เดินทางครึ่งเดือนในที่สุดไป๋เล่อชิงกับโจวเจินก็ถึงที่หมายคือเมืองหลวงต้าอัน
ที่นี่เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองชนบทผิงเจียยิ่งนัก ผู้คนที่เดินขวักไขว่พลุกพล่านล้วนแต่งกายงดงามดูดี แม้แต่ขอทานคนเร่ร่อนยังมีการปะชุนเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าชาวเมืองหลวงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์เป็นอย่างมาก เรียกว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความมั่งคั่งอย่างแท้จริง
โจวเจินก้มมองชุดขาดวิ่นของตนนิ่งๆ ชุดมีสภาพนี้เพราะร่างเก่าต่อสู้แย่งชิงคัมภีร์มารสุดยอดเคล็ดวิชากับจอมยุทธ์คนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งต่างฝ่ายตายไปทั้งคู่ คัมภีร์นั้นก็หายไปทางใดก็สุดรู้ นางที่จู่ๆ ก็เข้าสิงร่างจึงต้องทนกับเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งยับเยินนี้มาเนิ่นนาน
เป็นเพราะเมืองต่างๆที่ผ่านทางไม่มีร้านผ้าที่ถูกใจ ตัวเลือกน้อยไม่ดึงดูด แต่ที่เมืองหลวงแห่งนี้กลับแตกต่าง ทุกย่างก้าวล้วนมีแต่สินค้าหลากหลายให้เลือกหา คิดแล้วก็หันไปทางไป๋เล่อชิงที่เดินชมเมืองอยู่ข้างๆ
“ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียหน่อย ยืมเงินเจ้าก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะหางานทำชดใช้ให้”
ไป๋เล่อชิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อาโยวเป็นผู้มีคุณ ไม่ต้องทำงานชดใช้ ต้องการเงินเท่าไรขอเพียงบอกมา อันที่จริงข้าก็จะพาเจ้าเข้าร้านแพรพรรณอยู่พอดี ไปเลย”
หญิงสาวทั้งสองจึงเลี้ยวเข้าร้านอาภรณ์ทันที
หลังจากเข้าออกร้านอาภรณ์จนสะสวยเฉิดฉาย สตรีทั้งสองก็เดินเที่ยวทั่วเมืองจนหิวและกระหายเป็นที่สุด เมื่อเห็นโรงเตี๊ยมฝูไหลที่ชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลถึงชนบทผิงเจีย ไป๋เล่อชิงก็พาโจวเจินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“พอเปลี่ยนชุดแล้วเจ้าช่างงามล้ำยิ่งนัก”
ไป๋เล่อชิงชื่นชมจากใจจริง
โจวเจินพอปลดชุดเดิมที่ซอมซ่อขุ่นมัวออก แล้วสวมชุดใหม่สีสันสดใสเข้าไป ล้างหน้าที่มอมแมมแต้มชาดกลับกลายเป็นโฉมสะคราญที่โดดเด่นขึ้นมาก
โจวเจินยิ้มเขินแต่ก็อดประเมินร่างใหม่เทียบกับร่างเก่ามิได้ อันที่จริง ร่างเก่าสวยกว่ามาก แต่ร่างใหม่เป็นคนฝึกวิชาต่อสู้ ออกแนวตรากตรำกรำแดดผิวแห้งกร้าน ตัวใหญ่ไหล่กว้างลำคอไม่เล็กระหง ทรวดทรงองเอวยังตรงทื่อไร้ความโค้งเว้า มิหนำซ้ำ โครงหน้าแม้ดูดีอยู่บ้าง แต่กลับเป็นแนวหนุ่มน้อยหน้าเนียนไร้หนวดเสียนี่
หากให้ปลอมเป็นผู้ชายคงเหมือนอย่างยิ่ง แต่นางอยากเป็นสาวสวยมากกว่าหนุ่มน้อยหน้าสวยนี่นา
โจวเจินเลิกคิ้วมองประเมินไป๋เล่อชิงบ้าง “แต่เจ้าไยมิได้งามล้ำยิ่งกว่า ไฉนแต่งกายเช่นนี้เล่า?”
