Share

บทที่ 4

Author: กระจ่างแจ้ง
ฝนตกหนักตลอดทั้งคืน พอรุ่งสางท้องฟ้าก็แจ่มใส

ไอหิมะที่เชิงเขาละลายหายไป ยอดอ่อนของต้นหลิ่วเริ่มผลิออกมาให้เห็น มีเสียงนกกระเต็นร้องเบา ๆ บินผ่านเป็นครั้งครา ทำลายความเงียบสงบในยามเช้า

แสงแดดสายหนึ่งลอดผ่านขอบหน้าต่างตกกระทบลงบนใบหน้าของซ่งถังหนิง ปลุกนางให้ตื่นขึ้นจากภวังค์

เมื่อได้กลิ่นยาอันเข้มข้น ซ่งถังหนิงเงยหน้ามองลวดลายแกะสลักรูปกิเลนคาบคัมภีร์หยกบนเพดาน มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่นางไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด

“ตื่นแล้วหรือ?”

น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น ราวกับก้อนหินที่ตกลงไปในผิวน้ำทะเลสาบ และยังปลุกความทรงจำก่อนที่ซ่งถังหนิงจะหมดสติให้ตื่นขึ้นมาด้วย

ซ่งถังหนิงลุกขึ้นนั่งทันที หันหน้าไปมองนอกฉากกั้นลายนกกระเรียนโดยไม่สนใจความเจ็บปวด เห็นเงาร่างสูงโปร่งทางนั้นกำลังวางม้วนตำราในมือลง แล้วลุกขึ้นเดินมาทางนี้

เซียวเยี่ยนเห็นเด็กสาวตกใจจนหน้าซีดเผือด กอดผ้าห่มไว้แน่น ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เขาจึงหยุดยืนอยู่ข้างฉากกั้นแล้วเอ่ยว่า “ระวังมือด้วย”

ซ่งถังหนิงตัวสั่นเทา “อย่าตัดมือข้า”

เซียวเยี่ยน “...”

พรืด

แม่นางฉินที่ยกอ่างทองเหลืองเข้ามา พอได้ยินเสียงข้างในก็หลุดหัวเราะออกมาทันที นางเหลือบมองเซียวเยี่ยนที่ใบหน้าตึงเครียด ส่วนเด็กสาวทางนั้นก็มองเขาราวกับหมาป่า นางพยายามกลั้นหัวเราะแล้วเดินเลี่ยงเขาเข้าไปข้างใน

“แม่นางอย่ากลัวไปเลย ท่านหัวหน้าของเราไม่กินคนหรอก อย่าไปฟังคนข้างนอกลือว่าเขาโหดร้ายเพียงใด จริง ๆ แล้วเขาจิตใจดีงาม อ่อนโยนอย่างยิ่งเจ้าค่ะ...”

ซ่งถังหนิงยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่

เซียวเยี่ยนเห็นนางกอดผ้าห่มขดตัวเป็นก้อน ใบหน้าตึงเครียดจนใกล้จะสลบไปอีกรอบ เขาจึงเหลือบมองแม่นางฉิน “พูดไม่เป็นก็อย่าพูด”

“ก็ท่านหัวหน้าไปทำให้นางตกใจนี่เจ้าคะ”

แม่นางฉินเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่กลัวเซียวเยี่ยนที่ทำหน้าเย็นชาเลยแม้แต่น้อย

นางยิ้มจนหางตาปรากฏริ้วรอยบาง ๆ วางอ่างทองเหลืองลงแล้วขยับเข้าไปใกล้ซ่งถังหนิง “เอาล่ะ อย่ากลัวไปเลย พี่หญิงล้อเจ้าเล่นน่ะ”

แม่นางฉินวางมือลงบนมือของซ่งถังหนิงแล้วค่อย ๆ แกะนิ้วที่กำผ้าห่มแน่นออก

“นิ้วของเจ้าบาดเจ็บไม่น้อยเลย ถึงจะทายาแล้ว แต่กว่าเนื้อใหม่จะขึ้นมาก็ยังเจ็บอยู่ ช่วงนี้อย่าออกแรง อย่าโดนน้ำ แล้วก็แผลบนหน้าของเจ้าด้วย”

“ข้าทายาให้เจ้าแล้ว รอให้แผลตกสะเก็ดแล้วใช้ผงหยกบำรุงผิวหน้าที่ข้าปรุงขึ้น รับรองว่าจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เลยแม้แต่น้อย”

