เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลัวจิ้งส่งผลกระทบต่อจิตใจของไป๋เย่รั่วเป็นอย่างมาก เธอจึงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เธอกลัวว่าเขาจะเอาเรื่องที่เธอหลอกไป๋เหยาไปให้เขาลวนลามไปบอกกับคนอื่น ๆ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน และไป๋เหยาเองก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่คนที่รู้เรื่องนี้ยังมีมู่เฉินอีกคน เธอกลัวเหลือเกินว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคุณพ่อคุณแม่ของเธอ
ท่าทีที่เขาแสดงต่อเธอไม่ได้เป็นมิตรเลย เธอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเธอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจกันนะ เขาถึงแสดงท่าทางรังเกียจเธอถึงเพียงนี้
หญิงสาวถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนหน้านี้หลัวจิ้งมาดักรอพบเธอที่หน้ามหาวิทยาลัย เขาบอกว่าต้องการเงินเพิ่มอีก ไป๋เย่รั่วกัดฟันกรอดคิดจะปฏิเสธ แต่คนสารเลวผู้นี้กลับเอาเรื่องเดิมมาขู่เธอซ้ำไปซ้ำมา เธอจึงต้องยอมมอบเงินให้เขาไป หลัวจิ้งจึงยอมจากไป
ไป๋เหยาที่ลอบมองดูเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลนักพลันยกยิ้มมุมปาก ที่แท้สองคนนี้ก็เกิดการทะเลาะกันถึงขั้นรีดไถเงินทอง น่าสมน้ำหน้าจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ไป๋เหยาคิดทบทวนเรื่องต่าง ๆ มาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอกำลังวางแผนการหนึ่งที่จะทำให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันพร้อมความเกลียดชังไปทั้งชีวิต จนถึงขั้นไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีก
หลังจากเลิกเรียน มู่จินชวนไป๋เหยาไปนั่งกินขนมที่ร้านขนมไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่ไป๋เหยาจะขอตัวกลับบ้าน
หลายวันมานี้เธอไม่ได้พบหน้ามู่เฉินเลย ได้ยินว่าเขามีงานให้ต้องสะสางไม่น้อย จึงไม่มีเวลามาพบเธอ
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลไป๋ก็พบว่ามีรถจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านคันหนึ่ง ไป๋เหยาเดินเข้าไปด้านในและพบกับคุณอาไป๋ ซึ่งเป็นน้องชายของคุณพ่อและมีศักดิ์เป็นคุณอาของเธอ
คุณอาไป๋นั้นเป็นคนนิสัยดีใช้ได้ แต่อาสะใภ้ซึ่งเป็นภรรยาของเขานั้นกลับไม่ได้เรื่อง ลูกชายของเขาที่ชื่อว่าไป๋ม่อก็เป็นพวกไม่เอาไหน ชอบลวนลามผู้หญิงไม่เว้นแม้แต่ไป๋เย่รั่วพี่สาวของเธอ
เมื่อทุกคนเห็นว่าไป๋เหยากลับมาแล้วก็ส่งเสียงทักทายกันทันที ไป๋เหยาส่งรอยยิ้มให้กับทุกคน หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเธอก็ลงมาพูดคุยกับเครือญาติของตน ไป๋เย่รั่วเองก็นั่งร่วมวงด้วย ไป๋ม่อมองไป๋เย่รั่วด้วยแววตาที่ชื่นชอบ ไป๋เย่รั่วรู้สึกอึดอัดไม่น้อยแต่ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป
พวกผู้ใหญ่แยกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งอีกทั้งยังเล่นไพ่นกกระจอกกันอย่างสนุกสนาน ส่วนเด็ก ๆ อย่างพวกเธอต้องมานั่งรวมกลุ่มกันอีกโต๊ะหนึ่ง ไป๋ม่อยิ้มให้ไป๋เหยาแล้วถามญาติผู้น้อง
"นี่เสี่ยวเหยา ได้ยินว่าเธอเพิ่งถูกรถชน หายดีแล้วหรือยัง"
"อืม หายดีแล้ว พี่ล่ะ ยังไม่เลิกดื่มเหล้าอีกเหรอ กลิ่นเหล้าเหม็นติดตัวไปหมดแล้ว"
ไป๋เหยาพูดจาหยอกเย้าไป๋ม่อ ต่างจากไป๋เย่รั่วที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาสักคำ
เวลาผ่านไปไม่นาน ไป๋เหยาก็สังเกตเห็นว่าไป๋ม่อเริ่มจะทำตัวรุ่มร่ามกับไป๋เย่รั่ว เขาแกล้งจับมือเธอบ้าง อีกทั้งยังเอาเท้าของตนมาถูไถขาของไป๋เย่รั่วอีกด้วย ไป๋เหยาทำเป็นมองไม่เห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากไป๋เย่รั่ว เธอเอาแต่ดื่มชาและกินขนมทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไป๋ม่อค่อนข้างแปลกใจเป็นอันมาก ทุกครั้งที่เขามาก็มักจะลวนลามไป๋เย่รั่วเช่นนี้ แต่ไป๋เหยามักจะด่าทอเขาทุกครั้ง จนคุณลุงคุณป้าตำหนิเขาให้อับอาย แต่ครั้งนี้น้องสาวคนดีกลับทำเหมือนไม่เห็นการกระทำต่ำช้าของเขา
เขารู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดี ไป๋เย่รั่วย่อมไม่กล้าเอ่ยปากขอความช่วยเหลืออยู่แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ไป๋ม่อจึงยื่นมือไปลูบต้นขาของไป๋เย่รั่วซ้ำไปซ้ำมา ไป๋เย่รั่วสีหน้าซีดเผือด มือของเขาซุกซนจนเริ่มจะลวนลามเข้ามาในร่มผ้าของเธอ ไป๋เย่รั่วทนไม่ไหวจึงยกถ้วยชาสาดใส่หน้าไป๋ม่อ แล้วตะโกนอย่างเดือดดาล
"พี่ไป๋ม่อคะ พี่อย่าทำแบบนี้ได้ไหมคะ พี่ลวนลามฉันอยู่พี่รู้ตัวไหม!"
เมื่อได้ยินไป๋เย่รั่วเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ทุกคนจึงหันมามอง ประธานไป๋และคุณนายไป๋ขมวดคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาลูกสาวทั้งสอง
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ ไป๋ม่อ นายลวนลามเย่รั่วเหรอ"
คุณนายไป๋ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ ไป๋ม่อที่ได้ยินก็รีบส่ายหน้าแล้วตอบด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
"ไม่นะครับ ผมแค่ชวนน้องเย่รั่วพูดคุย แต่เธอกลับโวยวายและยังสาดชาร้อนใส่หน้าผมอีก ให้ตายเถอะ! หากคุณป้าไม่เชื่อก็ถามเสี่ยวเหยาสิครับ เธอก็เห็นว่าผมไม่ได้ทำอะไรเย่รั่วเลย"
ไป๋เหยาที่กำลังนั่งกินขนมลอบถอนหายใจออกมา ไป๋ม่ออย่างไรก็ย่อมต้องโยนเผือกร้อนชิ้นนี้มาให้เธออยู่ดี หญิงสาวหันมามองทุกคนและคลี่ยิ้มแล้วจึงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"หนูไม่เห็นอะไรเลยนะคะ"
ไป๋เย่รั่วหันมาจ้องไป๋เหยาเขม็ง
"เสี่ยวเหยา ทำไมเธอพูดแบบนี้ เธอก็เห็นกับตาว่าเขาลวนลามพี่ พี่ขอความช่วยเหลือจากเธอตั้งหลายครั้ง แต่เธอกลับทำเป็นมองไม่เห็น หรือเธอกับพี่ไป๋ม่อรวมหัวกันวางแผนอยากทำให้พี่อับอาย"
