Masukภายในห้วงฝันนางเห็นภาพหมอกควันจางๆ ล่องลอยอยู่รอบตัว จนอดตกใจไม่ได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจรู้แล้วว่าหลังจากเสียชีวิตนางไม่ได้ไปยังปรโลก แต่ดันมาเข้าร่างคนอื่นแทน ซาร่าจึงหลับตาลงแน่น หวังว่าหากนางหลับไปอีกครั้งอาจตื่นขึ้นมาในร่างของเสิ่นลี่อิงตามเดิม
“ซาร่า แม่นางซาร่า ลืมตาขึ้นเถิดข้ามาได้ไม่นานนัก” เสียงเย็นยะเยือกกล่าวออกมา
“อย่าส่งข้ากลับไปเลยนะเจ้าคะ ข้ายังไม่อยากตาย” นางกล่าวขึ้นพร้อมๆ กับรีบลืมตามามองชายตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
“เลิกพูดไร้สาระสักที ใครจะส่งเจ้ากลับกัน” ชายผู้นั้นตอบออกมาพร้อมกับใช้ข้อนิ้วมือเคาะมาที่หัวของนางแรงๆ สองที
“ใครจะไปรู้ท่านอาจจะมาตามข้ากลับไปปรโลกก็ได้นี่มันโลกนิยายไม่ใช่โลกความจริงสักหน่อย ข้าหลุดมาในนี้ก็คงเกิดเรื่องปั่นป่วนขึ้นบ้างนั่นแหละ”
“เจ้านี่มันสำคัญตัวผิดเสียจริง การข้ามภพเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของเซียนที่ถูกลงโทษ มีภารกิจ หรือแม้แต่เซียนที่ต้องการลงมาเล่นสนุกอย่างเจ้า เห้อ” ชายผู้นั้นถอนหายใจออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอก
เซียนอะไรวะ ท่าจะบ้า มันมีที่ไหน หรือจริงๆ แล้วฉันแค่กินเยอะไปแล้วฝัน ไม่ได้เข้ามาในนิยายตั้งแต่แรก
“เลิกคิดเพ้อเจ้อเสียที ภพนี้มีอยู่จริงๆ นักเขียนในภพนั้นถูกดลใจให้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น ส่วนเจ้า ความจริงแล้วก็ต้องมาเกิดภพนี้นี่แหละ แต่ระหว่างทางที่จะไปเกิดตัวเจ้าดันสร้างเรื่อง เล่นสนุกจนไปผิดภพ เอาเถอะ เรื่องนั้นยังไม่สำคัญ เอาเป็นว่าเจ้าอยู่ถูกที่ถูกเวลาแล้วในตอนนี้”
แม้จะรู้สึกตกใจแต่เสิ่นลี่อิงก็ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จากการคาดเดาชายตรงหน้านี้คงเป็นเซียนเช่นกัน และคงมีอำนาจวิเศษสามารถให้พรนางได้
ไม่ได้การ..ต้องรีบขอก่อนเซียนท่านนี้จะปลีกตัวกลับไป
“มาบอกแค่นี้เหรอ ไม่มีให้พรวิเศษเหมือนที่ตัวละครที่ข้ามภพมาในนิยายเขาได้กันหรือ ขอหน่อยได้หรือไม่” เสิ่นลี่อิงเก็บความงุนงงไว้ในใจ ก่อนจะถามถึงเรื่องสำคัญที่สามารถใช้เป็นแต้มต่อในการดำเนินชีวิตของตนเองได้ก่อน
แม้นางจะเป็นคนช่างจินตนาการ หากแต่การทำงานในพบก่อนก็ส่งผลให้นางกลายเป็นคนที่สามารถผลักอารมณ์ตกใจทิ้งไป และตั้งสติกับสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วมาเสมอ
“ก็ข้าบอกว่าไม่ใช่นิยาย เอาเถอะ ที่ข้ามาก็มาเพื่อมอบสิ่งเหล่านั้นให้เจ้านั่นแหละ ความจริงแล้วก็เป็นพลังของเจ้าเอง สิ่งที่เจ้าเตรียมไว้ให้ตัวเองคือมิติช่องว่าง ของวิเศษในช่องว่างเจ้าก็เตรียมไว้จนครบ สิ่งไหนใช้อย่างไรไปทดลองเอาเองเถิด ส่วนรถม้านั่นที่ไม่มีใครกลับไปเอาสมบัติของเจ้า เพราะข้าบังตาไว้ ขอบคุณข้าสิ” เซียนหนุ่มน้อยยืดอกขึ้นแสดงความภาคภูมิใจออกมา มีสีหน้าคาดหวังคำขอบคุณและชื่นชมจากนาง
