ลมหนาวโชยมาจากรอบทิศ ใบไม้แห้งกรอบปลิวว่อน พัดกระทบผืนหลังคากระเบื้องที่แตกร้าวเป็นทาง เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันเบา ๆ คล้ายเสียงกระซิบแห่งความตาย
ในเรือนเล็กที่ตั้งอยู่หลังจวนใหญ่ของตระกูลเซียว เสียงไอแผ่วเบาดังขึ้น พร้อมแรงสะอื้นที่สั่นสะท้าน เซียวลี่อิน ลืมตาขึ้นด้วยดวงตาขุ่นมัวและอ่อนแรง ราวกับร่างกายที่นางอาศัยอยู่มิใช่ของตน
“นี่ ที่ใดกัน…”
ปลายนิ้วอ่อนแรงแตะลงบนฟูกเก่า กลิ่นหญ้าแห้ง ผ้าห่มที่หยาบกระด้าง และอากาศเย็นชืดที่แทรกเข้าสู่ร่างทำให้นางรับรู้ได้ทันทีว่านี่มิใช่โลกหลังความตายที่ตนควรอยู่
หากแต่เป็น…
“เรือนของข้า?”
ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย นางยันกายขึ้นช้า ๆ แม้หัวจะปวดร้าวจนคล้ายจะระเบิด
เรือนเล็กนี้อยู่หลังจวนสกุลเซียว เป็นเรือนที่นางเคยอาศัยเมื่อหลายปีก่อน เป็นสถานที่ที่ถูกแยกขาดราวกับไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตระกูล นี่คือที่ซุกหัวของผู้ไร้ค่าที่สุดในบ้าน
“เดี๋ยวนะ…เมื่อไม่นานมานี้ ข้ายังอยู่ที่เชิงหน้าผา ถูกนเซียวถิงฮวาผลักตกลงไปมิใช่หรือ…”
ทันใดนั้น ความทรงจำก็พุ่งเข้าจู่โจมสมองของนางราวกับสายน้ำหลาก
“ท่านแม่! ท่านแม่ฟื้นสิ
อย่าเพิ่งจากข้าไป!!”“เจ้าก็เป็นแค่บุตรสาวที่ไม่มีใครต้องการ
ต่อให้ข้าผลักเจ้าลงไปก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจหรอก!”“น้องสาวเจ้าดีกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า!”
เสียงเหล่านั้น… ใบหน้าพวกมัน… รอยยิ้มร้ายของเซียวถิงฮวา น้ำเสียงเย้ยหยันของเจินซูเม่ย และสายตาเย็นชาของเซียวเฟิงเฉิน บิดาของนาง
นางจำได้ทุกถ้อยคำ ทุกบาดแผล ทุกความเจ็บปวด
ข้าถูกพวกมันหลอกไปที่หน้าผา
ข้าถูกผลักตกลงไปตาย
แต่แล้วทำไม?
“ข้ายังมีชีวิตอยู่?” นางกระซิบ พลางลูบแก้มตนเบา ๆ ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นชัดเจนเกินจริง
นางรีบมองไปรอบห้อง ทุกอย่างเหมือนในอดีตไม่มีผิดเพี้ยน
“ข้าย้อนกลับมาอดีตงั้นหรือ” เสียงนั้นแทบไร้ลมหายใจ นางแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
เซียวลี่อินค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินโซเซไปยังหน้ากระจกที่วางพิงอยู่มุมห้อง มันแตกร้าวและฝ้าเล็กน้อย แต่นางก็มองเห็นใบหน้าของตนได้ ดวงตากลมโต ผิวซีดเซียว ผมยาวยุ่งเหยิง และแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ แต่ซ่อนประกายแข็งกร้าวไว้ลึก
“หกปีก่อน…” นางพึมพำ
“ตอนนั้น ข้ายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังอ่อนแอ งมงาย และเชื่อใจผิดคน…”
“แต่ตอนนี้ ข้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
เสียงประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ สาวรับใช้คนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามา นางคือ “เสี่ยวจู” สาวใช้ที่เคยรับใช้ลี่อินเมื่อหกปีก่อน
“คุณหนู ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?” เสียงนั้นสั่นพร่า ทั้งตื่นเต้นและตกใจ
ลี่อินมองเสี่ยวจูอย่างพินิจ สาวใช้คนนี้เป็นเพียงคนเดียวในเรือนที่ยังมีเมตตาต่อนาง แม้จะอ่อนแอ ขี้กลัว แต่ก็ไม่เคยหักหลัง
“ข้าหิว...” ลี่อินกล่าวเรียบ ๆ
เสี่ยวจูเบิกตากว้างอย่างดีใจ “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเอาโจ๊กมาให้เดี๋ยวนี้!”