ซ่งถังหนิงมองสตรีที่ยิ้มแย้มอย่างทำอะไรไม่ถูก

เซียวเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “แม่นางฉินเป็นผู้สืบทอดของสกุลเฉิงแห่งแคว้นสู่ วิชาแพทย์ยอดเยี่ยม คนในสำนักแพทย์หลวงยังสู้นางไม่ได้”

“ท่านหัวหน้าอย่าชมข้าเลย ชมข้าแล้วออกไปตรวจรักษาผู้คนก็ต้องเก็บเงินอยู่ดี”

แม่นางฉินหัวเราะแล้วพูดหยอกล้อหนึ่งประโยค ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แต่แม่นางน้อยซ่งหน้าตางดงาม ค่ายาก็พอจะยกเว้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าใบหน้างดงามนี้มีแผลเป็น จะมีบุรุษรูปงามมากน้อยเพียงใดที่ต้องทุบหน้าอกกระทืบเท้าด้วยความเสียดาย พี่หญิงทนไม่ได้หรอก”

ซ่งถังหนิงหน้าร้อนผ่าว

นางสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีจากตัวของแม่นางฉิน เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีใครมาใส่ใจว่านางจะงดงามหรืออัปลักษณ์

แม้จะเป็นเพียงคำพูดล้อเล่น แต่ปลายนิ้วหยาบกร้านที่กุมมือนางอยู่ในขณะนี้ กลับทำให้นางรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษ

นางกล่าวอย่างเขินอาย “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่หญิง”

แม่นางฉินชอบใจเป็นพิเศษ “มีน้องสาวงดงามราวกับเทพธิดาเช่นเจ้า ข้าได้กำไรมากมายแล้ว”

ซ่งถังหนิงเม้มปากยิ้มบาง ๆ เผยให้เห็นลักยิ้มตื้น ๆ ที่ข้างแก้ม

......

ในเตาทองเหลืองรูปหัวช้างมีถ่านไฟลุกโชน ทำให้ในห้องอบอุ่นจนไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นของต้นวสันต์

แม่นางฉินเป็นคนช่างพูด ชวนซ่งถังหนิงคุยไม่หยุด อาจเป็นเพราะรอยยิ้มของนางที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ หรืออาจจะเป็นเพราะเซียวเยี่ยนเดินไปนั่งลงบนตั่งยาวสี่ขาข้างฉากกั้น ไม่ได้พยายามเข้ามาใกล้

หลังจากที่แม่นางฉินทายาให้นางใหม่แล้ว ใบหน้าเล็ก ๆ ของซ่งถังหนิงก็เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง

ริมฝีปากของนางยังคงซีดขาว เส้นผมสีดำขลับทิ้งตัวอยู่ด้านหลัง ยามที่ขนตางอนงามกระพือไหว ดวงตาที่บวมแดงเล็กน้อยเริ่มมีแววขึ้นมา ไม่ได้ดูสับสนทำอะไรไม่ถูกเหมือนตอนที่เพิ่งตื่น

หลังจากที่แม่นางฉินออกไปแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงนางกับเซียวเยี่ยนสองคน

ซ่งถังหนิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างระมัดระวัง

คนที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดผ้าไหมปักลวดลายสีดำสนิท ปิ่นปักผมสีดำปักรวบผมไว้อย่างเรียบง่าย ความเย็นชาอำมหิตเมื่อแรกพบได้จางหายไป มีเพียงสีหน้าเกียจคร้านขณะเอนกายพิงตั่ง

ทั้ง ๆ ที่เป็นขันทีชั่วร้ายที่ผู้คนด่าทอ มีวิธีการที่โหดเหี้ยมจนไม่มีใครไม่หวาดกลัว แต่บนตัวเขากลับไม่มีกลิ่นอายของความเป็นสตรีนุ่มนิ่มเหมือนขันทีคนอื่น ๆ ในวัง กลับกันคิ้วตาของเขาคมคายสง่างามดุจน้ำพุหยกที่ตกลงไปในลำธาร ทั่วทั้งร่างแฝงไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่น่าเกรงขามและยากจะหยั่งถึง

อาจเพราะรู้สึกได้ว่านางกำลังมองเขาอยู่ เขาจึงเหลือบขึ้นมามอง

ซ่งถังหนิงรีบหดตัวกลับ ก้มหน้าก้มตาจับชายผ้าห่ม

“ลืมคำพูดของแม่นางฉินแล้วหรือ ไม่ต้องการมือแล้วใช่หรือไม่?”

