นายท่านหยางเห็นว่าครอบครัวของลูกสะใภ้ยังมีความเกรงใจตัวเอง และยังเรียกนายท่านอยู่จึงได้เอ่ยปากบอกออกมา
“ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่านหรอก เราคนกันเองทั้งนั้นต่อจากนี้เรียกฉันว่าพี่หยางตงเถอะ”
“เธอก็เหมือนกัน ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณนาย ต่อไปก็เรียกว่าพี่ซือเจิน เราสองครอบครัวตอนนี้เกี่ยวดองกันแล้ว”
โม่ซือเจินพูดขึ้นมาบ้าง
“ครับ / ค่ะ” ทั้งสองตอบรับอย่างยินดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าคนยิ่งใหญ่อย่างนายท่านหยางจะไม่ถือตัวกับชาวบ้านแบบตนเอง
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันจะพาเธอไปในเมืองเพื่อไปเลือกดูเสื้อผ้าและของใช้ในงานแต่งงาน เธออยากจะจัดงานที่ไหนเหรอ”
โม่ซือเจินถามความคิดเห็น
“ฉันอยากจะย้ายบ้านก่อนน่ะค่ะ ตอนนี้พ่อสามีให้บ้านมาแล้ว เลยตั้งใจว่าจะไปดูในวันพรุ่งนี้ เพื่อจะได้เตรียมงานที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้า”
หลี่เหมยตอบเอง เธอต้องการทำอย่างที่พูดก่อน ส่วนเรื่องจะเชิญใครไปงานแต่งงานนั้นค่อยว่ากัน หรือไม่ก็ค่อยเลี้ยงคนในหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเธอ
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ อาเหมยก็ค่อยไปดูบ้านกับทุกคนก็แล้วกันว่าชอบหรือเปล่า หากไม่ชอบพ่อจะได้เปลี่ยนหลังใหม่ให้ แล้วจะได้ย้ายทะเบียนบ้านทุกคนเข้าไปเลย เรื่องย้ายบ้านพ่อคิดว่า
ไม่น่าจะนานนักหรอก”หยางตงรีบบอกกับลูกสะใภ้ เขายินดีที่จะเปลี่ยนบ้านให้หากเธอไม่พอใจ เพราะกลัวว่าบ้านที่มอบให้จะเล็กเกินไปสำหรับครอบครัวลูกสะใภ้
“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกค่ะพ่อ บ้านที่พ่อให้ก็เพียงพอแล้วค่ะ เพราะอย่างไรตัวฉันเองก็ต้องกลับไปอยู่กับพี่อี้ข่ายอยู่แล้ว ขอแค่บ้านพวกเราอยู่ไม่ไกลกันก็พอ เพราะฉันจะได้กลับมาดูแลพ่อกับแม่ได้”
หลี่เหมยคิดว่าบ้านหลังนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนหลังใหม่ เพราะครอบครัวเธอมีเพียงสี่คนเท่านั้น พรุ่งนี้ค่อยไปดูบ้าน หากยังไม่มีเครื่องเรือนก็ค่อยเอาออกมาจากระบบ เนื่องจากตอนนี้เงินที่มีในระบบนั้นสูงพอสมควร
‘เจ้านายไม่ต้องกังวลไปหรอก เครื่องเรือนที่คฤหาสน์หลังนั้นมีพร้อมหมดแล้ว เจ้านายและครอบครัวเพียงแค่เอาตัวเองไป ก็พอ’
ลี่ลี่ส่งเสียงบอก เลยทำให้หลี่เหมยตื่นตกใจ ไม่คิดว่าบ้านที่พ่อสามีให้จะเป็นคฤหาสน์
‘เธอบอกว่าคฤหาสน์หลังนั้น’
‘ใช่แล้วค่ะ สิ่งที่เจ้านายคิดว่าบ้าน มันคือคฤหาสน์หลังใหญ่ แต่อาจจะเล็กกว่าคฤหาสน์ของตระกูลหยาง พ่อสามีของเจ้านายเลยเรียกว่าบ้าน และในบ้านก็มีเครื่องเรือนพร้อมเสร็จสรรพแล้ว เจ้านายและครอบครัวของเจ้านาย แทบจะไม่ต้องเอาอะไรไปเลย นอกจากสิ่งของที่สำคัญ’
‘ขอบใจมากนะที่บอกฉัน’
