พ่อของจักรกฤษณ์เป็นคนจีนส่วนแม่เป็นคนไทย ทางครอบครัวคาดหวังให้เขามีลูกชายไว้สืบสกุล กอปรกับปรางทิพย์ไม่ใช่ผู้หญิงที่พ่อแม่ต้องการให้แต่งงานด้วย การที่เธอมีลูกชายคนแรกจึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของเขายอมรับได้
นอกจากนี้เคยมีหมอดูทำนายดวงปรางทิพย์ไว้ว่า หากเธอได้ลูกชายคนแรก ครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นเศรษฐี แต่ถ้าหากเธอมีลูกสาวคนแรกจะนำพาให้ครอบครัวตกต่ำยากจนเข็ญใจ ทั้งสองจึงต้องการให้ลูกคนแรกเป็นผู้ชายเท่านั้น
แต่แล้วความฝันก็พังครืน...
เมื่อปรางทิพย์คลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง ทั้งที่เธออุ้มท้องลูกแฝด แต่คนที่มีชีวิตรอดกลับมีเพียงรินรดา ขณะที่ฝาแฝดเพศชายเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์สร้างความผิดหวังให้สองสามีภรรยามาก และดูเหมือนว่าคำทำนายของหมอดูก็จะมีเค้าความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากที่รินรดาลืมตาดูโลก เธอก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ทำให้พ่อแม่ต้องเสียเงินพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง
แม้แต่ปรางทิพย์เอง หลังจากคลอดลูก เธอก็มีอาการป่วยจากภาวะหลังคลอด ทำให้เธอหงุดหงิดจนมีเรื่องทะเลาะกับสามี กอปรกับพ่อแม่ของจักรกฤษณ์เสียชีวิตลงหลังจากรินรดาคลอดได้ไม่นาน เงินทองที่เคยมีก็ร่อยหลอลงไปทุกวัน ทำให้ต้องขายบ้านหลังเดียวที่มีแล้วย้ายไปเช่าบ้านซอมซ่ออยู่ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า รินรดาคือตัวซวยที่นำความโชคร้ายและทำให้ครอบครัวตกต่ำตามคำทำนาย เลยพาลทำให้ทั้งสองเกลียดขี้หน้าลูกสาวมากขึ้นไปอีก
“อีริน อีตัวซวย เพราะมึงคนเดียว ชีวิตกูถึงได้ลำบากขนาดนี้”
“พี่ก็อย่าไปโทษลูกเลย มันยังเด็กอยู่จะไปรู้อะไร ถ้ามันจะซวยก็ซวยเพราะตัวเองนะพี่ปราง ไม่ใช่ลูกหรือคำทำนายบ้าบอนั่นหรอก” พรพรรณค้าน
“เพราะมันนั่นแหละตัวซวย กูไม่น่าให้มันเกิดมาเลย ทำไมนะคนที่ตายไม่เป็นอีริน แล้วให้ลูกชายกูรอดแทน ชีวิตกูจะได้ดีกว่านี้”
หลังจากนั้นปรางทิพย์และจักรกฤษณ์ก็มีปากเสียงทะเลาะกันหนักขึ้นทุกวัน ทำให้เขาเริ่มเผยธาตุแท้ของตัวเอง เขากลับไปเล่นการพนันโดยไม่คิดจะปกปิดอย่างที่ผ่านมา หนักเข้าเลยทำให้ตัวเองเสียงานเสียการจนต้องถูกไล่ออกจากงาน แม้จักรกฤษณ์จะหันมาขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อหารายได้เพิ่มอีกทางหนึ่ง หากก็ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้าน กอปรกับระยะหลังมานี้ เขามักทำตัวยุ่งอยู่เสมอไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน ยิ่งทำให้ภาระการเลี้ยงดูลูกสาวส่วนใหญ่ตกเป็นหน้าที่ของปรางทิพย์
