เจียอีได้แต่กลอกตา ทำไมถึงได้หัวอ่อนยอมแม้แต่เรื่องคู่ชีวิตของตนเอง ถ้าหากเธอส่งเสียงโต้ตอบออกมาได้ จะโวยวายไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
“ขอบใจเจ้ามากอีอี เช่นนั้นเจ้าย้ายมาอยู่ที่นี่วันพรุ่งนี้เลย พี่จะย้ายกลับไปอยู่ที่จวนมู่แทนเจ้าเอง”
เฮ้ย มู่เจียอี เธอจะยอมใช้ตัวตนมู่เฟยหย่าไปทั้งชีวิตเหรอ แล้วนี่จะยอมมีป้ายหน้าหลุมศพแทนพี่สาวด้วย โอ๊ยยย จะบ้า
เจียอีได้แต่โวยวายอยู่ภายใต้จิตสำนึกเท่านั้น เธอยังต้องทนดูภาพเหตุการณ์ต่างๆ ต่อไป
“อยากตื่นแล้วโว้ยยยยย” เธอไม่เข้าใจว่านอนไปนานแค่ไหนถึงได้ฝันเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้
และดูเหมือนเหตุการณ์ตรงหน้าก็ยังไม่จบลงง่ายๆ เจียอียังได้เห็นเรื่องราวชีวิตของมู่เจียอีที่ต้องอยู่ในจวนตระกูลหวง
หลังจากที่นางเปลี่ยนตัวกับพี่สาวเข้ามา เพื่อไม่ให้ถูกพี่เขยจับได้ นางยังมิได้นอนร่วมห้องกับเขา โดยอ้างเรื่องที่นางป่วยจึงรอดพ้นไปได้
พออยู่ได้สามเดือนมู่เจียอีก็ต้องย้ายตามหวงเต๋อฟานไปประจำการที่ชายแดนเหนือ ระหว่างทางเขาจึงได้รู้เรื่องที่นางกับมู่เฟยหย่าเปลี่ยนตัวกัน
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปส่ง” หวงเต๋อฟาน เอ่ยเสียงเหยียบเย็นออกมา
จนมู่เจียอี อดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ นางจึงได้บอกเล่าความจริงเรื่องที่พี่สาวของนางป่วยหนักใกล้ตาย และขอให้นางเข้ามาเปลี่ยนตัวเพื่อจะได้อยู่ดูแลบุตรชายของนางต่อไป
“พี่หญิงกลัวว่าพี่เขยจะแต่งสตรีอื่นมาเป็นแม่เลี้ยงของอาชุนจึงให้ข้าเข้ามาสวมเป็นนางแทน แต่หากนางหายแล้ว นางจะกลับมาอยู่ข้างท่านเช่นเดิมแน่นอนเจ้าค่ะ” มู่เจียอีเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา นางกลัวโทสะของพี่เขยไม่น้อย จึงได้ถอยห่างราวกับลูกกวางน้อยที่ตื่นกลัว
หวงเต๋อฟานได้ยินเช่นนั้นก็รีบร้อนควบม้าย้อนกลับเมืองหลวงไป โดยทิ้งมู่เจียอีกลับบุตรชายไว้ระหว่างทางกับทหารของเขา
นางหวาดกลัวจนไม่กล้าออกจากห้องพัก ด้วยไม่เคยเดินทางเพียงลำพังเช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยเหยียบเท้าออกจากเมืองหลวงมาก่อน ได้แต่อยู่ดูแลอาชุนไม่ห่าง
เจียอีเห็นเรื่องราวของนางก็ได้แต่ถอนหายใจ เหตุใดสตรีแสนดีเช่นนี้ต้องเจอเรื่องอะไรก็ไม่รู้ หากเป็นเธอคงได้หนีกลับเมืองหลวง ไปบอกบิดามารดาแล้ว
เจ็ดวันให้หลังหวงเต๋อฟานจึงได้กลับมาหามู่เจียอี แล้วมองนางด้วยสายตาแปลกๆ ดูราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“พี่หญิงเป็นเช่นใดบ้างเจ้าคะ” นางเอ่ยถามออกมา เพราะรู้ดีว่าเขาคงกลับไปหาพี่สาวนาง
“ต่อจากนี้ไป เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ภรรยาข้าหวงเต๋อฟานเถิด”
“เพราะเหตุใด” นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่น้อย
