공유

บทที่ 4

작가: วิถีมารไร้ขอบเขต
ตอนที่แม่กำลังถลกหนังกระต่าย เขาก็เห็นเข้ากับแผลที่ถูกความเย็นกัดบนมือของแม่เข้า

พอเห็นแผลของแม่ ผังเป่ยก็เริ่มคิดไตร่ตรองอยู่ในหัวขึ้นมาทันที

แม่กับน้องสาวแล้วก็ตัวเขาเอง ล้วนไม่มีของที่ไว้ป้องกันความหนาวได้เลย ต่อให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ชั่วคราว แต่นี่ยังไม่ถึงช่วงสามเก้าวัน[1]เลย ถ้าถึงช่วงสามเก้าวันที่หนาวเย็นที่สุดแล้ว มีเพียงแค่เสื้อผ้าบนตัวของเธอแบบนี้ เกรงว่าจะต้องหนาวตายทั้งเป็นแน่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสภาพอากาศบนภูเขาที่หนาวเย็นว่าด้านล่างภูเขาหลายเท่าตัว

แน่นอนว่าช่วงฤดูร้อนก็เปลี่ยนเป็นเย็นสบาย

ดูท่าแล้ว ก็คงจะต้องเตรียมเสื้อผ้าป้องกันความหนาวไว้ด้วย แต่ในตอนนี้ฝ้ายเป็นของหายาก หากจะทำเสื้อผ้าหน้าหนาว ก็จำเป็นต้องใช้ตั๋วผ้า

นี่มันขัดกับความเป็นจริงในตอนนี้เลย ดูท่าแล้ววิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นขนสัตว์ ขนสัตว์ก็ป้องกันความเย็นได้ แต่ว่าจำเป็นต้องเป็นขนจากสัตว์ขนาดใหญ่

สัตว์ใหญ่อย่างพวกหมาใน หมาป่า เสือโคร่ง เสือดาวอะไรพวกนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เขาไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น คิดจะทำเรื่องพวกนี้ก็คือไปหาเรื่องตาย

เพราะหนึ่งเขาไม่มีปืน สองคือร่างกายและจิตใจเขายังไม่พร้อม ตอนนี้แค่จะทำให้ท้องอิ่มก็ต้องเปลืองแรงไม่น้อย ตอนนี้จึงมีแต่ต้องยอมถอยไปเลือกสิ่งที่เป็นรองลงมา จัดการพวกกวางโรอะไรพวกนี้เป็นดีที่สุด

กวางโรก็คือกวางโรจอมทึ่มที่คนตงเป่ยเรียกกันติดปากนั่นแหละ

ต่อให้เจ้าสัตว์ชนิดนี้เป็นดอกไม้งามหายากท่ามกลางสัตว์ทั้งหลาย แต่ไอคิวก็ต่ำกว่ามาตรฐาน

และที่ตงเป่ย พวกกวางโรก็มีอยู่ค่อนข้างมาก

แต่การจะจับเจ้ากวางโรจอมทึ่ม อย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีเสื้อคลุมผ้าฝ้าย เพราะจะจับมันต้องใช้เวลาเล็กน้อย

ดีที่สุดคือมีปืนล่าสัตว์สักกระบอก

แต่ปืนล่าสัตว์นั้น มีแค่กระบอกที่อยู่ในมือของหัวหน้าเท่านั้น

ผังเป่ยครุ่นคิดเล็กน้อย ดูท่าว่าจะต้องไปยืมสักหน่อยแล้ว อย่างมากก็แค่ล่าเนื้อกลับมาได้ แล้วก็แบ่งให้พวกเขาสักหน่อยเป็นการตอบแทน

ตอนที่คิดถึงเรื่องนี้ กลิ่นเนื้อหอม ๆ ก็ลอยโชยเข้าจมูก

แม่ตุ๋นเนื้อแล้ว ผังซีเองก็นั่งยอง ๆ อยู่หน้าเตา คอยเช็ดน้ำลายอยู่ตลอดเวลา ดวงตาจดจ้องอยู่ที่เตาที่ไฟกำลังลุกโชน

