้บัญชาการทัพประจำกองพันจีหยิงซึ่งเป็นหนึ่งในสามกองพันใหญ่ และดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายประจำกรมยุทธนาการควบคู่ไปด้วย

ยามปกติเขาต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรมยุทธนาการเสมอ

งานยุ่งสาหัสเพียงนี้ คนในเรือนยังไม่กล้าไปรบกวนเขาตามใจเสียด้วยซ้ำ ผู้ใดเล่าจะกล้าเข้าไปพบเขาที่ศาลาว่าการ?

นางหวังปรายตามองแม่นมจางปราดหนึ่ง

ใบหน้าของแม่นมจางเองก็ฉายแววประหลาดใจไม่ต่างกัน ก่อนที่นางจะเดินทาง ได้กำชับพวกอวิ๋นเชวี่ยแล้วว่าจงดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี และห้ามสะเพร่าจนทำให้อีกคนไม่พอใจอย่างเด็ดขาด

หรือเจ้าคนพวกนี้มิได้ฟังที่พูดไปเลยสักนิด?!

แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้!

เพราะตนเองนั่งรถม้ากลับมาแล้ว สวี่อินอินไม่มีทั้งรถและไม่มีทั้งคน นางจะส่งข่าวมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร?

หรือพูดอีกอย่างว่า สวี่อินอินก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เมืองเป่าตี้กับเมืองต้าซิงยังแยกไม่ออกเสียด้วยซ้ำ อย่างนางจะไปหาศาลาว่าการของกรมยุทธนาการเจอได้อย่างไร?

ชีอวิ๋นถิงเองก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เหลือบสายตาลอบมองชีเจิ้นแล้วปราดหนึ่ง

สีหน้าของชีเจิ้นเยียบเย็น จ้องมองพวกเขาก็ส่งเสียงกระแอมออกมาหนึ่งเสียง “ข้าทราบได้อย่างไรหรือ? เพราะท่านเสนาบดีหลูเป็นคนเข้ามาถามข้าด้วยตนเอง!”

เสนาบดีหลูคือเสนาบดีแห่งกรมยุทธนาการ นับว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของชีเจิ้นนั่นเอง

นางหวังตาค้างอ้าปากเหวอไปเล็กน้อย “นี่ เรื่องในเรือนของพวกเรา ท่านเสนาบดีหลูทราบได้อย่างไร?”

นางตระหนกตกใจยิ่งนัก รับตัวสวี่อินอิน ตัวนางเองคิดว่ามิใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยด้วยซ้ำ

ถึงแม้ว่าระหว่างทางจะเกิดเรื่องผิดพลาดไปบ้าง แต่แม่นมจางก็รีบเดินทางกลับมารายงานแล้ว ยังมิได้ข้อสรุปใดเลย

เหตุใดเสนาบดีหลูกลับทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว?

ชีเจิ้นขมวดหัวคิ้ว ไม่ตอบแต่ย้อนถามกลับ “เช่นนั้นก็หมายความว่า เกิดเรื่องขึ้นจริงใช่หรือไม่?”

เขาเป็นบุคคลที่เคยผ่านสงครามการรบมาแล้วเป็นทุนเดิม ในยามปกติยังเป็นผู้นำกองทัพทหาร กลิ่นอายบนตัวจึงแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

ยามนี้เขาเพียงขมวดคิ้ว ทุกคนในเรือนทั้งนายบ่าว พลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันใด

นางหวังปรายสายตามองแม่นมจางปราดหนึ่งแล้ว ก็ครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “ยังมิทราบชัดเจ้าค่ะว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เล่าว่าแม่นมฮวานัดนางไปพบที่ริมทะเลสาบ แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นแล้ว…”

นางถามชีเจิ้น “ท่านโหว เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เจ้าคะ เรื่องนี้ตัวข้าเองก็เพิ่งทราบข่าวเมื่อสักครู่ เหตุใดท่านกลับได้ข่าวนี้แล้วตั้งแต่อยู่ที่ศาลาว่าการเจ้าคะ?”