“ท่าทีเช่นนี้ในภพเซียนเจ้าเป็นลูกไล่ของข้าใช่หรือไม่” เสิ่นลี่อิงหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายกับต้องการจับผิด
“หึ่ย ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้าไปก่อน ขอให้สนุก ตามหาภารกิจของเจ้าให้เจอ อีกแปดสิบปีไว้เราค่อยพบกัน”
“เดี๋ยวๆ ข้าจะตายในอีกแปดสิบปีเหรอ งั้นแบบนี้ตอนนี้ทำอะไรก็ไม่ตายใช่ไหม” เสิ่นลี่อิงพูดออกไปอย่างตื่นเต้นเพราะชาติก่อนนางตายตั้งแต่อายุสี่สิบสองปี การได้อยู่จนแก่ถือเป็นความฝันอันสูงสุดในตอนนี้
“จะบ้าหรอ ต่อให้อายุขัยเจ้าจะเป็นอีกแปดสิบปี อีกร้อยปี เจ้าก็ยังต้องระวังอยู่ดี ข้าต้องไปแล้ว” เซียนหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ เลือนหายไปปล่อยนางทิ้งไว้ในห้วงหมอกควันอันน่าขนลุก
น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย แอบหนาวด้วย… เออลืมถามไปเลยว่าตายจากชาติที่แล้วได้ยังไง จำได้แค่หลับไปเฉยๆ ใหลตายเหรอ หรือไอ้หน้าอ่อนนี่มันฆ่าฉันเพื่อพามาโลกนี้กันแน่นะ…
“นี่ แล้วข้าจะออกไปจากตรงนี้ยังไง ลืมพาข้าไปส่งหรือเปล่า” นางตะโกนถามไปในห้วงว่างแห่งนี้ เพราะไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนเพื่อหาทางออก
สิ้นเสียงโวยวายนางก็รู้สึกตัวเพราะมีคนสะกิด เสิ่นลี่อิงลืมตาขึ้นมาพบว่าแสงแดดกำลังแยงเข้าตา และกำลังจะเคลื่อนมายังกึ่งกลางหัวของนาง หันไปด้านข้างก็พบกับพี่สาวที่เจอในตอนเช้า
“อ้าวพี่สาว ข้ามารอตามที่ท่านบอก ข้าเผลอหลับไป เพราะเมื่อคืนข้าไม่กล้านอนหลับในป่ากลัวจะมีอันตราย”
“ไม่ว่ากัน ข้าเข้าใจ เอ..น้องสาวชื่ออะไรหรือ” นางเอ่ยถามออกมา พร้อมกับดึงมือให้เสิ่นลี่อิงตามเข้าไปนั่งในบ้าน
“ข้าชื่อลี่อิง พี่สาวเล่าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อจินเหมย แต่เจ้าจะเรียกว่าพี่จินก็ได้ ความจริงเป็นคนหมู่บ้านถัดไป ข้าแต่งงานมาอยู่ที่นี่”
“เจ้าค่ะพี่จิน ข้าขอฝากตัวด้วย ต่อไปข้าจะมาอยู่ที่บ้านร้างท้ายหมู่บ้านนี้ ข้าขอซื้อจากหัวหน้าหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว” เสิ่นลี่อิงเริ่มต้นการผูกมิตรทันที หากจะอยู่ที่นี่นางจำต้องมีเพื่อน และพี่จินผู้นี้ก็ดูเป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร
“ทำไมไปอยู่บ้านหลังนั้นเล่า บ้านหลังนั้นน่ะผีดุนะ แล้วเหตุใดหลงป่าไม่ไปหาทางการเพื่อกลับไปหาครอบครัวทำไมคิดจะมาปักหลักอยู่ที่นี่” พี่จินรัวคำถามออกมามากมาย เพราะไม่เข้าใจการกระทำของนางแม้แต่น้อย เป็นหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานดันจะมาอยู่บ้านร้างท้ายหมู่บ้านเพียงผู้เดียว ไม่มีใครเขาทำกัน