ส่วนแม่ก็สับน่องกระต่ายออกมาแล้ว กำลังย่างอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ อาศัยความร้อนจากเปลวไฟมาสร้างความอบอุ่น

ที่จริงแล้วในห้องยังหนาวไม่น้อย กระท่อมน้อยหลังนี้มีลมพัดเข้ามารอบด้าน แม้ว่าช่วงกลางวันแม่จะหาของมาบัง มาอุดตามรอยแล้วก็ตาม แต่ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อย

ลมหนาวยังคงลอดทะลุผนังเข้ามาด้านในกระท่อมไม่หยุด

ก่อนจะถึงช่วงสามเก้าวัน ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้ แต่ตอนนี้เสื้อผ้าป้องกันความหนาวต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ไม่มีเสื้อผ้าป้องกันความหนาว ก็ไม่มีทางเข้าป่าเขาไปล่าสัตว์ได้

ถึงอย่างไรหากต้องการมีชีวิตรอดต่อไป อาศัยเพียงแค่เสื้อผ้าบนตัวตอนนี้ นั่นก็จะเป็นการเห็นธรรมชาติเป็นเรื่องเล่น ๆ เกินไปจริง ๆ

ในที่สุด กลิ่นเนื้อหอม ๆ ก็ลอยคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง

หลี่ว์ซิ่วหลันยิ้มพลางบอกว่าเสร็จแล้ว สองพี่น้องจึงรีบล้อมวงเข้าไปทันที

แม่ถือชามกระเบื้องเนื้อหยาบ ๆ ไว้ แล้วตักน้ำแกงเนื้อให้ผังเป่ยเต็มถ้วย พร้อมกับเนื้อที่มีมากเป็นพิเศษ ต่อมาก็ตักใส่ชามของผังซี แม้ว่าจะมีเนื้อลอยอยู่ในแกงไม่กี่ชิ้น แต่เมื่อเทียบกับน้ำแกงใส ๆ ในชามของแม่แล้ว นับว่ามากกว่าเยอะ!

ผังเป่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง คีบเนื้อในชามให้แม่ แล้วก็แบ่งไปให้ผังซีด้วยอีกเล็กน้อย

หลี่ว์ซิ่วหลันรีบพูดขึ้นทันที “แม่ไม่เอา แกต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ไม่กินให้เยอะ ๆ มันจะใช้ได้ที่ไหน”

ผังเป่ยยิ้มแล้วกล่าว “ผมก็กินเยอะขนาดนั้นไม่ไหวหรอก แม่... แม่กินเถอะ งานในบ้านก็แม่ที่เป็นคนทำ เสี่ยวซียังเด็ก ต้องทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ทั้งสองคนต้องกินเนื้อเยอะ ๆ ถึงจะถูก!”

หลี่ว์ซิ่วหลันชะงักงัน

แม้ว่าลูกชายตัวน้อยจะกตัญญู แต่ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

หากเป็นเมื่อก่อน จะต้องก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่สนใจคนอื่นไปนานแล้ว

ทว่าผังเป่ยกลับแบ่งให้ตัวเธอเองกับน้องสาว

ลูกเธอโตแล้ว!

ความอบอุ่นพลันเอ่อขึ้นมาในใจของหลี่ว์ซิ่วหลัน ส่วนเจ้าน้องน้อยก็ไม่กล้ากิน เธอมองแม่ด้วยสายตาน่าสงสาร

หลี่ว์ซิ่วหลันยิ้มพลางกล่าวว่า “กินกันเถอะ พี่เขาให้แกแล้ว แกก็กินให้หมดละ!”

ผังซีกัดไปหนึ่งความด้วยความเบิกบาน จากนั้นดวงหน้าเล็ก ๆ ก็แดงเรื่อ “อร่อย อร่อยมากๆ! แม่ เนื้ออร่อยมาก ๆ เลย!”

เห็นเด็กน้อยกินจนปากมันแผล็บแล้ว ผังเป่ยก็ดีใจ

ทว่าในช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้ ก็มีเสียงฝีเท้าดังลอดเข้ามาจากด้านนอก

ผังเป่ยนึกสงสัย ป่านนี้แล้วยังจะมีใครมาอีก?

