หลังจากหลิวหยุนจิงยอมตกลงรับปากเป็นอาจารย์สอนให้ศิษย์น้องรุ่นต่อไป คนที่ดีใจมากที่สุดย่อมไม่พ้นหลิวซูเหยากับองค์หญิงหลิวหรูอวี้
“ดีจังเลยมีเจ้าเป็นอาจารย์ พอถึงการสอบเจ้าต้องช่วยเราสองคนด้วยนะ” องค์หญิงน้อยจับมือของสหายแกว่งไปมา
“ไม่ได้! เรื่องการสอบเป็นการทดสอบความรู้ข้าย่อมไม่ทำเรื่องผิดกฏอย่างเด็ดขาด” หลิวหยุนจิงพูดขึ้นหลังจากพวกนางทั้งสามเดินเข้ามาในสำนักศึกษา
“พี่สาว!” เสียงเล็ก ๆ ราวน้ำนมสายหนึ่งดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยร่างอ้วนกลมของเจ้าตัว
“เสี่ยวอัน เจ้าระวังหน่อยเถอะพื้นมันไม่เรียบ” หลิวหยุน จิงรีบถลาเข้าไปหาน้องชายต่างบิดาด้วยความเป็นห่วงกลัวเจ้าตัวเล็กจะล้มกลิ้งไม่เป็นท่า
“พี่สาว อันอันคิดถึงท่าน” เจ้าตัวน้อยเอาหัวซุกในอ้อมกอดของนางเอ่ยเสียงอ่อนจนบิดาที่พาเจ้าตัวมาสมัครเรียนกลอกตาวนไปมา
“ซุนอัน พ่อบอกว่าเป็นบุรุษจะต้องเข้มแข็ง” น้ำเสียงเข้มงวดของบิดาดังขึ้นทำให้เจ้าตัวน้อยคอหดพลางเบ้ปากน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร
“พี่สาวขอยับ บิดาดุข้า” เจ้าตัวน้อยฟ้องเสียงสั่น
“ท่านพ่อเจ้าคะ น้องยังเด็กท่านอย่าเข้มงวดเกินไปนักเลย อีกอย่
“ท่านปู่ ท่านตาเจ้าคะ บอลลูนนี้ไม่ได้พาไปเมืองเซียนหรือสวรรค์ที่ใดทั้งนั้น มันมีหลักการทำงานของมันเจ้าค่ะ” หลิวหยุนจิงอธิบายด้วยน้ำเสียงใจเย็นและเมื่อเห็นสีหน้าที่ยังไม่เชื่อของพวกเขานางจึงได้กล่าวออกมาเพิ่มเติม“อากาศร้อนที่อยู่ด้านในบอลลูนจะทำให้มันลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ และเราก็สามารถควบคุมทิศทางของมันได้โดยการปรับระดับความร้อนเจ้าค่ะ”“จริงหรือ” หลิวห่าวเทียนถามออกมาอย่างกังขา“จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะท่านตา หากไม่เชื่อข้าจะทำให้ดู” หลิวหยุนจิงยืนยันดังนั้นนางจึงเริ่มจุดไฟใต้บอลลูนร้อนอีกครั้ง อากาศร้อนค่อย ๆ พัดเข้าไปในลูกลมบอลลูน ทำให้ตะกร้าเริ่มลอยขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย“ท่านทั้งสองคนเห็นหรือไม่” หลิวหยุนจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มสองชายชรารวมถึงทหารทั้งหมดที่อยู่รอบบริเวณมองดูบอลลูนร้อนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตื่นตาตื่นใจเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งใดที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน“มันวิเศษมาก” หลิวห่าวเทียนกล่าว“ใช่ มันวิเศษมากจริง ๆ” เฉิงอี้หลงเอ่ยเสริม“เยว่ฮวา เจ้าเอามันลงมาก่อนได้หรือไม่ ตาอยากจะขึ้นไปบนนั้น” คำกล่าวข