ยิ่งปรางทิพย์เครียดและหงุดหงิดมากขึ้นเท่าไหร่ เธอก็เริ่มหันเข้าหาขวดเหล้ามากขึ้นเท่านั้น นานวันเข้า เธอจึงป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง หลายครั้งที่พอเธอเมามักขาดสติพลั้งมือทำร้ายร่างกายลูกสาวจนได้รับบาดเจ็บ ทำให้พรพรรณที่เห็นเหตุการณ์ ต้องคอยช่วยหลานตัวน้อยให้รอดพ้นจากเงื้อมือแม่แท้ๆ
คนเป็นน้าจึงพอเดาออกว่าในช่วงที่เธอไม่ได้อยู่ด้วย หลานสาวจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เธอเองยังต้องระเห็จออกมา เพราะไม่อาจทนกับคำค่อนแคะดูถูกของพี่เขยที่คอยพูดจา หาเรื่องว่าเธอเป็นปลิงมาคอยดูดเลือดเกาะครอบครัวเขากิน
พอหนักข้อมากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องของเธอก็กลายเป็นชนวนทำให้พี่สาวกับพี่เขยต้องทะเลาะเบาะแว้งกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ นั่นจึงเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำให้พรพรรณตัดสินใจย้ายออกจากบ้านไปตายเอาดาบหน้า แต่ก็ยังติดต่อกับปรางทิพย์อยู่เสมอเพราะเป็นห่วงพี่สาว จนกระทั่งได้รับข่าวร้ายจากเพื่อนบ้านที่โทรมาบอกนั่นเอง เธอจึงต้องรีบมา
พรพรรณนั่งเคียงข้างหลานสาวมองรูปหน้าโลงศพอยู่พักใหญ่ ไม่นานนักเสียงรถยนต์คุ้นหูก็ดังแว่วมาและจอดตรงหน้าศาลาที่จัดงาน พรพรรณหันไปมองคนมาใหม่ก็ต้องเบิกตาค้าง เมื่อเห็นจักรกฤษณ์ปรากฎตัวในเสื้อยืดสีแดงกางเกงยีนส์เดินอาด ๆ ขึ้นมาบนศาลาวัด ตามมาด้วยผู้หญิงรูปร่างหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง แต่งชุดสีสันแสบตาอุ้มเด็กผู้ชายอายุประมาณห้าขวบ เดินตามเขามาติด ๆ
ผู้คนที่ยังอยู่บนศาลา ต่างหันมองคนทั้งสามเป็นตาเดียว แต่ยังไม่ทันที่พรพรรณจะได้ทำสิ่งใด รินรดาก็เป็นฝ่ายลุกพรวดวิ่งตรงเข้าไปหาจักรกฤษณ์พร้อมกับกอดขาไว้แน่นราวกับหาที่พึ่ง ขณะที่ปากก็พร่ำบอกกับผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจ
“พ่อ...พ่อมาแล้ว พ่อกลับมาอยู่กับหนูใช่ไหมจ๊ะ”
จักรกฤษณ์ก้มมองเด็กน้อยชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองจันทร์เพ็ญที่ยืนเคียงข้างเขา เมื่อเขาเห็นสายตาขุ่นเขียวไม่พอใจของฝ่ายหญิง จักรกฤษณ์ก็รีบผลักไสร่างเล็กของรินรดาออกไปให้พ้นกาย จนลูกสาวเสียหลักเกือบจะล้มลง หากพรพรรณไม่คว้าตัวไว้เสียก่อน