ทันทีที่เสี่ยวจูวิ่งออกไป ลี่อินก็พิงฝาอย่างหมดแรง ดวงตาคมกริบจ้องไปยังท้องฟ้าด้านนอก
“ขอบคุณสวรรค์ ที่ให้ข้าได้มีชีวิตใหม่”
“ครานี้…ผู้ใดที่เคยทำร้ายข้ากับท่านแม่ ข้าจะทำให้พวกมัน ตกนรกทั้งเป็น!”
สายลมเย็นยะเยือกยังคงพัดผ่านหน้าต่างเก่า ๆ ในเรือนซอมซ่อ เสียงเสื้อผ้ากระทบกันเบา ๆ ขณะลี่อินเดินไปหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายบางที่แขวนอยู่ตรงมุมห้อง แม้จะเป็นผืนเก่า ซีด และขาดวิ่น แต่นางก็ดึงมันมาสวมไว้แน่น
“ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมจนข้ารู้สึกคลื่นไส้”
นางกระซิบเบา ๆ พลางหันมองเรือนเล็กด้วยสายตาเยียบเย็น
ในชีวิตก่อน นางเคยคิดว่าสักวันบิดาจะเมตตา แม้เพียงครึ่งหนึ่งที่เขามีให้เจินซูเม่ยกับเซียวถิงฮวาก็ยังดี แต่สุดท้ายกลับพบว่าความหวังนั้นมันช่างโง่เง่า
“ข้าเฝ้ารอความเมตตาจากคนที่ใจโหดเหี้ยม ข้าเชื่อใจนางที่ยิ้มด้วยดาบซ่อนหลัง แต่สุดท้าย…”
…ก็ถูกพวกมันผลักตกหน้าผาทั้งที่ยังมีลมหายใจ…
นางหลับตาลง สูดหายใจเข้าให้ลึกที่สุด เสียงกระซิบของหัวใจยังคงก้องในอก
“ครั้งนี้ ข้าจะไม่ใจอ่อนอีก”
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เสี่ยวจูก็กลับมาพร้อมชามโจ๊กข้าวโพดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในมือ
“คุณหนู รีบกินเถิดเจ้าค่ะ ข้าแอบไปขอของเหลือจากห้องครัวใหญ่มาให้ท่าน” เสี่ยวจูยื่นชามให้ พลางทำท่าลอบมองประตูอย่างหวั่น ๆ
ลี่อินรับชามมา พลางพยักหน้าเบา ๆ “ขอบใจนะเสี่ยวจู ข้าจะจดจำน้ำใจของเจ้าไว้”
เสี่ยวจูพยักหน้าเล็กน้อย นางชอบคุณหนูของตนอยู่แล้ว แม้จะอยู่ในเรือนเล็ก แต่คุณหนูก็ยังใจดี ไม่เคยตวาดด่าเหมือนคนในเรือนใหญ่
“ข้าจะไปต้มน้ำให้อาบนะเจ้าคะ”
เมื่อเสี่ยวจูออกไป ลี่อินก็ค่อย ๆ วางชามโจ๊กลงพลางถอนหายใจเบา ๆ
“ข้าอาจต้องเริ่มทุกสิ่งใหม่ แต่สิ่งที่ข้าจะไม่ลืม คือทุกแผล ทุกหยดน้ำตา และทุกศพที่ข้าจะเหยียบผ่านเพื่อขึ้นไปให้สูงที่สุด”
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นนอกรั้วไม้ผุที่ล้อมเรือน เสียงกระซิบดังมาจากทางมุมสวนด้านหลัง
“เซียวลี่อินยังไม่ตายรึ?”
“นางสลบไปหลายวันแล้วนี่”
เสียงแหลมคุ้นหู…
ลี่อินขมวดคิ้วทันที นั่นคือเสียงของ “ซูหรู” สาวใช้ของเจินซูเม่ย ผู้มักคอยสอดส่องและส่งข่าว
“คุณหนูรองบอกว่า อย่าปล่อยให้นางฟื้นง่าย ๆ ครั้งก่อนแค่สะดุดล้มเอง ยังไม่เข็ดอีกงั้นรึ?”