สุดท้าย อีกฝ่ายก็เปิดประตูโผงเข้ามาอย่างไร้มารยาท

ผังเป่ยจ้องมอง ถึงเห็นว่าเป็นผังตง พี่ชายคนโตของตนเอง

ทันทีที่ผังตงเข้ามาในกระท่อม ก็ไม่พูดอะไร สายตาจดจ้องไปยังน่องกระต่ายที่กำลังย่างอยู่บนเตา

“โอ้โฮ มีชีวิตดีไม่เลวนี่ ย่างเนื้องั้นเหรอ?”

พูดไป ก็เอื้อมมือออกไปคว้าน่องกระต่าย ทว่าสิ่งที่เขานึกไม่ถึงก็คือ จะมีไม้เผาฟืนกิ่งหนึ่งฟาดลงมาบนมือของเขาโต้ง ๆ

“ใครใช้ให้พี่จับ แยกบ้านกันแล้ว ที่นี่เป็นบ้านของพวกผม ไม่เกี่ยวข้องกับพี่”

ผังตงชะงักงัน

เขามองไปทางผังเป่ยด้วยความโมโห “นี่แกกล้าตีฉัน?”

ผังเป่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าคิดว่าใช่งั้นมันก็ใช่ พี่มาทำอะไร? ผมจำไม่เห็นจะได้ว่าเชิญพี่มาด้วย”

ผังตงมองผังเป่ย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “นี่แกกล้าตีฉัน?”

หลี่ว์ซิ่วหลันกังวลว่าพวกเขาจะชกต่อยกัน เธอจึงรีบเอ่ยปราม “เสี่ยวเป่ย อย่าใจร้อน เอาน่องกระต่ายส่วนของแม่กับผังซีให้เขาไปก็ได้”

สุดท้ายเธอยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นมีดในมือของผังเป่ยจ่อไปที่ลำคอของผังตงเสียแล้ว

ใครจะไปนึก ว่าผังเป่ยจะชักมีดใส่พี่ชายคนโตของตัวเอง!

ผังตกตื่นตกใจ เขาเบิกตากว้าง จ้องมองมีดเล่มน้อยบนคอ

นั่นเป็นของที่ผังเป่ยพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เดิมทีเป็นเพียงมีดปอกเปลือก นึกไม่ถึงเลยว่าผังเป่ยจะถึงกับชักมีดเพียงเพราะน่องกระต่าย!

ผังเป่ยมีสายตาเย็นชา ทั้งยังแฝงไปด้วยจิตสังหาร

“ผมไม่อยากพูดอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้ายังกล้าแตะต้องของของเสี่ยวซีกับแม่อีกละก็ ผมจะตัดนิ้วพี่ ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ลองดู”

พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของผังเป่ยก็เปลี่ยนไปอ่อนโยน “เสี่ยวซี แบ่งกับแม่นะ อย่ากินคนเดียวละ เดี๋ยวจะท้องเสียเอา!”

ผังซีรีบพยักหน้า เธอรับน่องกระต่ายมาด้วยความดีใจ

หลี่ว์ซิ่วหลันรีบเกลี้ยกล่อม “เสี่ยวเป่ย แกอย่าทำแบบนี้เลย แม่ไม่เป็นไร”

ผังเป่ยร้องเหอะ แล้วจึงเก็บมีดกลับไป จากนั้นก็คว้าน่องกระต่ายมาอย่างไม่สนใจใคร ทันทีที่กัดเข้าไปหนึ่งคำ น้ำมันก็ไหลเยิ้มออกมา

ผังตงมองผังเป่ยกินเนื้อ เขาอยากกินจนต้องกลืนน้ำลายอยู่ตลอด

นี่มันเนื้อเชียวนะ ปกติขนาดแป้งหมี่เปียกกับผักก็ใช่ว่าจะมีพอให้กินอิ่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื้อเลย

ต่อให้เป็นผังตง จำนวนครั้งที่เขาได้กินเนื้อ ใช้มือนับข้างเดียวก็ยังนับได้เลย

แต่การไม่ได้กินเนื้อ ก็ทำให้เขาอยากจนทนไม่ไหว

ผังเป่ยแค่นเสียงร้องเฮอะอย่างเย็นชา แล้วพูดออกไปว่า “มีเรื่องอะไร? ถ้าไม่มีอะไรก็เชิญกลับไปซะ!”