“พี่สาวเจ้าตายไปแล้ว” แววตาของหวงเต๋อฟานแดงก่ำ ทั้งยังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
มู่เจียอีร่ำไห้ออกมาจนตัวโยน นางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นร้องออกมาจนแทบจะขาดใจ สายตาของหวงเต๋อฟานที่บอกมาทางนาง อดเห็นใจนางไม่น้อย เขาประคองนางขึ้นมานั่งบนเก้าอี้
“พี่เขย ท่านพาข้ากลับไปหาพี่สาวได้หรือไม่” นางอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตาที่เต็มใบหน้า
“ไม่ได้ ข้าต้องรีบเดินทางแล้ว เจ้าเก็บของให้เรียบร้อย”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ ต่อไปอย่าได้เรียกข้าว่าพี่เขยอีก” หวงเต๋อฟานช่วยนางเก็บของ ก่อนจะอุ้มบุตรชายแล้วเดินนำออกไปด้านนอก
ชีวิตของมู่เจียอียามที่อยู่ชายแดนเหนือมิได้ลำบากเพียงใด หวงเต๋อฟานก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ เขามักจะพักอยู่ที่ค่ายทหารและกลับมาดูนางที่จวนบ่อยครั้ง
พออยู่ชายแดนเหนือได้สองปี นางกับหวงเต๋อฟานก็ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง ชีวิตของมู่เจียอีมีความสุขไม่น้อย แต่ท้องของนางไม่ยอมตั้งครรภ์เสียที
“มีเพียงอาชุนก็พอแล้ว เจ้าอย่าได้คิดมาก ต่อให้เจ้าไม่ตั้งครรภ์ ข้าก็ไม่คิดจะแต่งอนุเข้าจวน” นี่คือสิ่งที่หวงเต๋อฟานบอกเจียอีทุกครั้งที่นางหวังว่าจะตั้งครรภ์
พอหวงหมิงชุนได้แปดหนาว ทั้งสามก็ถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวง เพราะสงครามที่หวงเต๋อฟานนำทัพไปสู้รบนั้นได้รับชัยชนะกลับมา
การกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ หวงเต๋อฟานได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นถึงโห่ว มีจวนแยกจากจวนตระกูลหวงออกมา มู่เจียอีก็ได้รับการยอมรับจากสตรีในเมืองหลวงเพิ่มขึ้น เพียงแต่นางถูกเรียกว่ามู่เฟยหย่าแทน
นางไม่ได้เปิดจวนโห่วต้อนรับผู้ใดมากนัก เพราะหวงเต๋อฟานไม่ชื่นชอบงานรื่นเริง แม้จะงานเลี้ยงด้านนอกนางก็ไม่ได้ไป ได้แต่เก็บตัวอยู่ภายในจวน ดูแลเขาและอาชุนอย่างเต็มที่
จะได้กลับบ้านเดิมก็น้อยครั้ง บิดามารดาที่เห็นหน้าแม้ในใจจะรู้ว่าตรงหน้าคือมู่เจียอี แต่ก็ไม่อาจเอ่ยเรียกนางออกมาได้
แต่พอกลับมาอยู่เมืองหลวง สองพ่อลูกที่ลูกใคร่นางยามที่อยู่ชายแดนก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ทั้งสองเริ่มตีตัวออกห่างจากนาง แม้จะเอ่ยพูดคุยกันเช่นเดิม แต่นางกับรู้สึกได้อย่างแท้จริง
มู่เจียอีมิใช่คนพูดมาก หรือเอ่ยเรียกร้องสิ่งใด นางอยู่ในที่ของนางเท่านั้น ดูเหมือนว่าหวงเต๋อฟานจะเห็นใจนาง บางครั้งเขาก็จะรักใคร่นางเช่นตอนที่อยู่ชายแดนเหนือ แต่วันต่อมาก็เฉยชาเช่นเดิม เป็นเช่นนี้จนมู่เจียอีเริ่มจะชินชาไปแล้ว
