ภายในจวนเมฆาหิมะ แสงแดดส่องผ่านรั้วสูงที่ปกคลุมด้วยเงาหิมะ หวังกู้หย่งขมวดคิ้วขณะตั้งสมาธิจดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้า
องค์ชายสาม หวังกู้หย่ง เป็นชายหนุ่มที่งามสง่าราวกับเทพเซียน รูปร่างสูงโปร่งและสง่างาม ผิวพรรณขาวกระจ่างตัดกับดวงตาคมเข้มลึกซึ้งซึ่งมักแฝงความเย็นชา สันจมูกโด่งเป็นเส้นตรงรับกับใบหน้าได้รูปที่เฉียบคม ทุกครั้งที่เขายิ้มหรือแม้แต่สบตาเพียงชั่วครู่ มักสะกดสายตาของผู้คนรอบข้างให้หยุดนิ่งด้วยความน่าเกรงขามและเสน่ห์อันทรงพลัง
เขาดึงสายธนูให้ตึง มองไปยังเป้าที่อยู่ไกล ทันใดนั้น เสียงของเหว่ยเฟิง องครักษ์ประจำตัวดังขึ้นอย่างนอบน้อม
“องค์ชาย…ว่ากันว่าคุณหนูจางฟื้นขึ้นมาแล้ว ทุกคนคิดว่านางจะต้องตาย แต่นางกลับฟื้นขึ้นมาอย่างไม่มีใครคาดคิด เราจะทำอย่างไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ?”
หวังกู้หย่งลดธนูลง แววตาคมกริบของเขาสะท้อนความเย็นชาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ฟื้นมางั้นหรือ? หากเสด็จพ่อบอกให้ข้าแต่งกับนาง ข้าก็ต้องแต่ง… จะให้ทำอย่างไร ยกเลิกการแต่งงานให้ถูกเนรเทศหรือถูกสั่งประหารงั้นหรือ”
เขายักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่สนใจ “ถ้าต้องแต่งงานกันก็แต่งนางเข้ามาก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลังว่าจะจัดการนางอย่างไร”
เหว่ยเฟิงพยักหน้าเบาๆ แต่ยังมององค์ชายด้วยความกังวล
“กระหม่อมแค่กลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้พระองค์…”
หวังกู้หย่งตวัดสายตามามองเหว่ยเฟิง ทำให้องค์รักษ์หนุ่มเงียบลงไปในทันที เขาหันกลับไปจับคันธนูอีกครั้ง
“ข้าเกลียดคนแซ่จาง ไม่ว่านางจะฟื้นมาหรือไม่ข้าได้ใส่ใจไม่ นางก็เป็นได้แค่เพียงตัวหมากในแผนการของเสด็จพ่อก็เท่านั้นเอง”
หวังกู้หย่งหวนคิดไปถึงแม่ทัพใหญ่ ผู้ที่เป็นดั่งอาจารย์ที่เขาเคารพเทิดทูนดุจบิดา ภาพที่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นนอนเสียชีวิตอย่างปริศนาและถูกโยงไปยังตระกูลจางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความแค้นที่บ่มเพาะจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาจนยากที่จะปล่อยวาง
“แต่หากเป็นความประสงค์ของฝ่าบาท องค์ชายจะต้องใช้ชีวิตร่วมกับคุณหนูจางในฐานะพระชายา…”
หวังกู้หย่งยิงธนูออกไปอย่างแรง เสียงธนูแหวกอากาศดังก้อง เสียดแทงเป้าหมายอย่างเต็มแรงราวกับว่าคุณหนูจางคนนั้นเป็นเป้านิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ใช้ชีวิตร่วมกันงั้นหรือ?” เขาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ข้าจะเป็นเพียงพระสวามีแต่งและอยู่กับนาง ความรักจากข้าอย่าหวังเลยว่านางจะได้รับมัน”
จางเหม่ยอิงยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความหลงใหลราวกับว่าเธอเพิ่งเคยเห็นใบหน้าอันงดงามของตัวเองเป็นครั้งแรก...
