เจียอีได้แต่กลอกตา ทำไมถึงได้หัวอ่อนยอมแม้แต่เรื่องคู่ชีวิตของตนเอง ถ้าหากเธอส่งเสียงโต้ตอบออกมาได้ จะโวยวายไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
“ขอบใจเจ้ามากอีอี เช่นนั้นเจ้าย้ายมาอยู่ที่นี่วันพรุ่งนี้เลย พี่จะย้ายกลับไปอยู่ที่จวนมู่แทนเจ้าเอง”
เฮ้ย มู่เจียอี เธอจะยอมใช้ตัวตนมู่เฟยหย่าไปทั้งชีวิตเหรอ แล้วนี่จะยอมมีป้ายหน้าหลุมศพแทนพี่สาวด้วย โอ๊ยยย จะบ้า
เจียอีได้แต่โวยวายอยู่ภายใต้จิตสำนึกเท่านั้น เธอยังต้องทนดูภาพเหตุการณ์ต่างๆ ต่อไป
“อยากตื่นแล้วโว้ยยยยย” เธอไม่เข้าใจว่านอนไปนานแค่ไหนถึงได้ฝันเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้
และดูเหมือนเหตุการณ์ตรงหน้าก็ยังไม่จบลงง่ายๆ เจียอียังได้เห็นเรื่องราวชีวิตของมู่เจียอีที่ต้องอยู่ในจวนตระกูลหวง
หลังจากที่นางเปลี่ยนตัวกับพี่สาวเข้ามา เพื่อไม่ให้ถูกพี่เขยจับได้ นางยังมิได้นอนร่วมห้องกับเขา โดยอ้างเรื่องที่นางป่วยจึงรอดพ้นไปได้
พออยู่ได้สามเดือนมู่เจียอีก็ต้องย้ายตามหวงเต๋อฟานไปประจำการที่ชายแดนเหนือ ระหว่างทางเขาจึงได้รู้เรื่องที่นางกับมู่เฟยหย่าเปลี่ยนตัวกัน
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปส่ง” หวงเต๋อฟาน เอ่ยเสียงเหยียบเย็นออกมา
จนมู่เจียอี อดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ นางจึงได้บอกเล่าความจริงเรื่องที่พี่สาวของนางป่วยหนักใกล้ตาย และขอให้นางเข้ามาเปลี่ยนตัวเพื่อจะได้อยู่ดูแลบุตรชายของนางต่อไป
“พี่หญิงกลัวว่าพี่เขยจะแต่งสตรีอื่นมาเป็นแม่เลี้ยงของอาชุนจึงให้ข้าเข้ามาสวมเป็นนางแทน แต่หากนางหายแล้ว นางจะกลับมาอยู่ข้างท่านเช่นเดิมแน่นอนเจ้าค่ะ” มู่เจียอีเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา นางกลัวโทสะของพี่เขยไม่น้อย จึงได้ถอยห่างราวกับลูกกวางน้อยที่ตื่นกลัว
หวงเต๋อฟานได้ยินเช่นนั้นก็รีบร้อนควบม้าย้อนกลับเมืองหลวงไป โดยทิ้งมู่เจียอีกลับบุตรชายไว้ระหว่างทางกับทหารของเขา
นางหวาดกลัวจนไม่กล้าออกจากห้องพัก ด้วยไม่เคยเดินทางเพียงลำพังเช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยเหยียบเท้าออกจากเมืองหลวงมาก่อน ได้แต่อยู่ดูแลอาชุนไม่ห่าง
เจียอีเห็นเรื่องราวของนางก็ได้แต่ถอนหายใจ เหตุใดสตรีแสนดีเช่นนี้ต้องเจอเรื่องอะไรก็ไม่รู้ หากเป็นเธอคงได้หนีกลับเมืองหลวง ไปบอกบิดามารดาแล้ว
เจ็ดวันให้หลังหวงเต๋อฟานจึงได้กลับมาหามู่เจียอี แล้วมองนางด้วยสายตาแปลกๆ ดูราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“พี่หญิงเป็นเช่นใดบ้างเจ้าคะ” นางเอ่ยถามออกมา เพราะรู้ดีว่าเขาคงกลับไปหาพี่สาวนาง
“ต่อจากนี้ไป เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ภรรยาข้าหวงเต๋อฟานเถิด”
“เพราะเหตุใด” นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่น้อย