เพราะความโมโหทำให้ไป๋เย่รั่วกล่าววาจาที่ไม่น่าฟังออกมา ประธานไป๋และคุณนายไป๋จ้องมองไป๋เย่รั่ว แต่อาสะใภ้ซุนคุณแม่ของไป๋ม่อกลับตะคอกขึ้นมาอย่างดูแคลน
"อะไรกันเย่รั่ว ไป๋ม่อก็บอกแล้วว่าไม่ได้ทำอะไรเธอเลย และเสี่ยวเหยาก็ก้มหน้าก้มตากินขนมไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น เธอยังจะกล่าวหาคนอื่นอีกเหรอ เสี่ยวเหยาดีกับเธอมาตลอด เธอคิดแบบนี้กับน้องสาวตัวเองได้ยังไงกัน แย่จริง ๆ นี่ละนะ เขาถึงบอกว่าพี่น้องต่างสายเลือดอย่างไรก็ไม่มีวันจริงใจต่อกัน พวกพี่น่ะเก็บลูกงูพิษมาเลี้ยงยังไม่รู้ตัวอีกเหรอพี่สะใภ้"
"คุณ! พอเถอะน่า"
คุณอาไป๋รีบปรามภรรยาตน บรรยากาศในบ้านเริ่มไม่สู้ดีนัก คุณอาไป๋จึงขอตัวพาภรรยาและลูกชายของตนกลับบ้านไป เมื่อคนจากไปแล้ว คุณนายไป๋ก็เอ่ยถามไป๋เย่รั่วทันที
"เย่รั่ว ลูกคิดมากเกินไปหรือเปล่า ไป๋ม่ออาจจะไม่ได้ทำแบบนั้น ก่อนหน้านี้แม่ก็ตำหนิเขาไปแล้วเขาคงไม่กล้าแล้วละ"
ไป๋เย่รั่วหันมามองไป๋เหยาเธอรู้สึกไม่ชอบใจ ไป๋เหยาเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ทุกครั้งจะออกหน้าแทนเธอมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับไม่สนใจที่จะช่วยเหลือเธอ
เมื่อไม่สามารถยืนยันหลักฐานได้ ไป๋เย่รั่วจึงบอกว่าเธอคงระแวงและคิดมากเกินไป ก่อนจะขอตัวกลับขึ้นไปพักบนห้องนอนของตนเอง ไป๋เหยาก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะขอตัวไปพักเช่นเดียวกัน
แต่เมื่อไป๋เหยากลับขึ้นมาบนห้องนอนก็พบว่าไป๋เย่รั่วกำลังนั่งรอเธออยู่ในห้อง เมื่อเห็นว่าน้องสาวมาแล้ว ไป๋เย่รั่วก็เดินเข้ามาหา และถามอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
"เสี่ยวเหยา ทำไมเธอไม่ช่วยพี่ล่ะ เธอก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าไป๋ม่อคิดจะลวนลามพี่"
ไป๋เหยาเริ่มรำคาญเต็มทน ไป๋เย่รั่วเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญพอ ๆ กับหลัวจิ้งเลยจริง ๆ
เธอหันมามองสบตาพี่สาว แล้วตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
"ฉันไม่เห็นจริง ๆ ค่ะ"
"เธอไม่เห็นหรือว่าแกล้งไม่เห็นกันแน่!"
ไป๋เย่รั่วยิ้มเย็นชา นับวันเธอเริ่มจะไม่ชอบหน้าไป๋เหยามากขึ้นทุกวัน
ไป๋เหยาส่งเสียงเหอะในลำคอ และเอ่ยกับไป๋เย่รั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
"ฉันบอกว่าไม่เห็นก็คือไม่เห็น พี่จะคาดคั้นอะไรฉันคะ ที่สำคัญ เรื่องที่หลัวจิ้งลวนลามฉันก่อนหน้านี้ ฉันก็ไม่เคยเอามาทำเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะไม่อยากให้พี่เดือดร้อน นี่พี่ยังจะบอกว่าฉันไม่ปกป้องพี่อีกเหรอ งั้นเอาอย่างนี้ดีไหมคะ ฉันจะลงไปบอกกับคุณพ่อคุณแม่ว่าฉันเห็นพี่ไป๋ม่อ ลวนลามพี่ แต่พี่ก็ต้องบอกพ่อกับแม่ด้วยว่าวันนั้นฉันก็ถูกหลัวจิ้งลวนลามเหมือนกัน แล้วอย่าลืมพูดด้วยว่าพี่เป็นคนแนะนำให้ฉันรู้จักกับเขาและยังทิ้งฉันให้อยู่กับเขาสองต่อสอง หากไม่ได้น้าเล็กมาช่วยฉันคงแย่ไปแล้ว เอาแบบนี้ดีไหม เราจะได้ไม่ติดค้างกัน?"
