ใจเดียวหลังจากเข้ามากราบสักการะพระประธานในอุโบสถยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ภายใน โดยมีแพรพรรณนั่งอยู่ด้วยข้างๆ อย่างเงียบๆ ไม่มีการพูดคุยหรือสนทนาใดๆ ทั้งสองคนรับไหว้ผู้คนที่รู้จักซึ่งเข้ามาทักทายตลอด
“ออกไปหาน้ำดื่ม กินขนมกันดีกว่า” แพรพรรณกระซิบบอกใกล้ๆ ใกล้เสียจนปลายจมูกสัมผัสเบาๆ ไปที่หูของใจเดียวที่รีบลุกขึ้นทันที
ใจเดียวมองดูรอบๆ หวังว่าจะได้เห็นปรายฝน จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ชิงช้าสวรรค์ แม่นายใจเดียวโบกไม้โบกมือให้ปรายฝนที่ยิ้มสวยๆ ให้
“จะได้เป็นลูกบุญธรรมแม่นายซะล่ะมั้ง เราน่ะ ปราย” กลอยพูดขึ้น ปรายฝนขมวดคิ้ว
“นั่นสิ เราอยู่มานานยังไม่กล้าโหวกเหวกเรียกแม่นายเลย” ปลายิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อเห็นปรายฝนทำหน้าจ๋อย
“น่าเกลียดเหรอ” ปรายฝนถาม
“ไม่หรอก แม่นายยิ้มสวยเลยน่ะ” กลอยบอก
“เวลายิ้มสวยดีออก อยากให้แม่นายยิ้มบ่อยๆ” ปรายฝนพูดขึ้น
“หนุ่มๆ ตอมกันหึ่ง ได้ยินคนเก่าคนแก่พูดกัน สวยแบบไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรเลย เวลายิ้มน้อยๆ ให้เห็นต้องเรียกว่างดงาม เขาว่ากันว่าเคยอกหักเลยไม่สนใจใครอีกเลย ผู้ชายที่ไหนนะ ช่างโง่บรมเลย” ปลาพูดบอกเล่าในสิ่งที่เคยได้ยินมา
“อยู่แบบนี้ ก็ดีแล้วนะ ปรายว่า” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ
“ถูกต้อง โดยเฉพาะตั้งแต่ปรายมา แม่นายยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิมพยายามต่อไปล่ะ ถ้าไม่โดนไล่ออกเพราะรำคาญ ก็มีหวังได้เป็นลูกบุญธรรม ถ้าไอ้อย่างหลังล่ะก็ รวยแน่นอนปรายเอ๊ย" กลอยหัวเราะคิกคัก
“ไม่เห็นอยากเป็นเลย” ปรายฝนบ่นพึมพำและมองไปทางแม่นายทั้งสองที่เดินอยู่ด้านล่าง
“น้ำตาลสดไหม แพรจำได้ว่าเดียวชอบ เมื่อก่อนมาเที่ยวงานวัดทีไร ตรงดิ่งมาซื้อน้ำตาลสดก่อนตลอดเลย” แพรพรรณพูดขึ้นและจับมือใจเดียว เพื่อพาไปยังร้านที่ขายเครื่องดื่ม
“เดียวไม่ค่อยดื่มแล้วล่ะ หวานเกิน” ใจเดียวบอก
“หรือเปลี่ยนเป็นชอบน้ำอัดลม เพราะชอบเด็กๆ คงหวานชื่นใจดี” แพรพรรณพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
“ชอบเด็ก ก็คงไม่ต้องเติมของหวานๆ เข้าร่างกายหรอกมั้ง” ใจเดียวยิ้มน้อยๆ ขณะสั่งน้ำมะตูม โดยบอกให้แม่ค้าใส่น้ำแข็งเยอะๆ
“เด็กๆ ขี้เบื่อนะ” แพรพรรณบอก
“ไม่เป็นไร ถ้าเด็กเบื่อ เดียวก็อยู่คนเดียวได้”
“ตกลงชอบเด็กนั่น” แพรพรรณถาม
“ชอบหรือไม่ชอบ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับแพร” ใจเดียวพูดเสียงเข้ม
“ใครดีใครได้ เดียวเคยรักแพรมากขนาดไหน เดียวคงไม่ลืม ไอ้ที่ทำเป็นนิ่งไม่สนใจใยดี เพราะกลัวใจตัวเอง เพราะกลัวถ่านไฟเก่าจะปะทุ ขึ้นมาหรือเปล่า เราคบกับแบบคนโตแล้วก็ได้ แบบไหนก็ได้ แค่เดียวบอกมาแพรยอมทุกอย่าง” แพรพรรณพูดยิ้มๆ มองไปทางสาวน้อยที่ดูเหมือนจะเป็นคู่แข่งโดยไม่รู้ตัว