“อ้อ พอดีตัวข้าจำได้แต่ชื่อเท่านั้น จำสิ่งอื่นไม่ได้อีก คงต้องขออยู่ที่นี่จนกว่าความทรงจำจะกลับมา ส่วนผีไม่เป็นไรหรอกข้าไม่กลัว” นางยิ้มขำเล็กน้อยโบกมือปฏิเสธย้ำว่านางไม่กลัวผีจริงๆ
“น่าสงสารเสียจริง จำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือ จากเสื้อผ้าที่เจ้าใส่ดูไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา เจ้าน่าจะเป็นคุณหนูลูกคนมีเงิน จะทนลำบากเช่นนี้ได้หรือ” พี่จินกล่าวพลางลูบอาภรณ์ของนางไปพลางๆ
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีแต่ต้องอยู่ให้หายดี ถ้าข้าขอเป็นน้องสาวพี่จินได้หรือไม่”
“ได้อยู่แล้วมีน้องสาวงดงามขนาดนี้ ตัวข้าย่อมยินดี มาเถิด บ้านหลังนั้นแม้จะมีเครื่องเรือนอยู่ครบเพราะไม่มีใครกล้าใช้ต่อ แต่พวกหมอนและผ้ารองนอนย่อมไม่มี ยืมของข้าไปก่อน เจ้ามีของเจ้าเมื่อไหร่ค่อยนำมาคืน” พี่จินลุกขึ้นพร้อมกับไปหยิบหมอนขนาดเล็กหนึ่งใบและผ้าห่มบางเบาหนึ่งผืน
“บางไปเสียหน่อย นี่เป็นของลูกข้าตอนยังเล็กเจ้าใช้แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน”
“เท่านี้พี่ก็มีน้ำใจมากแล้ว ขอบคุณพี่จินเหมยที่ดีกับข้า” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มรับน้ำใจของหญิงตรงหน้า
“วันนี้ก็อยู่กินข้าวเสียที่นี่ แล้วเดี๋ยวไปอาบน้ำพร้อมกัน มาเถอะ เดี๋ยวข้าจะทำข้าวกลางวันไปส่งลูกและสามี” พี่จินดึงนางไปที่หลังบ้านให้นางมาช่วยทำครัว
ทันทีที่ได้เห็นครัวเสิ่นลี่อิงถึงกับอึ้ง เพราะครัวของพี่จินเหมยมีเครื่องปรุงเพียงสองอย่าง นางลืมไปเสียสนิทว่าเครื่องปรุงเป็นสิ่งหายากในโลกยุคนี้ หากจะตอบแทนพี่สาวท่านนี้ การนำเครื่องปรุงมาให้นางอาจเป็นเรื่องที่ดีที่สุด พรุ่งนี้นางคงจะลองไปหาวัตถุดิบว่ามีสิ่งใดนำมาทำเป็นเครื่องปรุงได้บ้าง
ภารกิจที่เซียนคนนั้นบอกช่างมันไปเถอะ ต้องกินให้อร่อยก่อนถึงจะอยู่รอด
บทที่ 19 ผันตัวมาเปิดแผงอาหารท่ามกลางบรรยากาศที่ยังคงมืดมิดนั้น มีแสงตะเกียงส่องสว่างอยู่หน้าโรงเรือนเห็ดของเสิ่นลี่อิง นางลุกขึ้นมาตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่อเพาะเห็ดหลินจินดำและเห็ดหลินจือแดงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เห็ดที่พรมน้ำกลิ่นจันทร์ไว้เริ่มเกิดเชื้อเห็ดปกคลุมแล้ว จึงต้องรีบนำมาเพาะเสียก่อน เห็ดอื่นที่นางเพาะไว้ก็เริ่มเติบโตแล้วเช่นกัน เห็นทีพรุ่งนี้นางคงได้นำเห็ดไปขายแลกเงินแล้วเมื่อจัดการกับหลินจือทั้งสามถังเรียบร้อยแล้ว นางก็นำขวดสเปรย์ในมิติมาฉีดพ่นน้ำเล็กน้อย จากนั้นก็ไปเตรียมตัวออกไปขายของในเมืองเสิ่นลี่อิงปลุกเปาเปาในยามเหม่าจับเด็กน้อยอาบน้ำแต่งตัวให้หอมฉุย เพื่อใช้ความน่ารักของเด็กน้อยมาเรียกลูกค้า “วันนี้ใครผ่านมาหน้าแผ