ไป๋เล่อชิงก้มมองตัวเองที่แต่งตัวเป็นบุรุษ ว่ายิ้มๆ “ข้าเป็นแค่สตรีอ่อนแอบอบบาง ไม่ได้มีวรยุทธ์เช่นเจ้า หากแต่งกายดึงดูดสายตาแล้วถูกล่วงเกิน ย่อมกลายเป็นภาระให้เจ้าปกป้องตลอดก็คงไม่ดีปะไร”
“อ้อ...” โจวเจินพอเข้าใจได้ “เจ้าเป็นคนดีจริงๆ มิหนำซ้ำมีความคิดอ่านกว้างไกลยิ่งนัก เพียงแต่ว่า...” นางมุ่นคิ้วพินิจก่อนวิจารณ์ตามตรงว่า “เจ้าน่ะทั้งขาวสวยทั้งยิ้มหวาน มารยาทงาม ใบหน้ารึก็จิ้มลิ้มมีลักยิ้มน่ารักอีกต่างหาก ทรวดทรงองเอวหรือยังโค้งเว้างามงอน โดดเด่นเสียขนาดนี้ ดูหน้าอกกลมกลึงกับเอวที่คอดกิ่วรับกับสะโพกผายนี่อีก อ๊า จะบอกว่าอย่างไรดี สตรีที่น่ารักแต่กลับเซ็กซี่ อ้อ ไม่ใช่สิ คือน่ารักแต่มีเสน่ห์ยั่วยวนขนาดนี้ ต่อให้ใส่หนวดปลอมแล้วมองจากหน้าผาลงมาไกลๆ ยังมองออกเลยว่าเป็นสตรี จะเสียเวลาปลอมตัวเพื่อ???”
“...”
พูดแล้วก็อิจฉาจนตาร้อนผ่าวๆ เอวเล็กสะโพกผาย หุ่นนาฬิกาทรายขนาดนี้ ฮึ้ย! อยากได้บ้าง
โจวเจินว่าอีก “อย่าลืมว่าเรามีเป้าหมายอย่างไร ต้องหาสามีใหม่ดีๆให้ชีวิตมีสีสันกระชุ่มกระชวยหัวใจ มัวแต่แต่งตัวปกปิดความเป็นหญิง จะมีผู้ชายเข้าหาได้ไง”
ไป๋เล่อชิงยิ้มขื่น “แต่ข้า...” นางนึกคำโต้แย้งไม่ออก หากจะบอกว่ายังห่วงหาสามีคนเดิมอยู่...ผิดหรือไม่?
แม้คิดในใจแต่โจวเจินกลับมองออก นางจึงต้องเตือนสติอีกที “ชิงชิงเอ๋ย เจ้าอย่าลืมว่าสามีเก่าของเจ้า เขามีผู้หญิงคนใหม่ไปแล้ว ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจ คนสกุลอู๋ ทำร้ายเจ้า หากเจ้ากลับไปหาเขาคงไม่แคล้วถูกลวงไปฆ่า จำไว้ ห้ามโหยหา ห้ามคิดถึงหรือกลับไปหาเขาเด็ดขาด!”
