อาจารย์หวังยืนรออย่างใจจดใจจ่อ ฝนยังคงตกปรอย ๆ รอบตัว ความเงียบชวนให้เกิดความหวัง แต่เมื่อนานเข้าจางเหม่ยอิงก็ยังไม่ปรากฏตัว จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงของผู้แจ้งข่าวทำให้โลกทั้งใบของอาจารย์หวังถล่มลง
“อะไรนะ… เหม่ยอิง…”
เขาพึมพำด้วยเสียงสั่น ขาอ่อนแรงจนทรุดลงกับพื้น ราวกับหัวใจถูกฉีกทิ้ง น้ำตาหยดลงจากดวงตาที่เคยสงบนิ่ง เขาไม่อาจเชื่อว่าหญิงสาวผู้เปี่ยมด้วยความเข้มแข็งและมีชีวิตชีวาจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
ขณะที่อาจารย์หวังนั่งทรุดอยู่กับพื้น ความคิดต่างๆ ก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง เขาพยายามประคองสติแต่ทว่าไม่อาจทำได้ หัวใจเขาเหมือนถูกขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับบทเรียนที่ชีวิตบังคับให้ต้องทบทวน
“ทำไมถึงต้องเป็นเธอ... ทำไมต้องเป็นเหม่ยอิง?”
เขาครุ่นคิดอย่างเศร้าสร้อย ความทรงจำที่พวกเขาเคยมีร่วมกันตอนเธอยังเป็นนักศึกษาไหลย้อนกลับมา เขาจำได้ทุกช่วงเวลา รอยยิ้มของเธอ ความมุ่งมั่นในสายตา เสียงหัวเราะที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น แม้ทุกครั้งเขาจะเก็บความรู้สึกไว้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขารู้ดีว่าในฐานะอาจารย์และลูกศิษย์ ความรักของพวกเขาไม่สามารถเป็นจริงได้ แต่เขาก็อดหวังไม่ได้ หวังว่าคงมีสักวันที่เขาจะได้บอกความในใจนั้น
"ถ้าเรามีโอกาสอีกสักครั้ง..." เขาคิด คำถามที่ไม่มีคำตอบวนเวียนอยู่ในจิตใจ เขาหันมองท้องฟ้า สายฝนยังคงโปรยปรายดั่งน้ำตาจากสรวงสวรรค์ เขาภาวนาขอให้ฟ้าเปิดโอกาสให้พวกเขาได้พบกันในชาติภพหน้า แม้จะรู้ดีว่าคำภาวนานี้อาจไม่มีวันเป็นจริง แต่ในห้วงลึกของหัวใจ เขายังคงยึดมั่นในความหวังที่ไม่มีวันจางหาย
ในหัวใจที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความรักที่ไม่อาจเอ่ยออก อาจารย์หวังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าท่ามกลางฝนที่ยังโปรยปราย “หากมีชาติภพหน้าจริง… หรือชาติใดก็ตาม ขอให้เราได้มีโอกาสรักกันสักครั้ง… ได้โปรด…”
จางเหม่ยอิงค่อยๆ ลืมตาตื่นเมื่อแสงสีทองอร่ามสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ที่นี่มันที่ไหนกันนะ…”
เธอพึมพำก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและเริ่มเดินตามแสงนั้นไป จางเหม่ยอิงในวัย 30 ปีซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ในสถานที่แปลกๆ นี้ได้ ยิ่งเดินไปแสงก็ยิ่งสว่างเจิดจ้าเสียจนเธอเริ่มสงสัยว่ามันจะมีที่สิ้นสุดหรือเปล่า
ทันใดนั้น แสงสีทองนั้นก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นแรงดึงดูดมหาศาล จางเหม่ยอิงเบิกตากว้างเมื่อร่างของเธอถูกดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่หญิงสาวนั้นจะทันได้คิดอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างก็มืดลงอีกครั้ง
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที จางเหม่ยอิงพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกอย่างดูแปลกตาและเหมือนหลุดมาจากหนังจีนโบราณที่เธอเคยดูตอนสมัยที่ยังเป็นเด็ก
"เอ๊ะ! ที่นี่คือที่ไหนเนี่ย แล้ว… ฉันเป็นใคร?"
เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง แต่ก่อนที่จะได้ขบคิดอะไรต่อ หญิงสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งก็เข้ามาอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าตกใจ
“คุณหนูเหม่ยอิง! ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?” บ่าวสาวพูดด้วยน้ำเสียงยินดีปนความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
จางเหม่ยอิงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสับสน... เธอดูยังเป็นเด็กมาก ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 15 ปี
“เหม่ยอิง? คุณหนู? เดี๋ยวก่อนนะ เธอเรียกใครว่าเหม่ยอิง?” หญิงถามด้วยความประหลาดใจ จนบ่าวรับใช้สาวต้องหยุดมองหน้าเธออย่างสงสัย
“คุณหนูไม่สบายถึงขนาดจำตัวเองไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” จางเหม่ยอิงพูดพลางยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง “เธอช่วยบอกฉันที ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน แล้วเธอคือใคร?”
“บ่าวชื่อหงเอ๋อร์เจ้าค่ะ..” บ่าวสาวคนนั้นตอบเสียงสั่น พลางนึกในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูของตน
“ที่นี่คือบ้านสกุลจาง และท่านก็คือคุณหนูจางเหม่ยอิง บุตรสาวคนที่สามของเสนาบดีกรมยุติธรรม จางซวนหลง กับฮูหยิน หวงเจียซิน”
จางเหม่ยอิงพยักหน้าหงึกหงักด้วยความงงงวย เธอเริ่มประมวลข้อมูลอันน้อยนิดที่อยู่ในหัว
“เดี๋ยวนะ... ฉันเป็นบุตรสาวคนที่สามของเสนาบดีกรมยุติธรรม? หงเอ๋อร์ นี่เธอล้อฉันเล่นหรือเปล่า?”
จางเหม่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ท่านพี่ ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้า ประชาชนเหล่านี้คือรากฐานของบ้านเมือง หากพวกเขาสุขสงบ บ้านเมืองของเราก็จะมั่นคงนะเจ้าคะ”หวังกู้หย่งยิ้ม พลางเอื้อมมือจับมือนาง “เจ้าเป็นดั่งเพชรน้ำงามในชีวิตข้า อิงเอ๋อร์ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก”ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิ ดอกเหมยแดงเบ่งบานสะพรั่งรอบลานพระราชวัง แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมาทำให้หยดน้ำค้างที่เกาะตามกลีบดอกดูระยิบระยับ หวังกู้หย่งกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาริมบ่อน้ำในสวนหลวง เขาแต่งกายเรียบง่าย แต่ท่าทางที่สุขุมและแววตาแน่วแน่ยังคงแสดงถึงความสง่างามขององค์ชายผู้มีบทบาทสำคัญในราชสำนักจางเหม่ยอิงเดินเข้ามาพร้อมกับถาดชาที่ถือไว้ในมือ นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยที่สะท้อนความเรียบง่ายแต่สง่างาม นางวางถาดชาไว้บนโต๊ะไม้ก่อนจะนั่งลงข้างเขา“ท่านพี่ เหตุใดจึงมานั่งตรงนี้แต่เช้าเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางยื่นถ้วยชาที่เพิ่งชงให้เขาหวังกู้หย่งรับถ้วยชามา ก่อนจะยิ้มบางๆ “ข้ามาผ่อนคลายความคิด เจ้าไม่ต้องห่วงไป ข้าเพียงอยากชมดอกไม้บาน” เขาหันมามองนาง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “แต่เจ้าล่ะ มีธุระสิ่งใดหรือถึงมาหาข้าแต่เช้า?”“ข้า