ผังตงกลืนน้ำลาย แล้วพูดว่า “ฉันมาก็เพื่อหยิบยื่นทางลงให้พวกแกนั่นแหละ พ่อไม่โกรธแล้ว พวกแกยังไม่กลับไปอีก? แล้วงานในบ้านจะให้ใครทำล่ะ?”

พอได้ยินคำพูดนี้ของผังตง ในใจของหลี่ว์ซิ่วหลันพลันหนักอึ้ง สีหน้าเองก็ย่ำแย่ไปด้วย

ที่มาหาก็เพียงเพราะไม่มีใครทำงานในบ้านอย่างที่คิดจริง ๆ

ผังเป่ยกลับร้องฮึ่มด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นจึงพูดว่า “แม่ฉันไม่มีอารมณ์ไปทำเรื่องแบบนั้นหรอก แล้วก็ไม่ได้เป็นคนใช้ของใครด้วย ประเทศเราปลดแอกมานานแล้ว ยังจะมาทำแบบนี้อยู่อีก มีงานในบ้านก็ทำกันเองสิ ไม่ได้มือขาดเท้าด้วนสักหน่อย?”

ทันทีที่ผังตงได้ยิน ก็รีบตอบโต้กลับไปทันที “พวกแกจะไม่กลับไปกับฉันใช่ไหม? บนตัวพวกแกไม่มีเสื้อผ้าฝ้ายกันเลยสักตัว ต่อให้อยู่บนเขาแล้วจะมีเนื้อกิน แล้วยังไงล่ะ? อากาศก็ยิ่งหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องหนาวตายแน่!”

ผังเป่ยยิ้มเย็น “พี่ไม่ต้องมาห่วงเรื่องนี้หรอก มีผมอยู่ทั้งคน แม่ผมกับเสี่ยวซีไม่มีทางเป็นอะไรแน่ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พี่ก็กลับไปเถอะ รีบกลับไปตอนที่ฟ้ายังไม่มืดค่ำนี่แหละ เพราะถ้ามืดแล้ว คนที่จะหนาวตายอาจจะไม่ใช่พวก แต่เป็นพี่ต่างหาก”

ผังตงนิ่งงัน จากนั้นก็พูดออกมาด้วยใบหน้ากับหูที่แดงก่ำ “ดีๆๆ ฉันจะรอดูว่าถึงวันที่หนาวกว่านี้แล้วพวกแกจะทำยังไง! ถึงตอนนั้นก็อย่ามาร้องไห้ขอร้องพวกเราละ!”

พูดไป ผังตงก็ผลักประตูเดินออกไป หลี่ว์ซิ่วหลันคิดจะลุกขึ้น ทว่ากลับได้ยินผังเป่ยเอ่ยปากออกมาว่า “แม่ เขาอายุยี่สิบแล้ว ยังจะต้องให้แม่เป็นห่วงอะไรอีก? แล้วก็นานขนาดนี้แล้ว เขาเคยเรียกแม่ว่าแม่สักครั้งไหม? จะไปสนใจเขาทำไม? หมาป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่องแบบนี้ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”

------------------------------------------

[1] ช่วงสามเก้าวัน หมายถึง ช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาวในปฏิทินจีน
이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요
댓글 (1)
goodnovel comment avatar
ອິດ ພັນນະວົງ
ไม่ขออ่านละครับ,คนแปลมึงแปลได้หยาบมาก
댓글 모두 보기