เมื่อเห็นนางหดมือกลับโดยไม่รู้ตัว เซียวเยี่ยนก็คล้ายจะถอนหายใจเบา ๆ “กลัวอะไร?”

เมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่พูด เขาก็พูดว่า

“การปรากฏตัวของเจ้าบนภูเขาเชวี่ยนั้นบังเอิญเกินไป ช่วงนี้ข้าไปขัดผลประโยชน์ของคนจำนวนมากเข้า คนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าทุกปีในเวลานี้ ข้าจะไปที่ภูเขาเพื่อเซ่นไหว้คนรู้จักเก่า เจ้าก็พูดจาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ บอกเหตุผลที่ชัดเจนไม่ได้ ข้าจึงคิดว่าเจ้าเป็นนักฆ่าที่คนเหล่านั้นส่งมา ถึงได้เกือบจะฆ่าเจ้า”

“ตอนนี้สืบสวนจนกระจ่างแล้ว ย่อมไม่ทำร้ายเจ้า”

น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉย แต่แตกต่างจากบนภูเขาที่พร้อมจะเอาชีวิตคนได้ทุกเมื่อ

แม้ว่าซ่งถังหนิงจะยังกลัวเขา และยังจำได้ว่าตนเองด่าทอคนผู้นี้ไปก่อนจะหมดสติ นางจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้นท่านหัวหน้าจะปล่อยข้าไปได้หรือยังเจ้าคะ?”

“เจ้าอยากจะไปหรือ?” เซียวเยี่ยนมองนาง

ถังหนิงพูดตะกุกตะกัก “ข้าไม่ได้กลับจวนทั้งคืน คนในจวนจะเป็นห่วง...”

“ไม่มีคนสกุลซ่งไปตามหาเจ้าที่วัดหลิงอวิ๋น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเกือบจะเสียชีวิตในป่าแห่งนั้น”

ฝ่ามือของนางกำแน่นขึ้นทันที ใบหน้าของถังหนิงซีดขาว

“เจ้าไปที่วัดหลิงอวิ๋นกับซ่งจิ่นซิว แต่เขากลับทิ้งเจ้าไว้ในป่าแห่งนั้นเพียงลำพัง คนที่ไปกับเจ้ายังมีเซี่ยอิ๋นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า และลู่จื๋อเหนียนคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันของเจ้า แต่พวกเขากลับจำได้แต่บุตรอนุภรรยาที่ร้องไห้ฟูมฟายคนนั้น”

“หลังจากที่พวกเขากลับเข้าเมืองเมื่อวาน ก็พากันไปที่หออัญมณี ปลอบบุตรอนุภรรยาคนนั้น ซื้อเครื่องประดับให้เพื่อให้นางดีใจ ต่อมายังไปล่องเรือชมทะเลสาบ ไม่มีใครจำได้เลยว่าเจ้าไม่ได้กลับเข้าเมืองทั้งคืน”

เซียวเยี่ยนไม่ใช่คนที่จะเก็บเนื้อเน่าไว้กับตัว และย่อมไม่ต้องการให้เด็กน้อยหลอกตัวเองเช่นกัน

“เมื่อคืนฝนตกหนักบนภูเขา หากไม่ใช่เพราะข้าบังเอิญผ่านไป ป่านนี้เจ้าคงตกเขาตายอยู่ในกองหิมะนั่นแล้ว”

“พี่ชายของเจ้ารู้ดีว่าในภูเขาอันตราย แต่หลังจากกลับเข้าเมืองจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ออกมาตามหาเจ้าเลย แม้แต่ซ่งหงและฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่รู้เรื่อง สาวใช้ของเจ้าคิดจะมาตามหาเจ้า แต่กลับถูกซ่งจิ่นซิวสั่งโบยไปหลายที โดยอ้างว่าล่วงเกินบุตรอนุภรรยาคนนั้น”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะกลับไปแบบนี้?”