ความทรงจำในวันนั้นยังคงชัดเจนในใจของอาจารย์หวัง แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ภาพของจางเหม่ยอิงในห้องเรียนวิทยาศาสตร์นิติวิทยาศาสตร์ยังคงตราตรึง รอยยิ้มของเธอที่มุมปากขณะตั้งใจฟัง หรือแววตาที่เป็นประกายทุกครั้งที่เธอเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คือภาพที่ไม่มีวันเลือนหายจากใจเขา...ในมโนภาพของเขา ภาพของหญิงสาวที่เคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดและเป็นรักเดียวในหัวใจปรากฏขึ้น เธอยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นซากุระในวันที่ดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ ในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยของเธอพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าของจางเหม่ยอิงเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มที่งดงามจนทำให้หัวใจเขาสั่นไหว ข้างๆ เธอนั้นมีชายคนหนึ่งสวมชุดจีนยุคโบราณสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ คนๆ นั้นมีหน้าตาที่เหมือนเขามากจนอดคิดไม่ได้ว่าบางที่เราอาจจะได้เจอกันแล้วในชาติภพใดชาติภพหนึ่ง"เหม่ยอิง… หากชาติหน้าหรือมีสักชาติภพที่เรามีโอกาส ผมขอให้ได้รักและอยู่เคียงข้างเธอ…"เสียงเครื่องวัดหัวใจในห้องดังเป็นเสียงยาว ทันทีที่ดวงตาของอาจารย์หวังปิดลงอย่างสงบ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ราวกับว่าเขาได้พบกับจางเหม่ยอิงในฝันสุดท้าย ความทรงจำและความปรารถนาอันแรงกล้าของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของห้วงน
ไม่กี่วันต่อมา ผิงชิงเสียเองก็ขอเข้าพบจางเหม่ยอิงเป็นครั้งสุดท้าย นางดูเหนื่อยล้าและเศร้าหมองเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เคยเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ“เหม่ยอิง... ข้า... ข้าขอโทษ” นางเริ่มพูด ดวงตาของนางหลุบต่ำ “สิ่งที่ข้าทำ มันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมให้อภัย”จางเหม่ยอิงมองนางด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ข้าให้อภัยเจ้า ผิงชิงเสีย... เพราะข้าเชื่อว่าในตัวเจ้ายังน่าจะมีความดีเหลืออยู่บ้าง อย่าง้นอยเจ้าก็หวังดีและไม่เคยคิดร้ายต่อองค์ชาย”ดวงตาของผิงชิงเสียเริ่มมีน้ำตา “ขอบคุณ... ขอบคุณมาก แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปถือศีลที่อารามหลวง เพื่อไถ่บาปทั้งหมดที่ข้าได้ทำไว้” จากนั้นไม่นานผิงชิงเสียก็เดินทางไปยังอารามแห่งหนึ่งเพื่อไถ่บาปโดยไม่มีกำหนดกลับเมืองหลวงในห้องพักผู้ป่วยที่เงียบสงัด อาจารย์หวังเซินเจี๋ยในวัย 80 ปีนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ดวงตาของเขาปิดสนิท ร่างกายซูบผอม ผิวซีดเซียวจากโรคที่กัดกร่อนพละกำลังของเขามานานหลายปี ใบหน้าที่เคยดูสง่างามบัดนี้เต็มไปด้วยรอยลึกแห่งกาลเวลาท่ามกลางเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ในห้องนอนอันแสนสงบภายในตำหนักที่กว้างใหญ่ จางเหม่ยอิงกำลังบรรจงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็ดตัวให้กับคนรักของนางอย่างอ่อนโยน“หวังกู้หย่ง...ท่านพี่” นางเอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและแผ่วเบาสักสักจางเหม่ยอิงได้ยินถึงเสียงฝีเท้าหนักแน่นที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ดวงตาคู่งามเหลือบมองไปยังประตูด้วยความสงสัยไม่นานนัก ประตูเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของตวนเฟิงที่ยืนอยู่“กระหม่อมต้องขออภัยที่มารบกวน แต่กระหม่อมมีเรื่องสำคัญที่อยากเรียนให้พระชายาทราบพ่ะย่ะค่ะ” “พูดมาเถอะ ตวนเฟิง” “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น กระหม่อมคิดว่าพระชายาควรทราบความจริง... เรื่องที่องค์ชายปกป้องแม่นางผิงชิงเสีย... แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของจางเหม่ยอิงเบิกกว้างเล็กน้อย แต่ยังคงนั่งนิ่งสงวนท่าที “หากไม่ใช่ แล้วเหตุใดเขาจึงต้องปกป้องนาง แทนที่จะเป็นข้า?”“องค์ชายไม่ได้ปกป้องผิงชิงเสีย แต่เพราะองค์ชายเองทรงทราบตั้งแต่ต้นว่าผิงชิงเสียไม่ได้เป็นคนร้ายตัวจริง”ตวนเฟิงพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง หมายอยากจะช่วยให้นายของตนได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน“คนที่อยู่เบื้องหลังการลอบว