“แบบที่เป็นอยู่ดีอยู่แล้ว เดียวอยากให้เป็นแบบนั้น”
“ทนลูกตื้อไหวก็เอาสิ ส่วนไอ้คำสัญญาที่บอกว่าจะไม่ไปวุ่นวายที่ไร่ แพรขอยกเลิก เพราะแพรจะไปตื้อจนกว่าเดียวจะใจอ่อน” แพรพรรณพูดจบก็รีบลุกหนีไปขึ้นรถและขับออกไปทันที
“ออกรถไปเร็วขนาดนั้น งอนกันหรือคะ” ปรายฝนถาม หลังจากมานั่งลงข้างๆ แม่นายใจเดียว
“ไม่นี่ เขาคงง่วงเลยรีบกลับ” แม่นายใจเดียวหันมายิ้มให้ปรายฝน
“กวนเหมือนกันนะ แม่นายเนี่ย ป้าคะขอน้ำตาลสดหวานเย็นชื่นใจแก้วหนึ่งค่ะ” ปรายฝนยิ้มให้กับแม่ค้า แม่นายใจเดียวอมยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของปรายฝน
“รู้จักน้ำตาลสดด้วยหรือ” แม่นายใจเดียวถาม
“ค่ะ หาทานยาก ในกรุงเทพฯ เหมือนน้ำตาลละลายน้ำ ปลาบอกว่าที่นี่อร่อยหอมหวาน” ปรายฝนบอกขอบคุณแม่ค้าที่นำมาให้
“ฉันเคยชอบ แต่อายุเยอะกินหวานมากนักไม่ไหว”
“นิดหน่อยเองค่ะ ให้ชิมก่อน ปรายใจดี” ปรายฝนหัวเราะและยื่นแก้วน้ำตาลสดไปตรงหน้าแม่นายใจเดียว อีกมือจับหลอดเอาไว้และยื่นเข้าไปใกล้ๆ ริมฝีปากของคนที่ส่ายหน้าเล็กน้อย
“นิดเดียวเองไม่เป็นเบาหวานหรอกค่ะ ชื่นใจดี” ปรายฝนพูดอ้อน
“ก็ได้” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ มองสบตากับปรายฝนที่จ้องมองอยู่
“อร่อยใช่ไหมล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก
“หวาน หอมดี” แม่นายใจเดียวบอก
“เรื่องหวานหอม ชื่นใจ ต้องเชื่อเด็กค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ
“ทำไมต้องเชื่อ”
“พูดไปอย่างนั้นแหละ อยากกลับหรือยังคะ” ปรายฝนถาม
“เราล่ะ เที่ยวทั่วแล้วหรือ ยังไม่ถึงชั่วโมงเลย”
“กินโน่นนิดนี่หน่อย จนแน่นท้องไปหมดแล้วค่ะ คนอื่นๆ จะดูหนังกลางแปลงกันคงกลับดึกหน่อย ปรายขอไปกราบพระก่อนนะคะ”
“ฉันไปด้วยดีกว่า”
ปรายฝนคลานเข่าไปตั้งแต่ผ่านเข้าประตูอุโบสถ แม่นายใจเดียวยืนยิ้มมองดูก่อนจะค่อยๆ คลานเข่าไปนั่งอยู่ข้างๆ สาวน้อยที่นั่งพับเพียบพนมมือก้มลงกราบพระประธาน
“ขอให้แม่นายของหนู มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขนะ เจ้าคะ” ปรายฝนอมยิ้ม หลังจากสวดมนต์จึงขอพรพระประธานให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ มีความสุข คำว่าแม่นายของหนูทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มๆ และรู้สึกแปลกๆ
“กลับกันได้แล้ว ฉันมีความสุขดี ส่วนสุขภาพก็ตามวัย”
“ถ้าแม่นายมีความสุข คนที่อยู่รอบตัวแม่นายก็สุขไปด้วยค่ะ มีคนแวดล้อมที่ต้องดูแลตั้งเยอะ ถ้าทำหน้ายักษ์คนอื่นๆ ความสุขจะหดหายค่ะ”
“นึกว่าอยากให้ฉันมีความสุขเฉยๆ ที่แท้ก็ห่วงคนอื่น”
“คนอื่นที่ไหนล่ะ คนในไร่น่ะ เหมือนญาติ ปรายรู้ว่าแม่นายคิดแบบ
นั้นอยู่แล้ว” ปรายฝนยิ้มๆ หันมาจ้องมองแม่นายใจเดียว
“เธอจะมีความสุขใช่ไหม ถ้าฉันมีความสุขและมีรอยยิ้มสดใส”
