Share

บทที่ 7

Author: ฉินอันอัน
ชีเจิ้นเป็นผู้บัญชาการทัพประจำกองพันจีหยิงซึ่งเป็นหนึ่งในสามกองพันใหญ่ และดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายประจำกรมยุทธนาการควบคู่ไปด้วย

ยามปกติเขาต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรมยุทธนาการเสมอ

งานยุ่งสาหัสเพียงนี้ คนในเรือนยังไม่กล้าไปรบกวนเขาตามใจเสียด้วยซ้ำ ผู้ใดเล่าจะกล้าเข้าไปพบเขาที่ศาลาว่าการ?

นางหวังปรายตามองแม่นมจางปราดหนึ่ง

ใบหน้าของแม่นมจางเองก็ฉายแววประหลาดใจไม่ต่างกัน ก่อนที่นางจะเดินทาง ได้กำชับพวกอวิ๋นเชวี่ยแล้วว่าจงดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี และห้ามสะเพร่าจนทำให้อีกคนไม่พอใจอย่างเด็ดขาด

หรือเจ้าคนพวกนี้มิได้ฟังที่พูดไปเลยสักนิด?!

แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้!

เพราะตนเองนั่งรถม้ากลับมาแล้ว สวี่อินอินไม่มีทั้งรถและไม่มีทั้งคน นางจะส่งข่าวมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร?

หรือพูดอีกอย่างว่า สวี่อินอินก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เมืองเป่าตี้กับเมืองต้าซิงยังแยกไม่ออกเสียด้วยซ้ำ อย่างนางจะไปหาศาลาว่าการของกรมยุทธนาการเจอได้อย่างไร?

ชีอวิ๋นถิงเองก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เหลือบสายตาลอบมองชีเจิ้นแล้วปราดหนึ่ง

สีหน้าของชีเจิ้นเยียบเย็น จ้องมองพวกเขาก็ส่งเสียงกระแอมออกมาหนึ่งเสียง “ข้าทราบได้อย่างไรหรือ? เพราะท่านเสนาบดีหลูเป็นคนเข้ามาถามข้าด้วยตนเอง!”

เสนาบดีหลูคือเสนาบดีแห่งกรมยุทธนาการ นับว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของชีเจิ้นนั่นเอง

นางหวังตาค้างอ้าปากเหวอไปเล็กน้อย “นี่ เรื่องในเรือนของพวกเรา ท่านเสนาบดีหลูทราบได้อย่างไร?”

นางตระหนกตกใจยิ่งนัก รับตัวสวี่อินอิน ตัวนางเองคิดว่ามิใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยด้วยซ้ำ

ถึงแม้ว่าระหว่างทางจะเกิดเรื่องผิดพลาดไปบ้าง แต่แม่นมจางก็รีบเดินทางกลับมารายงานแล้ว ยังมิได้ข้อสรุปใดเลย

เหตุใดเสนาบดีหลูกลับทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว?

ชีเจิ้นขมวดหัวคิ้ว ไม่ตอบแต่ย้อนถามกลับ “เช่นนั้นก็หมายความว่า เกิดเรื่องขึ้นจริงใช่หรือไม่?”

เขาเป็นบุคคลที่เคยผ่านสงครามการรบมาแล้วเป็นทุนเดิม ในยามปกติยังเป็นผู้นำกองทัพทหาร กลิ่นอายบนตัวจึงแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

ยามนี้เขาเพียงขมวดคิ้ว ทุกคนในเรือนทั้งนายบ่าว พลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันใด

นางหวังปรายสายตามองแม่นมจางปราดหนึ่งแล้ว ก็ครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “ยังมิทราบชัดเจ้าค่ะว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เล่าว่าแม่นมฮวานัดนางไปพบที่ริมทะเลสาบ แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นแล้ว…”

นางถามชีเจิ้น “ท่านโหว เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เจ้าคะ เรื่องนี้ตัวข้าเองก็เพิ่งทราบข่าวเมื่อสักครู่ เหตุใดท่านกลับได้ข่าวนี้แล้วตั้งแต่อยู่ที่ศาลาว่าการเจ้าคะ?”