คำพูดของเซียวเยี่ยนราวกับคมมีด ทิ่มแทงจนซ่งถังหนิงหน้าซีดเผือดแทบหายใจไม่ออก

หลังจากที่ซ่งซูหลานเข้าจวน นางก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบสุข ทุกครั้งที่มีเรื่องทะเลาะกัน นางก็จะทะเลาะกับพี่ชายจนบ้านแทบแตกเพราะซ่งซูหลาน

เมื่อวานเป็นวันครบรอบวันตายของมารดานาง นางตั้งใจไปไหว้พระที่วัดหลิงอวิ๋นกับพวกพี่ชาย

เดิมทีนัดกับเซี่ยอิ๋นและลู่จื๋อเหนียนว่าจะออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน แล้วถือโอกาสทำให้ความสัมพันธ์กับพี่ชายดีขึ้น แต่นางไม่คิดว่าพี่ชายจะพาซ่งซูหลานไปด้วย

นางเกลียดซ่งซูหลานที่เป็นบุตรีอนุนอกเรือนคนนี้อยู่แล้ว ยิ่งไม่ชอบที่ท่านพี่สนิทสนมกับนาง ตลอดทางก็เห็นเซี่ยอิ๋นและลู่จื๋อเหนียนคอยดูแลนางทุกอย่าง กระทั่งเพิกเฉยต่อนางเพื่อเอาใจบุตรีอนุนอกเรือนคนนั้น ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

หลังจากขึ้นเขาไปแล้ว ซ่งซูหลานก็ “ไม่ระวัง” ปัดตะเกียงนิรันดร์ของมารดานางตกแตก ทำลายบุญกุศลของมารดานางจนหมดสิ้น

ความโกรธทั้งหมดของนางจึงระเบิดออกมา ด้วยความโมโหจึงตบหน้านางไปฉาดหนึ่ง ซ่งซูหลานก็ร้องไห้วิ่งหนีออกไป

ซ่งจิ่นซิวรีบขี่ม้าตามเข้าไปในป่าด้วยสีหน้ากระวนกระวายเพื่อตามคนกลับมา ลูกพี่ลูกน้องเซี่ยอิ๋นและลู่จื๋อเหนียนก็ลากนางไปเพื่อให้นางขอโทษซ่งซูหลาน

ซ่งถังหนิงย่อมไม่ยอม

นางไม่ได้ทำผิด เหตุใดต้องไปขอโทษซ่งซูหลานด้วย?

ซ่งถังหนิงด่าทอซ่งซูหลานไปหลายประโยคโดยไม่เลือกคำพูด ซ่งซูหลานก็ร้องไห้ฟูมฟายบอกว่าจะกลับอันโจว

ตอนนั้นซ่งจิ่นซิวโกรธมากจึงตำหนินางว่าไร้การอบรมสั่งสอน ขาดคุณสมบัติของสตรีที่อ่อนน้อมถ่อมตน บอกว่านางรังแกซ่งซูหลานที่มีชาติกำเนิดน่าสงสาร ไม่มีใจกว้างพอที่จะยอมรับคนอื่นเลยแม้แต่น้อย

นางโกรธจนทะเลาะกับเขา เขาก็ไล่ให้นางกลับไปสำนึกผิดที่วัดหลิงอวิ๋น ส่วนเซี่ยอิ๋นและลู่จื๋อเหนียนที่ควรจะปกป้องนางก็ขมวดคิ้วบอกว่านางไม่รู้ความเกินไป

พวกเขาทั้งสามคนเอาแต่ตามซ่งซูหลานที่ร้องไห้จนใบหน้างดงามเปียกปอนไปด้วยน้ำตาไป ทิ้งนางไว้ในป่าที่ขาวโพลนเพียงลำพัง

ชาติที่แล้วนางหลงทางอยู่ในป่า พอตกค่ำม้าก็บาดเจ็บจนตกจากทางลาดชัน

นางไม่ได้โชคดีเหมือนในชาตินี้ที่ได้พบกับเซียวเยี่ยนและถูกคนช่วยขึ้นมา แต่กลับพลัดตกและกลิ้งลงไปในหลุมหิมะที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น จนกระทั่งเช้าวันที่สามถึงมีชาวนาที่เดินทางผ่านมาพบ

ตอนที่ถูกส่งกลับเมืองหลวงในสภาพหมดสติ นางก็ขาพิการ ใบหน้าเสียโฉม ร่างกายก็ถูกความหนาวเย็นทำลายจนย่ำแย่

ลมหายใจของซ่งถังหนิงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “นางไม่ใช่บุตรอนุภรรยา”

“หืม?”

