“พวกท่านสามีภรรยาทะนุถนอมกันปานนี้เชียว” องค์ชายหกเอ่ยปากหยอกเย้า “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
“พวกเขารักกันมาก มิอาจห่างกันแม้ครึ่งก้าว”
ประโยคนี้เป็นเว่ยซินหยูที่กล่าวเสริมอย่างหมั่นไส้ ประชดประชันเต็มที่
พามาด้วยทำไมหนักหนา ข้าหาโอกาสอยู่กับคุณชายอู๋แบบสองต่อสองไม่ได้เสียที น่ารำคาญชะมัด หึ!
สายตาชิงชังปานลูกไฟเช่นนั้น เจาจวิ้นย่อมเข้าใจ เจ้านั่นแหละจะตามพ่อมาด้วยทำไมหนักหนา ลำบากข้าต้องตามมาเป็นก้างขวางคอประไร ฮึ!
เจาจวิ้นกับเว่ยซินหยูลอบจ้องตากันอย่างร้อนแรง
องค์หญิงผิงหยวนที่ยามนี้เป็นเว่ยอู่เลิกคิ้วมอง
นางเองที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์โปรยเสน่ห์ใส่บุรุษที่พี่ชายหมายตาพาเข้าเป็นพรรคพวกชิงอำนาจหนุนหลัง จึงช่วยเว่ยซินหยูจ้องตาภรรยาของอู๋หมิงอีกแรง
สองต่อหนึ่งเลยทีเดียว!
วันนี้เจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยยิ่ง
ปวดตามากด้วย
นอกจากสายตาเว่ยซินหยูกับองค์หญิงผิงหยวน
ทางห้องอาหารอีกฝั่งที่อยู่ติดกันก็มีสายตาอีกคู่จ้องมองเจาจวิ้นอยู่
สายตาคู่นั้นร้อนแรงมากเช่นกัน
นับว่าเป็นเหตุบังเอิญอย่างยิ่งยวดที่วันนี้โจวเจินกับไป๋เล่อชิงเองก็มานั่งกินอาหารที่นี่ มิหนำซ้ำยังได้นั่งห้องเดิมอีกด้วย
แต่เพิ่มเติมคือมีรูที่ถูกเจาะเอาไว้ครั้งก่อน
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดทราบว่ารูนี้เกิดจากฝีมือผู้ใด? ตั้งแต่ตอนไหน?
วันนี้พอโจวเจินบังเอิญสังเกตเห็นรูนี้เข้าก็เลยแอบส่องเล่นๆ แบบผ่านๆ
และแล้วนางพลันเห็น...
“พี่หญิงหนิง!” หญิงสาวถึงกับตกใจเป็นอันมาก เนื่องจากภาพที่นางเพิ่งได้ค้นพบก็คือหลิวหนิงมีผัวแล้ว
อะไรกัน? ไม่จริงใช่ไหม? พี่หนิงไม่โสดเหรอเนี่ย!
ฝ่ายไป๋เล่อชิงที่นั่งกินข้าวด้วยกัน เมื่อเห็นโจวเจินที่แอบเล่นผนังห้องอยู่ จู่ๆก็เงียบงันเบิกตามองอย่างโกรธาจึงถาม “เป็นอะไร?”
โจวเจินไม่ตอบ เพราะกำลังนิ่งอึ้ง และโกรธมาก
ไป๋เล่อชิงจึงสะกิดไหล่เรียกสติสหายอย่างเป็นห่วง “อาโยว เจ้าเป็นอันใด มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
โจวเจินยังคงเงียบครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ค่อยๆ หันมากล่าวเสียงค่อย “ชิงชิง พี่หนิง นาง...” ว่าพลางชี้ห้องข้างๆ
ไป๋เล่อชิงจึงเข้าใจ
“หืม? ที่แท้ห้องนั้น พี่หนิงมาที่นี่เช่นกันหรือ? แล้วเจ้าทำท่าตกใจอะไร”
โจวเจินกัดปาก “พี่หนิง นาง...มา-กับ-สามี”
ไป๋เล่อชิงเบิกตา “หา! พี่หนิงมีสามีแล้วหรือ?” ถามพลางถือวิสาสะแอบดูที่รูนั้นบ้าง “เจ้าหลบหน่อย”
โจวเจินหลบให้ ““ฮึ! ท่าทางออดอ้อนกันปานนั้น” นางเบ้ปาก “ข้าตกใจอย่างยิ่งที่รู้เช่นนี้ ฮือ คิดไม่ถึงจริงๆ”
สุ้มเสียงโจวเจินยังคงดังแว่วที่ริมหู ทว่าจังหวะนั้น ไป๋เล่อชิงกลับไม่ได้ยินอะไรแล้ว
เพราะคนที่มีอาการแข็งค้างตกตะลึงพรึงเพริดจนสติเตลิดด้วยคาดไม่ถึงยิ่งกว่า
กลับมิใช่โจวเจินอีกต่อไป...