“ก็ยิ้มกว้างๆ สวยๆ ให้ดูสิ ปรายถึงจะบอก” ปรายฝนพูดขึ้น
“ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย” แม่นายใจเดียวหัวเราะก่อนจะยิ้มสวยๆ ให้คนที่นั่งจ้องมองแบบไม่วางตา
“น่ะ สวยจะตาย ขอบคุณนะคะ สำหรับความสุขก่อนกลับบ้านไปนอน” ปรายฝนยิ้มๆ และค่อยๆ คลานเข่านำออกไป
ความเงียบไม่ได้ทำสองสาวต่างวัยรู้สึกอึดอัด แต่กลับนำพาความ สุขมาให้มากกว่า แม่นายใจเดียวนั่งยิ้มไปตลอดทางระหว่างนั่งรถกลับไปที่ไร่และเมื่อชำเลืองมองดูปรายฝนที่ขับรถอยู่ก็เห็นว่ามีรอยยิ้มอยู่เช่นกัน ซึ่งทำให้รู้สึกดีที่ได้รู้ว่า อีกคนก็คงรู้สึกไม่ต่างจากที่ตัวเองรู้สึกสักเท่าไรนัก
“ง่วงหรือยัง” แม่นายใจเดียวถาม ขณะที่รถยนต์จอดอยู่บริเวณที่จอดด้านข้างสำนักงาน
“ยังค่ะ” ปรายฝนหันมายิ้มให้
“เดินเล่นรับลมเย็นๆ กันก่อนไหม ฟ้าสวย ดาวสวยดี คืนนี้”
“นึกว่าจะชวนปั่นจักรยาน” สองสาวหัวเราะพร้อมกัน
“ไม่ล่ะ อยากเดินช้าๆ ไปกับเธอ” แม่นายใจเดียวบอกแล้วรีบลงจากรถยนต์เดินอ้อมมายืนรอปรายฝนที่ขมวดคิ้วจ้องมองมือที่ยื่นมาให้
“ปรายจะเคยตัวเอานะ” ปรายฝนพูดขึ้น
“ไม่น่ามั้ง ส่งมือมาจ้ะ” แม่นายใจเดียวยิ้มสวยๆ ให้ ไม่ได้สวยเพียงแค่รอยยิ้ม แต่ไอ้เจ้าแววตาที่จ้องมองมานั่นต่างหากที่ทำให้รู้สึกหวั่นไหวและยอมทำตามแต่โดยดี มือที่สัมผัสกันขณะที่ปรายฝนวางมือตัวเองลงที่มือของ
แม่นายใจเดียวได้สร้างรอยยิ้มให้กับทั้งคู่
ความเงียบกับแสงสว่างที่มีน้อยนิดไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดกลัว แต่ทำให้รู้สึกอุ่นใจและสบายใจ ซึ่งอาจเป็นเพราะความอ่อนโยนของผู้หญิงที่ยัง คงจับมือของปรายฝนเอาไว้ และพากันเดินไปตามเส้นทางที่ปั่นจักรยานไปทำงานด้วยกันในตอนเช้า
“เอ็นดูหรือจีบกันแน่ล่ะเนี่ย” ปรายฝนคิดอยู่ในใจ เพราะไม่รู้ว่าคนที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน เขาบอกผ่านความรู้สึกให้กันและกันอย่างไร ถ้าหากคนที่จับมืออยู่เป็นผู้ชาย ปรายฝนคงได้คำตอบสำหรับสิ่งที่ตัวเองตั้งคำถามเอาไว้ในใจ
“เบื่อหรือยัง ไร่ไม่มีสีสันอะไรเลย”
“ใครว่าไม่มีล่ะคะ เจ้าของไร่น่ะก็สีสันเยอะแล้ว ช่างว่าเหลือเกิน”
“ฉันว่าเธอตอนไหน” แม่นายใจเดียวหันมายิ้ม
“ว่าตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วไหม” ปรายฝนหันกลับไปมองเส้นทางเดินตรงหน้า เพราะเห็นสายตาแปลกๆ ของแม่นายใจเดียว ถึงแม้จะมองผ่านความมืดก็ยังเห็นได้ชัด
“เพราะหวังดี เธอจะเชื่อไหม”
“ไม่บอก” ปรายฝนหัวเราะ แต่เมื่อเดินมาถึงแปลงผักจึงรีบปล่อยมือแม่นายใจเดียวทันที
“ยายเด็กจอมซน ค่ำมืดยังจะไปหาเรื่องซนได้อีก” แม่นายใจเดียวส่ายหน้าก่อนจะเดินตามปรายฝนไปพร้อมด้วยรอยยิ้มของคนที่ไม่อยากให้ค่ำคืนที่มีความสุขผ่านไปรวดเร็วนัก
“ไปหาอะไรอุ่นๆ ดื่ม นั่งเล่นหน้าบ้านพักดีกว่าค่ะ อากาศเย็นขึ้น