ไป๋เล่อชิงชะงัก
ไป๋เล่อชิงชะงักท้ายที่สุดก็พยักหน้า “อืม ข้าไม่มีทางลืมแน่นอน” นางเพียรย้ำ เตือนตัวเองซ้ำๆอีกว่า “หากข้าเจอเขาก็จะหนีให้ไกลด้วย ดีหรือไม่?” “ดีมาก”ระหว่างกินอาหารและชื่นชมทิวทัศน์ร้านรวงต่างๆจากหน้าต่างห้องชั้นสอง ไป๋เล่อชิงก็เหลือบไปเห็นโจวเจินกำลังคำนวณอันใดสักอย่างจนหัวคิ้วขมวดมุ่นไปหมด “อาโยว เจ้าทำสิ่งใดหรือ?”โจวเจินบอกโดยไม่เงยหน้า สายตายังคงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ข้ากำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ ของพวกเราสองคนและหาลู่ทางเพิ่มเงินในหีบ เงินของเจ้าเหมือนเยอะ แต่หากไม่หาเพิ่มคงไม่ดี”ไป๋เล่อชิงยิ้ม “อันที่จริงข้าคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ยังคิดว่าอยากทำการค้า เป็นเถ้าแก่เปิดกิจการสักอย่าง แต่แรกเริ่มคงต้องหางานทำเป็นลูกจ้างไปก่อน ข้าทำบัญชีและมีความรู้เรื่องกิจการร้านค้า วันนี้ระหว่างเดินเที่ยว ข้ามองหาร้านที่ติดประกาศรับคนงานทำบัญชีเอาไว้ โอกาสได้งานคงสูงอยู่ ทำงานเก็บเงินได้ค่อยหาเช่าร้าน พอทำการค้าได้กำไรก็ค่อยซื้อร้านต่อยอดขยายกิจการ ยามนี้ต้องทนลำบากสักหน่อย ภายหน้าย่อมดีแน่นอน”โจวเจินให้รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับเมืองโบราณอ
เดินทางครึ่งเดือนในที่สุดไป๋เล่อชิงกับโจวเจินก็ถึงที่หมายคือเมืองหลวงต้าอันที่นี่เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองชนบทผิงเจียยิ่งนัก ผู้คนที่เดินขวักไขว่พลุกพล่านล้วนแต่งกายงดงามดูดี แม้แต่ขอทานคนเร่ร่อนยังมีการปะชุนเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าชาวเมืองหลวงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์เป็นอย่างมาก เรียกว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความมั่งคั่งอย่างแท้จริงโจวเจินก้มมองชุดขาดวิ่นของตนนิ่งๆ ชุดมีสภาพนี้เพราะร่างเก่าต่อสู้แย่งชิงคัมภีร์มารสุดยอดเคล็ดวิชากับจอมยุทธ์คนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งต่างฝ่ายตายไปทั้งคู่ คัมภีร์นั้นก็หายไปทางใดก็สุดรู้ นางที่จู่ๆ ก็เข้าสิงร่างจึงต้องทนกับเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งยับเยินนี้มาเนิ่นนาน เป็นเพราะเมืองต่างๆที่ผ่านทางไม่มีร้านผ้าที่ถูกใจ ตัวเลือกน้อยไม่ดึงดูด แต่ที่เมืองหลวงแห่งนี้กลับแตกต่าง ทุกย่างก้าวล้วนมีแต่สินค้าหลากหลายให้เลือกหา คิดแล้วก็หันไปทางไป๋เล่อชิงที่เดินชมเมืองอยู่ข้างๆ “ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียหน่อย ยืมเงินเจ้าก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะหางานทำชดใช้ให้”ไป๋เล่อชิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อาโยวเป็นผู้มีคุณ ไม่ต้องทำงานชดใช้ ต้องการเงินเท่าไรขอเพียงบอกมา อั