“พี่สาวเจ้าตายไปแล้ว” แววตาของหวงเต๋อฟานแดงก่ำ ทั้งยังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
มู่เจียอีร่ำไห้ออกมาจนตัวโยน นางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นร้องออกมาจนแทบจะขาดใจ สายตาของหวงเต๋อฟานที่บอกมาทางนาง อดเห็นใจนางไม่น้อย เขาประคองนางขึ้นมานั่งบนเก้าอี้
“พี่เขย ท่านพาข้ากลับไปหาพี่สาวได้หรือไม่” นางอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตาที่เต็มใบหน้า
“ไม่ได้ ข้าต้องรีบเดินทางแล้ว เจ้าเก็บของให้เรียบร้อย”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ ต่อไปอย่าได้เรียกข้าว่าพี่เขยอีก” หวงเต๋อฟานช่วยนางเก็บของ ก่อนจะอุ้มบุตรชายแล้วเดินนำออกไปด้านนอก
ชีวิตของมู่เจียอียามที่อยู่ชายแดนเหนือมิได้ลำบากเพียงใด หวงเต๋อฟานก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ เขามักจะพักอยู่ที่ค่ายทหารและกลับมาดูนางที่จวนบ่อยครั้ง
พออยู่ชายแดนเหนือได้สองปี นางกับหวงเต๋อฟานก็ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง ชีวิตของมู่เจียอีมีความสุขไม่น้อย แต่ท้องของนางไม่ยอมตั้งครรภ์เสียที
“มีเพียงอาชุนก็พอแล้ว เจ้าอย่าได้คิดมาก ต่อให้เจ้าไม่ตั้งครรภ์ ข้าก็ไม่คิดจะแต่งอนุเข้าจวน” นี่คือสิ่งที่หวงเต๋อฟานบอกเจียอีทุกครั้งที่นางหวังว่าจะตั้งครรภ์
พอหวงหมิงชุนได้แปดหนาว ทั้งสามก็ถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวง เพราะสงครามที่หวงเต๋อฟานนำทัพไปสู้รบนั้นได้รับชัยชนะกลับมา
การกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ หวงเต๋อฟานได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นถึงโห่ว มีจวนแยกจากจวนตระกูลหวงออกมา มู่เจียอีก็ได้รับการยอมรับจากสตรีในเมืองหลวงเพิ่มขึ้น เพียงแต่นางถูกเรียกว่ามู่เฟยหย่าแทน
นางไม่ได้เปิดจวนโห่วต้อนรับผู้ใดมากนัก เพราะหวงเต๋อฟานไม่ชื่นชอบงานรื่นเริง แม้จะงานเลี้ยงด้านนอกนางก็ไม่ได้ไป ได้แต่เก็บตัวอยู่ภายในจวน ดูแลเขาและอาชุนอย่างเต็มที่
จะได้กลับบ้านเดิมก็น้อยครั้ง บิดามารดาที่เห็นหน้าแม้ในใจจะรู้ว่าตรงหน้าคือมู่เจียอี แต่ก็ไม่อาจเอ่ยเรียกนางออกมาได้
แต่พอกลับมาอยู่เมืองหลวง สองพ่อลูกที่ลูกใคร่นางยามที่อยู่ชายแดนก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ทั้งสองเริ่มตีตัวออกห่างจากนาง แม้จะเอ่ยพูดคุยกันเช่นเดิม แต่นางกับรู้สึกได้อย่างแท้จริง
มู่เจียอีมิใช่คนพูดมาก หรือเอ่ยเรียกร้องสิ่งใด นางอยู่ในที่ของนางเท่านั้น ดูเหมือนว่าหวงเต๋อฟานจะเห็นใจนาง บางครั้งเขาก็จะรักใคร่นางเช่นตอนที่อยู่ชายแดนเหนือ แต่วันต่อมาก็เฉยชาเช่นเดิม เป็นเช่นนี้จนมู่เจียอีเริ่มจะชินชาไปแล้ว