บทที่ 18 หาเงินสำรองไว้เมื่อกลับมาถึงบ้านไฉ่ตู้ก็นำรถเข็นมาส่งกับนางพอดีพร้อมๆ กันนั้นลุงไฉ่เองก็นำน้ำแกงบะหมี่ของวันมาส่งไว้ให้ด้วยเช่นกัน “แม่นางมาพอดี รถเข็นนี้บ้านป้าสู่ไม่ใช้แล้วขายให้เจ้าหนึ่งร้อยอีแปะ รถยังดีอยู่ ข้าว่าเหมาะสม”“ขอบใจมาก นำเข้าบ้านได้เลย ขอบคุณลุงไฉ่เช่นกันเจ้าค่ะน้ำแกงเดี๋ยวข้ายกเอง”เสิ่นลี่อิงตรวจสอบรถเข็นที่ได้มาก็พบว่ายังดีอยู่จริงๆ หากจะซื้อของใหม่จากในเมืองมีราคาสูงถึงห้าร้อยอีแปะ แม้จะมีเงินมากแต่ผู้ใดจะล่วงรู้อนาคต หากวันใดที่นางต้องพาเปาหลงหนีก็คงออกมาหาเงินไม่ได้อีก“เปาเปาเจ้าเข้าบ้านก่อน ถึงเวลาดื่มนมแล้ว” นางเรียกเปาหลงที่กำลังวิ่งเล่นบนผืนดิน
บทที่ 17 ใช้ชีวิตต่อไปเช้านี้เสิ่นลี่อิงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากเย็น แม้หนิงอ๋องจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง แต่จากการที่เปาหลงยังนึกถึงและกล่าวถึงพ่อของตนเสมอ ก็ทำให้นางเป็นห่วงเขาไม่น้อยเช่นกัน และที่สำคัญคือความรู้สึกของเปาหลง หากรู้ว่าพ่อของตนมิรู้ว่าเป็นเช่นไรจะกังวลหรือไม่ ลี่อิงก็คิดห่วงไปมากมายนางลืมตามองเพดานอยู่นานจนเปาหลงต้องตื่นมาเขย่าให้นางลุกขึ้น เพราะหน้าบ้านไฉ่ตู้กำลังส่งเสียงเรียกนางอยู่ “พี่สาวมีคนมา”“แม่นางลี่อิง! ท่านอยู่หรือไม่ ข้ามาถอนหญ้าต่อ แม่นาง!”“พี่สาว ไฉ่ตู้มา ท่านลุกขึ้น”“ขอเวล
บทที่ 16 ท่านมีศัตรูมากไปหรือไม่“เสียนอ๋อง” หนึ่งในพระญาติของพระเอกและตัวร้ายที่รับบรรดาศักดิ์ต่อจากท่านปู่ของตน และก็นับว่าเป็นญาติผู้พี่ของนางด้วย ฝ่ายมารดาของเขาคือคนจากสกุลเสิ่น แต่จนถึงตอนล่าสุดที่ได้อ่าน นางก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ข้างใครระหว่าง ‘หนิงอ๋องหรือรัชทายาท’“ว่าที่พระชายาในหนิงอ๋อง แท้จริงแล้วก็ยังไม่ตาย แต่กลับมาอยู่ในที่ดินปกครองของข้าเสียได้ น่าประหลาดใจนัก”“คนนั้นยังไม่สลบ เขาได้ยินแล้วว่าข้ายังไม่ตาย” นางชี้ไปที่นักฆ่าคนหนึ่งที่เพียงแค่ตัวชากระตุกเพราะเครื่องช็อตไฟฟ้า และได้ยินญาติผู้พี่เฉลยตัวตนของเสิ่นลี่อิงออกมาจนหมดเปลือก เสียนอ๋องเห็นเช่นนั้นก็ให้สัญญาณกับองครักษ์ให้ฆ่าทิ้งเสีย แม้เสิ่นลี่อิงจะปวดใจเพราะงานของนางคือการช่วยคน แต่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างชีวิตนางหรือชีวิตศัตรู นางย่อมเลือกตนเอง“คนที่นำดาบชี้ข้า มาใหม่หรือ” เสียนอ๋องพยักหน้า อ๋องหนุ่มสะบัดมือให้เหล่าองครักษ์หลบออกไปก่อน “จะเอาผิดหรือไม่”“ไม่ล่ะ เสียเวลา ท่านมาที่นี่ทำไม”“นี่มันเขตการปกครองของข้า เจ้าต่างหากยังไม่ตายเหตุใดจึงไม่กลับไป”“ถูกตามล่าเช่นนี้ หากกลับไปข้าย่อมลำ