เรื่อยๆ เดี๋ยวผู้สูงวัยจะป่วยเอา ถ้ามาเดินตากน้ำค้างนานแบบนี้” ปรายฝนยิ้มๆ ขณะเป็นคนจับมือแม่นายใจเดียวพากันเดินกลับไปยังบ้านพัก
นมวัวซึ่งถูกนำไปต้มจนเดือดเล็กน้อยถูกเทลงในแก้ว ความเย็นที่อยู่ภายนอกทำให้ความร้อนของนมจากร้อนเป็นอุ่นในเวลาไม่นานนัก
“ปรายกำลังคิดว่าที่นี่ไม่มีอะไรบ้าง” ปรายฝนพูดขึ้น
“ฉันแค่หวังว่าคนที่นี่จะมีปัจจัยสี่ครบเท่านั้นแหละ ส่วนเรื่องอาหาร บางช่วงวัยของคนหนุ่มสาวก็อยากไปลิ้มลองอะไรใหม่ๆ แปลกๆ ส่วนคนแก่อย่างฉันมีความสุขกับผักหญ้า นมวัวสดที่รีดกันเองมีเอาไว้รับประทาน คนทำงานสุขภาพดีมีความสุข ก็จะตั้งใจทำงานให้เราเป็นอย่างดี เงินทองไม่จำเป็นเลยบางทีสำหรับที่นี่ อยากกินผลไม้ก็เดินไปเก็บเอา อยากกินผักอะไรก็มีหลายอย่าง แต่เด็กอย่างเธออาจจะอยากเห็นโลกกว้างมากกว่าพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้” แม่นายใจเดียวพูดคุยกับปรายฝน
“ปรายไม่รู้เหมือนกันว่าชอบที่นี่หรือเปล่า แต่สิ่งที่ดีสิ่งหนึ่งก็คือไม่ ได้หยิบโทรศัพท์มาดูเลย ไม่ได้พกไปไหนมาไหนด้วยซ้ำ วางทิ้งไว้ในห้องและเชื่อว่าคนอื่นคงเป็นเหมือนกัน แต่ถึงพกไปก็ไม่มีสัญญาณอยู่ดี อะเนอะ”
“อีกสองวัน ฉันจะเข้าไปในเมือง อยากขับรถให้ไหมล่ะ”
“อยากให้ปรายไปด้วยไหม” ปรายฝนหันมาถามจ้องมองแววตาที่ดูสวยสดใสแม้อยู่ในความมืด ถึงแม้จะดูเรียบนิ่ง แต่ปรายฝนสัมผัสได้ว่าเป็นแววตาที่มั่นคงและจริงใจ
“อยากสิจะได้ไม่เบื่อ ไม่ง่วง เพราะมีคนพูดอยู่ตลอดเวลา”
“โห ไม่ได้พูดมากขนาดนั้นสักหน่อยนา” ปรายฝนยิ้มๆ มองไปที่ไหล่ของแม่นายใจเดียว ก่อนจะตัดสินใจเอนศีรษะไปซบลงที่ไหล่นั้น มือที่ทาบทับเบาๆ ไปที่ศีรษะช่างแสนอบอุ่น ซึ่งบางความรู้สึกไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่การแสดงออกคือการบอกเล่าที่ดีที่สุด ปรายฝนอยากให้แม่นายใจเดียวรู้ว่าตัวเธอนั้นมีความสุขใจ อุ่นใจ และรู้สึกปลอดภัยยามได้อยู่เคียงข้างกัน
“ถ้าอย่างนั้น อีกสองวันเข้าเมือง ไปเดินเล่นดูแสงสีกันบ้าง เผื่อจะได้คำตอบว่า ชอบที่นี่หรือชอบคนที่นี่บ้างหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวพูดยิ้มๆ
“แล้วปรายจะได้มานั่งอยู่แบบนี้อีกไหม” ปรายฝนถาม เพราะไม่รู้ว่าหลังจากคืนนี้จะเป็นอย่างไรและเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“เรื่องของอนาคตใครจะรู้ล่ะ แต่ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้ จนกว่าเธอจะเมื่อยคอแล้วลุกขึ้นเอง” แม่นายใจเดียวหัวเราะเสียงดัง เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเลยก็ว่าได้ ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ แต่ก็เชื่อว่า ในเนื้อเสียงที่ได้ยินมีความสุขแฝงตัวอยู่ไม่น้อย