ชีเจิ้นพลันกระแทกจอกชาลงด้านข้างอย่างรุนแรง ทำแม่นมจางสะดุ้งตกใจจนแทบกระโดดเด้งตัวขึ้นจากพื้น ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? ก็บุตรเขยของท่านเสนาบดีหลู คือเจ้าเมืองผู้ประจำการที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิง! เรื่องนี้ถูกรายงานต่อทางการแล้ว พวกเจ้ายังมีหน้ามาถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้นอีกหรือ โง่สิ้นดี!”

ฟ้องทางการแล้วหรือ?!

นางหวังหวาดหวั่นพรั่นพรึงและตะลึงงัน

หันขวับก็บันดาลโทสะใสแม่นมจางทันใด “นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”

แม่นมจางเองก็งงงัน นางส่ายศีรษะอย่างพรั่นใจ “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวเองก็ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เจ้าค่ะ! ก่อนที่บ่าวจะกลับมา ก็กำชับเจ้าคนพวกนั้นแล้วว่าให้ดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี ใครเล่าจะล่วงรู้ ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าเรื่องจะไปถึงทางการแล้ว…”

ใครกันที่ไปฟ้องทางการ? วิปลาสไปแล้วหรือ?!

สวี่อินอินที่ไปฟ้องทางการบัดนี้กำลังนั่งอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของศาลาว่าการเมืองต้าซิง

นางผอมอิดโรย อาภรณ์ทั้งตัวยังคงชื้นแฉะ นั่งอยู่บนขั้นบันไดตรงนั้น จามออกมาสภาพดูน่าอดสูยิ่ง

แม่นางน้อยหนึ่งคน และยังมีศพอีกหนึ่งศพนอนแผ่อยู่ข้างกาย มองแล้วพิกลยิ่งนัก

ผู้คนล้วนแต่สงสัย ก็มีคนเข้าไปถามไถ่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

ทันใดนั้นเองเหล่าชาวนาในหมู่บ้านเดียวกับสวี่อินอินก็สาธยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างออกรสออกชาติ

“ว่าอย่างไรนะ? เป็นถึงคุณหนูใหญ่จากตระกูลผู้รากมากดี กลับสั่งให้บ่าวรับใช้เพียงหนึ่งกลุ่มเดินทางมารับตัวกลับไปเองหรือ?”

“จวนโหวดูหมิ่นดูแคลนกันเกินไปแล้ว มิใช่บุตรีในสายเลือดเดียวกันหรอกหรือ? เหตุใดถึงทำเหมือนหยิบจับกลับไปส่งเดชเช่นนี้”

ได้ฟังเสียงวิจารณ์เหล่านี้แล้ว สวี่อินอินเย้ยหยันในใจ ทว่าใบหน้ากลับยังคงแสดงออกถึงความรู้สึกกล้ำกลืนเช่นเดิม

ใช่สิ คนมีตาล้วนแต่มองออกทั้งสิ้น หากจวนหย่งผิงโหวมองบุตรีที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีอย่างนางว่าสำคัญจริงแล้ว มีหรือจะส่งเพียงบ่าวรับใช้กลุ่มเดียวเข้ามารับตัวกลับอย่างส่งเดชเช่นนี้?

นางเหลือบสายตามองร่างไร้วิญญาณของแม่นมฮวาที่นอนนิ่งบนพื้นปราดหนึ่งอย่างเย็นชา ในแววตานั้นมีเพียงความเยือกเย็นปรากฏ

และในขณะเดียวกัน พวกอวิ๋นเชวี่ยโกรธจนแทบคลั่งตายแล้ว

โดยเฉพาะอวิ๋นเชวี่ย นางแทบจะชี้นิ้วประณามสวี่อินอินอย่างเดือดดาล “คุณหนูใหญ่ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ?! นี่เรื่องน่าอับอายในเรือน เรื่องน่าอับอายในเรือนเอาออกมาประจานนอกเรือนได้อย่างไร?!”

สมกับเด็กบ้านนอกจริงๆ แม้แต่มารยาทประเพณีอะไรยังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย!