ไป๋เหยาทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่ไป๋เย่รั่วกลับรีบพุ่งเข้ามารั้งข้อมือของน้องสาวเอาไว้ก่อน พร้อมกับรีบบอกอย่างลนลานว่า
"อย่านะ ก็ได้ ช่างมันเถอะ เธอไม่เห็นก็คือไม่เห็นพี่ไม่คาดคั้นเธอแล้ว พี่ขอตัวก่อนวันนี้ปวดหัวมากเลย"
กล่าวจบไป๋เย่รั่วก็จากไปทันที เธอไม่ต้องการให้ไป๋เหยาบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่ เพราะเธอรู้ดีว่า หากเธอทำให้พวกเขาผิดหวัง พวกเขาจะต้องส่งเธอกลับไปที่เดิมแน่นอน เธอไม่อยากกลับไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกแล้ว เธอไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตที่ต้องถูกคนเหยียบย่ำดูแคลนอีก และไม่อยากถูกมองว่าเป็นเด็กไม่มีครอบครัว เป็นเด็กที่ไม่มีใครรัก เธอไม่อยากพบเจอเรื่องราวเหล่านั้นอีกแล้ว
รอก่อนเถอะ ครั้งนี้ฉันจะให้เธอทำคะแนนนำไปก่อน แต่อีกไม่นานฉันจะต้องทำให้เธอสูญเสียทุกอย่างไปทั้งหมด
ตอนนี้อย่างไรก็ต้องหลอกใช้หลัวจิ้งไปก่อน เพราะเธอก็ยังหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้
อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของไป๋เหยาแล้ว เมื่อถึงวันนั้นเธอจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับน้องสาวสุดที่รัก
รับรองว่าไป๋เหยาจะต้องจดจำไปจนวันตายเลยทีเดียว!
ตอนนี้ทุกอย่างที่เมืองตงฉางราบรื่นดี ใช้เวลาร่วมเดือนงานก่อสร้างก็คืบหน้าไปมาก มู่เฉินที่เห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว จึงคิดจะเดินทางกลับเมืองหลิงชุน เขาเองก็ไม่ค่อยอยากอยู่ที่ตงฉางมากนัก ที่นี่เงียบเกินไปเขาที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมานานปีจึงไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนักเขาพาไป๋เหยาและมู่จินขับรถกลับเมือง หลิงชุนด้วยกันในเช้าวันต่อมา มู่จินมองเพื่อนรักและน้าเล็กของตนพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย เรื่องระหว่างคนทั้งสองเธอรู้หมดแล้วและไม่ได้คัดค้านอะไร ออกจะดีใจมากด้วยซ้ำที่จะได้เพื่อนรักมาเป็นน้าสะใภ้ของตนเองคนทั้งสามกลับมาถึงเมืองหลิงชุนในช่วงเย็นของวันนั้น คุณนายไป๋ไม่ได้ซักถามอะไรลูกสาวบอกเพียงให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและมากินมื้อเย็นด้วยกัน ไป๋เหยาเม้มริมฝีปากยังไม่กล้าบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าช่วงที่อยู่เมืองตงฉาง เธอและมู่เฉินมีความสัมพันธ์กันหลายครั้งแล้ว แม้จะมั่นใจว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางทอดทิ้งเธอ แต่ไป๋เหยาก็ยังรู้สึกประหม่าเหลือเกินด้านมู่เฉินนั้นเมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลมู่เขาก็จัดการเก็บของตนเองเอาไว้ในห้องและไปอาบน้ำ หลังจากเปลี่ยนชุดและลงมาที่ด้านล่างก็พบว่าเป็นเวลามื้อเย็นแล้ว