ชีเจิ้นพลันกระแทกจอกชาลงด้านข้างอย่างรุนแรง ทำแม่นมจางสะดุ้งตกใจจนแทบกระโดดเด้งตัวขึ้นจากพื้น ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? ก็บุตรเขยของท่านเสนาบดีหลู คือเจ้าเมืองผู้ประจำการที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิง! เรื่องนี้ถูกรายงานต่อทางการแล้ว พวกเจ้ายังมีหน้ามาถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้นอีกหรือ โง่สิ้นดี!”

ฟ้องทางการแล้วหรือ?!

นางหวังหวาดหวั่นพรั่นพรึงและตะลึงงัน

หันขวับก็บันดาลโทสะใสแม่นมจางทันใด “นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”

แม่นมจางเองก็งงงัน นางส่ายศีรษะอย่างพรั่นใจ “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวเองก็ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เจ้าค่ะ! ก่อนที่บ่าวจะกลับมา ก็กำชับเจ้าคนพวกนั้นแล้วว่าให้ดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี ใครเล่าจะล่วงรู้ ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าเรื่องจะไปถึงทางการแล้ว…”

ใครกันที่ไปฟ้องทางการ? วิปลาสไปแล้วหรือ?!

สวี่อินอินที่ไปฟ้องทางการบัดนี้กำลังนั่งอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของศาลาว่าการเมืองต้าซิง

นางผอมอิดโรย อาภรณ์ทั้งตัวยังคงชื้นแฉะ นั่งอยู่บนขั้นบันไดตรงนั้น จามออกมาสภาพดูน่าอดสูยิ่ง

แม่นางน้อยหนึ่งคน และยังมีศพอีกหนึ่งศพนอนแผ่อยู่ข้างกาย มองแล้วพิกลยิ่งนัก

ผู้คนล้วนแต่สงสัย ก็มีคนเข้าไปถามไถ่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

ทันใดนั้นเองเหล่าชาวนาในหมู่บ้านเดียวกับสวี่อินอินก็สาธยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างออกรสออกชาติ

“ว่าอย่างไรนะ? เป็นถึงคุณหนูใหญ่จากตระกูลผู้รากมากดี กลับสั่งให้บ่าวรับใช้เพียงหนึ่งกลุ่มเดินทางมารับตัวกลับไปเองหรือ?”

“จวนโหวดูหมิ่นดูแคลนกันเกินไปแล้ว มิใช่บุตรีในสายเลือดเดียวกันหรอกหรือ? เหตุใดถึงทำเหมือนหยิบจับกลับไปส่งเดชเช่นนี้”

ได้ฟังเสียงวิจารณ์เหล่านี้แล้ว สวี่อินอินเย้ยหยันในใจ ทว่าใบหน้ากลับยังคงแสดงออกถึงความรู้สึกกล้ำกลืนเช่นเดิม

ใช่สิ คนมีตาล้วนแต่มองออกทั้งสิ้น หากจวนหย่งผิงโหวมองบุตรีที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีอย่างนางว่าสำคัญจริงแล้ว มีหรือจะส่งเพียงบ่าวรับใช้กลุ่มเดียวเข้ามารับตัวกลับอย่างส่งเดชเช่นนี้?

นางเหลือบสายตามองร่างไร้วิญญาณของแม่นมฮวาที่นอนนิ่งบนพื้นปราดหนึ่งอย่างเย็นชา ในแววตานั้นมีเพียงความเยือกเย็นปรากฏ

และในขณะเดียวกัน พวกอวิ๋นเชวี่ยโกรธจนแทบคลั่งตายแล้ว

โดยเฉพาะอวิ๋นเชวี่ย นางแทบจะชี้นิ้วประณามสวี่อินอินอย่างเดือดดาล “คุณหนูใหญ่ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ?! นี่เรื่องน่าอับอายในเรือน เรื่องน่าอับอายในเรือนเอาออกมาประจานนอกเรือนได้อย่างไร?!”