หากตระกูลใดประสบพบเจอเรื่องพรรค์นี้ล้วนอุดปากกันจนตัวตายทั้งสิ้น!

แม้นางจะเป็นบ่าวรับใช้ แต่เพราะผ่านโลกมานานมากจนหูเปื่อยตาแฉะแล้วจึงรู้ดีว่า เรื่องนี้ใหญ่หรือเล็ก

หากถูกอริทางการเมืองของท่านโหวค้นพบเข้าแล้ว นั่นจะทำให้ท่านโหวถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโทษฐานหนุนบ่าวรังแกนาย ปกครองเรือนมิเข้มงวด!

สวี่อินอินรู้จักหาเรื่องจริงๆ เลย!

สวี่อินอินกระชับอ้อมกอดตนเองแน่นขึ้นเล็กน้อย กระทั่งอวิ๋นเชวี่ยหมดความอดทนแล้ว เสี้ยวขณะที่ยื่นมือออกไปเตรียมจะฉุดกระชากนางไว้ นางพลันส่งเสียงกรีดร้องออกมา ราวกับตกใจจนเสียสติไปแล้ว ร้องไห้คร่ำครวญพลางขอให้ยกโทษให้

“ข้ามิบังอาจ พี่หญิงอวิ๋นเชวี่ย ท่านอย่าฆ่าข้าเลย!”

“ข้าไม่กลับ! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่กลับไปอีกแล้ว ให้ข้าไปเลี้ยงสุกร ทำนาที่ชนบทเถิด ข้ามิบังอาจกลับไป ท่านอย่าสังหารข้าเลย…”

อวิ๋นเชวี่ยตาค้างอ้าปากเหวอ

ผู้ใดกันที่คาบข่าวกลับมาที่จวนโหว บอกว่าคุณหนูใหญ่คนนี้เป็นแค่เด็กสาวบ้านนอกไร้การศึกษาอ่อนแอขี้ขลาด?

นางอยากจะสบถคำหยาบสาปแช่งออกมาเสียเหลือเกิน! เกรงว่าคุณหนูใหญ่คนนี้จะเรียนร้องงิ้วทำการแสดงมา ความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าไวเสียยิ่งกว่าพลิกหน้ากระดาษอีก!

สิ่งที่ไม่เคยขาดแคลนไปจากโลกใบนี้คือคนช่างสงสัยและชอบใส่ใจเรื่องของคนอื่น

ครั้นเห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งถูกขู่เข็ญจนแทบหมดสิ้นหนทางแล้วเช่นนี้ ทันใดนั้นเองก็มีคนลุกขึ้นมาชี้หน้าประณามอวิ๋นเชวี่ย “พอได้แล้ว! พวกเจ้าจวนโหวใช้อำนาจรังแกผู้อื่นเกินกว่าเหตุหรือเปล่า? ดูสิแม่นางน้อยตกใจกลัวพวกเจ้าจนมีสภาพเช่นใดแล้ว?”

สีหน้าของอวิ๋นเชวี่ยเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดเผือด

สวรรค์ ใครถูกใครขู่ขวัญอยู่กันแน่?

นางไม่ยอมให้สวี่อินอินไปฟ้องทางการ แต่ทว่าสวี่อินอินกลับมีจุดแข็งสามารถหว่านล้อมให้หัวหน้าหมู่บ้านใจอ่อนได้สำเร็จ แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็มิยอมผลัดเปลี่ยนเสียก่อน ก็บุกเข้ามาดำเนินการฟ้องร้องที่ศาลาว่าการแล้ว

สวี่อินอินนะหรือขี้ขลาด? นางกล้าเสียยิ่งกว่าใคร ๆ เสียอีก?!

นอกศาลาว่าการพลันเละเทะวุ่นวายกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปแล้ว บ้างก็เข้ามาถามไถ่หาเหตุผล หลังจากได้ทราบเหตุผลแล้วก็พากันถ่มน้ำลายประณามพวกบ่าวรับใช้กลุ่มนั้น

และที่ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนเอ่ยถามถึงชีจิ่นขึ้นมาด้วย

“ไหนว่าอุ้มบุตรผิดคนไปมิใช่หรือ? แล้วคุณหนูใหญ่กำมะลอคนนั้นเล่า?”

