ซีเยวี่ยรับคำก่อนเดินออกไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว พลางคิดว่าสิ่งเหล่านี้กระมังคือเคล็ดลับความโปรดปรานทั้งจากทางฮ่องเต้และหวงไทโฮ่ว นอกจากรูปโฉมที่งดงามชวนให้ผู้คนเอ็นดูตั้งแต่ยังเด็ก พอเริ่มรู้ความก็รู้จักการซื้อตัวและซื้อใจข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ หวงไทโฮ่ว และพระสนมระดับสูงอย่างหานลี่ไท่เฟยจึงทำให้รับรู้เรื่องราวรวมไปถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนผู้นั้นและเมื่อเข้าหาก็สามารถรับมือได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบางทีนางอดคิดมิได้ว่าสนมนางในที่มิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้บางนางสมควรจะต้องมาศึกษาเรียนรู้จากองค์หญิงผู้นี้ให้มากทีเดียวถึงแม้ฮ่องเต้จะมีราชกิจมากมายเพียงใด แต่ก็ยังเจียดเวลามาถวายบังคมหวงไทโฮ่วเพื่อไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและแสดงความกตัญญู โดยในหนึ่งสัปดาห์จะมาที่ตำหนักไท่หยางในวันจันทร์และวันศุกร์ โดยวันหนึ่งเป็นวันที่ตรงกับวันพระราชสมภพ ส่วนอีกวันหนึ่งมีอักษรตรงกับพระนามเดิมของไทโฮ่วคือ จินหรง (วันศุกร์ ภาษาจีนคือ จินเย่า ใช้อักษร 金 ตัวเดียวกับชื่อของไทโฮ่ว) แต่ละครั้งที่มาจะอยู่สนทนากับไทโฮ่วและร่วมรับประทานอาหารเช้า ก่อนเสด็จออกว่าราชการในยามซื่อ (ประมาณเก้าโมงเช้า) ซึ่งฮ่
กระทั่งลิ้นชักในหัวของนางที่บรรจุเรื่องราวในโลกก่อนของนางถูกเปิดออกอีกครั้ง จึงได้พบว่านางรู้จักเป่ยหนานหวังอวิ๋นรุ่นมาก่อน ถึงเป็นเพียงแค่นามที่ออกมาจากปากขององค์หญิงเวินอี๋ก็ตามยามนั้นตอนที่นางอยู่ในจวนราชบุตรเขยของฉางซื่อหลาง เคยได้ยินเหล่าสาวใช้พูดถึงว่า เป่ยหนานหวังนั้นได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้เนื่องจากเห็นว่าอายุอานามเหมาะสมที่จะต้องมีครอบครัว ให้สำนักโหรหลวงเลือกเฟ้นฤกษ์งามยามดีตบแต่งสตรีที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติเป็นหวังเฟยแห่งจวนเป่ยหนานนางจำได้แม่นว่าแซ่ของสตรีที่เป่ยหนานหวังวิวาห์ด้วยนั้นคือ...แซ่หาน...แซ่เดียวกันกับนาง...เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องทำต่อในวังและอยากไปแวะเยี่ยมเยียนเหล่าบรรดาไท่เฟยที่ตำหนักชุนเฟิง เวินอี๋จึงตัดสินใจไม่กลับจวนองค์หญิงที่อยู่นอกวังของตน กลับทูลขอฮ่องเต้ให้นางได้พำนักตำหนักจิ่งหยางซึ่งเคยเป็นที่พักเดิมของนางก่อนไปอาศัยอยู่นอกวังอีกสองสามวัน ซึ่งฮ่องเต้ที่คิดถึงพระธิดาคนโปรดเป็นทุนเดิมก็อนุญาตด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งวันนี้หลังจากไปถวายบังคมฮ่องเต้และพลาดโอกาสถวายบังคมไทโฮ่วที่ยังสนทนาติดพันกับอาคันตุกะ หญิงสาวตัดสินใจมุ่งหน้าไปย