เจียอีที่เห็นการกระทำทุกอย่าง ยังได้แต่เบ้ปาก ไม่รู้สตรียุคนี้ทนอยู่ใต้อำนาจของบุรุษได้อย่างไร คนผีเข้าผีออกเช่นนี้ เป็นเธอจะทนได้กี่วัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียอีหายไปหลังจากกลับมาอยู่เมืองหลวงได้สองปี นางกลายเป็นคนเฉยชา หากสองพ่อลูกไม่เข้ามาพบนางที่เรือน นางก็ไม่คิดจะออกไปพบพวกเขา
พอหวงหมิงชุนอายุได้สิบห้าหนาว นางก็ได้ยินเรื่องที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ยิน
เมื่อบ่าวข้างกายของหวงหมิงชุนหลุดปากพูดเรื่องที่พระชายาของเว่ยอ๋องมีใบหน้าคล้ายกับฮูหยินจวนโห่วของตน
“เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ” มู่เจียอีที่เดินออกมาจากเรือนได้ยินเข้าโดยบังเอิญ
“เอ่อ...ข้าน้อยบอกว่าพระชายาเอกของเว่ยอ๋องมีใบหน้าเหมือนฮูหยินขอรับ”
“นางแซ่อันใด” มู่เจียอีเดินเข้าไปใกล้บ่าว
“แซ่ แซ่มู่ขอรับ” มู่เจียอีทรุดนั่งลงกับพื้น
สาวใช้ของนางต้องรีบประคองกลับเรือนแล้วเรียกหมอมาตรวจอาการ เพราะยามนี้มู่เจียอีนางหมดสติไปเสียแล้ว
หวงเต๋อฟานและหวงหมิงชุนได้ยินข่าวก็รีบเข้ามาดูนาง พอรับรู้จากบ่าวข้างกายของหวงหมิงชุนว่า ที่นางเป็นลมมาจากสาเหตุที่นางรู้แช่ของพระชายาเว่ยอ๋อง
สองพ่อลูกใบหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที หวงเต๋อฟานนั่งรออยู่ภายในห้องเพื่อรอให้นางตื่น ส่วนหวงหมิงชุนรีบร้อนออกไปด้านนอกทันที
“เป็นเช่นใดบ้าง” เขาเอ่ยถามนาง เมื่อเห็นว่านางรู้สึกตัวแล้ว
“ท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่” นางเอ่ยถามเสียงสั่นออกมาอย่างน่าสงสาร
“อืม”
“ฮึก...นานเพียงใดแล้ว” นางสะอื้นออกมา เมื่อคิดว่านางคงเป็นคนเดียวที่ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน
“ตั้งแต่เดินทางไปชายแดนเหนือ”
มู่เจียอีหันมามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
“แต่ท่านไม่บอกข้า ท่านปล่อยให้ข้าเป็นผู้เดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” นางกรีดร้องออกมาอย่างคนเสียสติ
“ข้ากลับมาถึงนางก็แต่งเข้าจวนอ๋องไปแล้ว จะให้ข้าทำเช่นใด หากเจ้าไม่ใช้ชื่อของนางตระกูลเจ้าและตระกูลข้าคงสิ้นชื่อไปแล้ว"
“พวกท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร” มู่เจียอีเอ่ยถามออกมาด้วยความเจ็บปวดถึงที่สุด
“เจ้าพักผ่อนเถิด ถึงอย่างไรก็แก้ไขอันใดไม่ได้แล้ว ต่อให้เจ้าจะไปโวยวายก็ไม่ได้สิ่งใด มีแต่จะทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลง” เขาเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้หันมามองนาง
เจียอีที่ได้ยินยังต้องตกตะลึง ทำไมทุกคนถึงได้ใจร้ายแบบนี้ มู่เจียอีนางทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