“ข้าบอกว่า ซ่งซูหลานไม่ใช่บุตรอนุภรรยา นางเป็นเพียงบุตรีอนุนอกเรือนที่ไม่มีที่มาที่ไป”

นางนึกถึงชาติที่แล้ว หลังจากกลับไปนางเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ท่านน้าก็โกรธจนแทบคลั่งเพราะนางบาดเจ็บ

ตอนแรกพวกซ่งจิ่นซิวยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง ร้องไห้บอกขอโทษนาง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและซ่งหงก็ลงโทษพวกเขาอย่างหนัก บอกว่าจะส่งซ่งซูหลานไป

แต่หลังจากที่ท่านน้าของนางเกิดเรื่อง ท่าทีของสกุลซ่งที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไป

พวกเขาเริ่มเกลี้ยกล่อมให้นางลืมอดีต เกลี้ยกล่อมให้นางสงสารในชะตาที่น่าสงสารของซ่งซูหลาน พวกเขาชื่นชมความเสียสละของซ่งซูหลานที่ยอมกรีดเลือดของตัวเองเพื่อหายาให้นาง ชื่นชอบในความอ่อนโยนอ่อนหวานของนาง ส่วนนางที่เสียโฉมขาหัก ถูกกักขังอยู่ในเรือนหลัง ทั้งยังสูญเสียท่านน้าที่รักที่สุดไปจนนิสัยเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็รังเกียจ

การทะเลาะกันในครั้งแรก ๆ จบลงด้วยการเดินหนีออกจากห้องไปทุกครั้ง

ความคับข้องใจและความโกรธแค้นของนางกลายเป็น “ไม่รู้ความ” ในสายตาของพวกเขา ต่อมานางมองเห็นความเย็นชาไร้น้ำใจของสกุลซ่งแล้ว เพียงแค่อยากจะหนีไปให้ไกลจากพวกเขา แต่พวกเขากลับมาตำหนินางทีละคน บอกว่าการที่นางปรากฏตัวข้างนอกจะทำให้ชื่อเสียงของซ่งซูหลานเสียหาย ทำให้สกุลซ่งถูกคนหัวเราะเยาะ

พวกเขาตัดขาดการติดต่อของนางกับโลกภายนอก ยึดของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้นางไป และกักขังนางไว้ในเรือนร้าง ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยแผลพุพอง ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานอยู่ในห้องเพื่อ “สำนึกผิด”

ภายนอก ซ่งหงได้เลื่อนตำแหน่งสูง ซ่งจิ่นซิวมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง ส่วนซ่งซูหลานยิ่งแล้วใหญ่ นางใช้ของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้นางจนกลายเป็นสตรีผู้มีความสามารถที่ใคร ๆ ก็ชื่นชม แม้แต่ลู่จื๋อเหนียนก็ยอมถอนหมั้นเพื่อนางและหลงใหลนาง

ความเคียดแค้นของซ่งถังหนิงอัดแน่นเต็มอกจนไม่มีที่ระบาย “นางบอกว่านางเป็นผลพวงจากความเจ้าชู้ของบิดาข้าเมื่อครั้งยังหนุ่ม เป็นบุตรีอนุนอกเรือนที่ท่านพ่อข้าเลี้ยงไว้ข้างนอก”

“ท่านย่าพวกเขาบอกว่าถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปจะทำให้ชื่อเสียงของสกุลซ่งด่างพร้อย ท่านแม่ของข้าก็จะถูกคนหัวเราะเยาะ ดังนั้นถึงได้บอกกับคนภายนอกว่า ซ่งซูหลานเป็นบุตรอนุภรรยาที่เกิดจากบ่าวรับใช้ที่ดีข้างกายท่านแม่ข้า”

คิ้วของเซียวเยี่ยนขมวดเข้าหากัน “พวกเขาพูด เจ้าก็ยอมหรือ?”

“เพราะข้ามันโง่” ซ่งถังหนิงตาแดง

คำพูดของนางทำเอาเซียวเยี่ยนถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าเด็กสาวก้มหน้าลงจนเห็นขวัญผม และเห็นหยาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจแล้วพยายามพูดด้วยเสียงที่เบาลง

“จะบุตรอนุภรรยาหรือบุตรีอนุนอกเรือนก็ช่างเถิด เจ้าแน่ใจหรือว่านางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของบิดาเจ้า?”

ซ่งถังหนิงเงยหน้าขึ้น

“บิดาของเจ้ากับมารดาของเจ้ารักกันมาก หลังจากที่มารดาของเจ้าให้กำเนิดเจ้าแล้ว ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บจนตั้งครรภ์ได้ยาก ในตอนนั้นมีสตรีในเมืองหลวงมากมายที่หลงใหลในความสง่างามของบิดาเจ้า แข่งกันขอแต่งงานกับเขา ยอมเป็นภรรยารองหรืออนุภรรยาเพื่อสืบทอดทายาทให้เขา แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธทั้งหมด”

“หากเขาเป็นคนลุ่มหลงในสตรีจริง ๆ เหตุใดต้องไปเลี้ยงดูอนุภรรยาที่น่าอับอายไว้ข้างนอกด้วย?”