สมกับเด็กบ้านนอกจริงๆ แม้แต่มารยาทประเพณีอะไรยังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย!

หากตระกูลใดประสบพบเจอเรื่องพรรค์นี้ล้วนอุดปากกันจนตัวตายทั้งสิ้น!

แม้นางจะเป็นบ่าวรับใช้ แต่เพราะผ่านโลกมานานมากจนหูเปื่อยตาแฉะแล้วจึงรู้ดีว่า เรื่องนี้ใหญ่หรือเล็ก

หากถูกอริทางการเมืองของท่านโหวค้นพบเข้าแล้ว นั่นจะทำให้ท่านโหวถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโทษฐานหนุนบ่าวรังแกนาย ปกครองเรือนมิเข้มงวด!

สวี่อินอินรู้จักหาเรื่องจริงๆ เลย!

สวี่อินอินกระชับอ้อมกอดตนเองแน่นขึ้นเล็กน้อย กระทั่งอวิ๋นเชวี่ยหมดความอดทนแล้ว เสี้ยวขณะที่ยื่นมือออกไปเตรียมจะฉุดกระชากนางไว้ นางพลันส่งเสียงกรีดร้องออกมา ราวกับตกใจจนเสียสติไปแล้ว ร้องไห้คร่ำครวญพลางขอให้ยกโทษให้

“ข้ามิบังอาจ พี่หญิงอวิ๋นเชวี่ย ท่านอย่าฆ่าข้าเลย!”

“ข้าไม่กลับ! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่กลับไปอีกแล้ว ให้ข้าไปเลี้ยงสุกร ทำนาที่ชนบทเถิด ข้ามิบังอาจกลับไป ท่านอย่าสังหารข้าเลย…”

อวิ๋นเชวี่ยตาค้างอ้าปากเหวอ

ผู้ใดกันที่คาบข่าวกลับมาที่จวนโหว บอกว่าคุณหนูใหญ่คนนี้เป็นแค่เด็กสาวบ้านนอกไร้การศึกษาอ่อนแอขี้ขลาด?

นางอยากจะสบถคำหยาบสาปแช่งออกมาเสียเหลือเกิน! เกรงว่าคุณหนูใหญ่คนนี้จะเรียนร้องงิ้วทำการแสดงมา ความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าไวเสียยิ่งกว่าพลิกหน้ากระดาษอีก!

สิ่งที่ไม่เคยขาดแคลนไปจากโลกใบนี้คือคนช่างสงสัยและชอบใส่ใจเรื่องของคนอื่น

ครั้นเห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งถูกขู่เข็ญจนแทบหมดสิ้นหนทางแล้วเช่นนี้ ทันใดนั้นเองก็มีคนลุกขึ้นมาชี้หน้าประณามอวิ๋นเชวี่ย “พอได้แล้ว! พวกเจ้าจวนโหวใช้อำนาจรังแกผู้อื่นเกินกว่าเหตุหรือเปล่า? ดูสิแม่นางน้อยตกใจกลัวพวกเจ้าจนมีสภาพเช่นใดแล้ว?”

สีหน้าของอวิ๋นเชวี่ยเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดเผือด

สวรรค์ ใครถูกใครขู่ขวัญอยู่กันแน่?

นางไม่ยอมให้สวี่อินอินไปฟ้องทางการ แต่ทว่าสวี่อินอินกลับมีจุดแข็งสามารถหว่านล้อมให้หัวหน้าหมู่บ้านใจอ่อนได้สำเร็จ แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็มิยอมผลัดเปลี่ยนเสียก่อน ก็บุกเข้ามาดำเนินการฟ้องร้องที่ศาลาว่าการแล้ว

สวี่อินอินนะหรือขี้ขลาด? นางกล้าเสียยิ่งกว่าใคร ๆ เสียอีก?!