“บ่าวรับใช้ที่ใดจะใจกล้าสังหารเจ้านาย? เจ้าตัวปลอมนั่นคงไม่อยากให้คุณหนูตัวจริงกลับไปมากกว่ากระมัง เพราะฉะนั้นถึงได้กระทำการอุกฉกรรจ์เช่นนี้?”

เสียงวิจารณ์พรั่งพรูท่วมท้นจนคนแทบจมหายไป

หยาดน้ำตาของสวี่อินอินยิ่งไหลพรากรุนแรง ทว่าในใจกลับมิปรากฏระลอกคลื่นความรู้สึกใดแม้แต่ระลอกเดียว

นางรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าเจ้าเมืองผู้ซึ่งประจำการที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิง คือบุตรเขยของเสนาบดีหลูเสนาบดีประจำกรมยุทธนาการ

นับแต่โบราณกาลอักษรกวาน[footnoteRef:1]มีสองปาก ในโลกขุนนางก็เน้นผูกไมตรีและเส้นสายกันถึงแก่น [1: 官 อ่านว่า กวาน หมายถึงฝ่ายข้าราชการ หรือขุนนาง]

ที่นางเดินทางมาฟ้องร้องถึงศาลาว่าการเมืองต้าซิง เดิมทีแล้วมิใช่เพื่อต้องการชี้ถูกชี้ผิด

แต่ต้องการให้เรื่องนี้ไปถึงหูชีเจิ้นโดยตรงต่างหาก

เสนาบดีหลูเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของชีเจิ้น และในขณะเดียวกันยังเป็นท่านอาจารย์ของชีเจิ้นด้วย

หากเจ้าเมืองประจำศาลาว่าการเมืองต้าซิงทราบว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีเจิ้น และเป็นเรื่องอื้อฉาวในเรือนชีเจิ้นด้วยแล้ว จะต้องไปรายงานให้เสนาบดีหลูรับทราบก่อนแน่นอน เพื่อแลกกับน้ำใจของชีเจิ้นและตระกูลชี

หากว่าเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์ หรือจะเห็นแก่ชื่อเสียงของจวนหย่งผิงโหว ชีเจิ้นจะต้องเดินทางมาถึงศาลาว่าการเพื่อรับบุตรีอย่างนางกลับเรือนด้วยตนเองแน่นอน

มิเช่นนั้นแล้ว บรรดาคนในวงการขุนนางจะต้องพากันประณามว่าชีเจิ้นเขาจิตใจหยาบกระด้างไม่มีเมตตา ไร้คุณธรรมขาดความปรานีแน่

นางเคยบอกไปแล้ว ว่านางต้องการกลับเรือนตระกูลชีอย่างเปิดเผยและมีเกียรติ

เสียงฝีเท้าอาชาแว่วดังมาจากที่ไกลๆ สวี่อินอินกระตุกมุมปากขึ้นช้าๆ : เห็นไหม คนก็มาแล้วมิใช่หรือ?