최신 챕터

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 35

    หลี่ว์ชิงซงตื่นตระหนก เขาไม่คาดคิดว่าจะถูกเดรัจฉานนี้ซุ่มโจมตีเคยได้ยินจากพ่อของตัวเองมาตลอดว่าไอ้เจ้าหมาป่านี้มันดุร้ายและเจ้าเล่ห์นัก แต่ก็ไม่เคยเจอกับตัวมาก่อนแน่นอนว่าถ้าเขาเคยเห็นมาก่อน ก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้“ทำไงดี!” เสียงพูดของหลี่ว์ชิงซงสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็รีบชักกรวยน้ำแข็งออกมาในทันที ป้องกันไม่ให้หมาป่าที่จะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ผังเป่ยกระซิบ "ตอนนี้พวกเราทำได้แค่หาทางถอยกลับไปที่กับดักตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางสู้มันได้!"หลี่ว์ชิงซงพยักหน้า มีกับดักช่วย พวกเขาสองคนก็ยังมีโอกาสรอดตาย ถ้าขืนสู้ไปทั้งอย่างนี้ โอกาสรอดก็เท่ากับศูนย์หลังจากหารือวิธีรับมือแล้ว ชายทั้งสองก็เคลื่อนตัวไปทางกับดักในทันทีแต่จะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปไม่ได้ จะให้ฝูงหมาป่ารู้ว่าพวกเขากลัวไม่ได้ดังนั้นต้องไปชิดทางนั้นอย่างระมัดระวังโชคดีที่กับดักอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้หลัก ๆ แล้วผังเป่ยกับหลี่ว์ชิงซงสองคนต้องระแวดระวังขณะถอยไปทางด้านนั้นด้วย แล้วก็ต้องหันหลังให้กัน เพราะกลัวว่าจะถูกลอบโจมตีถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่หลี่ว์ชิงซงก็ได้ยินเสียงดังกรอบแกรบที่อยู่รอบตัวแล้วนอกจ

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 34

    หลังจากที่ได้พูดคุยกับตาอยู่พักหนึ่ง ผังเป่ยก็รู้สึกมั่นใจในการล่าสังหารฝูงหมาป่ามากขึ้นการตามล่าราชาหมาป่าก็เป็นศึกสำคัญสำหรับตัวเขาในการรักษาตำแหน่งผู้พิทักษ์ภูเขานี้!ดังนั้นเขาจะต้องชนะเท่านั้น จะแพ้ไม่ได้!แม้ว่ามารดาจะโดนดุอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วบ้านตาถือว่าใจดีกับพวกเขามากที่นี่ ผังเป่ยสัมผัสได้ถึงความใส่ใจจากครอบครัว แล้วก็ความกลมเกลียวกันของทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะลุงใหญ่หรือยายต่างก็ใจดีกับผังเป่ยมาก แม้ว่าตาเข้มงวดไปสักหน่อย แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักที่กว้างใหญ่ดุจขุนเขาที่ตามีให้ตั้งแต่ยุคโบราณ ลูกสาวกลับบ้านเดิมจะต้องไม่จากไปมือเปล่าคนแก่คนเฒ่ากลัวว่าลูกสาวจะหิวและหนาว จึงจะเตรียมเครื่องนอนและของใช้จำเป็นไว้ให้เมื่อเธอออกเดินทางผังเป่ยกลับบ้านมาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระใบน้อยใหญ่ ในใจเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดูท่าการพาแม่กลับมาจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว!หลังกลับถึงบ้าน ในตอนที่ผังเป่ยพลิกตัวเข้ามาในลานบ้าน ก็ได้เห็นเข้ากับผังซีที่กำลังเล่นกับสุนัขจิ้งจอกในลานบ้านอยู่พอดีจิ้งจอกนอนเตะขาด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์อยู่บนพื้น และมือเล็ก ๆ ของผังซีก็กำลังลูบขนอันนุ่มนิ่