กาลเวลาเปลี่ยนผันนับจากวันที่สองพี่น้องฮัวกับถังเกอของหลิวหยุนจิงออกเดินทาง ฤดูใบไม้ผลิได้วนมาถึงอีกครั้ง ในเวลานี้เด็กหญิงกับถังเจี่ยของนางและบ่าวรับใช้คนสนิทกำลังช่วยชาวบ้านส่วนหนึ่งเก็บยอดอ่อนของใบชาแสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบใบชาอ่อนสีเขียวสด เป็นประกายระยิบระยับราวกับหยาดน้ำค้างต้องแสงตะวัน เด็กหญิงในชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนกำลังใช้มือเรียวเกี่ยวยอดชาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนวางลงในตะกร้าสานที่แขวนอยู่ข้างกายอย่างเบามือ“เยว่ฮวา เจ้าจะทำเครื่องดื่มอะไรให้พวกเรากินอย่างนั้นหรือ” เสียงของเหยียนเหยาดังขึ้นในขณะมือทำงานอย่างว่องไว“ไม่บอกเจ้าค่ะ เอาไว้อีกเดี๋ยวท่านก็รู้เอง” หลิวหยุนจิง พูดพลางวางยอดอ่อนของใบชาลงในตะกร้าสานของตน ซึ่งชาวบ้านที่ได้ยินต่างพากันอมยิ้มให้กับคำพูดของนางย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน พวกเขายังเป็นเพียงคนป่าที่ไร้ที่อยู่ ก่อนที่จะมีประกาศออกมาว่าจะมีการพลิกภูเขาลูกนี้ทำการปลูกชา คราแรกพวกเขานึกว่าราชสำนักจะให้คนมาขับไล่พวกตนแต่ทว่าก็ได้มีเรื่องดีเกิดขึ้
“การทดสอบเช่นไร” ซือเทียนหยินถามหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง“ข้าจะให้นางทดสอบหลักจริยธรรมศาสตร์ทั้งหกและหลักคุณธรรมสตรี หากนางผ่านการทดสอบข้าก็ยินดีจะยอมรับนางเป็นอาจารย์” อิ่นเจียนเสนอ“แล้วหากไม่ผ่านเล่า” ซือเทียนหยินถามต่อ“หากนางไม่ผ่าน นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่านางไม่คู่ควรแก่การเป็นอาจารย์” อิ่นเจียนตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยัน“ตกลง ข้าเห็นด้วย แต่หากนางชนะเจ้าจะต้องยอมรับผลแต่โดยดีและข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ไปหาเรื่องนางอีก” น้ำเสียงของซือเทียนหยินเต็มไปด้วยความเฉียบขาดอิ่นเจียนยิ้มอย่างพึงพอใจ เขารู้ดีว่าการทดสอบหลักคุณธรรมสตรีนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับสตรีที่ใช้ชีวิตนอกกรอบประเพณีอย่างหลิวหยุนจิง“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ทว่าข้ายังมีข้อแม้อีกนิดหน่อย” ซือเทียนหยินมองผู้พูดด้วยสีหน้าเอือมระอา“ว่ามา”“ข้าจะเป็นผู้กำหนดหัวข้อทดสอบด้วยตัวเอง” เขาพูดเสียงดังด้วยความมั่นใจ“เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ทว่าเจ้าอย่าลืมผลการกระทำของตนที่จะตามมาด้วยเล่า” ซือเทียนหยินไม่วายเอ่ยเตือนเขาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่ออิ่นเจียนบรรลุเป้าหมายเขาก็คิดด้วยความกร
ในระหว่างที่หลิวหยุนจิงกับคนในครอบครัวกำลังรอฟังข่าวการตรวจสอบเรื่องราวเกี่ยวกับเงินกู้ให้กระจ่าง หลิวหยุนจิงก็ยังคงเดินทางไปสอนศิษย์ใหม่ในสำนักศึกษาของตนเป็นปกติ“วันนี้ข้ามีตัวอย่างรถม้ามาให้เจ้าดู ทางช่างหลวงได้ทำรถม้าสี่ล้อขึ้นมาใช้งานได้แล้วข้าจะพาพวกเจ้าไปดูรายละเอียดของมันรวมถึงข้ายังจะพาพวกเจ้าทั้งหมดไปยังแปลงปลูกข้าวของพระราชวังด้วย สถานที่แห่งนั้นมีสิ่งที่เรียกว่ากังหันน้ำ”หลิวหยุนจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสขณะที่ศิษย์ตัวน้อยต่างส่งเสียงเจื้อยแจ้วด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่อาจารย์กำลังจะพาไปดูในวันนี้“วันนี้พวกเราจะได้ไปดูรถม้าสี่ล้อจริง