ซ่งถังหนิงเบิกตากว้าง “แต่ท่านอาสามกับท่านลุงใหญ่บอกว่า...”

ไม่

ไม่ถูกต้อง

ซ่งถังหนิงหน้าซีดเผือดในทันที

นางจำได้ราง ๆ ว่าตอนที่ซ่งซูหลานเพิ่งมาถึงจวน ท่านอาสามส่งนางไปที่บ้านใหญ่โดยตรง

ตอนนั้นป้าสะใภ้ใหญ่มีสีหน้าย่ำแย่มาก ท่านย่าก็รังเกียจนางอย่างเห็นได้ชัด ในจวนเพียงแค่จัดให้นางอยู่ในเรือนเล็กที่ห่างไกล ถึงได้ทำให้นางเข้าใจผิดคิดว่าเป็นญาติที่ไหนมาขอพึ่งพิง

แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ท่านอาสามกลับพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่บิดาของนางทิ้งไว้ข้างนอกเมื่อครั้งยังหนุ่ม

ซ่งถังหนิงสัมผัสได้ราง ๆ ว่าตนเองถูกปิดบังอะไรบางอย่าง นางกัดริมฝีปากแน่น โกรธจนตัวสั่น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 80

    สีเลือดบนใบหน้าของผู้ตรวจการเหอพลันจางหายไปในพริบตาเซียวเยี่ยนหัวเราะเยาะออกมา “ข้าทราบดีในอดีตเพื่อกวาดล้างราชสำนักแทนฝ่าบาท ข้าได้ทำให้ผลประโยชน์ของผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องสั่นคลอน และรู้ด้วยว่ามีคนบางส่วนไม่พอใจที่ข้าได้ถืออำนาจควบคุมองครักษ์เกราะดำกำราบผู้ที่มีใจคิดกบฏให้สิ้นแทนฝ่าบาท ทว่าข้ากลับไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า คนของฝ่ายตรวจการที่ได้ชื่อว่าซื่อตรงไม่ยอมโอนอ่อนก็เป็นพวกเหลวไหลจับแต่ลมคว้าแต่เงาเหมือนกัน”“ใต้เท้าเหอไม่มีหลักฐานแม้เพียงสักนิดก็คิดจะกล่าวหาว่าร้ายข้าแล้ว มิหนำซ้ำยังหยิบยกเหตุผลน่าขบขันที่สุดมาโจมตีข้าอีก ท่านไม่พอใจที่เมื่อก่อนข้าลงมือแทนฝ่าบาท หรือไม่พอใจที่ฝ่าบาทให้ข้ารับผิดชอบตำแหน่งหัวหน้าของคณะองคมนตรี ดังนั้นถึงได้ยอมละทิ้งชื่อเสียงอันบริสุทธิ์หมดจดของผู้ตรวจการเพื่อจะได้ทำลายข้า?”สีหน้าของฮ่องเต้อันพลันเย็นเยียบลงทันใดผู้ตรวจการเหอมีเหงื่อเย็นผุดพรายเป็นสาย เข่าสองข้างอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นทันที “ฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนเที่ยงธรรม กระหม่อมหาได้มีเจตนาเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย กระหม่อมเพียงแค่ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ตรวจการอย่างเคร่งครัดก็เท่านั้นพ่ะย่ะค

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 79

    ผู้ตรวจการเหอหน้าแดงก่ำ “เจ้าเล่นลิ้นเล่นสำนวน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคนนั้นก็แค่ไปเยี่ยมคุณหนูของนาง…”“วิธีการเยี่ยมของท่านคือการโจมตีใบหน้าอีกฝ่ายให้เสียโฉม ตีอีกฝ่ายจนสลบ หรือว่าทุบตีอีกฝ่ายจนกระอักเลือดล้มป่วยไม่ฟื้น?”ประโยคเดียวของเซียวเยี่ยนตอกหน้าจนคนผู้นั้นสะอึกไป“อย่าว่าแต่เรือนหลังนั้นข้ายังมิได้โอนมอบให้แม่นางน้อยซ่งเลยด้วยซ้ำ การที่คนสกุลซ่งบุกเข้ามาย่อมมีความผิด หรือต่อให้ข้าจะมอบเรือนให้แม่นางน้อยซ่งแล้วก็จริง ข้าในฐานะหัวหน้าสำนักองคมนตรีฝ่ายใน เห็นคนบุกเข้าเรือนผู้อื่นทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา หนำซ้ำยังได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือมาจากในจวนแล้ว จะต้องนิ่งดูดายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?”ผู้ตรวจการเหอหน้าแดงหน้าขาว ตะคอกเสียงดังออกมาด้วยโทสะ “แบบนั้นจะไปเทียบกันได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็แค่สั่งสอนผู้น้อยในจวนเท่านั้น”“ที่แท้ผู้ตรวจการเหอก็สั่งสอนบุตรหลานด้วยการทุบตีหวังให้ตายคาที่อย่างนั้นเองหรือ?”“เจ้า!” ผู้ตรวจการเหอถูกตอกหน้าหงายก็ตะคอกขึ้นด้วยโทสะ “เจ้าจงใจบ่ายเบี่ยงเลี่ยงประเด็น ต่อให้ตัดประเด็นที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับแม่นางน้อยซ่งคนนั้