นายท่านหยางรู้สึกพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้ยิ่งนัก เพราะเธอดูไม่ละโมบโลภมากเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่อยากแต่งเข้ามาในตระกูลหยาง นับว่าคราวนี้ลูกชายเลือกสะใภ้ให้ไม่ผิดจริง ๆ
“รุ่ยเมิ่ง เธอและเสี่ยวหรานรีบไปเปลี่ยนชุดกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะพาไปในเมือง พวกเราจะไปดูเสื้อผ้าและของที่ต้องใช้ในงานแต่งของลูกกัน อาเหมยจะไปกับแม่ด้วยไหม”
โม่ซือเจินรู้สึกถูกชะตากับแม่ของลูกสะใภ้ เลยอยากจะพาอีกฝ่ายไปเปิดหูเปิดตา เพราะต่อไปเมื่อมีงานสังคมก็ตั้งใจจะพา
อีกฝ่ายไปด้วยทุกงาน เเล้วก็รู้สึกเอ็นดูหลี่ลู่หลานจนอยากจะรับมาเป็นลูกสาวบุญธรรมทว่าถึงไม่ทำอย่างนั้นอย่างไร พวกเธอก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว
แม้ว่าเฉินรุ่ยเมิ่งจะไม่ค่อยอยากไปเพราะเกรงใจ เนื่องจากรู้ว่าต้องเสียเงิน แต่เมื่อเห็นสายตาของหลี่เหมยจึงพยักหน้าตอบ
ตกลง“ฉันไม่ไปดีกว่าค่ะ แต่เดี๋ยวจะเข้าไปช่วยแม่แต่งตัว
สักหน่อย ขอตัวก่อนนะคะ” หลี่เหมยต้องการปลีกตัว เพราะต้องการเอาเงินให้แม่กับน้องสาวติดตัวไว้ เพราะก่อนหน้านี้แม่กับพ่อไม่ต้องการเอาเงินไว้กับตัวโม่ซือเจินพยักหน้า ก่อนจะมองลูกสะใภ้ด้วยความชอบใจและพึงพอใจมาก
เมื่อหลี่เหมยเดินตามแม่มา เธอก็แสร้งเดินไปที่ห้องตัวเองก่อน แล้วมาหาแม่อีกครั้ง จากนั้นจึงยื่นห่อเงินให้
“นี่ค่ะแม่ เอาไว้ซื้อของ ฉันไม่แน่ใจว่าจะพอไหม”
หญิงสาวยื่นเงินให้แม่ราว ๆ สองพันหยวน
ทันทีที่รับเงินมาแล้วนับดู เฉินรุ่ยเมิ่งตกใจไม่น้อยเลย
เมื่อเห็นว่าในห่อผ้านี้มีเงินเท่าไร“มันเยอะไปหรือเปล่าลูก”
ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยจับเงินเยอะมากเท่านี้มาก่อนเลย
“ไม่เยอะหรอกแม่ แม่อยากซื้ออะไรก็ซื้อเลย ซื้อให้น้องด้วย แม่อย่าลืมสิว่าเราขายสมุนไพรพวกนั้นได้ราคาเท่าไร ใช้เงินแค่นี้ไม่ทำให้เราจนหรอก”
หญิงสาวบอกกับแม่ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก และอยากให้แม่รู้จักใช้เงินบ้าง เพราะต่อไปเมื่อออกงานสังคมจะได้ไม่ถูกคุณหญิงคุณนายพวกนั้นดูถูกเอา
“ขอบใจมากนะอาเหมย”
เธอน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย ไม่คิดว่าลูกสาวจะดูแลเธอดีอย่างนี้ แม้ว่าจะไม่มีสายเลือดผูกพันกันก็ตาม
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ทุกคนก็ออกจากบ้าน เพื่อไปทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ รวมถึงหลี่เหมยกับพ่อที่ออกจากบ้านเพื่อไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องที่จะย้ายไปอยู่ในเมือง
เรื่องนี้ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านตกใจไม่น้อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ในเมื่อหลี่เหมยคือลูกสะใภ้ของตระกูลหยาง คนมีอิทธิพลแบบนั้นคงไม่ให้ครอบครัวของภรรยาอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้หรอก
และข่าวที่บ้านรองหลี่จะย้ายออกจากบ้านก็กระจายไปทั่วด้วยเวลาอันรวดเร็ว
วันต่อมา...