พลบค่ำแล้วแต่ฝนคงยังตกหนักและท่าทางคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ แม่นายใจเดียวเลยตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมที่ห้องพักเกือบเต็ม โดยเหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น “คงต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ ขับรถฝ่าฝนไปมีหวังกลับไม่ถึงไร่แน่” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “ยังไงก็ได้ค่ะ แต่คนที่ไร่จะเป็นห่วงเอาสิคะ ปรายโทรฯ ไปแจ้งกับปลาหรือกลอยดีกว่า” ปรายฝนบอก แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาด้วย “ฉันจัดการเอง” แม่นายใจเดียวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากถุงผ้าที่ถืออยู่ ภาพของหญิงสาวจึงปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ ปรายฝนเห็นเพียงครู่เดียวแต่มั่นใจว่า ไม่ใช่รูปแม่นายใจเดียว ซึ่งเจ้าตัวรีบขยับมือถือยกขึ้นทันทีเมื่อเห็นปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ปรายฝนเงียบไปตั้งแต่เห็นภาพที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กาแฟถูกนำมาให้ หลังจากแม่นายใจเดียวแจ้งกับพนักงานจากชั้นล่างของโรงแรมที่เข้าพัก ปรายฝนยิ้มน้อยๆ และบอกขอบคุณพนักงาน “ขอบคุณค่ะ” “ครับผม” กาแฟกลิ่นหอมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่กำลังถอดแว่นออก เมื่อปรายฝนนำกาแฟมาว
“ปรายเองค่ะ” เป็นข้อความจากปรายฝนส่งถึงผู้อ่าน “จบแบบนี้ไม่ได้สิ ปรายไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เล่าให้ฟังก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปว่าคนเขียนเขาเข้าล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคนเขียนก็เช่นกัน “จบแบบที่พิมพ์คำว่า จบ น่ะ ยังไม่สมบูรณ์ต้องอ่านต่อจากตอนพิเศษ ปรายจะเล่าว่ากลับมาอย่างไร แม่นายดีใจขนาดไหนหรือยังคงเฉยๆเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมกันหรือยัง ไปค่ะตามกลับไปที่ไร่ ณ วันหนึ่งที่ฝนตกอากาศเย็นเฉียบเหมือนเดิมยังกับลอกตอนต้นเรื่องกันมาเลย มาๆ ตามมาให้ไวค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อนึกถึงวันที่นั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าไร่เหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกัน แม้ฝนจะตกจนพื้นชื้นแฉะแต่ไม่มากอะไรเหมือนครั้งก่อนที่เลอะเทอะและเละเทะเรียกว่า พอกดินโคลนเข้าไปพบเจ้านายกันเลยทีเดียว ปรายฝนหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าไร่และมองดูรอบๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากและแอบนึกถึงเจ้าของไร่ขึ้นมา ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากมายเหมือนสถานที่หรือไม่ ภาพของวันแรกกลับเข้ามาในความรู้สึก แต่ความสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความกังวลใจ ปรายฝนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่นายใจเดียวหรือไร่ใจเด