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 78

    ภายในจวนถังที่ตรอกจีอวิ๋น ถังหนิงกำลังหลับใหลอย่างสงบ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าด้านนอกมีคนกำลังโต้เถียงกันเพราะนาง ทว่าราชสำนักในห้วงความฝันของนางบัดนี้ กลับกำลังวุ่นวายโกลาหล ราวหม้อน้ำมันเดือดภายในราชสำนักการยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจระลอกที่สองดูจะรุนแรงกว่าที่พวกซ่งหงคิดเอาไว้มาก ครั้งนี้มิเพียงหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินเฉาเต๋อเจียง แม้แต่ขุนนางระดับมุขมนตรีสามสำนักทั้งสำนักราชเลขาธิการ สำนักอัครเสนาบดี และสำนักสนองราชโองการก็ทยอยกันออกมายื่นฎีกาไม่ไว้วางใจเช่นกัน ถ้อยคำรุนแรงในท้องพระโรงนั้น ทำให้ชื่อเสียงและเกียรติยศที่สะสมมาหลายปีของซ่งหงพ่อลูกพังทลายลงเพียงชั่วข้ามคืนเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อ เรื่องที่เซียวเยี่ยนทำร้ายร่างกายสตรีบรรดาศักดิ์เก้ามิ่งในราชสำนัก แอบอ้างสิทธิ์สำนักแพทย์หลวง ใช้อำนาจองครักษ์เกราะดำบีบบังคับหอโอสถในเมืองหลวง และทำตัวกร่างข่มเหงรังแกผู้คนในเมือง ก็ถูกลู่ฉงหยวนหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการและพรรคพวกจับเป็นความผิดไม่ปล่อยเช่นกัน“เป็นเพราะสกุลซ่งเป็นฝ่ายกระทำความผิดก่อน บุกเข้าตรอกจีอวิ๋นมาทำร้ายร่างกายผู้อื่นก่อน…”“นั่นก็มิใช่เหตุผลสมควรให้เขาทำร้ายร่างกายสตรีบรร

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 77

    พระชายาเฉิงจะไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้อย่างไร?เซียวเยี่ยนได้ฟังถ้อยคำของจิ้นอวิ๋นก็เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “มีความแค้นอย่างนั้นหรือ?”“ใช่ขอรับ”เซียวเยี่ยนหัวเราะออกมาเบา ๆจิ้นอวิ๋นยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าประโยคไหนของตนเองทำให้ท่านหัวหน้าขบขันขึ้นมาได้ ขณะที่เขาถือเสื้อคลุมเดินตามหลังเซียวเยี่ยนออกไปด้านนอก ก็ถามขึ้นด้วยเสียงเบาหวิว “เช่นนั้นแล้วเรื่องของสกุลซ่งนี้พวกเราต้องออกมือด้วยหรือไม่ขอรับ?”“ไม่ต้อง”หากเรื่องแค่นี้กู้เฮ่อเหลียนยังสืบไม่ได้ ก็เสียแรงที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพไฉ่เสิ่งเอี้ยแล้วรถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าประตูจวนแล้ว ตอนที่เซียวเยี่ยนก้าวออกไปสายตาก็เหลือบไปมองเรือนข้าง ๆ ที่ยังคงมืดสนิทเหมือนเคย พอนึกถึงเมื่อวานตอนบ่ายที่แม่นางน้อยฟังเขาเล่าเรื่องราวน่าสนุกในราชสำนักให้ฟัง จนเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะแล้วยังส่งเสียงออกมาเบา ๆ เหมือนแมวน้อยแบบนั้น แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้นมา“อีกเดี๋ยวจงให้คนไปที่ตลาดเลือกคนที่ชาติกำเนิดสะอาดไร้มลทินส่งไปที่จวนถัง แล้วหาสตรีที่เรียบร้อยเชื่อฟังในเรือนของขุนนางต้องโทษมาสักสองสามคน ส่งไปปรนนิ