ชั่วครู่เท่านั้น เจาจวิ้นในชุดสีชมพูดอกบัวบานแต่งหน้าสะสวยเฉกปกติก็เดินแกมวิ่งมาอย่างเร่งรีบจนผิดปกติวิสัย“อาโยว ข้ากำลังจะไปหาพอดี เหตุใดจู่ๆ มาพบข้าถึงที่นี่เล่า? เกิดเรื่องที่เรือนหรือ?” ดูเถิด พี่สาวหลิวหนิงเป็นห่วงเป็นใยผู้คนถึงเพียงนี้ โจวเจินให้รู้สึกประทับใจเหลือเกิน สตรีเช่นนี้จะแย่งชิงสามีคนอื่นได้ยังไง?ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดเป็นแน่แท้!แต่เวลานี้โจวเจินจะมัวปลาบปลื้มหรือซึ้งใจไม่ได้ เพราะพี่หลิวหนิงน่าห่วงใยยิ่งกว่าใคร“พี่หญิงอย่ากังวล ไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้นกับข้า แต่ว่า กำลังเกิดขึ้นกับพี่หญิงเองต่างหาก”“หา!” เจาจวิ้นกรีดนิ้วชี้หน้าตัวเองอย่างไม่ลืมจริต แม้จะงุนงงอย่างหนัก“ข้าหรือ? กำลังมีเรื่อง?” เขาสบายดีนะ สบายมาก ช่วงนี้ไม่มีใครมาลอบฆ่า งานการก็ราบรื่นดีเยี่ยมโจวเจินกวักมือ “ใช่! มาๆ นั่งลงก่อน ข้ามีความจริงที่เลวร้ายมากๆจะบอกกับพี่หญิง”“อะไรหรือ?” เจาจวิ้นเบิกตาตั้งใจฟังยิ่งโจวเจินจับมือเจาจวิ้นมากุม รู้สึกกลุ้มใจแทนจริงๆ “คือ... พี่หญิงตั้งใจฟังดีๆนะ”“อืม” พยักหน้าอย่างตื่นเต้นโจวเจินกลั้นใจ “พี่หนิง ข้ารู้แล้วว่าพี่มีสามี”เจาจวิ้นร้อง “อ้อ” นึกว่าเร
ผู้หญิงของสามีเจ้าถูกไหม”“ใช่” ไป๋เล่อชิงพยักหน้า แต่โจวเจินส่ายหน้าระรัว “ไม่ใช่นะ พี่หนิงของข้านิสัยดีจะตาย นางไม่มีทางเป็นหญิงแพศยาเช่นนั้น” นิ่วหน้าชั่งใจนิ่งคิดครู่หนึ่งก็ฟันธงหนักแน่นอีกว่า “ใช่ นางต้องไม่ใช่คนผิด ความจริงคนที่ผิดต้องเป็นผู้ชายสิ สามีเจ้านั่นแหละผิดเต็มๆ ไม่ใช่พี่หนิงแน่ๆ” เรื่องแนวนี้ในสมการของโจวเจินผู้ชายผิดเสมอ“ข้าจะไปช่วยพี่หนิงออกจากผู้ชายใจร้าย” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันใด ใจร้อนวู่วามอย่างมากไป๋เล่อชิงมีหรือจะวิ่งตามทันนางพูดก็ไม่ทัน ห้ามยิ่งไม่ทัน ทำได้เพียงนิ่งสงบ แต่ในใจกลับสับสนว้าวุ่น คิดสิ่งใดไม่ออกทั้งนั้นฝ่ายโจวเจินเดิมทีนางไม่เคยมาเยือนถึงจวนใหญ่อันเป็นสถานที่ทำงานของพี่หญิงหลิวหนิง แต่วันนี้อดไม่ได้จริงๆ เมื่อมาถึงก็เห็นทหารยามหน้าโหดตรงประตูสองคน “พี่ชายรูปงาม ข้าขอพบคนผู้หนึ่งได้หรือไม่?”ทหารยามหน้าดำผิวคล้ำทั้งสองหันมองหน้ากัน ต่างส่งสายตาว่า ‘ พี่ชายรูปงาม’ หมายถึงข้าแน่ๆไม่ใช่เจ้า เถียงกันในใจอยู่แวบเดียว ทหารคนทางซ้ายไวกว่า รีบเดินขึ้นหน้าถามนางว่า “เจ้าเป็นใคร ชื่อแซ่อะไร จงบอกมาให้ครบ หาไม่