เส้นผมดำขลับยาวสลวยล้อมรอบใบหน้าเรียวเล็ก ผิวพรรณขาวนวล แก้มแดงระเรื่อราวกับกลีบกุหลาบ ดวงตาคู่งาม และจมูกโด่งรับกับริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดใส
จางเหม่ยอิงหมุนตัวอย่างรวดเร็วไปมา ยิ้มยกมุมปากยกขึ้นอย่างพอใจก่อนจะเริ่มสำรวจเรือนร่างที่มีความอ่อนช้อยในชุดฮั่นฝูเต็มยศ
หงเอ๋อร์และหลิวกงหยวนได้แต่มองดูนายของตนด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งประหลาดใจและกังวลใจ พวกเขาไม่เคยเห็นคุณหนูจางในท่าทีเช่นนี้มาก่อน เหมือนว่าเธอได้กลายเป็นคนใหม่ ไม่ใช่คุณหนูที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยเช่นเคย
หลังจากตรวจสอบข้าวของในห้องอย่างละเอียด จางเหม่ยอิงก็พบผ้าแพรผืนหนึ่งที่มีกลิ่นบางอย่างที่คุ้นเคย
“กลิ่นเมล็ดผิงกั่ว?” ตอนที่เรียนมหาวิทายาลัยเคยค้นเจอว่ามันเป็นสารประกอบเดียวกันกับไซยาไนด์ในยุคปัจจุบัน หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที แล้วมันมาอยู่ที่ห้องนี้ได้อย่างไรกัน?
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าในยุคนี้จะมีการใช้เมล็ดผิงกั่ว… ใครกันที่นำมันมาใช้ หรือว่านี้คือการฆาตกรรม ร่างเดิมของข้าไม่ได้ป่วยตาย?”
จางเหม่ยอิงสวมบทบาทเป็นนิติเวชสาวและเริ่มต้นสืบหาต้นตอด้วยความรู้ด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในหัว เธอสังเกตเห็นว่ากลิ่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ที่ผ้าแพรเท่านั้น แต่มันยังติดอยู่ตามสิ่งของอื่นๆ ในห้อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับหรือแม้แต่กาน้ำชา ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในร่างเดิมอาจจะสัมผัสกับพิษนี้หลายครั้งจนสะสมเข้าไปในร่างกาย ค่อยออกอาการป่วยและเสียชีวิตในท้ายที่สุด
“พิษจากเมล็ดผิงกั่วนั้นจะไม่ทำให้เหยื่อตายในทันที แต่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ หายใจลำบาก และหัวใจเต้นเร็ว ก่อนจะนำไปสู่ความตายอย่างช้าๆ…”
เธอพึมพำเบาๆ พร้อมเดินสำรวจไปรอบห้องอย่างระมัดระวัง ด้วยรู้ดีว่าเบาะแสที่มีอยู่นี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขคดีการตายของร่างเดิม
จางเหม่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ท่านพี่ ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้า ประชาชนเหล่านี้คือรากฐานของบ้านเมือง หากพวกเขาสุขสงบ บ้านเมืองของเราก็จะมั่นคงนะเจ้าคะ”หวังกู้หย่งยิ้ม พลางเอื้อมมือจับมือนาง “เจ้าเป็นดั่งเพชรน้ำงามในชีวิตข้า อิงเอ๋อร์ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก”ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิ ดอกเหมยแดงเบ่งบานสะพรั่งรอบลานพระราชวัง แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมาทำให้หยดน้ำค้างที่เกาะตามกลีบดอกดูระยิบระยับ หวังกู้หย่งกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาริมบ่อน้ำในสวนหลวง เขาแต่งกายเรียบง่าย แต่ท่าทางที่สุขุมและแววตาแน่วแน่ยังคงแสดงถึงความสง่างามขององค์ชายผู้มีบทบาทสำคัญในราชสำนักจางเหม่ยอิงเดินเข้ามาพร้อมกับถาดชาที่ถือไว้ในมือ นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยที่สะท้อนความเรียบง่ายแต่สง่างาม นางวางถาดชาไว้บนโต๊ะไม้ก่อนจะนั่งลงข้างเขา“ท่านพี่ เหตุใดจึงมานั่งตรงนี้แต่เช้าเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางยื่นถ้วยชาที่เพิ่งชงให้เขาหวังกู้หย่งรับถ้วยชามา ก่อนจะยิ้มบางๆ “ข้ามาผ่อนคลายความคิด เจ้าไม่ต้องห่วงไป ข้าเพียงอยากชมดอกไม้บาน” เขาหันมามองนาง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “แต่เจ้าล่ะ มีธุระสิ่งใดหรือถึงมาหาข้าแต่เช้า?”“ข้า