น้ำเสียงหยามหมิ่นของพวกนางทำให้แววตาลี่อินเย็นลงทันที
“นี่พวกเจ้าคิดจะลองดีกับข้าหรือ?”
นางเดินไปยังหน้าต่าง เอาผ้าคลุมบังตัวเองไว้ แต่แง้มบานไม้แคบ ๆ เห็นคนสองคนยืนลับ ๆ ล่อ ๆ ซูหรูกำลังทำท่าจะเข้ามาภายในเรือน ทว่า…
“เอี๊ยด!” เสียงประตูบานหลังดังขึ้น
เสี่ยวจูหิ้วถังน้ำร้อนเดินกลับมา
“อ๊ะ! ซูหรู? เจ้ามาทำอะไรตรงนี้?” น้ำเสียงหญิงสาวเต็มไปด้วยความสงสัย
ซูหรูะดุ้งโหยงก่อนรีบยิ้มแห้ง ๆ “ข้าแค่ผ่านมาเฉย ๆ…” กล่าวจบก็รีบลากแขนสาวใช้อีกคนเดินหายลับไป
สายตาของเซียวลี่อินมืดดำ หมอกแห่งความแค้นที่ค่อย ๆ เกาะกุมหัวใจนาง แม้ริมฝีปากจะนิ่งเฉย แต่เปลวไฟในใจกลับพร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่ง
“สวรรค์ให้โอกาสข้าได้กลับมา”
“ครั้งนี้ข้า จะให้พวกเจ้าชดใช้หมื่นเท่า ทรมานยิ่งกว่าตาย!”
หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวลือเรื่องเซียวลี่อินเดินเคียงจิ้งอ๋องเข้าร่วมงานเลี้ยงในหอเลี้ยงยังคงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงเหล่าสตรีน้อยใหญ่ต่างเอ่ยถึงเรื่องของนางด้วยทั้งความอิจฉาและเกรงขามขุนนางหลายคนเริ่มจับตามองนางในฐานะ ผู้ที่อ๋องเจ็ดยกย่องแต่ภายในจวนสกุลเซียว กลับเงียบงันราวกับพายุที่กำลังสะสมแรงเจินซูเม่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะบูชา ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ“นางกล้าหักหน้าข้าต่อหน้าผู้คน ข้าจะไม่มีวันปล่อยไปแน่!”เซียวถิงฮวารีบเข้ามา“ท่านแม่ เราจะทำอย่างไรต่อดี”เจินซูเม่ยยกผงยาสีขาวขึ้นจากกล่องไม้เล็ก ๆ“เพียงแค่โรยสิ่งนี้ในน้ำชา ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางก็จะอับอายต่อหน้าผู้คน”ในอีกฟากหนึ่ง เซียวลี่อินนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ในเรือนเล็ก สายลมพัดเส้นผมปลิวไหว แววตาของนางสงบนิ่ง แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มเย็น“เจินซูเม่ย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเล่ห์กลกระจอก ๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือ”จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้น หวังจิ้งเหยียนก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์สองคน“ข้าได้ข่าวว่ามีคนเคลื่อนไหวใกล้เรือนเจ้าอีกแล้ว”เซียวลี่อินหันไปสบตากับเขา“เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะรอดู ว่าเล่ห์กลภายใต้เ
ค่ำคืนวันนั้น จวนเจ้ากรมพิธีการจัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นเหนือเหล่าขุนนางและสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างแต่งกายหรูหรา เสียงดนตรีและกลิ่นสุรารินไหลเคล้าบรรยากาศเซียวลี่อินก้าวเข้าสู่หอจัดงานเลี้ยงพร้อมกับจิ้งอ๋องที่เดินเคียงข้างเพียงแค่ปรากฏตัว ทั้งห้องโถงก็เหมือนเงียบลงไปชั่วขณะสายตานับไม่ถ้วนหันมามอง มีทั้งความตกตะลึงและเสียงซุบซิบแผ่วเบา“นั่นคุณหนูใหญ่สกุลเซียวไม่ใช่หรือ นางมาพร้อมกับท่านอ๋องเจ็ดเชียวหรือนั่น”“ท่าทีดูสง่างามนัก ต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงเลยนะ”“ก็นั่นน่ะสิ”เจินซูเม่ยและเซียวถิงฮวาที่นั่งอยู่เบื้องหน้า