 
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 602

    เฝิงไฉ่เวยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ท่านปู่อย่าได้กังวลไปเลย นี่ก็อาจเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้พระนัดดารัชทายาทจดจำข้าได้ก็เป็นได้”นางกล่าวพลางเลิกคิ้วเบา ๆ “พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนชีสักรอบ ให้คนส่งเทียบเชิญไปล่วงหน้าด้วยเถิด บอกว่าข้าจะไปกล่าวคำขอบคุณชีหยวนโดยเฉพาะ”เฝิงจวิ้นถึงกับไม่อาจเข้าใจการกระทำของน้องสาวตนเองได้เลยยังจะไปขอบคุณอีกหรือ?มีอะไรให้ต้องขอบคุณกัน? ชีหยวนทำลายเรื่องดีของตระกูลเฝิง แล้วตอนนี้ตระกูลเฝิงยังจะยื่นหน้าเข้าไปกล่าวคำขอบคุณอีก?!นี่มันต่างอะไรกับถูกตบแก้มซ้ายแล้วยื่นแก้มขวาไปให้เขาตบซ้ำอีก?กลับกลายเป็นเฝิงอวี้จางที่ลูบเคราแล้วหัวเราะอย่างพอใจ “ดี ดี! รู้จักยอมรับผิด ไม่ผลักภาระกลบเกลื่อน กล้ารับผิดชอบ นี่ก็คือคุณธรรมข้อหนึ่งเหมือนกัน ไฉ่เวยเป็นเด็กที่ใจมั่นคง!”ใช่แล้ว คนที่สมบูรณ์แบบเกินไปก็ย่อมดูไม่เหมือนคนการที่ตอนนี้ทำผิดแต่กลับไม่โกรธเกรี้ยว ไม่เอาแต่ปกป้องตนเอง กล้ายอมรับผิด นี่ก็นับเป็นข้อดีใช่หรือไม่?เขาหันไปมองฮูหยินเฝิง “พอเถอะ ไม่มีอะไรให้น่าโมโห ดั่งที่ไฉ่เวยพูดไว้ หากเราไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ใครก็หัวเราะเยาะพวกเราไม่ได้!”ฮูหยินรองตระกูลชี

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 601

    นางขบกรามแน่นใช้มือกุมหน้าผากของตนเอง แทบจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาคำหนึ่งว่า “แม่นางผู้นั้นมาจากที่ใดกัน?!”เวลานี้แขกเหรื่อนได้ถูกส่งกลับไปหมดแล้ว คนในตระกูลเฝิงเล็กใหญ่ต่างก็พากันมารวมตัวอยู่ที่ห้องของฮูหยินเฝิง สีหน้าของทุกคนล้วนไม่สู้ดีนักโดยเฉพาะเฝิงอวี้จาง เขามองไปที่เฝิงไฉ่เวย พอคิดถึงตอนก่อนหน้านี้ที่ตนพยายามอย่างไรก็รั้งเซียวอวิ๋นถิงไว้ไม่อยู่ ใบหน้าก็ยิ่งมืดครึ้มลง “เจ้าว่า นางตั้งใจทำ หรือที่แท้ก็แค่คิดจะช่วยคนจริง ๆ?”ในเพลานี้ฮูหยินเฝิงยังคงโกรธจนรู้สึกปวดหัวแต่เดิมทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ชื่อเสียงของเฝิงไฉ่เวยก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เดิมก็รอแค่วันนี้ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น แล้วค่อยใช้จังหวะนี้ให้เซียวอวิ๋นถิงได้พบกับเฝิงไฉ่เวยอย่างเหมาะสมแต่ใครจะคาดคิดว่าอยู่ ๆ ชีหยวนจะโผล่เข้ามาขัดขวางทุกอย่าง กลายเป็นว่าทุกอย่างพังไม่เป็นท่าเท่ากับว่าความพยายามทั้งหมดในช่วงก่อนหน้านี้สูญเปล่า แถมยังทำให้ตระกูลเฝิงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีกด้วยต่อไปหากใครพูดถึงเฝิงไฉ่เวย ก็ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางแม้แต่หลักพื้นฐานของอาหารขัดข่มกันยังไม่รู้ความฮูหยินเฝิงขบปากแน่น โกรธจนแทบจะ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 600