วันที่นางเดินทางกลับบ้านเดิม ข้าวของที่ตำหนักอ๋องจัดเตรียมไปมอบให้บ้านพระชายาก็มากกว่าห้าคันรถม้า คนไม่น้อยที่ต่างอิจฉาในวาสนาของรองเจ้ากรมมู่ที่มีบุตรสาววาสนาดีเช่นเจียอีและอีกไม่นานตำแหน่งเสนาบดีที่ว่างอยู่คงตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน สิ่งที่ชาวเมืองกับพวกขุนนางคิดไว้ก็ไม่ผิดไปจากนั้น เมื่อพระราชโองการแต่งตั้งรองเจ้ากรมมู่ ขึ้นเป็นเสนาบดีแทนที่ตำแหน่งของเสนาบดีกงที่ว่างอยู่ หลังจากที่เจียอีนางแต่งออกไปได้เพียงห้าวันเท่านั้นก่อนวันที่มู่เฟยหย่าจะออกเรือน เจียอีกลับไปนอนที่จวนตระกูลมู่ โดยไร้เงาเว่ยอ๋องติดตามไปด้วย เพราะน้องจะนอนกับพี่สาวของนางก่อนที่นางจะแต่งออกไป“อีอี แล้วท่านอ๋องยอมปล่อยเจ้ามาได้อย่างไร” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามน้องสาวอย่างสงสัย เมื่อได้ข่าวจากเสี่ยวถิงเรื่องที่เว่ยอ๋องเป็นเงาคอยติดตามน้องสาวของนาง“ก็ข้าจะมานอนกับพี่หญิง แล้วเขาจะมาเพื่ออันใดเล่าเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาร่วมดื่มสุรามงคลก็พอแล้ว” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจให้นางได้หยุดพักหายใจบ้างเถิด ในแต่ละคืนเขาเคี่ยวกรำนางไม่น้อย ยิ่งรู้ว่านางจะกลับจวนตระกูลมู่เพื่อมานอนกับมู่เฟยหย่า ก่อนวันแต่งของนางเขาก็บังคับให้นางพาเข้
เว่ยอ๋องอยู่ในชุดมงคลสีแดง ปักลายพยัคฆ์คำรามสูงส่งดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ตลอดทางนางกำนัลขันทีต่างโปรยเงินตำลึงและขนมหวานไปตลอดทางองครักษ์กองทัพพยัคฆ์ของเขาก็อยู่ในชุดมงคลสีแดงเช่นกัน ต่างแบกเกี้ยวมงคลแปดคนหามหลังใหญ่ ทั้งแบกสินสมรสที่ยาวหลายลี้เจียอีถูกจางมามา ประคองออกจากเรือนของนางมาที่ส่วนหน้า เพื่อทำพิธีกราบลาบิดามารดาเว่ยอ๋องทำทุกอย่าง อย่างเร่งรีบ ก่อนจะอุ้มเจ้าสาวไปขึ้นเกี้ยว โดยไม่รอให้น้องชายแต่งมารดาของเจียอีเดินไปส่งนางแต่ก่อนที่เขาจะวางนางลงบนเกี้ยวเขาเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวออก เพื่อดูว่าเป็นเจียอีหรือมู่เฟยหย่ากันแน่“ว้ายยยย” จางมามากรีดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นเว่ยอ๋องเปิดผ้าคลุมหน้าดู ก่อนจะที่จะวางเจ้าสาวลงในเกี้ยว“ท่านนี่มัน” เจียอีทุบที่แขนของเขาอย่างมันเขี้ยว“เปิ่นหวางต้องตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อน” เขายกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะปิดหน้านางไว้เช่นเดิมพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ตำหนักอ๋องมีฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จออกจากวังหลวงมาร่วมงานเว่ยอ๋องยังสร้างความตกตะลึงให้คนที่มาร่วมงาน เมื่อเขาประกาศสาบานต่อหน้าฟ้าดิน“ข้าเยี่ยนเซวียน สาบานต่อหน้าฟ้าดิน ทั้งชีวิตนี้จะมีเพียงมู่เจียอี เป็นภ