ทันทีที่ลืมตาตื่นด้วยอาการปวดหัว แสบร้อนที่อก ลำคอแห้งผาก ซึ่งเป็นอาการของคนเมาค้างที่นางไม่พิสมัย สิ่งที่ต้อนรับหานฉงหรงอยู่คือหลีรั่วที่ถือถาดไม้และห่อผ้าห่อหนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดวิสัยที่ชอบทำหน้าเฉยชาอยู่เป็นนิจของนาง“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือ ประเดี๋ยวดื่มน้ำแกงสร่างเมานี่สักหน่อย แล้วข้าน้อยจะช่วยเหลือท่านเกล้าผมแต่งตัว” นางว่าขณะมองหญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักแล้วลุกเดินไปที่โต๊ะประทินโฉม ปล่อยให้อีกฝ่ายยื่นผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาดให้นางเช็ดหน้า จากนั้นจึงให้อีกฝ่ายเกล้าผมประทินโฉมและช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้าจนเสร็จโดยที่หญิงสาวไม่อิดออดหรือแสดงท่าทีเกรงเกรงใจอีกเป็นเพราะหยิ่งผยองหรือ? มิใช่ ช่วงแรกนางก็ทำทุกอย่างที่กล่าวมา ทั้งกล่าววาจาอิดออด ทั้งแสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่ง แต่อวิ๋นรุ่นไม่มีท่าทีคล้อยตาม ซ้ำยังให้หลีรั่วมาปรนนิบัตินางเช่นนี้ทุกเช้า สุดท้ายด้วยเพราะกลัวว่าถ้าปฏิเสธหลีรั่วจะถูกลงโทษ นางจึงจำใจยอมรับโดยดีน้ำแกงสร่างเมาตำรับของทางซื่อชวนรสชาติเปรี้ยวเผ็ดทำเอานางตาสว่าง อาการเมาค้างที่เคยเป็นจนถึงเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง พอสติเริ่มแจ่มชัด สายตาก็เห็นอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ
“...โกหก ทั่วหล้าล้วนโกหก” นางดูไม่ใส่ใจกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับเดินมานั่งข้างชายหนุ่มพลางโพล่งคำพูดที่ไร้ที่มาที่ไปกับเขา“โกหกอันใด”“ทั่วหล้าล้วนบอกว่าสุราทำให้ดับทุกข์ได้ เหตุใดที่ตรงนี้...” นางว่าพลางแตะมือที่อกของตน “ที่ตรงนี้จึงได้ยังรู้สึกขมขื่นเช่นนี้”“ในความคิดข้า สุรามิเคยทำให้ผู้ใดดับทุกข์ ในเมื่อความทุกข์เกิดจากตนเอง ก็มีเพียงจิตใจของตนเองที่ปล่อยวางจึงจะพาก้าวพ้นทะเลทุกข์ได้” เขามองอีกฝ่ายที่เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด “วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้าแท้ๆ ยังมีสิ่งใดให้ทุกข์ใจอีกหรือ”หานฉงหรงโคลงศีรษะไปมาคล้ายจะปฏิเสธ ทั้งยังไม่อยากกล่าวถึงแม้ว่าตนเองจะอยากพร่ำระบายมากเพียงใด “ข้า...ข้าเพียงแค่ไม่เข้าใจ ถึงตัวข้าจะได้ยศฐา แต่ตังบัดซบนั่นก็มีเหมือนกัน ซ้ำเขายังมีคนหนุนหลังชัดเจนปานนั้น ทั้งๆ ที่เขาทำร้ายข้ามากถึงเพียงนั้น ไฉนจึงไม่ได้รับกรรมตามสนอง”อวิ๋นรุ่นขมวดคิ้ว “ตัวบัดซบพรรค์นี้ทำร้ายเจ้ามากกว่าที่ตัวข้ารับรู้ถึงเพียงไหนกัน ขนาดที่ว่าเจ้าที่อยู่เหนือกว่าเขาก็ยังไม่เพียงพอ” เขาว่าพลางยื่นหน้ามาพลางกระซิบ “ฉงหรง เจ้าบอกข้าตามตรง ระหว่างเจ้ากับเขา...”ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่