ท้ายที่สุดมู่เฉินก็ตัดสินใจแจ้งเรื่องนี้กับสำนักงานตำรวจเมืองตงฉางและส่งตัวหลัวจิ้งให้ทางการทันที ตำรวจเข้าค้นที่เกิดเหตุและส่งหญิงสาวเหล่านั้นกลับบ้าน อีกทั้งยังเอาผิดพ่อแม่ของเธอที่ขายลูกสาวอย่างผิดกฎหมาย ถูกปรับหลายร้อยหยวน มู่เฉินที่ตามไปดูเหตุการณ์รู้สึกเวทนาพวกเขาไม่น้อย เพราะความยากจนทำให้พวกเขาต้องตัดสินใจทำแบบนี้ ชายหนุ่มตัดสินใจจ่ายค่าเสียหายแทนพวกเขาเป็นเงินหลายพันหยวน และหางานให้หญิงสาวเหล่านั้นทำ ตอนนี้ที่เมืองตงฉางมีโรงงานตระกูลมู่ที่สร้างเสร็จและกำลังเปิดรับคนเข้าไปทำงาน เขาจึงให้พวกเธอไปสมัครงานที่โรงงานของเขาจะได้มีเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวส่วนหลัวจิ้งนั้นยังคงไม่ซัดทอดไปถึงใครทั้งนั้น เขาปิดปากเงียบและถูกจับกุมตัวเอาไว้ทางด้านเฉียนฟานที่เพิ่งเดินทางมาถึงและทราบเรื่องก็ลอบก่นด่าหลัวจิ้งเป็นร้อยครั้งที่ทำงานได้อย่างบัดซบที่สุด ซ้ำยังถูกตำรวจจับตัวได้อีก ครั้งนี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากต้องล่าถอยและรีบกลับเมืองหลิงชุนไปก่อนเดิมทีเขาคิดว่านอกจากจะมารับตัวหญิงสาวพวกนั้นไปแล้วยังคิดจะมาดูมู่เฉินเสียหน่อยว่ามันทำอะไรไปบ้าง ที่สำคัญเด็กสาวคนนั้นก็ตามมันมาด้วย เขาเองพอจะรู้
ทางด้านไป๋เหยานั้นหลังจากที่ได้สติกลับมาแล้ว เธอรู้สึกว่าปวดไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณศีรษะนั้นเจ็บมากที่สุด เธอพยายามหยัดกายลุกขึ้น หญิงสาวมองไปรอบ ๆ บริเวณ พบว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในห้องเก่า ๆ ห้องหนึ่ง ไม่ไกลกันนักมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยหลายคนที่นั่งรวมตัวกันอยู่อีกมุมหนึ่ง พวกหล่อนมองไป๋เหยาอย่างหวาดหวั่น มีบางคนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดไป๋เหยาขมวดคิ้วมุ่น นี่มันเรื่องอะไรกันเธอพยายามคิดทบทวนถึงเรื่องก่อนหน้านี้ เดิมทีเธอออกมาเก็บผ้าพันคอ แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนใช้ของแข็งฟาดเข้ามาที่ท้ายทอยจนสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่เสียแล้วหัวใจของไป๋เหยาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหนและใครกันที่เป็นคนจับตัวเธอมาไป๋เหยาพยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เธอไม่ใช่คนในพื้นที่ อีกทั้งยังไม่ใช่คนที่นี่แล้วทำไมถึงถูกจับตัวมากันนะ เธอมองพลางคิดจะหาทางหนีทีไล่ จึงขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวเหล่านั้นแล้วสอบถาม"ขอถามหน่อยค่ะ ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่กันเล่า"หญิงสาวเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะมีอายุยังไม่ถึงสิบแปดปี พวกเธอมองไป๋เหยาอย่างหวาดกลัว
สองวันต่อมามู่เฉินและไป๋เหยาก็เดินทางไปเมืองตงฉางพร้อมกัน การเดินทางครั้งนี้มีมู่ จินร่วมเดินทางไปด้วย มู่เฉินกลัวว่าระหว่างที่เขาต้องไปทำงานไป๋เหยาจะเหงา จึงให้มู่จินมาอยู่เป็นเพื่อนกับเธอ อีกทั้งเขาต้องการให้คนบ้านตระกูลไป๋มั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเธอคุณนายไป๋ยิ้มแล้วมองลูกสาวที่ออกไปพร้อมมู่เฉินและมู่จิน เดิมทีเธอยังค่อนข้างหนักใจที่ไป๋เหยาตกลงคบหากับมู่เฉินที่มีอายุห่างกันหลายปี แต่เมื่อเห็นว่าลูกสาวมีความสุขและมู่เฉินก็ดูแลไป๋เหยาเป็นอย่างดี เธอและสามีก็พอจะวางใจลงได้ไม่น้อยระยะทางจากเมืองหลิงชุนและตงฉางนับว่าต้องใช้เวลาเดินทางอยู่ไม่น้อย แต่มู่เฉินไม่ได้รีบร้อนเดินทางด้วยเครื่องบิน จึงถือโอกาสนี้นั่งรถส่วนตัวมาเพื่อจะได้ชมทิวทัศน์ข้างทางไปด้วย "นี่เหยาเหยา เธอลองกินขนมอบดูสิ ร้านนี้อร่อยมาก"มู่จินเอ่ยพร้อมกับยื่นห่อขนมมาให้เพื่อนรัก ไป๋เหยารับมากินชิ้นหนึ่งพบว่ารสชาติดีจริง ๆมู่เฉินหันไปมองหลานสาวของตนเอง และพูดขึ้นมา"จินจินตัวแสบ เธอกินเยอะจนแก้มบวมแล้ว อย่ามาชวนเสี่ยวเหยาของฉันกินเยอะเหมือนเธอสิ"มู่จินหันมาถลึงตาใส่น้าเล็กของตนพร้อมกับยื่นมือมาตีแขนมู่เฉินอย่า