นอกศาลาว่าการพลันเละเทะวุ่นวายกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปแล้ว บ้างก็เข้ามาถามไถ่หาเหตุผล หลังจากได้ทราบเหตุผลแล้วก็พากันถ่มน้ำลายประณามพวกบ่าวรับใช้กลุ่มนั้น

และที่ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนเอ่ยถามถึงชีจิ่นขึ้นมาด้วย

“ไหนว่าอุ้มบุตรผิดคนไปมิใช่หรือ? แล้วคุณหนูใหญ่กำมะลอคนนั้นเล่า?”

“บ่าวรับใช้ที่ใดจะใจกล้าสังหารเจ้านาย? เจ้าตัวปลอมนั่นคงไม่อยากให้คุณหนูตัวจริงกลับไปมากกว่ากระมัง เพราะฉะนั้นถึงได้กระทำการอุกฉกรรจ์เช่นนี้?”

เสียงวิจารณ์พรั่งพรูท่วมท้นจนคนแทบจมหายไป

หยาดน้ำตาของสวี่อินอินยิ่งไหลพรากรุนแรง ทว่าในใจกลับมิปรากฏระลอกคลื่นความรู้สึกใดแม้แต่ระลอกเดียว

นางรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าเจ้าเมืองผู้ซึ่งประจำการที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิง คือบุตรเขยของเสนาบดีหลูเสนาบดีประจำกรมยุทธนาการ

นับแต่โบราณกาลอักษรกวาน[footnoteRef:1]มีสองปาก ในโลกขุนนางก็เน้นผูกไมตรีและเส้นสายกันถึงแก่น [1: 官 อ่านว่า กวาน หมายถึงฝ่ายข้าราชการ หรือขุนนาง]

ที่นางเดินทางมาฟ้องร้องถึงศาลาว่าการเมืองต้าซิง เดิมทีแล้วมิใช่เพื่อต้องการชี้ถูกชี้ผิด

แต่ต้องการให้เรื่องนี้ไปถึงหูชีเจิ้นโดยตรงต่างหาก

เสนาบดีหลูเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของชีเจิ้น และในขณะเดียวกันยังเป็นท่านอาจารย์ของชีเจิ้นด้วย

หากเจ้าเมืองประจำศาลาว่าการเมืองต้าซิงทราบว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีเจิ้น และเป็นเรื่องอื้อฉาวในเรือนชีเจิ้นด้วยแล้ว จะต้องไปรายงานให้เสนาบดีหลูรับทราบก่อนแน่นอน เพื่อแลกกับน้ำใจของชีเจิ้นและตระกูลชี

หากว่าเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์ หรือจะเห็นแก่ชื่อเสียงของจวนหย่งผิงโหว ชีเจิ้นจะต้องเดินทางมาถึงศาลาว่าการเพื่อรับบุตรีอย่างนางกลับเรือนด้วยตนเองแน่นอน

มิเช่นนั้นแล้ว บรรดาคนในวงการขุนนางจะต้องพากันประณามว่าชีเจิ้นเขาจิตใจหยาบกระด้างไม่มีเมตตา ไร้คุณธรรมขาดความปรานีแน่

นางเคยบอกไปแล้ว ว่านางต้องการกลับเรือนตระกูลชีอย่างเปิดเผยและมีเกียรติ

เสียงฝีเท้าอาชาแว่วดังมาจากที่ไกลๆ สวี่อินอินกระตุกมุมปากขึ้นช้าๆ : เห็นไหม คนก็มาแล้วมิใช่หรือ?