เมื่อกลับมาถึงจวนเป่ยหนาน ก็พบว่าบรรดาขันทีและข้ารับใช้ในจวนต่างจัดเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ เอาไว้ โดยมีเสี่ยวมี่กับหย่งเยี่ยมาต้อนรับ “พี่สาว ยินดีด้วยที่ท่านได้เป็นฉงหรงจวิน”“พี่สาว เช่นนี้ท่านก็เป็นขุนนางแล้วใช่หรือไม่ แล้วนี่ท่านมีชุดประจำตำแหน่งเหมือนผู้อื่นหรือไม่ เสี่ยวมี่ขอดูหน่อย”หานฉงหรงยิ้มขำ “ตำแหน่งจวินมิได้ต้องเข้าวัง จึงไม่จำเป็นต้องมีชุดประจำตำแหน่ง มีเพียงป้ายประจำตำแหน่งที่ต้องห้อยติดตัวไว้ยามเข้าวังเท่านั้น” ว่าพลางหยิบป้ายหยกขาวประดับพู่ห้อยสีเขียวสดให้ดู เด็กทั้งสองทำตาโตชื่นชมอยู่ครู่หนึ่งจึงจูงมือนางเข้าไปในห้องรับประทานที่อยู่ส่วนใน“ท่านอ๋อง นี่คือ...”“คงเห็นว่ามีสิ่งของพระราชทานและพระราชโองการแต่งตั้งจากในวังมาที่จวน พวกเขาเลยอยากจัดงานเลี้ยงให้กับเจ้า” อวิ๋นรุ่นที่เดินตามหลังมาเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเห็นสีหน้าของหานฉงหรง “นี่เป็นหลักฐานสิ่งยืนยันได้ว่าเจ้าเป็นที่รักของคนในจวนมากเพียงใด เจ้าเองก็รับน้ำใจของพวกเขาไว้แต่โดยดีเถิด”เด็กสาวเพียงพยักหน้ารับ ก่อนปล่อยให้เด็กน้อยสองคนจูงมือนางเดินนำทุกคนไปต่อ เมื่อไปถึงก็เห็นอาหารที่อยู่บนโต๊ะส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ไม่เผ็ดห
นางไม่ได้ตอบเขาในทันที ดวงตาของหานฉงหรงหลุบลงต่ำคล้ายกำลังใช้ความคิดและลังเล ก่อนตอบ “ท่านพ่อเพิ่งเข้าเมืองหลวงมาไม่นาน เกรงว่าถ้าไม่มีลูกคอยดูแลจะทำอันใดไม่สะดวก”“พ่อมีแม่นางหลีรั่วที่ท่านอ๋องให้นางทำหน้าที่ดูแลพ่ออยู่ อีกอย่าง พ่อมิใช่เด็กน้อย จะได้ต้องให้เจ้าดูแลทุกฝีก้าวไม่ห่างเสียหน่อย”นางขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าคำตอบนี้ยังมิใช่เหตุที่ทำให้บิดาเลิกถามคำถามนี้ “องค์ชายน้อยเองก็ติดลูก เกรงว่าถ้าลูกไม่อยู่จะไม่ยอมเชื่อฟังท่าน”“พ่อสอนเด็กมากี่ปีแล้ว แค่เด็กวัยสี่ขวบอย่างองค์ชายน้อยไม่คณามือพ่ออยู่แล้ว” หานเซียงอวิ๋นยิ้มเอ่ย “มีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่”หานฉงหรงเม้มปาก ก่อนมีท่าทีเปลี่ยนไป นางเผยรอยยิ้มอ่อนบางยามนึกถึงเจ้าของคำพูดที่เอาแต่ใจอย่างเด็กน้อยนั้น “อ้อ ลูกสัญญากับท่านอ๋องเอาไว้ ว่าจะผสมยาย้อมผมให้เจ้าค่ะ”“ยาย้อมผม” ชายชราพลันนึกถึงเหตุการณ์และการกระทำอันอุกอาจของเป่ยหนานอ๋องผู้นั้นที่ทำกับบุตรสาวของตนขึ้นมานางแย้มยิ้มพยักหน้า “ท่านคิดว่าน่าขันใช่หรือไม่ บุรุษผู้นั้นมิมีผมหงอกขาวแม้สักเส้น แค่เพียงเห็นลูกย้อมผมให้ท่านก็รั้นจะย้อมเหมือนกันเสียให้ได้ทั้งที่ลูกบอกแล้วว่าหาผมหงอกไม