แสงยามเช้าค่อยๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก กระทบกับผิวซีดของหวังกู้หย่งที่นอนแน่นิ่งบนเตียง ร่างสูงใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมไปด้วยพลังบัดนี้ดูอ่อนแอและเปราะบาง ผ้าพันแผลสีขาวที่ซึมไปด้วยเลือดสีดำประปรายบ่งบอกถึงการต่อสู้อันดุเดือดที่เขาได้เผชิญเพื่อปกป้องจางเหม่ยอิงจางเหม่ยอิงนั่งเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงอย่างใกล้ชิดหลังจากที่ได้รู้ว่ามีดสั้นของหลิวกงหยวนเล่มนั้นอาบยาพิษ จ้องมองใบหน้าที่ไร้สีเลือดของหวังกู้หย่ง น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอ่อล้นอีกครั้ง ราวกับหัวใจของนางถูกบีบรัดจนแทบแตกสลาย“เหตุใดท่านถึงโง่เขลาถึงเพียงนี้...ท่านรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วข้านั้นไม่ได้ต้องการสิ่งใด นอกจากให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไป...”นางเอื้อมมือเรียวบางไปจับมือหนาที่บัดนี้ไร้เรี่ยวแรงของเขา หวังกู้หย่งไม่ตอบสนอง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจหนักหน่วงของคนที่กำลังทุกข์ทรมาน เขานิ่งราวกับไม่มีชีวิต ดวงตาของเขาปิดสนิท ราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราที่ไม่มีจุดจบหงเอ๋อร์ที่มีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะนั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป นางก้าวเข้ามาพร้อมจับไหล่ของจางเหม่ยอิงเบาๆ“พระชายาเพคะ...ท่านต้องพักผ่อนบ้าง ท่านอยู่ตรงนี้ทั้งคืนแล้ว เดี๋ย
“ออกมาเดี๋ยวนี้ จางเหม่ยอิง! ข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่แถวนี้!”เสียงของหลิวกงหยวนดังก้องกังวานไปทั่ว พร้อมกับมีดสั้นที่สะท้อนแสงจันทร์วูบวาบอยู่ในมือของเขา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่อ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิดอย่างจางเหม่ยอิงจะวิ่งหนีเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ทางด้านของจางเหม่ยอิงนั้นกำลังปรับลมหายใจให้เบาลงแม้ว่าร่างกายจะสั่นสะท้านไปด้วยความกังวล พลางคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ในวินาทีนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งก้าวออกมาจากความมืดจางเหม่ยอิงหันขวับไปตามเสียง ใจของนางที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเริ่มสั่นคลอน ดวงตาของนางเบิกกว้าง เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่นางรู้จักดี... เสียงที่เป็นทั้งความสิ้นหวังและแสงสว่างในเวลาเดียวกัน“หลิวกงหยวน! หยุดเดี๋ยวนี้!”หลิวกงหยวนชะงัก ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นองค์ชาย “องค์ชายสาม...”หวังกู้หย่งพุ่งตัวทะยานเข้าไปขวางหลิวกงหยวน ดวงตาของเขาวาวโรจน์ราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดทำร้ายพระชายาของข้า!”เขายกแขนขึ้นคว้าข้อมือของหลิวกงหยวนที่ถือมีดไว้แน่น แรงกดที่เพิ่มขึ้นจากมือของหวังกู้หย่งทำให้ห