คนบ้านรองหลี่เดินทางออกจากหมู่บ้านด้วยรถยนต์ที่หยางอี้ข่ายขับมารับด้วยตัวเอง และเมื่อมาถึงบ้านที่นายท่านหยางมอบให้ ทุกคนได้แต่ตกใจจนตาค้าง เพราะนี่ไม่ใช่บ้าน แต่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ พร้อมสาวใช้และคนสวน
“เอ่อ...นี่คือบ้านเหรอพี่เขย ทำไมมันใหญ่อย่างนี้ล่ะ”
หลี่ลู่หรานกลืนน้ำลายลงคอ มองคฤหาสน์หลังโตด้วยความตื่นตา
“ยินดีต้อนรับค่ะ / ครับ”
พอได้ยินเสียงของคนรับใช้ ทุกคนต่างสะดุ้งโหยง เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ มีเพียงหลี่เหมยเท่านั้นที่ยังทำตัวปกติ แม้ว่าจะตื่นเต้นก็ตาม นั่นเพราะชาติที่แล้ว เธอเป็นเพียงนักเขียนตัวเล็ก ๆ เท่านั้น จะให้มีคนรับใช้ได้อย่างไรกัน
หยางอี้ข่ายยิ้มเอ็นดูน้องภรรยา เขามองว่าเธอคงตื่นเต้นไม่น้อย จึงได้เอ่ยออกมาว่า
“ไม่ต้องตกใจหรอก นี่คือบ้านที่พ่อของพี่มอบให้ลูกสะใภ้สุดโปรด ถ้าที่นี่ยังเล็กไป เดี๋ยวพี่จะไปขอหลังใหญ่กว่านี้ให้”
“ไม่ต้อง!!” ทุกคนพูดพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
“เข้าไปดูด้านในก่อนเถอะ ส่วนเรื่องย้ายทะเบียนบ้าน เดี๋ยวพี่ให้เทียนสิงจัดการให้ ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านน่าจะเตรียมเอกสารไว้แล้วล่ะ”
ชายหนุ่มเชื้อเชิญทุกคนให้เข้ามาตรวจดูข้างในว่าพึงพอใจหรือเปล่า เพราะถ้าหากไม่พอใจในคฤหาสน์หลังนี้ก็ยังมีอีกหลายหลังให้เลือก
เมื่อเข้ามาแล้วทุกคนรู้สึกตื่นตายิ่งกว่าเดิม เพราะในคฤหาสน์หลังนี้ มีเครื่องเรือนและข้าวของทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว หลี่เหมยมองว่า ครอบครัวของเธอแค่เพียงเอาเสื้อผ้าเเละตัวมา
ก็พอ รวมถึงเอกสารส่วนตัว“ทุกคนสามารถย้ายเข้ามาอยู่ในวันพรุ่งนี้ได้เลย วันรับตัวเจ้าสาวจะได้จัดงานที่นี่ ไม่ต้องเข้าหมู่บ้าน ส่วนนายตอนนี้ก็ฝึกงานได้มากพอสมควรแล้ว และฉันจะปล่อยร้านค้าให้นายดูแล อย่างน้อยก็เป็นของนายเอง ส่วนการเปลี่ยนมือ หรือเปลี่ยนชื่อในใบอนุญาต เดี๋ยวฉันให้คนจัดการให้”
ที่เขาให้เพราะต้องการให้ของขวัญภรรยา และรู้ดีว่าหลี่เหมยต้องการเปิดร้านให้กับพี่ชาย เขาจึงใช้โอกาสนี้มอบให้เสียเลย
“ไม่ดีหรอกพี่ ผมทำงานกับพี่ไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยขยับขยายกันไป แค่พ่อของพี่ให้ที่อยู่นี้กับพวกเราก็เกินพอแล้ว”
หลี่ซือหยวนไม่ต้องการรับอะไรจากน้องเขยไปมากกว่านี้อีกแล้ว อีกทั้งยังเกรงใจที่จะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว
“อย่าคิดมากเลย นายคือพี่ภรรยาฉัน นายก็คือครอบครัวฉันเหมือนกัน แม้ว่าฉันจะยกร้านให้ก็ตาม แต่ถ้านายดูแลไม่ดีก็