ความทรงจำในวันนั้นยังคงชัดเจนในใจของอาจารย์หวัง แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ภาพของจางเหม่ยอิงในห้องเรียนวิทยาศาสตร์นิติวิทยาศาสตร์ยังคงตราตรึง รอยยิ้มของเธอที่มุมปากขณะตั้งใจฟัง หรือแววตาที่เป็นประกายทุกครั้งที่เธอเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คือภาพที่ไม่มีวันเลือนหายจากใจเขา...ในมโนภาพของเขา ภาพของหญิงสาวที่เคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดและเป็นรักเดียวในหัวใจปรากฏขึ้น เธอยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นซากุระในวันที่ดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ ในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยของเธอพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าของจางเหม่ยอิงเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มที่งดงามจนทำให้หัวใจเขาสั่นไหว ข้างๆ เธอนั้นมีชายคนหนึ่งสวมชุดจีนยุคโบราณสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ คนๆ นั้นมีหน้าตาที่เหมือนเขามากจนอดคิดไม่ได้ว่าบางที่เราอาจจะได้เจอกันแล้วในชาติภพใดชาติภพหนึ่ง"เหม่ยอิง… หากชาติหน้าหรือมีสักชาติภพที่เรามีโอกาส ผมขอให้ได้รักและอยู่เคียงข้างเธอ…"เสียงเครื่องวัดหัวใจในห้องดังเป็นเสียงยาว ทันทีที่ดวงตาของอาจารย์หวังปิดลงอย่างสงบ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ราวกับว่าเขาได้พบกับจางเหม่ยอิงในฝันสุดท้าย ความทรงจำและความปรารถนาอันแรงกล้าของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของห้วงน
ไม่กี่วันต่อมา ผิงชิงเสียเองก็ขอเข้าพบจางเหม่ยอิงเป็นครั้งสุดท้าย นางดูเหนื่อยล้าและเศร้าหมองเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เคยเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ“เหม่ยอิง... ข้า... ข้าขอโทษ” นางเริ่มพูด ดวงตาของนางหลุบต่ำ “สิ่งที่ข้าทำ มันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมให้อภัย”จางเหม่ยอิงมองนางด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ข้าให้อภัยเจ้า ผิงชิงเสีย... เพราะข้าเชื่อว่าในตัวเจ้ายังน่าจะมีความดีเหลืออยู่บ้าง อย่าง้นอยเจ้าก็หวังดีและไม่เคยคิดร้ายต่อองค์ชาย”ดวงตาของผิงชิงเสียเริ่มมีน้ำตา “ขอบคุณ... ขอบคุณมาก แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปถือศีลที่อารามหลวง เพื่อไถ่บาปทั้งหมดที่ข้าได้ทำไว้” จากนั้นไม่นานผิงชิงเสียก็เดินทางไปยังอารามแห่งหนึ่งเพื่อไถ่บาปโดยไม่มีกำหนดกลับเมืองหลวงในห้องพักผู้ป่วยที่เงียบสงัด อาจารย์หวังเซินเจี๋ยในวัย 80 ปีนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ดวงตาของเขาปิดสนิท ร่างกายซูบผอม ผิวซีดเซียวจากโรคที่กัดกร่อนพละกำลังของเขามานานหลายปี ใบหน้าที่เคยดูสง่างามบัดนี้เต็มไปด้วยรอยลึกแห่งกาลเวลาท่ามกลางเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ในห้องนอนอันแสนสงบภายในตำหนักที่กว้างใหญ่ จางเหม่ยอิงกำลังบรรจงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็ดตัวให้กับคนรักของนางอย่างอ่อนโยน“หวังกู้หย่ง...ท่านพี่” นางเอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและแผ่วเบาสักสักจางเหม่ยอิงได้ยินถึงเสียงฝีเท้าหนักแน่นที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ดวงตาคู่งามเหลือบมองไปยังประตูด้วยความสงสัยไม่นานนัก ประตูเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของตวนเฟิงที่ยืนอยู่“กระหม่อมต้องขออภัยที่มารบกวน แต่กระหม่อมมีเรื่องสำคัญที่อยากเรียนให้พระชายาทราบพ่ะย่ะค่ะ” “พูดมาเถอะ ตวนเฟิง” “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น กระหม่อมคิดว่าพระชายาควรทราบความจริง... เรื่องที่องค์ชายปกป้องแม่นางผิงชิงเสีย... แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของจางเหม่ยอิงเบิกกว้างเล็กน้อย แต่ยังคงนั่งนิ่งสงวนท่าที “หากไม่ใช่ แล้วเหตุใดเขาจึงต้องปกป้องนาง แทนที่จะเป็นข้า?”