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 33

    ได้รับดาบมา ตอนนี้ผังเป่ยก็ถือว่ามีอาวุธมีพลังทำลายล้างแก่กล้าอยู่อย่างหนึ่งแล้วถึงแม้ดาบซามูไรจะไม่ได้เหมาะกับการล่าสัตว์ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ป่า ก็ยังมีความสามารถพอที่จะใช้ตอบโต้ได้ผังเป่ยเก็บอาวุธเอาไว้ เขารู้ว่านี่ก็นับเป็นมรดกหลังจากเก็บอาวุธแล้ว หลี่ว์หย่วนจงก็มองไปที่ผังเป่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม "ไอ้หนู ได้ยินว่าแกอยากจะจัดการกับฝูงหมาป่าใช่ไหม?"ผังเป่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบ "ใช่ครับ"“รับอันนี้ไป! เดิมทีเดิมนี่ฉันว่าจะเอามันใส่ลงโลงไปด้วย แต่แกคงได้ใช้มัน เพราะงั้นเอาไปเถอะ!”ขณะที่เขาพูดไป ตาก็ส่งสายตาให้ยาย ยายก็ไปเปิดตู้ใหญ่และหยิบชุดคลุมหนังหมีออกมาจากข้างในในทันที!โดยทั่วไปแล้ว พรานจะรวบรวมสิ่งของจำนวนหนึ่งที่ตนได้มาจากการล่าสัตว์ใหญ่ตลอดทั้งชีวิตมาเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวหรือหนังยายแย้มยิ้มพร้อมกางหนังหมีออก แล้วสวมให้ผังเป่ยเธอลูบแก้มของผังเป่ยด้วยความเอ็นดูแล้วพูด "เสี่ยวเป่ยใส่แล้วดูเข้ามากจริงๆ!"ในตอนนี้ตาก็ได้ถอดของสิ่งหนึ่งอย่างออกจากคอ แล้วพูด "ไอ้หนู มานี่สิ!"ผังเป่ยเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย และหลี่ว์หย่วนจงก็สวมสร้อยคอที

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 32

    สรุปแล้วตาเฒ่ากำลังคิดหาเหตุผลที่จะไปตีอีกฝ่ายในภายภาคหน้าดังนั้นเขาจึงได้เงียบไปผังเป่ยก็พูดขึ้นมาจากด้านข้าง “เรื่องเงินผมจัดการได้ครับ ตาไม่ต้องกังวล”หลี่ว์หย่วนจงพินิจมองผังเป่ย แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “เด็กน้อยอย่างแกน่ะ ขนยังขึ้นไม่ครบเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับมีฝีมือความสามารถแล้ว ฉันเห็นแล้วว่าแกฆ่าหมาป่ากลับมา ทีแรกฉันนึกว่าทักษะแขนงนี้ของครอบครัวจะหมดสิ้นไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม้ลูกชายจะทำไม่ได้ แต่หลานชายกลับมารับช่วงต่อ เยี่ยมเลย!”พูดถึงตรงนี้ หลี่ว์หย่วนจงก็เอี้ยวตัวไปเปิดตู้ข้างเตียง และหยิบของจากข้างในออกมาหลายอย่าง สิ่งแรกคือหนังแกะผืนหนึ่งหลี่ว์หย่วนจงส่งหนังแกะให้ผังเป่ยแล้วพูดต่อ “ในเมื่อแกอยู่ในวงการนี้ งั้นก็ต้องรู้จักเส้นทางการกระจายตัวบนภูเขา ที่ไหนน่าจะมีอะไร แผนที่นี้ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายที่ฉันบากบั่นมาตลอดชีวิต ทีแรกฉันตั้งใจจะให้ลุงใหญ่ของแก แต่เขาไม่เอาไหน ไม่มีฝีมือในการล่าสัตว์ แต่แกมี สิ่งนี้เลยต้องส่งต่อให้แก บนแผนที่นี้ไม่ได้มีแต่เส้นทางกระจายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีสัญลักษณ์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง ที่ไหนไปได้ ที่ไหนไปแล้วต้องระวังให้มาก แล้