อากาศยามเช้าวันนี้ค่อนข้างดี มู่เฉินตื่นนอนแต่เช้า หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินลงมารับมื้อเช้า เมื่อมาถึงห้องอาหารก็พบกับคุณพ่อที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ชายหนุ่มทิ้งกายลงนั่งฝั่งตรงหน้าผู้เป็นพ่อพร้อมกับยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม"ข่าววันนี้ไม่ดีเหรอครับ ทำไมพ่อหน้าเครียดแบบนั้น"มู่เฉิงพับหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับลูกชาย"หลายวันมานี้คล้ายพันธบัตรที่พ่อซื้อไว้เหมือนจะราคาตกลงไปไม่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ราคายังขึ้นอยู่เลย อย่างนั้นคงต้องพักเอาไว้ก่อน ไม่ลงทุนเพิ่มแล้ว"มู่เฉินพยักหน้าช้า ๆ สมัยนี้คนชอบลงทุนซื้อพันธบัตรเก็บไว้ ช่วงไหนราคาขึ้นก็มีความสุขดีใจกันยกใหญ่ ช่วงไหนที่ราคาตกขาดทุนก็ถึงกับยิ้มไม่ออก เขาเองก็มีซื้อเอาไว้บ้างแต่ไม่ได้ลงทุนมากนัก"การลงทุนล้วนมีความเสี่ยงพ่อก็ระวังด้วยครับ ว่าแต่แม่กับพี่ล่ะ ออกไปแล้วเหรอครับ""อืม ออกไปที่โรงแรมแต่เช้าแล้ว แกรีบกินเถอะ พ่อมีเรื่องจะพูดกับแกหน่อย""ครับ"มู่เฉินพยักหน้าพร้อมกับรีบกินอาหารเช้าหลังจากที่เห็นว่าลูกชายกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่เฉิงก็เข้าเรื่องทันที"แกจะไปที
เมื่อหญิงวัยกลางคนผู้นั้นพูดว่ามู่เฉินคือลูกชายของเธอ ทุกคนในงานต่างแตกตื่นเป็นอย่างมาก แต่ไป๋เหยากลับมองด้วยแววตาที่เรียบเฉยชาติก่อนตอนที่เธอเริ่มจะล้มป่วยและยังไม่ได้นอนติดเตียงก็พอรู้ข่าวของมู่เฉินจากหน้าหนังสือพิมพ์อยู่แล้วแม่ที่แท้จริงของเขามีชื่อว่าจ้าวเหมย เธอทำงานอยู่ในบาร์เหล้าและมีความสัมพันธ์กับประธานมู่จนตั้งครรภ์ จากนั้นพวกเขาก็บีบบังคับเอาลูกของเธอมาเลี้ยง และขู่จะทำร้ายเธอ อีกทั้งยังบอกให้เธอรับเงินไปและอย่าเสนอหน้ากลับมาอีกเรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่และเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่ตระกูลมู่ไม่ต้องการให้คนนอกรับรู้ เพราะค่อนข้างส่งผลกระทบต่อหน้าตาของคนในตระกูลเป็นอย่างมากตอนแรกเธอรู้ว่าแม่ของเขาไม่ใช่คุณนายมู่ แต่ไม่เคยถามเขา เพราะอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แต่เมื่อได้เปิดใจคบหากัน มู่เฉินก็เล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังทั้งหมด เธอรู้สึกสงสารเขามาก ทั้งที่มีแม่ แต่แม่กลับไม่เคยรักเขาซ้ำร้ายยังใช้เขาเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองอีกด้วยเธอมองจ้าวเหมยอีกครั้งและไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาประธานมู่และคุณนายมู่ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี มู่เฉิงพ่อของมู่เฉินถึงกับหันมามองคนใช้ในบ้านอย่างค