เจียอีเดินเข้าไปโอบกอดมู่เฟยหย่าไว้แน่น พร้อมทั้งตบที่หลังของนางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“ไม่ต้องร้องแล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะฝันเห็นสิ่งใด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” มู่เฟยหย่าเอ่ยขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาและร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนบ่าวที่อยู่ในเรือนอดที่จะร้องไห้เพราะสงสารคุณหนูของตนไม่ได้สุดท้ายเจียอีก็พูดจนมู่เฟยหย่ายอมรับเครื่องประดับทั้งหมดไว้ สองพี่น้องจึงได้กลับมาคุยเล่นเช่นเดิมได้อีกครั้ง เมื่อเอ่ยเรื่องที่ติดค้างในใจออกมาเว่ยอ๋องที่ถูกคุมตัวอยู่ภายใต้สายตาของไทเฮา เขาหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ไม่ได้แอบไปหาเจียอีนางที่เรือน“เหอะ ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่รังแกอีอีนางไปแล้วเล่า” เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องโถงไทเฮาก็เอ่ยตำหนิบุตรชายออกมาวันนั้นที่จัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จ เว่ยอ๋องหายตัวออกไปจากวังหลวงทั้งคืน กลับมาอีกทีก็ฟ้าสว่างแล้ว จะไม่ให้ไทเฮาสงสัยได้อย่างไร“ลูกเป็นเช่นนั้นรึอย่างไรเล่าเสด็จแม่” เว่ยอ๋องเกาจมูกแก้เก้อ“เพ้ย ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นใด” ไทเฮาถลึงตามองบุตรชายตัวดีของนาง“เสด็จแม่ ให้ลูกกลับตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว เมื่อไม่มีเนื้อชิ้นงามอยู่ในอ้อมแขน
นางถูกเขาวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม สายตาของเว่ยอ๋องมองเรือนร่างของนางอย่างปรารถนา ก่อนจะเริ่มเล้าโลมนางอีกครั้งเจียอีหลุดเสียงครางออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียวซ่านยามลิ้นร้ายของเขาเลียไปทั่วเรือนร่างของนาง นิ้วมือของเขาก็รุกเข้าไปในส่วนที่คับแคบของนางอย่างต่อเนื่อง จนเจียอีกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างสุขสมเมื่อโดนรังแกทั้งด้านบนและด้านล่างเช่นนี้เมื่อเห็นว่านางพร้อมแล้ว เว่ยอ๋องปลดเสื้อผ้าที่เกะกะออกอย่างรีบร้อน ก่อนจะจ่อลำทวนไปที่ช่องรักของนาง เพียงส่วนหัวที่เข้าไปด้านใน เจียอีก็สะดุ้งสุดตัวไปด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ยยย เอาออกไปเถิด ข้าเจ็บ” นางร้องออกมาอย่างน่าสงสาร แต่เว่ยอ๋องจะยอมตามใจนางในเรื่องนี้ได้อย่างไร“เพียงครู่เดียวเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว” เขาค่อยๆ กดลำทวนเข้าไปช้าๆ เพื่อให้เจียอีนางปรับตัว ทั้งยังเล้าโลมนางไปด้วยเพื่อให้นางคลายความเจ็บปวด"อื้มมมม" นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อหายเจ็บปวดแต่แทนที่ด้วยความคับแน่นแทน“หายเจ็บแล้วใช่หรือไม่” เขาจูบที่ข้างริมฝีปากของนางอย่างรักใคร่“อืม” นางพยักหน้าอย่างเขินอายท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้ ทำให้เว่ยอ๋องใจอ่อนยวบ เอวหน้าเริ่มขยับทำหน้าที่ของมันอย่างรู้งาน