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 76

    เจี่ยงหมอมอตื่นตระหนกตกใจ “พระชายาเพคะโปรดระงับอารมณ์อย่าคิดมากวิตกกังวลไปก่อนเลยเพคะ ท่านอ๋องอาจเพราะเกิดความเกรงกลัวในใจ ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะกลัวว่าหากคุณหนูขัดแย้งกับสกุลซ่งมากเกินไปจะทำให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสีย กลัวว่าหากสกุลซ่งก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้วคุณหนูจะถูกคนสกุลลู่รังเกียจ”“ไหนจะมีไท่เฟยผู้เฒ่าด้วยอีกคนเพคะ ไท่เฟยผู้เฒ่าเองก็ทรงขุ่นเคืองมาตลอดที่พระชายารักและสงสารคุณหนูมากเกินไป ท่านอ๋องเองก็อาจเป็นเพราะกังวลว่าพระชายาจะทำให้ไท่เฟยผู้เฒ่าไม่พอใจ กลัวว่าหากเกิดเรื่องอะไรกับสกุลซ่งขึ้นมาจริง ๆ อาจพัวพันมาถึงท่านและคุณหนูได้…”นางพยายามหาข้ออ้างอย่างสุดชีวิต เพื่อจะบอกว่าเฉิงอ๋องมิได้ตั้งใจ ทว่าพระชายาเฉิงกลับไม่ฟังแม้แต่ประโยคเดียว“พวกข้าเป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี เขาจะมีความกังวลใจใดที่มิอาจบอกข้า?”“โกหกก็คือโกหก ต่อให้เหตุผลจะมีมากแค่ไหนสุดท้ายทั้งหมดก็คือข้ออ้าง”“เรื่องอื่นข้ายังพอมองข้ามไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ ทว่าเขารู้อยู่แก่ใจว่าสกุลซ่งรังแกถังหนิงอย่างไร รู้อยู่แก่ใจว่าเขาทำลายชื่อเสียงความรักใคร่ปรองดองของพี่หญิงและพี่เขยของข้าอย่างไร แล้วก็รู้ทั้งรู้ว่า

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 75

    เฉิงอ๋องโอบกอดพระชายาไว้พลางปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนพระชายาเฉิงเอนกายซบลงบนไหล่ของเขา “ท่านอ๋อง คนที่ท่านส่งไปที่อันโจวส่งข่าวกลับมาบ้างหรือยังเพคะ สืบเรื่องของซ่งซูหลานมาได้บ้างหรือไม่เพคะ?”เฉิงอ๋องชะงักมือไปเล็กน้อย ก่อนจะลูบแผ่นหลังของนางต่อไปอย่างแผ่วเบา “จะรวดเร็วปานนั้นได้อย่างไร ระยะห่างระหว่างอันโจวกับเมืองหลวงต้องใช้เวลาตั้งหลายวัน หลังจากไปถึงแล้วยังต้องคิดหาวิธีสืบถามอีก เรื่องราวเหล่านี้พอสืบมาได้ความตามสมควรแล้ว ต่อให้ใช้ม้าเร็วไปกลับก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนเดือนเชียว ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าน่าจะคิดมากไปเอง”“สกุลซ่งก็มิใช่พวกเสียสติ พวกเขาจะเอาสตรีไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาปะปนในสายเลือดของจวนกั๋วกงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นบุตรีอนุนอกเรือนคนนั้นโฉมหน้าก็พอจะคล้ายคลึงคนสกุลซ่งอยู่บ้าง”“ถังหนิงเองก็เพราะบาดหมางกับสกุลซ่งถึงได้จิตฟุ้งซ่านคิดมากไปเอง เจ้าเองก็ปล่อยให้นางก่อเรื่องวุ่นวาย แม้ข้าจะตกปากรับคำว่าส่งคนไปสืบแล้วก็จริง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ควรเปิดเผยเป็นการใหญ่ มิเช่นนั้นหากสืบแล้วไม่พบอะไรขึ้นมา แล้วคนนอกรู้ว่าถังหนิงกล้าสอดปากสอดคำขัดแย้งกับผู้ใหญ่ในจวนขึ้นมา เกร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status