“ไอ้ไม้ มึงเป็นพ่อประสาอะไรวะ นี่ลูกมึงทั้งคน ทำไมผลักลูกแบบนี้ รินไม่เป็นไรนะลูก” ประโยคท้ายเธอหันมาถามหลานสาวด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะรั้งร่างเล็กให้ห่างออกมาจากจักรกฤษณ์โดยที่ตัวเองเป็นคนออกหน้ารับแทน
“กูไม่เคยนับว่ามันเป็นลูก นี่ต่างหากชาวีลูกชายของกู”
วาจาเย้ยหยัน พร้อมกับเน้นย้ำคำว่า ‘ลูกชาย’ โอ้อวดอย่างภาคภูมิใจ ทำให้พรพรรณถึงกับควันออกหู
“ไอ้ไม้! กูก็พอรู้จากพี่ปรางมาบ้าง ว่ามึงมีเมียน้อย นี่น่ะเหรอเมียน้อยของมึง สวยไม่ได้ขี้เล็บพี่สาวกูสักนิด หึ คนตาต่ำ”
พรพรรณมองจันทร์เพ็ญอย่างเหยียดหยาม ขณะที่อีกฝ่ายอุ้มลูกไว้แนบอกส่วนใบหน้าเชิดขึ้นอย่างไว้ตัว
“อีปรางพี่มึงมันตายห่าไปแล้ว ตอนนี้เพ็ญไม่ใช่เมียน้อยกู เขาเป็นเมียหลวงต่างหาก รู้ไว้เสียด้วย ต่อไปมึงอย่าได้มาดูถูกเมียกู”
“สั่นเหรอครับ พี่ไม่เห็นรู้สึกเลยแฮะ” “นี่ไงคะ มือพี่เจตต์สั่นจริง ๆ ด้วย”หญิงสาวจับมือเขาไว้พลางชูขึ้นทำให้อีกฝ่ายมองมือเจ้ากรรมที่ดันสั่นระริกด้วยความประหม่าใบหน้าแดงก่ำ “พี่ว่า พี่คงเขินน้องระรินมากกว่าน่ะครับ” “เขินระรินเนี่ยนะคะ” “น้องระรินแต่งตัวสวยแบบนี้ จะไม่ให้พี่ตื่นเต้นได้ยังไงกันครับ อีกอย่างน้องระรินรู้ตัวไหมครับ วันนี้พอน้องระรินยิ้มให้พี่ทีไร หัวใจของพี่ก็สั่นไหวเหมือนจะควบคุมไม่อยู่ทุกที” “พี่เจตต์...”ยังไม่ทันที่รินรดาจะทันได้พูดสิ่งใด ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ก่อนจะมีป้ายบอกทางไปยังชั้นดาดฟ้าของโรงแรม ทันทีที่รินรดามองขึ้นไปด้านบน เธอเ
“แหม! พูดมาตั้งนาน หรือว่า...น้าอ้อยมีหนุ่มมาจีบเหรอคะ ถึงได้พูดเรื่องเนื้อคู่แบบนี้”รินรดาหัวเราะคิกคักชอบใจ ทำให้อีกฝ่ายบ่นอุบ “โอ๊ย! ทำมาเป็นพูด ชาตินี้น้าไม่เอาผัวเด็ดขาด แค่เห็นชีวิตของพี่ปราง และชีวิตของระริน น้าก็เข็ดขยาดแทนแล้ว กลัวตัวเองจะเลือกผัวผิดไปเจอผู้ชายเฮงซวยเข้าน่ะสิ แต่จะว่าไปเจตต์คงจะเป็นเนื้อคู่ของระรินล่ะมั้ง ดูสิ ขนาดแคล้วคลาดจากกันไปแล้ว ก็มีเหตุให้วนกลับมาอยู่บ้านติดกัน จนมาคบกันแบบนี้ และเขาก็บังเอิญเข้ามาช่วงที่ระรินเดือดร้อนทุกครั้งเลยสิ ถ้าแบบนี้ไม่ใช้เนื้อคู่ แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ” “หวังว่าจะไม่ใช่คู่เวรคู่กรรมอีกนะคะ”“โอ๊ย อย่างเจตต์นี่ไม่ใช่คู่เวรคู่กรรมหรอก น่าจะเป็นคู่สร้างคู่สมหรือคู่แท้มากกว่าล่ะมั้ง”สองสาวพูดคุยหัวเราะกันสนุกนาน จนพรพรรณเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอจึงเอ่ยขึ้น“เออ...น้าลืมเล่าให้เราฟัง วันก่อนน้าได้รับข่าวพ่อของเราจากเพื่