ตอนที่เว่ยอ๋องเดินเข้ามาในห้องขัง นางถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว เพราะมีดสั้นที่อยู่ในมือของเขา“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้ใจกล้าเช่นนี้” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเหยียบเย็นที่ดูราวกับจะมาเอาชีวิตของนางไปเขาเดินช้าๆ มาหยุดนั่งย่องๆ ที่ตรงหน้าของนาง แม้แต่เสียงร้องขอชีวิตก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาได้“ยิ่งเห็นใบหน้าเจ้า เปิ่นหวางอยากจะอาเจียนออกมา”ยามที่มีดสั้นบรรจงเฉือนเนื้อส่วนใบหน้าของมู่เฟยหย่าออกทีละนิด มันแสนเจ็บปวดจนนางต้องกรีดร้องออกมา นางโดนทรมานเช่นนั้นอยู่นับสองชั่วยาม ก่อนจะมีหมอมารักษานาง เพื่อยื้อไม่ได้ตายเร็วเกินไปนางถูกทรมานจนไม่อาจนับวันคืนได้ จนวันหนึ่งนางก็จบชีวิตลงอย่างน่าสมเพชภายในคุกใต้ดินของตำหนักอ๋องแม้แต่หลุมฝังศพ เว่ยอ๋องก็ไม่ยอมให้นางได้อยู่ เขาสั่งให้องครักษ์นำร่างของมู่เฟยหย่าไปโยนทิ้งที่สุสานศพไร้ญาติ โดยไม่มีการฝังแต่อย่างใด ปล่อยให้หมาป่ากัดกินเนื้อส่วนที่เหลือของนางมู่เฟยหย่าสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งหอบหายใจ อยู่ที่บนเตียงของนาง เสียงกรีดร้องของนางทำให้คนในตระกูลมู่ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากวังหลวงต่างรีบร้อนเข้ามาดูนาง“หย่าหย่า เจ้าเป็นอันใด” สวีซื่อเดินเข้าไปจับ
เจียอีรีบเดินไปที่บ่อน้ำอย่างร้อนใจ นางไม่เคยพบเจอว่าผู้ใดที่แช่น้ำในบ่อแล้วจะเรียกไม่ฟื้น“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ” นางเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่น ทั้งยังประคองใบหน้าของเขาไว้แล้วตบเรียกสติเบาๆเว่ยอ๋องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในภาพฝัน เงยหน้าขึ้นมาจากหลุมศพของเจียอี แล้วมองหาเสียงเรียกของนาง“อีอี เป็นเจ้ารึ เจ้าอยู่ที่ใด” เขาลุกขึ้นมองหา โดยที่ยังได้ยินเสียงเรียกที่ร้อนใจของนางอยู่ไม่ขาด“ท่านอ๋อง ได้โปรด ลืมตาตื่นเถิดเพคะ” เจียอีจรดหน้าผากของนางติดกับหน้าผากของเว่ยอ๋อง แล้วเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่นเทาน้ำตาของเจียอีไหลรินลงที่ใบหน้าที่หลับใหลของเว่ยอ๋อง นางยังคงเอ่ยเรียกเขาไว้ไม่ขาด เพียงไม่นานเว่ยอ๋องก็ลืมตาตื่นขึ้นมา“อีอีรึ” เขากะพริบตาที่พร่ามัว ด้วยไม่เชื่อว่าตรงหน้าของเขาจะเป็นนางไปได้“ท่านฟื้นเสียที” นางยิ้มออกทั้งน้ำตาด้วยความดีใจเพิ่งจะได้รู้ว่าต้องการเขามากเพียงใด ก็ต่อเมื่อเรียกเขาแล้วไม่มีการตอบโต้กลับ ในภพที่แล้วคู่ชะตาของเขาจะใช่นางรึไม่ ตอนนี้เจียอีไม่สนใจแล้ว นางต้องการเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พอ“อีอี เปิ่นหวางมิได้ฝันใช่หรือไม่” เขาดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น เขาแยกไม่ออกแล้วว่