 
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 693

    ลมบนเขาจื่อหยางทั้งหนาวทั้งแรง ชีหยวนพักอยู่ที่นี่หนึ่งคืนพอเช้าวันถัดมา เมื่อนางตื่นขึ้น ปรมาจารย์จื่อหยางก็กำลังรำหมัดมวยอยู่บนยอดเขา เขาอายุมากแล้ว แต่เวลารำไทเก๊กกลับยังคงเปี่ยมพลัง แต่ละท่วงท่าดูสมบูรณ์แบบนักพอเห็นนางตื่น ปรมาจารย์จื่อหยางก็หยุดการฝึก แล้วยิ้มให้นาง “คุณหนูตื่นแล้วหรือ?”ชีหยวนมองไปยังหมู่เมฆที่กลิ้งคลื่นอยู่ใต้ภูเขาเงียบ ๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก “เมื่อคืนข้าฝันเรื่องหนึ่ง”ปรมาจารย์จื่อหยางยิ้ม เดินไปยังราวกั้น มองทะเลเมฆที่ลอยไหว และเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ยามเช้าที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าอย่างสบายใจ ก่อนถามขึ้น “ฝันว่าอะไรเล่า?”“ข้าฝันว่าตนเองไปอยู่ในพระราชวังที่โอ่อ่างดงาม ภายในวังเต็มไปด้วยเงาแสงสั่นไหว มีจอกสุราองุ่นเรืองแสง ทุกคนที่นั่งอยู่ในนั้นล้วนเป็นคนที่ข้าเคยรู้จัก ข้าเดินเข้าไปเรียกพวกเขา แต่ไม่มีใครตอบรับเลยสักคน”ภาพในฝันยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำจนถึงตอนนี้สีหน้าของชีหยวนแสดงความเจ็บปวด นางหลับตาลง “จนเมื่อพวกเขาหันหน้ามา ข้าจึงพบว่าพวกเขากลายเป็นโครงกระดูกขาวโพลน กลายเป็นวิญญาณร้าย...”ปรมาจารย์จื่อหยางมองนางเงียบ ๆ“ต่อมา มีใครบางคนวิ่งเข

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 692

    นางเดินไปตามทางบนภูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าข้างหน้าไม่มีทางอีกต่อไปแล้ว กลางหุบเขาซึ่งเชื่อมสองฟากไว้ กลับเป็นสะพานหินตามธรรมชาติสะพานหินนั้นแคบมาก มีแต่ตะไคร่น้ำขึ้นเขียวครึ้ม ดูแล้วเดินผ่านเพียงคนเดียวก็ยังยากนางนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อย ๆ ข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งของยอดเขา มีนักพรตน้อยร้องอุทานขึ้นว่า “โอ้ะ ท่านเดินช้า ๆ หน่อย ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?!”เสียงตะโกนนั้นทำให้คนในอารามเต๋าฝั่งตรงข้ามต้องแตกตื่น ไม่นานก็มีนักพรตน้อยสามสี่คนพากันออกมาดู ต่างก็เบิกตากว้างมองชีหยวนชีหยวนข้ามสะพานมาเรียบร้อยแล้วนักพรตน้อยเหล่านั้นต่างตะลึงงัน พวกเขาไม่ได้พบคนเก่งกล้าขนาดนี้มาหลายปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือนางเป็นสตรี!นางกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย เดินข้ามสะพานมาตรง ๆชีหยวนก้มหน้าลงมองพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการพบปรมาจารย์จื่อหยาง”นักพรตน้อยถามนางด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านเป็นใคร?”“คนที่ต้องการพบเขา” ชีหยวนตอบสั้น ๆ ก่อนจะควักหยกชิ้นหนึ่งออกมายื่นให้พวกเขา “เขาเห็นแล้วก็จะเข้าใจเอง”นักพรตน้อยรับไปเพ่งดู แล้วมองนางอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย จากนั้นก็รีบวิ่งจากไปไม่นานนัก เขาก็วิ่ง