“องค์ชายไม่ได้ปกป้องผิงชิงเสีย แต่เพราะองค์ชายเองทรงทราบตั้งแต่ต้นว่าผิงชิงเสียไม่ได้เป็นคนร้ายตัวจริง”ตวนเฟิงพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง หมายอยากจะช่วยให้นายของตนได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน“คนที่อยู่เบื้องหลังการลอบว
แสงยามเช้าค่อยๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก กระทบกับผิวซีดของหวังกู้หย่งที่นอนแน่นิ่งบนเตียง ร่างสูงใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมไปด้วยพลังบัดนี้ดูอ่อนแอและเปราะบาง ผ้าพันแผลสีขาวที่ซึมไปด้วยเลือดสีดำประปรายบ่งบอกถึงการต่อสู้อันดุเดือดที่เขาได้เผชิญเพื่อปกป้องจางเหม่ยอิงจางเหม่ยอิงนั่งเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงอย่างใกล้ชิดหลังจากที่ได้รู้ว่ามีดสั้นของหลิวกงหยวนเล่มนั้นอาบยาพิษ จ้องมองใบหน้าที่ไร้สีเลือดของหวังกู้หย่ง น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอ่อล้นอีกครั้ง ราวกับหัวใจของนางถูกบีบรัดจนแทบแตกสลาย“เหตุใดท่านถึงโง่เขลาถึงเพียงนี้...ท่านรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วข้านั้นไม่ได้ต้องการสิ่งใด นอกจากให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไป...”นางเอื้อมมือเรียวบางไปจับมือหนาที่บัดนี้ไร้เรี่ยวแรงของเขา หวังกู้หย่งไม่ตอบสนอง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจหนักหน่วงของคนที่กำลังทุกข์ทรมาน เขานิ่งราวกับไม่มีชีวิต ดวงตาของเขาปิดสนิท ราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราที่ไม่มีจุดจบหงเอ๋อร์ที่มีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะนั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป นางก้าวเข้ามาพร้อมจับไหล่ของจางเหม่ยอิงเบาๆ“พระชายาเพคะ...ท่านต้องพักผ่อนบ้าง ท่านอยู่ตรงนี้ทั้งคืนแล้ว เดี๋ย
“ออกมาเดี๋ยวนี้ จางเหม่ยอิง! ข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่แถวนี้!”เสียงของหลิวกงหยวนดังก้องกังวานไปทั่ว พร้อมกับมีดสั้นที่สะท้อนแสงจันทร์วูบวาบอยู่ในมือของเขา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่อ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิดอย่างจางเหม่ยอิงจะวิ่งหนีเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ทางด้านของจางเหม่ยอิงนั้นกำลังปรับลมหายใจให้เบาลงแม้ว่าร่างกายจะสั่นสะท้านไปด้วยความกังวล พลางคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ในวินาทีนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งก้าวออกมาจากความมืดจางเหม่ยอิงหันขวับไปตามเสียง ใจของนางที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเริ่มสั่นคลอน ดวงตาของนางเบิกกว้าง เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่นางรู้จักดี... เสียงที่เป็นทั้งความสิ้นหวังและแสงสว่างในเวลาเดียวกัน“หลิวกงหยวน! หยุดเดี๋ยวนี้!”หลิวกงหยวนชะงัก ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นองค์ชาย “องค์ชายสาม...”หวังกู้หย่งพุ่งตัวทะยานเข้าไปขวางหลิวกงหยวน ดวงตาของเขาวาวโรจน์ราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดทำร้ายพระชายาของข้า!”เขายกแขนขึ้นคว้าข้อมือของหลิวกงหยวนที่ถือมีดไว้แน่น แรงกดที่เพิ่มขึ้นจากมือของหวังกู้หย่งทำให้ห