มีสิทธิ์พังได้เหมือนกัน แล้วอีกอย่างเมื่อนายสามารถมีกิจการเป็นของตนเอง นั่นย่อมหมายความว่า จะไม่มีใครดูถูกหลี่เหมยได้ว่าครอบครัวเป็นเพียงชาวนา”หยางอี้ข่ายพยายามหาเหตุผล เพื่อให้พี่ชายของภรรยารับในสิ่งที่เขาให้ไป
เมื่อหลี่ซือหยวนได้ยินแบบนั้น และเพื่อน้องสาว เขาจึงไม่ปฏิเสธอีก
“ขอบคุณมากนะ พี่อี้ข่าย”
จากนั้นทุกคนจึงสำรวจบ้านกันต่อ ข้าวของในบ้านทำให้
ทุกคนยังคงตื่นตาเหมือนเดิม ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีคฤหาสน์อยู่เหมือนคนที่มีเงินชอบอยู่กันหลังจากสำรวจบ้านไม่นาน หลี่เหมยจึงได้ข้อสรุปว่าอีก
สามวันจะย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ เพราะต้องการให้เรื่องเอกสารเรียบร้อยเสียก่อน และอยากเลี้ยงสั่งลาคนในหมู่บ้านที่ดีกับครอบครัวของเธอและก็เป็นอย่างที่เธอบอก หลี่เหมยสั่งซื้อเนื้อมาจำนวนมาก แม้จะสร้างความแปลกใจว่าเธอไปซื้อจากไหน ทั้งที่เนื้อนั้นขาดตลาดและทางรัฐจำกัด แต่คิดว่าเพราะเส้นสายของตระกูลหยางเลยซื้อมาได้ และอีกอย่างก็ได้ยินว่าหลี่เหมยจะทำอาหารเลี้ยงคนในหมู่บ้านเลยไม่มีใครกล้ามีปัญหาเพราะกลัวไม่ได้กินเนื้อ
วันนี้ก็ถึงวันที่ครอบครัวบ้านรองหลี่ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง บ้านหลังนี้จึงปิดไว้ก่อน เพราะยังไม่อยากให้ใครมาอยู่ เนื่องจากยังมีข้าวของที่พวกเธอไม่ได้เอาไป
แม้จะไม่อยากมีปัญหา แต่สะใภ้ใหญ่อย่างซือถัวก็อดไม่ได้เมื่อบ้านรองจะย้ายเข้าในเมืองจึงได้มาขอเครื่องเรือนในบ้านนี้แทน
“ฉันเป็นพี่สะใภ้เธอนะหลี่กวง ในเมื่อครอบครัวเธอจะ
ไม่อยู่แล้ว ทำไมข้าวของในบ้านนี้ถึงยกให้ฉันไม่ได้”เธอพูดออกมาอย่างเห็นแก่ตัว
“ผมให้ไม่ได้หรอก พี่สะใภ้จะคิดอย่างไรก็เรื่องของพี่”
หลี่กวงตอบอย่างเย็นชา ไม่คิดจะสนใจพี่สะใภ้คนนี้เลย และต่อให้พี่ชายมาด้วยตัวเอง เขาก็ไม่คิดจะให้ของในบ้านไปเหมือนกัน
“เธอมันพวกแล้งน้ำใจหลี่กวง พวกเธอย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองแล้วก็ไม่ได้ใช้ของพวกนี้สักหน่อย ทำไมจะให้ฉันที่มาจากบ้านใหญ่ใช้ไม่ได้ ต่อให้จะตัดขาดกันแล้ว แต่พี่ชายของเธอก็ยังเป็นหัวหน้าของบ้านใหญ่อยู่นะ”
ซือถัวยังคงดึงดันที่จะเอาของใช้จากบ้านรองไปไว้บ้านตัวเอง
ตอนพิเศษ 2 5 ปีผ่านไปตอนนี้สถานการณ์ครอบครัวของหลี่เหมยก็เข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น และตอนนี้ลูกฝาแฝดของเธออย่างหยางกวนโม่กับหยางเสี่ยวเหมยก็อายุครบห้าขวบในวันนี้ ดังนั้นวันนี้ที่บ้านตระกูลหยางจึงครึกครื้นมากเป็นพิเศษ เพราะสมาชิกทั้งสองครอบครัวลงไปจัดเตรียมสถานที่ตั้งแต่เช้ามืด แขกที่มาก็จะเป็นทั้งญาติพี่น้อง และคู่ค้าที่มีสัมพันธ์อันดีแต่ในห้องนอนของหยางอี้ข่ายนั้นมีแสงส่องผ่านผ้าม่านสีฟ้าอ่อนเข้ามาเล็กน้อย และในห้องนั้นก็กำลังร้อนระอุกับบทรักยามเช้าที่สามีกำลังมอบให้ภรรยา“อา....