    ฮูหยินเฝิงก็พลันหน้าถอดสี รีบสั่งให้คนไปตามหมอเพียงแค่มาเข้าร่วมงานเลี้ยง ไฉนจึงล้มทรุดลงไปได้?ฮูหยินรองชีก็ตกใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ จนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะแต่ชีหยวนกลับก้าวฉับเข้าไปหาฮูหยินเฉิงกั๋วกงแล้วคุกเข่าลง เปิดเปลือกตานางขึ้นดู จากนั้นกวาดตามองไปยังอาหารบนโต๊ะ นางไม่เอ่ยคำใดก็ใช้มืออ้าปากของฮูหยินเฉิงกั๋วกงออก แล้วเอาตะเกียบกดไปบนเพดานปากฮูหยินเฉิงกั๋วกงก็อาเจียนเสียงดัง สำรอกอาหารออกมาจนหมดแขกเหรื่อต่างรีบถอยหนีเว่ยชิงยางถึงกับตะโกนเสียงดัง “ชีหยวน! เจ้ากำลังทำอะไร!”ชีหยวนหาได้ใส่ใจไม่ จนกระทั่งฮูหยินเฉิงกั๋วกงไม่มีสิ่งใดจะอาเจียนได้อีก นางจึงส่งตัวให้ฮูหยินที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับบอกว่า “ให้นางดื่มน้ำเปล่าเจ้าค่ะ”ฝ่ายบุรุษกับฝ่ายสตรีในงานเลี้ยงนี้ มีเพียงทะเลสาบหนึ่งผืนคั่นกลาง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นทางนี้ ทางโน้นย่อมเห็นได้ทันทีเฉิงกั๋วกงอดรนทนไม่ไหว รีบวิ่งมาถึงหัวสะพานถามเสียงดังว่าเกิดเรื่องอันใดเฝิงไฉ่เวยก็ขมวดคิ้ว มองชีหยวนด้วยแววตาเป็นกังวล “คุณหนูใหญ่ชี เจ้าไม่รู้ว่าฮูหยินเป็นอะไร ก็ทำเช่นนี้โดยพลการ...”ทำเช่นนี้โดยพลการอันใด?ฮ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 599

    องค์หญิงลั่วชวนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชีหยวนอีกครั้งที่จริงนางรู้สึกอึดอัดใจมานานแล้วใครก็ดูออกว่าเฝิงไฉ่เวยนั้นมีฝีมือแท้จริง แต่ช่วงหลายวันมานี้ ทุกครั้งที่นางไปงานเลี้ยงก็ต้องชิงเอาความโดดเด่นไปจนหมดสิ้นถึงขั้นที่แม้แต่พระชายาอ๋องโจว ก็อดมิได้ที่จะเอาแต่พร่ำว่า ‘หากเจ้ามีความสามารถเพียงหนึ่งในสิบของคุณหนูเฝิง...’ พูดแต่วาจาเช่นนี้ ชวนให้คนเบื่อหน่ายใจยิ่งนักยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เฝิงไฉ่เวยทำให้ผู้คนตื่นตะลึง กลับเอ่ยราวไม่ใส่ใจว่า ‘ข้ามิได้มีสิ่งใดพิเศษนัก เป็นเพราะคุณหนูทั้งหลายคอยเกรงใจข้าเท่านั้น’‘สิ่งเหล่านี้ก็มิใช่อันใด เพียงแต่ตอนเด็กข้าไม่มีงานอดิเรกอื่น จึงอ่านตำรามากหน่อยเท่านั้น’องค์หญิงลั่วชวนถึงกับเบื่อหน่ายจนสุดจะทนบัดนี้ เมื่อนางมองชีหยวนก็พลอยรู้สึกว่าดูรื่นตาขึ้นมาหลายส่วนสตรีสูงศักดิ์ร่ำเรียนสิ่งเหล่านี้แล้วมีประโยชน์อันใด?จำวิธีทำขนมแต่ละอย่างได้ จำชื่อขนมแต่ละชนิดได้ แล้วก็รู้จักรูปลักษณ์ของบุปผาชื่อดังแต่ละสายพันธุ์เรื่องเหล่านี้มีสิ่งใดให้น่าสรรเสริญนักหรือ?เหตุใดจึงได้รับคำชมจนเกินควรเช่นนี้?แต่พอนึกได้ว่าเฝิงไฉ่เวยสามารถเรียนรู้สิ่งเ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 598