บทที่ 15 อันตรายในป่า เสิ่นลี่อิงร้องบอกให้ไฉ่หม่ากลับไปทำงาน ไม่ได้สนใจจะพูดคุยกับฉินเปาแม้เพียงครึ่งคำ “แม่นางมาพอดี น้ำเดือดมาได้สักพักแล้ว” ไฉ่ตู้ที่กำลังเปิดฝาดูไม่ให้น้ำแห้งเอ่ยออกมา“ข้าจัดการต่อเอง ขอบคุณมาก” เสิ่นลี่อิงเติมน้ำเล็กน้อยและใส่ขี้เลื่อยที่ได้มาลงไปด้วย นางต้องปล่อยให้น้ำต้มนี้เดือดไปอย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม เวลาระหว่างนั้นนางจึงทำถู่โต้วทอด กินคู่กับเนื้อหมูสันคอย่างชิ้นโต ราดซอสงาขาว เคียงด้วยยำแตงกว่ารสเผ็ดเล็กน้อย แต่สำหรับเปาเปาเขาได้ทานแครอทหั่นแท่งแทน เจ้าของบ้านอย่างลี่อิงแบ่งอาหารให้กับสองพี่น้องไฉ่ด้วย ไฉ่ตู้ชื่นชมนางไม่ขาดปาก หลังกินเสร็จก็เร่งงานยิ่งกว่าเดิม ส่วนอีกคนก็กินแรงตามเคย ทั้งยังบ่นมาตามลมว่านางมีข้าวสารมากมาย แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่ยอมถอน“ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องกิน!” ลี่อิงเองก็เหลืออดเหลือเกิน จึงพูดกระทบกระเทียบกลับไปบ้าง การกินข้าวของนางจึงได้เงียบสงบลงมาเสียที กินเสร็จเสิ่นลี่อิงก็ดับไฟและปิดฝาไว้ “รอให้เย็นก่อนนะ” ระหว่างนั้นก็ให้เปาเปาเอากิ่งไม้มาฝึกเขียนอักษรบนพื้นดิน พร้อมนางที่นั่งทำเสี่ยวหลงเปาอยู่ข้างกัน ลุงไฉ่
บทที่ 14 งานการมากมาย เสิ่นลี่อิงนำดินที่นางขุดออกมาจากมิติ และให้เปาเปานำขี้ทาเกลือคล้ายทรายมาผสมกับดินที่นางขุดมา เมื่อผสมเสร็จแล้วลี่อิงจึงนำถังไม้ขนาดกำลังดีออกมาสองถัง ถังหนึ่งนางใช้ตะปูตอกให้เป็นรูเล็กๆ เพียงสองรู และนำผ้าขาวบางรองไว้ที่ก้นถัง ก่อนจะสั่งให้เด็กน้อยนำดินที่คลุกผสมทั้งสองส่วนเรียบร้อยแล้วมาตักลงใส่ถังที่มีผ้าขาวบางรองไว้อยู่ “ครานี้เจ้าใช้มือกดลงไปให้แน่นๆด้วยแล้วค่อยเติมลงไปเพิ่ม หากไม่แน่นน้ำจะไหลผ่านเร็วและได้เกลือน้อย”“ขอรับ” เด็กน้อยรับคำสั่งและใช้มือของตนตบดินลงไปจนแน่น เสิ่นลี่อิงเห็นว่าเด็กน้อยทำสุดแรงของตนแล้ว นางจึงใช้มือของตนในการกดลงบ้าง เมื่อนางเห็นว่าแน่นดีแล้วก็พยักหน้าให้เปาเปาตักดินใส่ชั้นต่อไปได้ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนเต็มถังไม้ เสิ่นลี่อิงวางถังไม้ที่มีดินอยู่ไว้ด้านบนและถังไม้ที่ไม่มีสิ่งใดไว้ด้านล่างนางตักน้ำใส่ถังที่มีดินลงไป ก่อนจะยกขึ้นดูเล็กน้อยว่ามีน้ำหยดออกมาหรือไม่ เมื่อเห็นว่ามีน้ำหยดแล้ว นางจึงรอให้น้ำด้านบนซึมลงไปก่อนจากนั้นค่อยตักน้ำใส่เพิ่มทีละน้อยทีละน้อย “เหลือเพียงแต่รอแล้ว หากน้ำไหลออกมาเต็มถังนี้ และเค็มเพียงพ