ๆ เหรอขอรับ/เจ้าคะอาจารย์” น้ำเสียงสดใสของเด็ก ๆ ถามขึ้นพร้อมกัน“ใช่ วันนี้อาจารย์จะพาไปดูของจริงทว่าพวกเจ้าจะต้องเรียนรู้การทำงานของกลไกพวกนี้ด้วยนะ ข้ามิได้ให้พวกเจ้าไปดูมันเฉย ๆ” หลิวหยุนจิงตอบพร้อมบอกวัตถุประสงค์ของการเรียนในวันนี้ออกมาในคราวเดียว“รับทราบขอรับ/เจ้าค่ะ” เด็ก ๆ รับคำอย่างว่าง่ายซึ่งหนึ่งในนั้นได้มีน้องชายของนางเสี่ยวอันรวมอยู่ด้วยหลิวหยุนจิงมองภาพลูกศิษย์ตัวน้อยของตนเข้าแถวต่อกัน
หลังจากหลิวหยุนจิงยอมตกลงรับปากเป็นอาจารย์สอนให้ศิษย์น้องรุ่นต่อไป คนที่ดีใจมากที่สุดย่อมไม่พ้นหลิวซูเหยากับองค์หญิงหลิวหรูอวี้“ดีจังเลยมีเจ้าเป็นอาจารย์ พอถึงการสอบเจ้าต้องช่วยเราสองคนด้วยนะ” องค์หญิงน้อยจับมือของสหายแกว่งไปมา“ไม่ได้! เรื่องการสอบเป็นการทดสอบความรู้ข้าย่อมไม่ทำเรื่องผิดกฏอย่างเด็ดขาด” หลิวหยุนจิงพูดขึ้นหลังจากพวกนางทั้งสามเดินเข้ามาในสำนักศึกษา“พี่สาว!” เสียงเล็ก ๆ ราวน้ำนมสายหนึ่งดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยร่างอ้วนกลมของเจ้าตัว“เสี่ยวอัน เจ้าระวังหน่อยเถอะพื้นมันไม่เรียบ” หลิวหยุน จิงรีบถลาเข้าไปหาน้องชายต่างบิดาด้วยความเป็นห่วงกลัวเจ้าตัวเล็กจะล้มกลิ้งไม่เป็นท่า“พี่สาว อันอันคิดถึงท่าน” เจ้าตัวน้อยเอาหัวซุกในอ้อมกอดของนางเอ่ยเสียงอ่อนจนบิดาที่พาเจ้าตัวมาสมัครเรียนกลอกตาวนไปมา“ซุนอัน พ่อบอกว่าเป็นบุรุษจะต้องเข้มแข็ง” น้ำเสียงเข้มงวดของบิดาดังขึ้นทำให้เจ้าตัวน้อยคอหดพลางเบ้ปากน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร“พี่สาวขอยับ บิดาดุข้า” เจ้าตัวน้อยฟ้องเสียงสั่น“ท่านพ่อเจ้าคะ น้องยังเด็กท่านอย่าเข้มงวดเกินไปนักเลย อีกอย่
เมื่อกิจการของนางมีความเป็นไปได้ด้วยดีก็ย่อมต้องมีคนอิจฉา ทว่าสิ่งเหล่านี้หลิวหยุนจิงย่อมคาดเดาได้อยู่แล้ว แต่แล้วอย่างไร หากมีคนไม่กลัวตายก็ลองดูช่วงเวลาพักกลางวันในระหว่างที่หลิวหยุนจิงทำลังให้บ่าวในครัวทำบะหมี่ จู่ ๆ เสียงของชายชราที่นางไม่ได้เห็นหน้าค่าตามาหลายเดือนก็โผล่พรวดเข้ามา“กลิ่นหอมยิ่ง ยาโถวตัวเหม็นข้าหิวมากเจ้ามีอะไรน่ากินรีบยกมาให้ไว” หลิวหยุนจิงกลอกตาวนไปมาให้กับคำพูดหน้าหนาของเขา“ท่านปู่ หลายเดือนมานี้ท่านหายไปที่ใดกัน บทจะมาก็มาบทจะหายไปก็ทำตัวราวกับภูตผี”“แค่ก ๆ ๆ” บุคคลที่มาด้วยกับชายชราไม่สามารถเก็บอาการเอาไว้ได้เนื่องจากทั้งฉางอันนี้คงมีแต่เด็กหญิงคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนี้กับอาจารย์ของตน“ยาโถวตัวเหม็นเจ้าพูดเกินไปหรือไม่ ข้าหายไปเพียงครึ่งปีเท่านั้นเอง” เฉิงอีหลงแย้งหลังจากดื่มชาหล่งจิ่งลงคอ ความสดชื่นที่ได้รับกอปรกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกผ่อนคลาย“ครึ่งปี! ท่านช่างกล้าพูดนะเจ้าคะ ท่านไม่รู้หรอกตลอดเวลาที่ข้าทำของอร่อยข้ามักจะให้คนไปตามท่านทว่า...พวกเขาล้วนบอกว่ามีแต่ความเงียบภายในกระท่อมจนระ