เห็นเจาจวิ้นพูดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดเช่นนั้น อู๋หมิงให้รู้สึกปวดหัว “เจ้าทำตัวเช่นนี้ ลืมแล้วกระมังว่าตัวเองเป็นบุรุษ”“ปลอมเป็นสตรีทุกวัน ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วปะไร” เจาจวิ้นยืดตัวนั่งตรง หรี่ตาจ้องอู๋หมิง “ว่าแต่ท่านเถอะ นอนไม่หลับเพราะเรื่องภรรยาอีกแล้วหรือ?”อู๋หมิงถอนหายใจ ตอบรับเสียงทุ้มต่ำในลำคอ เงียบงันครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “เป็นสามีย่อมต้องใส่ใจภรรยา”“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีความรู้สึกต่อนางขนาดนี้ มิใช่ว่าท่านถูกนางใช้แผนการจนได้แต่งงานหรอกหรือ?”อู๋หมิงเลิกคิ้ว “เจ้ารู้?”เจาจวิ้นยกหัวแม่มือชี้ตัวเอง ทำท่าคุยโวโอ้อวดว่า “ข้าเป็นใคร สายลับระดับแคว้นเชียวนะ แค่เรื่องของคู่หู สืบง่ายนิดเดียว”มิรู้ว่าเอาท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้มาจากไหน อู๋หมิงได้แต่ส่ายหน้าระอา ได้ยินเจาจวิ้นเอ่ยเย้าอีกว่า “ท่านมีความคะนึงหานางขนาดนี้ ข้าเริ่มสงสัยเสียแล้ว ไม่แน่ว่าท่านน่ะจงใจทำตัวซื่อบื้อหลอกล่อให้นางตายใจ แล้วคืนเกิดเหตุก็เป็นท่านที่สมยอมถูกมอมเหล้า ถูกไหม”ประหนึ่งมีหูตาสวรรค์ คำพูดเหล่านี้ทำอู๋หมิงถึงกับชะงักงัน “อาหนิง เจ้ารู้เท่าทันเกินไปกระมัง?”“ฮ่าๆ ข้าเดาถูก เก่งกาจใช่หรือไม่?”อู๋หมิงส
ท่ามกลางกลุ่มควันจากถ้วยชาร้อนกรุ่นสองถ้วยระหว่างกระดานหมากยากเอาชนะเยี่ยนอ๋องถามอู๋หมิงอย่างห่วงใย “ไม่เคยเห็นเจ้าโกรธขนาดนี้ นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”ปกติอู๋หมิงสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทุกเรื่องราว พอถึงคราวที่พระองค์ถามเอาความคิดเห็นก็ตอบอย่างละเอียดรอบคอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน เรียกได้ว่าเสนอข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลอย่างรอบด้านแบบไร้ที่ติ เพราะไม่มีอารมณ์ร่วมอันใดแม้แต่น้อย ในขณะที่ตัวพระองค์มักเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง โมโหฉุนเฉียวทุกครั้งยามเกิดปัญหาให้ขบคิด“ได้เห็นเสียที ยามเจ้ามีอารมณ์โกรธขึ้นมานับว่าเด็ดขาดทีเดียว”อู๋หมิงมิได้ปฏิเสธ ทว่าความเงียบของเขาย่อมเป็นการตอบรับตามวิสัยเยี่ยนอ๋องชอบนิสัยเย่อหยิ่งพูดน้อยของอู๋หมิง พระองค์ทั้งเอือมระอาและคร้านจะฟังคนจำพวกปากมากปากรั่วดุจตะแกรง วันๆเอาแต่พูดจาประจบสอพลอ หาความจริงไม่เจอบุรุษเที่ยงตรงสงบเยือกเย็นเฉกอู๋หมิง ไม่ว่าใครล้วนถูกใจให้คบหาเสมออ๋องหนุ่มถามต่อ “เจ้าคิดว่าภรรยายังไม่ตาย?”ครานี้อู๋หมิงไม่คิดปิดบัง “พ่ะย่ะค่ะ”“ไฉนถึงคิดเช่นนั้น?”“หลังจากในนักรบเงาลอบสืบอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่ามีโจรเข้ามาขโมยของมีค