หลังจากที่เดินทางมาถึงจังหวัดกระบี่ เจตต์ก็พาทุกคนไปเช็กอินที่โรงแรมซึ่งได้จองไว้ โดยเขาได้จองหนึ่งห้องเตียงคู่ พร้อมเตียงเสริมให้รินรดา พรพรรณและน้ำฟ้าพักอยู่ด้วยกัน ส่วนตัวเองพักอยู่อีกห้องข้าง ๆเขาพาทั้งสามคนไปทำบุญที่วัดในจังหวัดกระบี่ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับสรวิชญ์ หลังจากทำบุญเรียบร้อยแล้ว น้ำฟ้าจับมือรินรดาสลับกับจับมือของเจตต์แล้วหัวเราะคิกคัก ก่อนที่เขาจะพาทุกคนขึ้นรถตู้และพาไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารริมชายหาดซึ่งเขาจองไว้ก่อนหน้าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารอบอวลไปด้วยความสุขและความสนุกสนานครื้นเครง เสียงหยอกล้อหัวร่อต่อกระซิกท่ามกลางคนที่รักทำให้ความทุกข์ในใจของรินรดาค่อย ๆ จางหายไป ก่อนที่เจตต์จะพาทั้งสามคนไปเดินเล่นที่ชายหาดเจตต์วิ่งเล่นหยอกล้อกับน้ำฟ้า เด็กน้อยหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจก่อนที่เจตต์จะให้หนูน้อยขึ้นขี่คอพาวิ่งไปตามชายหาด และจบลงที่พากันเล่นก่อปราสาททราย โดยมีรินรดากับพรพรรณนั่งเฝ้ามองดูคนทั้งสองด้วยความสุขและอิ่มเอมใจ“ระริน เจตต์เป็นคนดีมากเลยนะ เข้ากับยัยหนูของเราได้ดี ผู้ชายแบบนี้หายากนะที่จะยอมรับเร
ทางด้านรินรดา หลังจากสรวิชญ์จากไปแล้ว เจตต์ก็เก็บกวาดขยะที่เกลื่อนถนนไว้ในถังขยะตามเดิม พอหันมาเห็นรินรดากำลังยืนพิงรถของตัวเองเหนื่อยหอบ มือของเธอยังถือสายยางที่น้ำยังคงไหลรินไม่ขาดสาย เขาก็พอเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวพลางเอื้อมมื้อไปจับสายยางก่อนจะไปปิดน้ำและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย“ระรินต้องรีบไปประชุมค่ะ”“น้องระรินจะไปประชุมในสภาพแบบนี้เหรอครับ”“คือ...”“เดี๋ยวพี่โทรบอกน้องอรให้นะครับ น้องอรน่าจะเข้าใจ พี่ว่าน้องระรินเข้าไปนั่งพักในบ้านก่อนดีกว่าครับ”เจตต์ใช้เวลาไม่นานโทรบอกกนกอร ก่อนจะพารินรดาเข้าไปนั่งพักในบ้านของเธอ“แล้วนี่น้าอ้อยไม่อยู่เหรอครับ”“เห็นเมื่อเช้าน้าอ้อยบอกว่าจะไปทำธุระที่ห้างน่ะค่ะ น้ำฟ้าก็ไปโรงเรียน โชคดีแล้วล่ะค่ะ จะได้ไม่ต้องมาเจอพี่ต้น ระรินอยากให้ลูกจำพ่อในแบบที่ดี ไม่ใช่แบบที่เราเห็นเมื่อกี้นี้เลยค่ะพี่เจตต์”“พี่เข้าใจครับ”เจตต์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาลึกซึ้ง ภายนอกเธอดูเข้มแข็งเสมอ หากเขากลับรู้สึกว่า ภายในจิตใจกลับอ่อนแอจนเขาอย