แววตาแทบลุกเป็นไฟการที่เซียวลี่อินเดินเข้าสู่หอจัดงานเลี้ยงพร้อมกับจิ้งอ๋องเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าสองแม่ลูกนั้นตรง ๆ ต่อหน้าผู้คนเซียวถิงฮวากัดฟันกระซิบ“ท่านแม่ นางจงใจ! นางจงใจเย้ยหยันข้า นางจงใจทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าท่านอ๋องอยู่ข้างนาง”เจินซูเม่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แต่ก็ยังฝืนยิ้มไว้จิ้งอ๋องกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงก่อนเอ่ยเสียงทุ้มเรียบ“วันนี้ข้ามาเพื่อร่วมดื่มสักจอก มิได้มาเพื่อฟังเสียงซุบซิบนินทาของใคร”เพียงคำพูดเดียว เสียงพูดคุยทั้งห
ข่าวสมุนไพรปนเปื้อนที่ถูกจับได้กลางทางแพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่ง จากตลาดเข้าสู่วังหลวง จากวังสู่หูเหล่าขุนนาง และสุดท้ายก็ย้อนกลับมาถึงจวนสกุลเซียวภายในเวลาไม่กี่วันเรือนใหญ่ภายในจวนบัดนี้เต็มไปด้วยบ่าวไพร่ที่ซุบซิบนินทา“ว่าแต่ฮูหยินรอง...เป็นนางจริงหรือไม่ที่อยู่เบื้องหลัง”“ชู่ว์! ระวังปากหน่อย หากนางได้ยินเข้า พวกเราจะซวยเอา”แต่ยิ่งห้าม เสียงเล่าลือก็ยิ่งดังไปทั่วภายในห้องโถง เจินซูเม่ยสีหน้าซีดขาว มือสั่นจนถ้วยชาร่วงแตกกับพื้น เซียวถิงฮวารีบคุกเข่าข้างกาย“ท่านแม่ อย่าหวาดหวั่นไป! เราต้องหาทางพลิกสถานการณ์ มิฉะนั้นเรื่องนี้จะกลายเป็นหลักฐานชัดเจนมัดตัวเรา”เจินซูเม่ยกัดฟันกรอด“ข้าไม่ยอมแพ้แน่ ข้าจะไม่ยอมให้นังเด็กนั่นมาทำให้ชีวิตข้าพัง!”ในอีกฟากหนึ่ง ลี่อินนั่งจิบชาในเรือนเล็กอย่างสงบ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้างาม ยิ่งนางดิ้น ข่าวลือก็จะยิ่งมัดรอบคอนางเองเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นจากนอกโถง เซียวเฟิงเฉินก้าวเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ เขาได้รับฎีกาลับจากวังที่สอบถามเรื่องเกวียนสมุนไพรปนเปื้อน หากพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับจวนสกุลเซียว ชื่อเสียงและตำแหน่งเจ้ากรมคลังของเขาจะสั่นคลอนท
ข่าวการที่สมุนไพรปนเปื้อนถูกตรวจพบก่อนถูกส่งเข้าวังหลุดรอดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ชื่อของตระกูลเซียวถูกซุบซิบนินทาตามตลาด ร้านน้ำชา โรงเตี๊ยม และแม้แต่ในหมู่ขุนนางของราชสำนักภายในเรือนใหญ่ของจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ยขว้างถ้วยชาจนแตกกระจาย“ผู้ใด! ผู้ใดมันกล้าใส่ร้ายข้าเช่นนี้!”เซียวถิงฮวารีบเข้ามาปลอบผู้เป็นมารดา“ท่านแม่ ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ หากเราร้อนรน ผู้คนก็จะยิ่งสงสัยนะเจ้าคะ”แต่แววตาของเซียวถิงฮวาเองก็กังวลไม่น้อย เพราะในใจนางเริ่มหวาดระแวงว่าผู้ที่ทำทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นเซียวลี่อินขณะเดียวกัน เซียวลี่อินกำลังนั่งจิบชาเงียบ ๆ ในเรือนเล็ก ใบหน้าเรียบสงบ แต่ภายในเต็มไปด้วยเพลิงเย็นของความพึงพอใจนี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น หลังจากนี้ยังจะมีอีกหลายก้าวที่เจินซูเม่ยไม่มีทางหนีรอด!จังหวะนั้นเอง จิ้งอ๋องก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ส่งข่าวล่วงหน้า เขาก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะทอดสายตามองนาง“ครั้งนี้เจ้าทำได้เด็ดขาดยิ่งนักจนแม้แต่ข้าเองก็เกือบไม่ทันตั้งตัว”ลี่อินยกยิ้มบาง “เพราะหม่อมฉันไม่อยากให้ศัตรูมีเวลาหายใจเพคะ หากศัตรูมีเวลาได้หายใจ ก็อาจจะไหวตัวทัน”เซียวลี่อินหันไปมองจิ้ง