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 31

    เมื่อเห็นบิดาถือไม้เท้าเดินออกมา หลี่ว์ซิ่วหลันก็ทรุดลงคุกเข่าลงกับพื้นดังปั๊ก"พ่อ!"ชายชรามองดูลูกสาวของตนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ "ลุกขึ้น เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเอา กลับบ้านกับฉัน!"หลี่ว์ซิ่วหลันตะลึงงัน แล้วพี่ใหญ่ก็มาดึงเธอขึ้น “เธอคิดอะไรอยู่ กลับบ้านกับพ่อสิ!”หลี่ว์ซิ่วหลันพยักหน้ารัว ๆ แล้วขานตอบ "อือ!"พอหยัดกายลุกขึ้นแล้ว หลี่ว์ซิ่วหลันก็ลากผังเป่ยเดินไปทางบ้านของตัวเองด้วยกันทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในลานเล็ก คุณตาก็นั่งลงอย่างช้า ๆ เขาทำหน้าปั้นปึ่ง ไม่พูดไม่จาบรรยากาศลานเล็กดูอึดอัดมากอย่างชัดเจน หลี่ว์ชิงซงหันซ้านหันขวาแล้วชิงพูดก่อน "พ่อ หลันจื่อเองก็จนปัญญา..."หลี่ว์หย่วนจงมองลูกสาว "แกตั้งใจจะหย่าแล้วงั้นเรอะ?"หลี่ว์ซิ่วหลันพยักหน้า แต่ไม่กล้าปริปากพูดแม้ว่าลูกสาวจะอายุสิบเจ็ดปีแล้ว แต่ในสายตาของบิดา เธอก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง“ตั้งแต่แต่งเข้าไปมันตีแกมาตลอดเลยเหรอ” ชายชราจ้องมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน สีหน้าอาฆาตแค้นอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่หลี่ว์ซิ่วหลันกำลังสับสนอยู่นั้น ผังเป่ยที่อยู่ข้างกันก็เอ่ยปากตอบ "ตีมาตลอด ตั้งแต่ผมจำค

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 30

    “ฉันว่านะคะหัวหน้า เรารายงานไปดีกว่า ถ้ายื่นคำร้องไป เบื้องบนจะต้องไม่อนุมัติแน่ เราก็ฉวยโอกาสนี้บอกว่างั้นเราจะทำเอง แต่เบื้องบนต้องให้เอกสารอนุมัติ บอกว่าได้มอบปืนให้แล้วก็สิ้นเรื่อง!”หลี่ว์ไห่เห็นว่าความคิดนี้มาจากสาวม่ายในหมู่บ้านเขาอดยิ้มไม่ได้ “ผมว่าความคิดของแม่ม่ายไช่ไม่เลวเลยนะ! ทุกคนว่ายังไง!”“วิธีนี้ดีเลย ใครก็มาจับผิดไม่ได้!”ทุกคนได้ฟังแล้วก็พากันเห็นดีเห็นชอบด้วยอย่างเซ็งแซ่ในทันทีเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลี่ว์ไห่ก็พูดขึ้น "ถ้าอย่างนั้นกองกำลังจะอนุมัติเอกสารให้นายก่อน แล้วนายก็ไปหาปืนมา นักบัญชีเอ้อร์! เบิกเงินของกองกำลังออกมาให้ผังเป่ยห้าสิบหยวน ส่วนที่เหลือจะให้เมื่อมีเงิน"ผังเป่ยได้ยินว่าให้เงินเขาห้าสิบหยวน! เรื่องนี้มันเยี่ยมไปเลยนี่นา!เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าพูดจริงเหรอครับ? ห้าสิบหยวนน่าจะซื้อกระสุนได้ไม่ร้อนเลยสิครับ?”หลี่ว์ไห่หัวเราะ "ไอ้หนู เมื่อกี้ยังแสร้งทำเป็นหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีต่อหน้าฉันอยู่เลย!"“ก็นั่นไม่ใช่เพราะขาดเงินขาดกระสุนหรือไง? แต่ผมรับประกัน ขอแค่หาปืนหากระสุนได้ ผมสัญญาว่าจะกำจัดหมาป่าฝูงนี้ให้ทุกคนเอง!”แม่หม้ายไช่กลั้นหัวเราะไม

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status