เสียวมากครับอาเหมย ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปน้องก็ทำให้มีความสุขทุกครั้ง” หยางอี้ข่ายถึงกับแหงนหน้าครางออกมาอย่างสุขสม“ฮึก...ฉันก็เสียวและมีความสุขค่ะ แต่พี่ต้องทำเวลาหน่อยนะ ตอนนี้ทุกคนตื่นแล้ว ซี้ดดด!” หลี่เหมยที่ตอนนี้อยู่ในท่าคุกเข่าหันก้นให้สามีอัดกระแทกแก่นกายเข้าในร่องเสียว เธอครางด้วยความเสียวซ่าน เมื่อตอนนี้สะโพกหนากระแทกใส่เธอไม่ยั้งตับ ๆ ตับ ๆ ตับ ๆ“โอ้ววว พี่ก็พยายามอยู่ แต่พี่อยากมีความสุขกับอาเหมยนาน ๆ พี่รักอาเหมยที่สุด จุ๊บ!”ชายหนุ่มที่แหงนหน้าครางได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งจับเอ
ตอนพิเศษ 1 ตั้งแต่ที่รู้ว่าหลี่เหมยตั้งท้อง นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนจนเกือบจะคลอดอยู่แล้ว ทว่าทุกคนกลับดูแลเธอไม่ต่างจากตอนท้องสองเดือน จนหญิงสาวต้องบ่นออกมาว่าเธอแค่ท้องไม่ได้ป่วยสักหน่อย แล้วคุณหมอก็บอกแล้วว่าท้องนี้ของเธอแข็งแรงดีแม้ว่าจะท้องแฝดก็ตาม “อาเหมยเป็นอย่างไรบ้าง พี่ไม่อยากไปทำงานเลย”หยางอี้ข่ายรีบบอก พร้อมกับมีสีหน้าออดอ้อนภรรยา จนโม่ซือเจินต้องเบะปากใส่ลูกชายที่เสแสร้งจนเกินหน้าเกินตา“ฉันก็เหมือนเดิม วันนี้พี่มีประชุมสำคัญของสมาคมการค้า พี่อย่ามางอแงเหมือนเด็กเลยนะ งานนี้สำคัญนะคะ”หญิงสาวอยากจะขำกับท่าทางของเขา แต่ก็ไม่อยากหักหน้าสามีต่อหน้าคนรับใช้หยางอี้ข่ายถอนหายใจ หากวันนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเขาคงไม่ไปหรอก เพราะภรรยากำลังอยู่ในช่วงใกล้คลอด“ครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ เสร็จงานแล้วจะรีบกลับ”“พ่อถามหน่อยเถอะ คุณชายแห่งตระกูลหยางผู้เหี้ยมโหดไปไหนแล้ว ทำไมพ่อเห็นแค่แมวน้อยเท่านั้นล่ะ” นายท่านหยางอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อลูกชาย“โธ่ พ่อครับ ผมก็แค่คนที่รักลูกรักภรรยา งานก็ส่วนงานสิครับ หากมีคนมารังแก ผมก็พร้อมที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”ชายหนุ่มไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร
บทที่ 26 หยางอี้ข่ายเดินเข้ามาหาหลี่เหมยที่นั่งอยู่บนเตียง เขายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ เจ้าสาว“ขอโทษนะครับที่พี่เข้ามาช้า พอดีมีแขกดึงไว้น่ะ” เขาพูดขึ้นและหอมแก้มเธอเบา ๆ“ฉันก็นึกว่าพี่จะปล่อยให้ฉันนอนหนาวอยู่คนเดียวในคืนเข้าหอซะอีก” หญิงสาวพูดอย่างหยอกล้อ และเริ่มมือไม้ซุกซนถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก “ไปอาบน้ำก่อนดีไหมคะ”“พี่จะปล่อยให้คืนแต่งงานของเราไร้ความหมายได้อย่างไร ส่วนเรื่องอาบน้ำ เอาไว้อาบทีหลังได้ไหมครับ ตอนนี้ยังไม่มีเหงื่อเลยสักนิด เดี๋ยวเรามาเข้าหอกันดีกว่า” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมกับเริ่มถอดเสื้อผ้าให้เธอทีละชิ้นเหมือนกำลังแกะกล่องของขวัญ“พูดแล้วก็ทำให้พี่คิดถึงคืนนั้น ที่เรามีอะไรกันครั้งแรก พี่อยากมีความรู้สึกแบบนั้นอีกจังเลย พี่ชอบมากที่ปากน้อย ๆ นี้สัมผัสกับแก่นกายของพี่ ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นกับพี่มาก่อน พี่ขอแบบนั้นอีกได้ไหมครับ”หยางอี้ข่ายพูดอย่างอ่อนหวาน เขาจูบลงที่ริมฝีปากบางในตอนที่พูดถึงปากของเธอ“งั้นถ้าฉันทำให้พี่ พี่ก็ต้องทำให้ฉันด้วยนะคะ เหมือนวันนั้น” หญิงสาวตอบกลับอย่างเขินอาย เมื่อคิดถึงคืนแรกของทั้งสองคน“ได้สิ เรามามีความสุขด้วยกันนะ”
บทที่ 25 หัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยรีบห้ามซือถัวทันที“เธออย่าเห็นแก่ได้ไปหน่อยเลยซือถัว ก่อนหน้านี้บ้านใหญ่เคยให้อะไรกับบ้านรองบ้างล่ะ ตอนที่แยกบ้านและตัดขาดกัน บ้านรองแทบไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แม้ว่าตอนนี้ครอบครัวของหลี่กวงจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง แต่บ้านหลังนี้ก็ยังเป็นของเขาอยู่ และเขาจะให้ของในบ้านกับใคร หรือไม่ให้ใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของหลี่กวง เธอไม่มีสิทธิ์มายุ่ง”“นี่มันเรื่องในครอบครัวของตระกูลหลี่ หัวหน้าหมู่บ้านนั่นแหละที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้ ฉันพูดกับน้องชายของสามี ไม่ได้พูดกับหัวหน้าหมู่บ้านสักหน่อย” เธอหันกลับมาตวาดใส่หัวหน้าหมู่บ้านอย่างโมโห และรู้สึกไม่พอใจที่หัวหน้าหมู่บ้านเข้ามายุ่งในเรื่องนี้แต่ในขณะนั้นเอง ลูกชายคนโตของซือถัวก็เดินเข้ามาด้วยความโมโห พร้อมกับพูดกับแม่อย่างฉุนเฉียวว่า“ผมบอกแม่แล้วใช่ไหมว่าให้เลิกยุ่ง และวุ่นวายกับบ้านอารองเสียที ในเมื่อแม่ไม่เชื่อฟังผม และยังเห็นแก่ตัวอยู่แบบนี้ เห็นทีผมต้องแยกบ้านเสียแล้วล่ะ”พอเห็นว่าลูกชายพูดด้วยอาการโกรธจัด ท่าทีของซือถัว ก็สงบลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ กับเขา“แม่ก็แค่อยากได้เครื่องเรือน และข้าวขอ