ภาพแม่นายใจเดียวที่ปั่นจักรยานไปทำงานตรวจดูไร่รอบๆ เป็นภาพที่เห็นจนเป็นเรื่องปกติยิ่งเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพในครั้งเก่าที่มีคนปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายจางหายไป แต่แม่นายใจเดียวของทุกคนยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ “คิดถึงปรายเหมือนกันนะ หายเงียบไปเลย” ปลาพูดขึ้น ขณะยืนมองตามแม่นายใจเดียวที่ขี่จักรยานไปไกลลิบแล้ว “ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่นายมีความสุขก็ไม่เห็นต้องไปถามหาเลย” กลอยพูดยิ้มๆ และยังคิดถึงปรายฝนอยู่เสมอ “เป็นเด็กแท้ๆ ดันใช้การเขียนโปสการ์ดแทนการโทรศัพท์มา ไม่รู้คิดยังไง แต่สิ่งที่รู้ก็คือ แม่นายของพวกเรายังคงสดใสและมีความสุขก็พอแล้ว” ปลายิ้มๆ เพราะแรกๆ แอบเคืองปรายฝนอยู่เหมือนกันที่ไม่มีการติดต่อมา แม่นายใจเดียวยิ้มๆ เมื่อเห็นจันจิราอยู่กับไตรที่ชายไร่ส่วนเชื่อมต่อ เพราะยิ่งนานวันจันจิราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถพอที่จะดูแลไร่ต่อจากบิดาซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในไร่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ไตรเป็นที่ปรึกษาให้กับจันจิรา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจนไตรใจอ่อนตกปากรับคำที่จะคบหากันฉันท์คนรักและจะแ
ปรายฝนทำเป็นหลับตาปี๋ เมื่อแม่นายใจเดียวถอดเสื้อผ้าเพื่อให้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ “ทำไม มันเหี่ยวย่นจนถึงกับต้องหลับตาเลยหรือ” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองดูคนที่ยังคงทำเป็นหลับตาอยู่ “ไม่กล้าลืมตา กลัวใจตัวเองต่างหาก” ปรายฝนบอก “ลืมตาได้แล้ว เช็ดตัวให้แต่ไม่ลืมตาจะเช็ดได้ยังไงกัน” เสียงหัวเราะของปรายฝนทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มได้ เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องการสูญเสียแม้แต่รอยยิ้มก็แทบจะไม่ได้เห็นเลย ปรายฝนลืมตาขึ้นรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มทะเล้นของคนที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายเลย “ยังรู้สึกดีกับเด็กขี้เหวี่ยงอยู่หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม ขณะขยับเข้ามาใกล้ๆ “ดีนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “นิดเดียวเองเหรอ เสียใจนะเนี่ย” ปรายฝนมองดูแววตาที่กลับมาดูอ่อนโยนและทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้ง “จ้องแบบนี้ท่าจะไม่ดี ถ้าจะเช็ดตัวให้ก็รีบๆ หน่อยและถ้าอยากทำอย่างอื่นก็ต้องยิ่งรีบมากๆ ด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มกับจุมพิตเล็กๆ ของปรายฝนที่จูบนิดหนึ่งแล้วรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ปรายฝนเอามือแตะเบาๆ ไปที