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 691

    เฝิงฮองเฮาไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาใดได้เซียวอวิ๋นถิงลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะเบา ๆ “ส่วนที่ท่านบอกว่านางยังเยาว์วัยจึงหลงผิด กระหม่อมกลับไม่คิดเช่นนั้น”“เส้นทางในโลกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับถนนแก้ว ทุกคนต่างต้องเดินอย่างระมัดระวัง หากเจ้าพุ่งฝ่าด้วยความดื้อรั้น ก็ย่อมมีแต่เลือดสาดเป็นแน่ อย่ามาพูดว่าเพราะยังเยาว์ ไม่รู้ความ จะรู้หรือไม่รู้เป็นเรื่องของเจ้า แต่จะล้มไม่ล้ม นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควบคุมได้”ใครเล่าที่ไม่เคยล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงทุกวันนี้?ในสายตาของเขา เฝิงไฉ่เวยยังล้มมาน้อยเกินไปด้วยซ้ำจึงถึงได้โง่เขลาคิดจะต่อรองกับเสือ ไม่รู้จักความตายเลยจริง ๆ!เขาหมุนตัวเตรียมจะจากไปแต่ทันใดนั้นเอง เฝิงไฉ่เวยที่ซ่อนอยู่หลังฉากกั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางวิ่งพรวดออกมาขวางทางเขาเอาไว้นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ฝ่ามือเลือดไหลนองแต่ดวงตากลับยังมุ่งมั่นจ้องเขม็งไปยังเซียวอวิ๋นถิงที่อยู่ตรงหน้า ไม่แม้แต่จะกระพริบตาเฝิงฮองเฮาค่อย ๆ ถอนหายใจ หันไปมองเฝิงไฉ่เวย “เป็นอย่างไร? เจ้าไม่ใช่หรือที่อยากฟังด้วยหูตนเอง? ตอนนี้ตัดใจได้หรือยัง?”ตัดใจได้หรือยัง?ในหัวของเฝิงไฉ่เวยยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมดน

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 690

    ฮองเฮาเฝิงสีหน้าซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยนางเดิมก็คิดว่าเซียวอวิ๋นถิงจะไปขอร้องฮ่องเต้หย่งชางทันที หรือไม่ก็มีปากเสียงกับฮ่องเต้หย่งชางเพราะชีหยวนอย่างไรเสีย คนหนุ่มย่อมใจร้อนเป็นธรรมดาสุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับไม่ทำเช่นนั้นกลับเสนอจะไปบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติแทนและเห็นได้ชัดว่าเขาคิดถูกแล้ว เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกัน?หลี่ฉางชิงก็พังพินาศแล้วตอนนี้ยังมีใครจะพูดถึงหลี่ฉางชิงอีกหรือ?ไม่มีแล้ว ดูอย่างตระกูลเฝิงสิตอนนี้ตระกูลเฝิงแทบอยากให้คนลืมเรื่องที่หลี่ฉางชิงเคยทำนายว่าเฝิงไฉ่เวยมีชะตาหงส์นางกระแอมไอเบา ๆ ก่อนพูดเสียงอ่อน “ออกเดินทางไกลย่อมไม่เหมือนอยู่บ้าน เจ้าต้องระวังตัวทุกฝีก้าว”ฮองเฮาเฝิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยต่อ “อวิ๋นถิง เจ้าเป็นคนมีความคิดมากกว่าบิดาเจ้าเสียอีก”นางไม่ลังเลอีกต่อไป คว้ามือเซียวอวิ๋นถิงไว้ “วันนี้ท่านลุงของเจ้าเข้าวัง เขาไปที่วังบูรพาหลายครั้งก็ไม่ได้พบเจ้า เลยแวะมาที่ตำหนักของข้าแทน”เซียวอวิ๋นถิงยังคงหลุบตาต่ำ “เสด็จย่า การร่วมมือกับหลี่ฉางชิงมีความผิดฐานใด แม้ข้าจะไม่พูด เสด็จย่าคงรู้ดีอยู่แล้ว”ในใจฮองเฮาเฝิงขมขื่นนักใช่แล้ว เฝิงอวี้จางถึ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 689