    เว่ยชิงยางพอเห็นชีหยวน ท่าทีของนางก็ยิ่งแฝงด้วยความเหน็บแนมขึ้นอีกหลายส่วน “ขนมพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของไฉ่เวย สูตรที่ใช้นั้นก็มาจากตำราโบราณทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่เคยร่ำเรียนหนังสือย่อมไม่รู้จัก”เฝิงไฉ่เวยดูเหมือนจะมีท่าทีจนใจ นางดึงชายเสื้อของเว่ยชิงยางเบา ๆ “ข้าเชิญเจ้ามาเพื่อมาเป็นแขก มิใช่ให้เจ้ามาอวดอ้างแทนข้า”ชีหยวนเลิกคิ้วมองเว่ยชิงยาง “เช่นนั้นคุณหนูเว่ยที่อ่านตำรามากมาย คงรู้แจ้งถึงที่มาของขนมพวกนี้กระมัง?”เว่ยชิงยางกัดริมฝีปาก แค่นเสียงเย็นชา “ทำเหมือนกับเจ้ารู้จักอย่างนั้นแหละ”ชีหยวนเพียงยิ้มน้อย ๆ “ทำไมจะไม่รู้จัก?”นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เหลือบตามองโต๊ะตัวเล็กแล้วกล่าวเสียงขรึม “เซียงเย่ามู่กวา เซียงเย่าเถิงฮวา หน่ายฝางอวี้รุ่ยเกิง”หวังฉานถึงกับตะลึงงัน หันไปมองฮูหยินรองชีโดยไม่รู้ตัวส่วนฮูหยินรองชีก็ตกตะลึงยิ่งกว่านางเสียอีกนางไม่รู้เลยว่าชีหยวนศึกษาสิ่งเหล่านี้ด้วยไม่น่าแปลกใจเลยที่ชีหยวนมักให้ห้องครัวทำอาหารแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งนางบอกสูตรให้แม่ครัวด้วยตนเอง...เว่ยชิงยางก็ตกตะลึงไปเช่นกัน แต่แล้วก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “ใครจะรู้ว่าเจ้าพูด

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 597

    เนื่องจากคราวก่อนไม่ได้เกิดเหตุอันใด ดังนั้นการออกมากับชีหยวนคราวนี้ฮูหยินรองชีจึงรู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมมากนักทว่าพอถึงจวนตระกูลเฝิง ฮูหยินรองชีก็อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายขึ้นมางานเลี้ยงวันเกิดของตระกูลเฝิงครั้งนี้ จัดได้แตกต่างจากผู้อื่นจริง ๆตระกูลขุนนางในเมืองหลวงที่อยู่ในงานนี้ ต่างก็เคยจัดงานเลี้ยงวันเกิดกันมาทั้งนั้น แต่การจัดงานเช่นนี้ ฮูหยินรองชีก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นจวนตระกูลเฝิงหาได้เชิญคณะงิ้วมีชื่อเสียงในเมืองหลวงมาแสดงงิ้วเช่นตระกูลอื่นไม่ กลับตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงไว้ในสวนดอกไม้แทน แขกชายหญิงแยกกันอยู่คนละฟากของทะเลสาบ คั่นกลางด้วยสะพานโค้งฮูหยินรองชีพาชีหยวนไปส่งของขวัญ พอเดินเข้าสู่เรือนรับรองก็ได้กลิ่นหอมประหลาดสายหนึ่ง อดพึมพำเบา ๆ ไม่ได้ว่า “กลิ่นหอมยิ่งนัก”ขณะนั้นเอง พระชายาอ๋องโจวกำลังยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินเฝิงว่า “ไม่ทราบว่าในจวนจุดกำยานกลิ่นใดกัน? กลิ่นนี้แปลกใหม่ดีนัก ไม่รู้ว่าเป็นของสำนักใด?”ฮูหยินเฝิงเพียงกล่าวยิ้ม ๆ “ไฉ่เวยเจ้าเด็กคนนั้นรู้ว่าข้ามีโรคปวดศีรษะที่เกิดจากลมชั่ว จึงตั้งใจปรุงกลิ่นหอมชนิดหนึ่งขึ้นมาให้ข้า เห็นบอกว่าชื่อ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status