อู๋หมิงลุกขึ้นทันที เข้าไปขอพบเยี่ยนอ๋องอย่างไว หลังจากได้นักรบเงาฝีมือฉกาจมาสองคน เขาก็พากลับเข้าเรือนส่วนตัวแล้วสั่ง “เจ้าไปชนบทผิงเจียแล้วสืบเรื่องไป๋เล่อชิงมาให้ข้า สืบด้วยว่าผู้ใดที่ส่งข่าวเกี่ยวกับข้าไปที่บ้านเดิม จนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนกระทั่งผิดมหันต์เช่นนั้น”“ขอรับกุนซือ” นักรบเงาทั้งสองค้อมศีรษะรับคำก่อนหายวับไป เจาจวิ้นได้แต่มองตามอย่างบื้อใบ้ “อ่ะ อ้าว” แล้วเรื่องของข้าเล่า?นักรบเงาที่ถูกส่งไปสืบข่าวเรื่องไป๋เล่อชิง ไม่นานก็กลับมารายงานต่ออู๋หมิงฟังอย่างละเอียด และครบถ้วนทุกประเด็นที่เขาสงสัยประเด็กแรกคนที่ปากพล่อยปล่อยข่าวลือผิดๆ ประเด็นที่สองเรื่องภรรยาฆ่าตัวตายอย่างผิดปกติประกายกร้าวลึกล้ำยากคาดเดาเผยชัดในแววตา อู๋หมิงนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลต่อเยี่ยนอ๋อง “กระหม่อมทูลขอพระองค์ตัดสินโดยไม่ยื่นมือช่วย ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องโยงใยในแผนการของพระองค์และผลพวงของความปากพล่อยนั้นก็ทำคนตายพ่ะย่ะค่ะ”หลานชายฝั่งมารดาถูกลากตัวออกมาทั้งน้ำตาอู๋หมิงแม้เห็นแก่ซือตั๋วญาติลูกพี่ลูกน้องผู้นี้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเอาไปพูดล้วนไม่สมควรแม้แต่น้อยบนแท่นประท
ตัวอักษรในจดหมายฉบับที่สองจากสหายนี้ล้วนแต่เป็นการต่อว่าเรื่องที่เขามีสตรีอื่นข้างกาย เพียงพบพานบุปผาตระการก็ลืมเลือนบุปผางามในวันวาน และตามด้วยคำตำหนิยาวเหยียดทั้งมักมากในกาม ไร้หัวใจ ไม่มีศีลธรรมจรรยา ทอดทิ้งภรรยา ปล่อยให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ ระทมจนต้องหนีหาย ใช้วิธีฆ่าตัวตายไปอย่างเดียวดายโศกตรม ด่าว่าเขาไร้มโนธรรม ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี และอีกหลายประโยคไม่มีประโยคไหนไม่ด่าทออย่างรุนแรงเพียงแต่ไม่มีคำว่าชายชู้แล้วอู๋หมิงจึงทำจิตใจให้สงบลง กลั้นลมหายใจค่อยๆ กวาดสายตาไล่อ่านเนื้อหาในจดหมายทั้งสองอย่างละเอียดรอบคอบอีกรอบไม่นานก็จับใจความสำคัญได้แค่สองประเด็นใหญ่ คือเขามีสตรีคนใหม่ และไป๋เล่อชิงตาย หาร่างไม่เจอทรวงอกกระเพื่อม ชายหนุ่มขบกรามกำหมัดแน่น จดหมายย้อนแย้งสองฉบับถูกขยำโยนลงกระถางไฟ ไม่นานก็ถูกเพลิงเผามอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่านอู๋หมิงหรี่ตา หมายความว่านางหายตัวไปหรือ?จังหวะนั้น สตรีชุดสีชมพูพลันวิ่งตึงๆ เข้าประตูมา โวยวายต่อหน้าเขาว่า “อู๋หมิง ช่วยด้วย ข้าถูกตามฆ่า ท่านดู! ข้าเกือบตาย!” นิ้วเรียวยาวชี้มาที่เนินอกอวบอิ่มที่ถูกมีดดาบปาดจนเนื้อผ้าขาดรุ่งรุ่ง พลางพร่ำบ่นยาวเหยียด