หลังจากวันนั้น “ชิงชิง ข้าอกหักช้ำรักยิ่งนัก รู้สึกอยากตาย...” โจวเจินพร่ำบ่นโวยวายโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าคนฟังอยากตายยิ่งกว่าไป๋เล่อชิงนิ่งฟังโจวเจินด้วยท่าทีนิ่งขรึมมิเอ่ยวาจา เป็นเช่นนี้ตั้งแต่กลับมาจากโรงเตี๊ยมไหลฟู่เมื่อวันก่อนแล้ว“เฮ้อ...” ไป๋เล่อชิงถอนหายใจคำโต นั่งคอตกห่อเหี่ยวมากในที่สุดโจวเจินก็เริ่มรับรู้แล้วว่าสหายผิดปกติ เพราะทั้งเรือนมีเพียงเสียงของนางคนเดียวที่พูดไม่หยุด ส่วนไป๋เล่อชิงก็ถอนหายใจอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำ“ชิงชิง เจ้าเป็นอะไรไป?” โจวเจินลืมเรื่องตัวเอง “มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าตอนที่ข้ากำลังหมกมุ่นเรื่องพี่หนิงรึ”ไป๋เล่อชิงเงียบงันครู่ใหญ่ ครุ่นคิดหนักอกอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่? ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เงียบปากต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้โจวเจินก็ยิ่งสงสัย และมากกว่าความสงสัยก็คือความรู้สึกผิด “เอาล่ะชิงชิง ข้าผิดเองที่หมกมุ่นเรื่องตัวเองมากไป เจ้ารีบบอกมาเถอะ เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน? ไปเจอเรื่องที่ยากลำบากมาหรือเปล่า? ให้ข้าช่วยเถิด”โจวเจินเป็นคนที่ดีมาก ดีจริงๆ ไป๋เล่อชิงให้รู้สึกซึ้งใจอย่างยิ่งเนิ่นนานให้หลัง ไป๋เล่อชิงจ
“พวกท่านสามีภรรยาทะนุถนอมกันปานนี้เชียว” องค์ชายหกเอ่ยปากหยอกเย้า “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”“พวกเขารักกันมาก มิอาจห่างกันแม้ครึ่งก้าว” ประโยคนี้เป็นเว่ยซินหยูที่กล่าวเสริมอย่างหมั่นไส้ ประชดประชันเต็มที่ พามาด้วยทำไมหนักหนา ข้าหาโอกาสอยู่กับคุณชายอู๋แบบสองต่อสองไม่ได้เสียที น่ารำคาญชะมัด หึ!สายตาชิงชังปานลูกไฟเช่นนั้น เจาจวิ้นย่อมเข้าใจ เจ้านั่นแหละจะตามพ่อมาด้วยทำไมหนักหนา ลำบากข้าต้องตามมาเป็นก้างขวางคอประไร ฮึ!เจาจวิ้นกับเว่ยซินหยูลอบจ้องตากันอย่างร้อนแรงองค์หญิงผิงหยวนที่ยามนี้เป็นเว่ยอู่เลิกคิ้วมองนางเองที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์โปรยเสน่ห์ใส่บุรุษที่พี่ชายหมายตาพาเข้าเป็นพรรคพวกชิงอำนาจหนุนหลัง จึงช่วยเว่ยซินหยูจ้องตาภรรยาของอู๋หมิงอีกแรง สองต่อหนึ่งเลยทีเดียว!วันนี้เจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยยิ่งปวดตามากด้วยนอกจากสายตาเว่ยซินหยูกับองค์หญิงผิงหยวน ทางห้องอาหารอีกฝั่งที่อยู่ติดกันก็มีสายตาอีกคู่จ้องมองเจาจวิ้นอยู่สายตาคู่นั้นร้อนแรงมากเช่นกันนับว่าเป็นเหตุบังเอิญอย่างยิ่งยวดที่วันนี้โจวเจินกับไป๋เล่อชิงเองก็มานั่งกินอาหารที่นี่ มิหนำซ้ำยังได้นั่งห้องเดิมอีกด้วย แต่เพิ่