บทที่ 24 นายท่านหยางเห็นว่าครอบครัวของลูกสะใภ้ยังมีความเกรงใจตัวเอง และยังเรียกนายท่านอยู่จึงได้เอ่ยปากบอกออกมา“ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่านหรอก เราคนกันเองทั้งนั้นต่อจากนี้เรียกฉันว่าพี่หยางตงเถอะ”“เธอก็เหมือนกัน ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณนาย ต่อไปก็เรียกว่าพี่ซือเจิน เราสองครอบครัวตอนนี้เกี่ยวดองกันแล้ว”โม่ซือเจินพูดขึ้นมาบ้าง“ครับ / ค่ะ” ทั้งสองตอบรับอย่างยินดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าคนยิ่งใหญ่อย่างนายท่านหยางจะไม่ถือตัวกับชาวบ้านแบบตนเอง“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันจะพาเธอไปในเมืองเพื่อไปเลือกดูเสื้อผ้าและของใช้ในงานแต่งงาน เธออยากจะจัดงานที่ไหนเหรอ”โม่ซือเจินถามความคิดเห็น“ฉันอยากจะย้ายบ้านก่อนน่ะค่ะ ตอนนี้พ่อสามีให้บ้านมาแล้ว เลยตั้งใจว่าจะไปดูในวันพรุ่งนี้ เพื่อจะได้เตรียมงานที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้า”หลี่เหมยตอบเอง เธอต้องการทำอย่างที่พูดก่อน ส่วนเรื่องจะเชิญใครไปงานแต่งงานนั้นค่อยว่ากัน หรือไม่ก็ค่อยเลี้ยงคนในหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเธอ“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ อาเหมยก็ค่อยไปดูบ้านกับทุกคนก็แล้วกันว่าชอบหรือเปล่า หากไม่ชอบพ่อจะได้เปลี่ยนหลังใหม่ให้ แล้วจะได้ย้ายทะเบียนบ้านทุกคนเ
บทที่ 23 ครึ่งเดือนต่อมา...แม้ว่าจะผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว แต่ตอนนี้ในหมู่บ้านก็ยังพูดคุยเรื่องของถังชุนเป้ยอยู่ เนื่องจากการกระทำของเธอมันโหดร้ายจนเกินไป แต่ก็ไม่มีใครไปโกรธหรือเกลียดคนบ้านถัง นั่นเพราะว่าทุกคนแยกแยะออก และรู้ว่าคนบ้านถังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้และที่ทุกคนแปลกใจก็เพราะว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน ตัวของหร่วนเจินฮ่าวโดนคำสั่งย้ายอย่างกะทันหัน และเห็นว่าเงินเดือนที่ได้จากกองพลน้อยถูกสั่งหักไว้เพื่อชำระหนี้ให้กับหลี่กวงตามสัญญาที่เคยทำไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหัวข้อสนทนาของชาวบ้านไม่ต่างกันวันนี้หลี่เหมยตั้งใจจะเข้าเมือง เพราะอยากไปดูที่โรงขยะว่ามีสิ่งของน่าสนใจหรือไม่ อีกอย่างเธอได้ยินสามีพูดว่า พ่อกับแม่สามีใกล้จะกลับมาแล้ว เธอจึงอยากจะหาของเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าในระบบออกมาซึ่งในระบบพอมีเครื่องประดับบางอย่างที่ไม่ผิดกฎหมายในยุคนี้ ส่วนพ่อสามีก็คงจะให้เป็นนาฬิกาข้อมือ ที่หาไม่ได้จากในยุคนี้เหมือนกัน‘เจ้านาย ภาพวาดนั้นมีค่ามาก เจ้านายซื้อเก็บไว้ก่อนเถอะในอนาคต ซื้อขายเป็นร้อยล้านหยวนกันเลยนะ’ลี่ลี่รีบส่งเสียงบอกเมื่อเห็นภาพวาดโบราณที่แทบจะประเมินค่าไม่ได้ แต่ในยุคนี้นั้