เซียวลี่อินกลับถึงเรือนเล็กในยามสนธยา แสงตะวันย้อมผนังเรือนเป็นสีส้มหม่น แต่ในหัวใจนางกลับไม่อุ่นเลยสักนิดข่าวลือแผ่ว ๆ จากพวกบ่าวไพร่ทำให้นางหยุดฟังอย่างตั้งใจ“ว่าแต่คุณหนูใหญ่นี่นางช่างดวงแข็งนัก ถึงกลับมามีชีวิตอยู่ได้”“เงียบปากเสีย! หากฮูหยินรองได้ยินเข้าเจ้าจะถูกโบย”บ่าวสาวสองคนรีบก้มหน้าก้มตาเมื่อเห็นเซียวลี่อินเดินผ่าน นางเพียงปรายตาเย็นชามองเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปเจินซูเม่ย เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใดอีกกันไม่นาน เสี่ยวจู สาวใช้คนสนิทของลี่อินก็เข้ามารายงาน“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินรองเรียกพ่อบ้านไปหารืออย่างลับ ๆ ทั้งยังสั่งให้คนออกไปนอกเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างอีกด้วยเจ้าค่ะ”ลี่อินเลิกคิ้วเล็กน้อย“ไปนอกเมือง? ไปเพื่อติดต่อผู้ใดกัน”เสี่ยวจูส่ายหน้า“ข้าไม่อาจเข้าใกล้ได้ แต่จากที่ได้ยิน คราวนี้ดูเหมือนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสมุนไพรบางชนิดเจ้าค่ะ”เซียวลี่อินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนดวงตาจะวาวขึ้นสมุนไพร...ใช่แล้ว หากข้าจำไม่ผิด ในชาติก่อนมีคดีทุจริตส่งสมุนไพรปนเปื้อนเข้าวัง และหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องก็คือเจินซูเม่ยริมฝีปากของนางยกยิ้มเย็น“ดี เสี่ยวจู เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า
บ่ายวันนั้น เซียวลี่อินออกจากจวนสกุลเซียวเพื่อตรงไปยังตลาดใหญ่ นางตั้งใจจะไปหาซื้อสมุนไพรหายากเพื่อนำไปให้ท่านหมอเทวดาที่ช่วยรักษาผู้ป่วยยากไร้ ได้ยินมาว่าหากได้สมุนไพรนี้ไว้ จะมีค่าราวกับทองคำในยามจำเป็นผู้คนในตลาดคึกคัก เสียงตะโกนเรียกลูกค้าสลับกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากแผงลอย เซียวลี่อินก้าวเดินไปตามตรอกแคบด้วยท่าทีระวัง จนกระทั่งเสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วตึก ตึก ตึก!นางเงยหน้าขึ้นทันที เห็นขบวนทหารม้าสวมเกราะดำมุ่งตรงมาทางตรอก ผู้คนรีบหลบลี้กันจ้าละหวั่น แต่เพราะช่องทางแคบนัก ลี่อินจึงถูกเบียดจนเกือบล้มก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้น มือใหญ่แข็งแรงกลับคว้าข้อมือนางไว้มั่น แรงดึงพานางให้ซบเข้าสู่อ้อมอกที่อบอุ่นและมั่นคง“เหตุใดถึงเดินอยู่ตรงนี้คนเดียว”เสียงทุ้มเย็นนั้นดังขึ้นชิดข้างหูเซียวลี่อินเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าคมคายที่นางจำได้ดี เป็นเขา จิ้งอ๋อง หวังจิ้งเหยียนแววตาคมกริบของเขามองนางอย่างจับจ้อง จนหัวใจของนางเต้นสะดุดไปชั่วขณะ“หม่อมฉันมีธุระ”นางตอบสั้น ๆ พลางพยายามถอยห่าง แต่ฝ่ามือเขายังจับมั่นไม่ปล่อยหวังจิ้งเหยียนเหลือบตามองขบวนทหารที่เคลื่อนผ่านอย่างเร่งรีบ ก่อน