เจียอีที่เห็นการกระทำทุกอย่าง ยังได้แต่เบ้ปาก ไม่รู้สตรียุคนี้ทนอยู่ใต้อำนาจของบุรุษได้อย่างไร คนผีเข้าผีออกเช่นนี้ เป็นเธอจะทนได้กี่วัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียอีหายไปหลังจากกลับมาอยู่เมืองหลวงได้สองปี นางกลายเป็นคนเฉยชา หากสองพ่อลูกไม่เข้ามาพบนางที่เรือน นางก็ไม่คิดจะออกไปพบพวกเขา
พอหวงหมิงชุนอายุได้สิบห้าหนาว นางก็ได้ยินเรื่องที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ยิน
เมื่อบ่าวข้างกายของหวงหมิงชุนหลุดปากพูดเรื่องที่พระชายาของเว่ยอ๋องมีใบหน้าคล้ายกับฮูหยินจวนโห่วของตน
“เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ” มู่เจียอีที่เดินออกมาจากเรือนได้ยินเข้าโดยบังเอิญ
“เอ่อ...ข้าน้อยบอกว่าพระชายาเอกของเว่ยอ๋องมีใบหน้าเหมือนฮูหยินขอรับ”
“นางแซ่อันใด” มู่เจียอีเดินเข้าไปใกล้บ่าว
“แซ่ แซ่มู่ขอรับ” มู่เจียอีทรุดนั่งลงกับพื้น
สาวใช้ของนางต้องรีบประคองกลับเรือนแล้วเรียกหมอมาตรวจอาการ เพราะยามนี้มู่เจียอีนางหมดสติไปเสียแล้ว
หวงเต๋อฟานและหวงหมิงชุนได้ยินข่าวก็รีบเข้ามาดูนาง พอรับรู้จากบ่าวข้างกายของหวงหมิงชุนว่า ที่นางเป็นลมมาจากสาเหตุที่นางรู้แช่ของพระชายาเว่ยอ๋อง
สองพ่อลูกใบหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที หวงเต๋อฟานนั่งรออยู่ภายในห้องเพื่อรอให้นางตื่น ส่วนหวงหมิงชุนรีบร้อนออกไปด้านนอกทันที
“เป็นเช่นใดบ้าง” เขาเอ่ยถามนาง เมื่อเห็นว่านางรู้สึกตัวแล้ว
“ท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่” นางเอ่ยถามเสียงสั่นออกมาอย่างน่าสงสาร
“อืม”
“ฮึก...นานเพียงใดแล้ว” นางสะอื้นออกมา เมื่อคิดว่านางคงเป็นคนเดียวที่ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน
“ตั้งแต่เดินทางไปชายแดนเหนือ”
มู่เจียอีหันมามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
“แต่ท่านไม่บอกข้า ท่านปล่อยให้ข้าเป็นผู้เดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” นางกรีดร้องออกมาอย่างคนเสียสติ
“ข้ากลับมาถึงนางก็แต่งเข้าจวนอ๋องไปแล้ว จะให้ข้าทำเช่นใด หากเจ้าไม่ใช้ชื่อของนางตระกูลเจ้าและตระกูลข้าคงสิ้นชื่อไปแล้ว"
“พวกท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร” มู่เจียอีเอ่ยถามออกมาด้วยความเจ็บปวดถึงที่สุด
“เจ้าพักผ่อนเถิด ถึงอย่างไรก็แก้ไขอันใดไม่ได้แล้ว ต่อให้เจ้าจะไปโวยวายก็ไม่ได้สิ่งใด มีแต่จะทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลง” เขาเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้หันมามองนาง
เจียอีที่ได้ยินยังต้องตกตะลึง ทำไมทุกคนถึงได้ใจร้ายแบบนี้ มู่เจียอีนางทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