ในห้องอาหารที่มีบรรยากาศสนทนาเพื่อผูกมิตร อู๋หมิงกำลังสนทนากับเว่ยซุนและองค์ชายหกที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นเว่ยหลงชายหนุ่มพูดคุยกับเว่ยซุนและองค์ชายหกผิงหลงอย่างระมัดระวังวาจา รักษาท่าทีตลอดเวลา ทว่ากลับมิได้เว้นระยะห่างเหินแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังแสดงออกให้เห็นว่าซ่อนความละโมบหลอกง่ายเอาไว้ได้ไม่มิด แค่เผยเพียงความประจบประแจงออกมาเล็กน้อยอู๋หมิงประสานหมัดคารวะ “คุณชายเว่ย ข้าอู๋หมิง ยินดีที่ได้พบหน้าขอรับ” “ข้าเว่ยหลงยินดีที่ได้รู้จักคุณชายอู๋เช่นกัน” ผู้พูดประสานหมัดคำนับตอบอย่างมีมารยาทภายนอกขององค์ชายหกเป็นสุภาพชนอ่อนโยน หากแต่แท้จริงกลับมีนิสัยเหิมเกริมเหี้ยมโหดและเลือดเย็น ภายใต้รอยยิ้มแสนสุภาพเต็มไปด้วยจิตใจทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง และแน่นอนว่าไม่เคยเผยออกมาให้ใครยลได้ง่ายๆเขายิ้มละมุนและมีท่าทีถ่อมตนขณะเอ่ยกับอู๋หมิง“เว่ยหลงผู้นี้นับได้ว่ามีวาสนายิ่งนัก พอได้พบหน้า ถึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณชายอู๋เป็นที่ไว้วางพระทัยท่านอ๋อง”“คุณชายเว่ยกล่าวหนักไปแล้วขอรับ”“อ้อ ข้ามีของขวัญพบหน้า” องค์ชายหกกล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้อู๋หมิง เมื่อเปิดออกจึงเห็นตำลึงทองวางเรียงอย่างงามอร่ามนับสิบก้อนเว
โรงเตี๋ยมไหลฟู่วันนี้ยังคงคึกคักนอกจากลูกค้าทั่วไปที่เข้ามาเพื่อพักและกินอาหาร ยังมีผู้สูงศักดิ์นัดหมายมาร่ำสำราญอู๋หมิงก็เช่นกัน วันนี้เขามีนัดหมายกับเว่ยซุนและแน่นอนว่ายังคงมีฮูหยินเว่ยกับคุณหนูเว่ยติดตามมาด้วย เพื่อหาทางเปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นเรือ[1] เจาจวิ้นจึงต้องลำบากปลอมตัวเป็นภรรยาคนงามอันเป็นที่รักของอู๋หมิงและคอยตามติดข้างกายเหมือนเดิมเพียงแต่ ครั้งนี้อู๋หมิงที่มีสติตลอดเวลากลับกลายเป็นคนสติเลื่อนลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังเดินไปทางตรอกที่ตั้งเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้น ลำบากเจาจวิ้นต้องไปตามกลับมา กว่าจะลากตัวอู๋หมิงให้เลี้ยวออกจากเรือนของเขาเพื่อเข้ามาโรงเตี๊ยมไหลฟู่ได้นั้นยากมากเจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งคนที่นัดหมายกันวันนี้ นอกจากอู๋หมิง เจาจวิ้น และคนสกุลเว่ยเหมือนเคย กลับมีเพิ่มมาอีกสองคน เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้านามว่าเว่ยหลงและหญิงสาวอายุราวสิบหกปีนามว่าเว่ยอู่อู๋หมิงลอบพิจารณาคนแปลกหน้าสองคนนี้เงียบๆ หากเขามิได้ไปพบท่านอ๋องก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทราบว่า เว่ยหลง แท้จริงคือองค์ชายหก ผิงหลง ส่วนเว่ยอู่ แท้จริงคือองค์หญิงห้าผิงหยวนต่างหากทั้งสองปลอมตัวเ