แม่นายใจเดียวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ปรายฝนลงมาจากชั้นบนและแต่งตัวเตรียมไปวัดเห็นแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ที่เดียว “น่าสงสารคุณเขาออกนะคะ ต้องมาอยู่ไกลบ้านมากและเหนื่อยกับคุณปรายทุกวันอีก” แม่บ้านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกกับปรายฝน “ร่างเด็กเกเรเข้าสิงปราย ขอบคุณค่ะ คุณแม่บ้าน” ปรายฝนบอกก่อนจะถอนใจ เมื่อกลับมานึกถึงความไม่น่ารักของตัวเอง ความเศร้าและเสียใจกับการจากไปของบิดา โดยปรายฝนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาการโรคหัวใจกำเริบหนักขึ้นจนถึงแก่ชีวิต เพราะดวงฤทธิ์มาบอกเรื่องของแม่นายใจเดียวให้บิดาทราบ ปรายฝนคิดว่านั่นน่า จะเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ภาพของแม่นายใจเดียวที่พูดคุยอยู่กับอาหมอทำให้ปรายฝนถอนใจ เมื่อแม่นายใจเดียวหันมาปรายฝนทำท่าจะยิ้มให้แต่แววตาเรียบนิ่งที่ได้เห็นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ปรายฝนยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของแม่นายใจเดียว ถึงได้รู้ว่าดวงฤทธิ์มายืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ไตรมาช่วยงานในวันสุดท้าย เพราะต้องดูแลไร่ใจเดียว ถึงแม้เพิ่งมาแต่ได้ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะงานที่ต้องใ
ปรายฝนเงียบมาตลอดการเดินทาง นายแพทย์ซึ่งปรายฝนเรียกว่าอาหมอได้ช่วยจัดการเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพ โดยมีแม่นายใจเดียวช่วยอีกแรง ซึ่งปรายฝนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ท่านมี จึงต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดการให้เรียบร้อย “พ่อเป็นโรคหัวใจหรือคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม “พ่อเราไม่ยอมให้บอกใคร อาอยากให้บอกปราย แต่ท่านไม่ยอม” “เพราะปรายหรือเปล่าที่ทำให้อาการทรุดลง” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา “ใช่สิ พ่อรู้เรื่องปรายกับแม่นายเจ้าของไร่อาการเลยทรุด” คำพูดของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวหันไปมองพร้อมๆ กัน “ฤทธิ์ใช่เรื่องที่จะมาโทษกันไหม” อาหมอพูดดุ “ผู้ใหญ่ควรต้องรับผิดชอบ” ดวงฤทธิ์พูดกระทบแม่นายใจเดียว “ฝากดูแลปรายด้วยนะครับ คุณใจเดียว” “ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” นายแพทย์จ้องมองดวงฤทธิ์อย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พูดโทษปรายฝนว่าเป็นสาเหตุทำให้บิดาของตัวเองเสียชีวิต “เช็ดน้ำตาก่อน ปรายต้องหยุดร้องไห้แล้วล่ะ เพราะต้องรับแขก” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยู่กับปรายนะ ปรายไม่เหลือ