เว่ยอ๋องที่เห็นว่านางยังดื้อรั้นจึงได้จุมพิตนางอีกครั้ง เพื่อเตือนนางว่าอย่าได้ขัดใจเขา “โอ๊ยย” นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขาขบริมฝีปากที่ปิดแน่นของนาง“เจ้าดื้อกับเปิ่นหวางเอง อีอี” เขาตะโบมจุมพิตนางอย่างดุดัน ทั้งยังจับยึดตัวของนางไว้ให้ดิ้นรนถอยหนี“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเปิ่นหวางตามหาเจ้าตลอด”“ยะ อย่า” นางเอ่ยขอร้องเสียงสั่น เมื่อฝ่ามือร้อนของเขาปลดเชือกที่รัดเอวของนางออก“ขออภัย” เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของนาง เพื่อปรับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้สงบลง แต่กลิ่นกายของนางก็ราวกับเป็นกำหนัดชั้นดี ยิ่งสูดดมเขายิ่งอยากจะรังแกนางเสียในคืนนี้เลย“ท่านอ๋อง” เจียอีเอ่ยเรียกเสียงเบา เมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เริ่มถี่ขึ้นของเขา“อีอี เจ้าทรมานเปิ่นหวาง” เขาดูดเม้มที่ติ่งหูของนาง“เป็นท่านเองที่ทำตัวเอง กลับไปได้แล้ว” นางดันตัวเขาที่คร่อมทับนางอยู่ออก เพราะดูเหมือนส่วนล่างของเขาจะพร้อมรบเสียแล้ว“ช่วยเปิ่นหวางได้หรือไม่” เขามองนางอย่างอ้อนวอน“ไปหอคณิกาเลย” นางเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา“ไม่เอา ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว” เขาจับมือน้อยๆ ของนางอย่างแฝงไปด้วยความหมาย“ไม่ได้ ไม่เอา” นางดึงมือกลับ แต่กลับถูกเขาดึงฉ
มื้อเย็นเจียอีนางก็ยังมิได้ออกไปทานที่เรือนหลัก นางยังคงทานที่เรือนของตนเองเช่นเดิม“ข้าต้องกินอีกแล้วรึ” นางมองถ้วยยาน้ำสีดำที่ทั้งเหม็นทั้งขม จากมือของเสี่ยวถิงที่ยื่นมาตรงปากของนาง“กินเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้แข็งแรงเร็วๆ” เสี่ยวถิงจ่อไปให้ถึงปากของนาง เหลือเพียงแค่บีบปากแล้วกรอกยาลงไปเจียอีจำต้องรีบกลืนลงคอไปให้เร็วที่สุด แต่อย่างไรนางก็เกือบจะอ้วกออกมาอยู่ดี “พรุ่งนี้ข้าไม่กินแล้ว เจ้าไม่ต้องต้มมาแล้ว” นางรีบดื่มน้ำตามลงไปหลายจอกทันทีเสี่ยวถิงยังคงดูแลจนเจียอีเข้านอน พอเจียอีนางหลับสนิท นางก็ถอยกลับไปนอนที่เรือนพักบ่าวที่อยู่ด้านหลังเว่ยอ๋องที่มาถึงห้องเจียอี ก็เห็นว่านางหลับไปแล้ว ครั้งนี้เขาไม่คิดจะปลุกนาง แต่กลับขึ้นไปซุกตัวเข้าผ้าห่มนอนลงข้างกายของนางแทน“อื้อออ” เจียอีซุกตัวเข้าหาไออุ่น เมื่อนางหันหลังหนีไม่ยอมพลิกมาทางเขา เขาจึงแย่งผ้าห่มของนางไปเสียหมด เพื่อให้นางหันมาทางเขา“หึ เป็นเจ้าเองนะที่กอดเปิ่นหวาง” เขาดึงตัวเจียอีมาสวมกอดไว้แน่น แล้วเอ่ยออกมาอย่างหน้าหนาองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของผู้เป็นนายก็แทบจะร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ “สวรรค์ ท