    ท่านโหวผู้เฒ่าชีมีสีหน้าตกตะลึง เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเซียวอวิ๋นถิงจะคิดเช่นนี้จริง ๆ แล้ว เขาก็เข้าใจดีว่าทำไมเซียวอวิ๋นถิงถึงชอบชีหยวนพูดกันตามตรง ขอแค่เป็นคนที่เข้ากับชีหยวนได้ดี จะมีใครบ้างที่จะไม่ชอบชีหยวน?นางเป็นคนเด็ดเดี่ยว กล้ารักกล้าเกลียด พูดอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเดาว่านางหมายถึงสิ่งนั้นจริงหรือไม่ หรือว่ายังมีความหมายแฝงอื่นอีกสิ่งที่น่าดึงดูดมากกว่านั้นก็คือ นางมีกลิ่นอายแห่งความมุ่งมั่นในเมืองหลวงนี้ ไม่มีสตรีคนใดเหมือนชีหยวนแม้แต่ทั่วทั้งแผ่นดิน ก็แทบหาสตรีที่เหมือนชีหยวนไม่ได้แล้วใครจะไม่ถูกนางดึงดูดกันเล่า?แต่ความชอบแบบนั้น กลับไม่เหมือนกับความชอบของเซียวอวิ๋นถิงในฐานะที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ท่านโหวผู้เฒ่าชีสังเกตจุดนี้ได้อย่างเฉียบคมเซียวอวิ๋นถิงชอบชีหยวน ไม่ใช่เพราะชีหยวนมีประโยชน์ ไม่ใช่เพราะฝีมือของชีหยวน และไม่ใช่เพราะมองเห็นคุณค่าของตระกูลชีที่หนุนหลังชีหยวนไม่ใช่สักอย่างเขาเพียงแค่ชอบชีหยวนเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใดล้วนกล่าวกันว่า จักรพรรดิย่อมไร้หัวใจแต่ท่านโหวผู้เฒ่าชีกลับมองเซียวอวิ๋นถิง แล้วรู้สึกอย่างชัดเจนว่า ว่าท

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 688

    เจ้าเด็กนี่ เกรงว่าคงอาศัยใบบุญของคุณหนูเป็นแน่!เรื่องดีจริง ๆ!ชีเจิ้นปล่อยม่านรถลงแล้วหันไปมองบิดาของตน ใบหน้าแฝงความภาคภูมิใจอยู่นิด ๆจะว่าอย่างไรดีหนอ?ตอนนี้ต่อให้มีคนมาบอกว่าบุตรีของเขาเป็นพญามัจจุราชกลับชาติมาเกิด เขาก็เชื่อช่างอัศจรรย์เกินไปแล้วพูดว่าจะฆ่าใคร ก็ฆ่าได้ทุกคนไม่เคยเห็นนางพลาดเลยสักครั้ง!พอคิดได้ดังนั้น ความภาคภูมิใจเมื่อครู่ก็พลันสลายหายวับไป เขาถามด้วยความหวาดหวั่น “ท่านพ่อ นางคงไม่ได้ไปหงตูหรอกกระมัง?!”หลี่ฉางชิงดูยังไงก็เป็นคนของอ๋องฉีนางคงจะไม่มุ่งหน้าไปหงตูเพื่อฆ่าอ๋องฉีล้างแค้นหรอกใช่หรือไม่?!ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขา “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ!”แต่ในใจของเขาเองก็เป็นกังวลเช่นกันตามเหตุผลแล้ว หลังจากฆ่าหลี่ฉางชิง เรื่องคำทำนายดวงชะตาก็หมดความน่าเชื่อถือไปแล้วชีหยวนไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกถึงแม้อยากจะฆ่าอ๋องฉี ตอนนี้เซียวอวิ๋นถิงก็ได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปหงตูอย่างเป็นทางการแล้ว นางเพียงกลับไปบอกเซียวอวิ๋นถิงก็พอไยถึงรีบร้อนจากไปเช่นนี้...เขาถอนหายใจเบา ๆ ในใจเมื่อกลับถึงจวนโหว ท่านโหวผู้เฒ่าชีก็ได้ยินคนมา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status