“เงินแค่นี้ กูไม่พอใช้หรอก มึงได้เงินไปตั้งสิบล้าน มึงเอามาแบ่งกูเดี๋ยวนี้ กูจะเอาส่วนแบ่งจากเงินนั่น”“ไม่มี ถึงมีกูก็ไม่ให้”สรวิชญ์ถลาเข้ามากระชากกระเป๋าถือในมือของเธอ ขณะที่อีกฝ่ายพยายามยื้อยุดฉุดกระชากไม่ยอมแพ้ ก่อนที่กระเป๋าจะหลุดจากมือกระเด็นไปอีกทาง สรวิชญ์รีบพุ่งตัวไปยังกระเป๋าของรินรดา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถึง ร่างสูงของสรวิชญ์ก็ถูกถีบโดยแรงก่อนจะกระเด็นกลิ้งไปบนพื้นถนน และเจตต์ก็ก้มเก็บกระเป๋าส่งคืนให้กับรินรดา“น้องระรินเป็นยังไงบ้างครับ”เจตต์รีบเข้ามาโอบประคองร่างบางที่กำลังสั่นเทาด้วยความตกใจปนโกรธจัด“ระรินไม่เป็นไรค่ะพี่เจตต์ นั่นพี่ต้นค่ะ”เจตต์หันไปมองร่างสกปรกที่พยายามประคองตัวเองลุกขึ้นมายืนอย่างทุลักทุเล เขาเพ่งมองอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะสรวิชญ์ในตอนนี้ไม่หลงเหลือภาพความหล่อสมัยเป็นเดือนมหาลัยเหมือนในอดีตเลยสักนิด“นี่มึงจริง ๆ เหรอวะไอ้ต้น”“เออ เป็นกูแล้วยังไง มึงคงจะนึกสมเพชกูมากสินะที่มาเจอกูในสภาพแบบนี้”“ตอนแรกกูรู้ข่าวมึงกูก็ยังนึกสงสาร แต่พอเห็นมึงมาทำแบบนี้กับน้องระริน กูบอกตรง ๆ กูสงสารมึงไม
เที่ยงวันหนึ่งขณะที่รินรดารีบกลับมาที่บ้านเพราะลืมเอกสารสำคัญสำหรับงานประชุมในช่วงบ่าย จังหวะที่ขับรถมาถึงบ้าน เธอก็พลันเห็นผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวมอซอกำลังเกาะรั้วบ้านของเธอมองลอดเข้าไปด้านในรินรดาเพ่งมองเขาด้วยความแปลกใจปนหวาดระแวง ก่อนจะลงรถไปถาม“คุณมาหาใครเหรอคะ” เสียงทักของเธอทำให้เขาชะงักหันมาพร้อมกับถลาเข้ามาใกล้ ทำให้หญิงสาวรีบถอยกรูดด้วยความตกใจ“ระริน นี่พี่เอง พี่ต้นไง ระรินจำพี่ไม่ได้เหรอ”ใบหน้ามอมแมม ผมเผ้ารกรุงรัง กลิ่นตัวโชยหึ่งเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ทำให้รินรดาต้องเขม่นมองด้วยความแปลกใจ“นี่พี่ต้นจริง ๆ เหรอคะ”“ใช่ นี่พี่เอง”เขาใช้มือปัดผมบังหน้าออกก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ หากสำหรับรินรดา หญิงสาวใช้เวลาพักใหญ่จึงแน่ใจว่าคนตรงหน้าเป็นสรวิชญ์ รอยยิ้มของเขาในตอนนี้ดูแสยะยิ้มมากกว่าจะหวานพิมพ์ใจเหมือนเมื่อก่อน เธอรีบถอยห่างด้วยความตกใจเพราะไม่คิดฝันว่าจะเจอเขาอีกในสภาพเช่นนี้“พี่ต้น...มาทำไมคะ”“พี่มาขอโทษหนู ระริน...พี่คิดถึงหนูมาก พี่ผิดไปแล้วให้อภัยพี่เถอะนะ พี่ขอโทษจริง ๆ อีนังนั่นม