ระหว่างทางที่นางเดินกลับ ก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่รีบร้อนเดินมาทางนาง พอเขาเข้ามาใกล้นางจึงเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด จะเป็นผู้ใดไปได้เล่าถ้าไม่ใช่ หวงเต๋อฟาน“หยุด!!! ท่านเข้ามาด้านในได้อย่างไร” เจียอียกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาเดินเข้ามาใกล้นาง“คุณหนูรอง หย่าหย่าเล่า เห็นนางหรือไม่ นางบอกให้ข้ามาพบที่ศาลาริมน้ำ”“เช่นนั้นท่านเข้าไปรอนางก่อนแล้วกัน ข้าขอตัว” เจียอีรีบหมุนตัวกลับไปทางเรือนพักของนางให้เร็วที่สุด ด้วยกลัวว่าหากมีคนมาพบเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันในยามนี้จะเข้าใจผิดคิดว่านางลอบนัดพบกับว่าที่พี่เขยของตนเองแต่เหมือนสวรรค์จะส่งบททดสอบแรกมาให้นาง เมื่อเสียงฝีเท้าของจำนวนคนไม่น้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางที่ทั้งสองยืนอยู่“กะ อุ๊บ” เจียอีนางยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมาก็ถูกมือตะครุบปิดปากนางไว้เสียก่อนตัวของนางลอยขึ้นจากพื้นทะยานไปต้นไม้แล้วต้นไม้เล่า จนมาหยุดอยู่ที่เรือนพักของนางหวงเต๋อฟานยืนนิ่งอึ้งด้วยคนตกใจ หากเขามองไม่ผิด บุรุษที่มาพาตัวคุณหนูรองมู่ออกไป ต้องเป็นเว่ยอ๋องอย่างแน่นอน“ไหน อีอี นางอยู่ที่ใด” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับเดินเข้ามาทางหวงเต๋อฟาน แล้วมองสำรวจรอบๆ บร
เว่ยอ๋องรู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาทางเขา เขาจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นมู่เฟยหย่า พอเห็นว่าเป็นนางเขาก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที“บุตรสาวรองเจ้ากรมมู่เป็นฝาแฝดรึ” เขาหันไปเอ่ยถามขันทีข้างกาย“พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูมู่เฟยหย่าแฝดคนพี่ กำลังเอ่ยเรื่องหมั้นหมายกับคุณชายหวง ส่วนคนน้องคุณหนูมู่เจียอี บ่าวยังมิได้ข่าวเรื่องงานดูตัวของนางพ่ะย่ะค่ะ”“มู่เจียอี งั้นรึ” เว่ยอ๋องยกยิ้มที่มุมปาก แต่รอยยิ้มเช่นนี้ขันทีข้างกายได้แต่ขนลุกไปทั้งตัว ยิ้มเช่นนี้ทีไรมีเรื่องทุกทีมู่เฟยหย่าเห็นขันทีมองมาทางนางแล้วกระซิบบอกกล่าวเว่ยอ๋อง ยิ่งเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา นางก็เขินอายขึ้นมาทันที คงสนใจตัวนางเช่นบุรุษอื่นเป็นแน่เจียอีที่กลับมาถึงจวน เสี่ยวถิงก็รีบร้อนไปหาน้ำร้อนมาประคบให้นางทันที พอกลับมาถึงเรือน นางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ จึงได้เห็นรอยแดงบนหน้าผากจากคันฉ่องว่ามันบวมแดงแค่ไหน“นี่ขนาดกระจกเหลืองขนาดนี้ ยังเห็นรอยแดงชัด ถ้ากระจกใสจะเป็นเช่นใดเนี่ย” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างมีโทสะ ก่อนจะทิ้งกระจกในมือลงบนที่นอนเสี่ยวถิงประคบร้อนให้นางอยู่นานกว่ารอยบวมจะยุบลง บิดามารดา และมู่เฟยหย่าที่กลับมาจากงานเลี้ยงก็รีบมา
สวีซื่อกับรองเจ้ากรมมู่เอ่ยถามเจียอีอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอันใดแล้วจึงได้วางใจลง“รู้ตัวว่าเป็นไข้ เหตุใดยังมาอีก” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามเจียอีขึ้นมา นางมองที่กำไลข้อมือทั้งสองข้างและปิ่นปักผมอย่างไม่พอใจนัก“ข้าบอกท่านแม่แล้ว ข้าก็ไม่ได้อยากจะมาเสียหน่อย” นางบ่นเสียงเบา ก่อนจะหันไปสนใจของว่างที่อยู่ตรงหน้าแทน หากได้มองหน้ามู่เฟยหย่าต่อ นางอาจจะเผลอโต้ตอบออกไปก็ได้“เว่ยอ๋องเสด็จ” เสียงขันทีประกาศเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ตะเกียบในมือของเจียอีกชะงักค้าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังของมู่เฟยหย่า เพื่อไม่ให้เขาเห็นนางนางมองสังเกตว่ามู่เฟยหย่าจะมีอาการเช่นไร และก็เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อดวงตาของมู่เฟยหย่าจับจ้องสนใจอยู่ที่ตัวของเว่ยอ๋องจนเขาเดินไปถึงที่นั่งนางได้เห็นทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งด้วย จึงได้ก้มหน้าลงเช่นเดิม แล้วลอบยิ้มในใจ ผู้ใดที่เห็นพี่สาวนางแล้วจะไม่ตกหลุมรักบ้างเล่า คงไม่มีแน่เชื้อพระวงศ์ ทั้งหมดเข้ามาภายในงานเลี้ยงแล้ว เสียงดนตรี และอาหารเริ่มทยอยเข้ามาด้านใน เจียอีได้แต่ก้มหน้าลงสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าของนาง หรือเงยหน้าขึ้นมามองการแสดงเป
เจียอีถูกพาไปที่ตำหนักวังหลัง ระหว่างทางเดินมีคนเดินสวนไปมาไม่น้อย เจียอีที่มัวแต่มองความงามของวังหลวงก็บังเอิญชนเข้ากับคนผู้หญิง“โอ๊ยยย” นางเซหงายหลังเกือบที่จะล้มไปกองกับพื้น แต่ถูกคว้าโอบรอบเอวไว้ก่อนที่จึงมิได้ล้มลงไป“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันมอง” นางรีบขอโทษ พร้อมทั้งดันตัวเขาออกมา“เดินเยี่ยงไร ถึงมิได้ดูทาง” เจียอีเงยหน้าขึ้นไปมองบุรุษที่ตำหนินางเสียงเย็น“เห้ยยย” นางตกใจถอยหลังหนี ด้วยรีบร้อนเกินไปจึงได้ล้มไปกองกับพื้นทันที“อย่างไรกัน คุณหนูจวนใดถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้”เจียอีถูกนางกำนัลพยุงลุกขึ้น นางรีบไปแอบอยู่ด้านหลังของนางกำนัลทันที ความกลัวพุ่งสูงจนเหงื่อซึมออกมาตามใบหน้าและแผ่นหลัง ใบหน้าของนางซีดขาวจนนางกำนัลต้องเข้าไปประคองนางไว้“ขออภัยอีกรอบเพคะ” นางก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาสบสายตาของเขา“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์กำลังทำให้คุณหนูมู่หวาดกลัวอยู่เพคะ” จางมามา นางกำนัลข้างกายของไทเฮาเอ่ยบอกเว่ยอ๋องที่กำลังจ้องมองเจียอีอยู่“เหอะ เปิ่นหวางเป็นปีศาจหรืออย่างไร ถึงได้หวาดกลัวเสียจะเป็นลมเช่นนี้”“หะ หามิได้เพคะ” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นออกมาเช่นนี้แล้วผู้ใดจะเชื่อว่านา