แชร์

บทที่ 78

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา “รากฐานของจักรวรรดิ ต้องอาศัยทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนปกครองบ้านเมือง ฝ่ายทหารปกครองแผ่นดิน ทั้งสองฝ่ายล้วนขาดไม่ได้ เปรียบเสมือนเสาหลักสองต้นที่ค้ำจุนแคว้น ด้วยเหตุนี้ ทายาทของวีรบุรุษผู้ภักดี จอมทัพอันดับหนึ่ง ผู้เป็นที่รักของเหล่าทหาร สมกับความกล้าหาญของวีรบุรุษผู้ภักดี ข้าจึงแต่งตั้งซูเจิ้นถิงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งหน่วยบัญชาการทหารสูงสุด ควบคุมกองทัพทหารทั่วหล้า มอบอำนาจเบ็ดเสร็จในการบัญชาการทหารรักษานครบาลจำนวนสามแสนนาย ด้วยความมุ่งหวังให้แผ่นดินที่แสงอาทิตย์ส่องถึงและสายน้ำไหลผ่าน ล้วนเป็นดินแดนฉิน อาศัยดาบอันคมกริบของท่านซู แผ่ขยายบารมีของแคว้นสู่ดินแดนอันไกลโพ้น รับพระราชโองการ”

เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ ลงประทับตราพระราชลัญจกรและตราประทับขององค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว จะคัดสำเนาส่งให้กับสำนักราชเลขาเก็บไว้เป็นหลักฐาน และจะส่งไปที่ทุกเมืองประกาศให้ราษฎรทราบ ห้ามมิให้ผู้ใดฝ่าฝืน”

เมื่อพระราชโองการประกาศแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้

ซูเจิ้นถิงเอ่ยปากคนแรก ก้มกราบลงสามครั้งคำนับเก้าคำครั้ง และเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “กระ
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
บทที่ถูกล็อก

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 79

    เจียงโจวตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง รีบร้องตะโกนว่า “องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วย กระหม่อมไม่ทราบว่าเรื่องจะบานปลายเพียงนี้ กระหม่อมก็กำลังคิดหาวิธีไล่พวกเขาออกไป ทว่าผู้ประสบภัยเหล่านั้นดื้อรั้นนัก ไล่แล้วก็กลับมา กระหม่อมจนปัญญาแล้วจริงๆ” “ตำราเซิ่งเสียน สุนัขคาบไปกินแล้วรึ!” เจียงโจวไม่อธิบายคงดีกว่า แต่ทันทีที่เขาอธิบาย จิตสังหารของหลี่เฉินก็เดือดพล่านอีกครั้ง “ราชสำนักแต่งตั้งเจ้าเป็นขุนนาง และเป็นถึงผู้ว่าการเมืองหลวง ภายใต้โอรสสวรรค์ เพื่อให้เจ้าขับไล่ผู้ประสบภัยรึ! ผู้ประสบภัยไปที่ใดก็มิใช่ดินแดนของต้าฉิน มิใช่ราษฎรของต้าฉินอย่างนั้นหรือ!” “เจ้าไม่คิดบรรเทาภัยพิบัติและเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ยังจะขับไล่พวกเขาออกไป เพียงคำพูดนี้ของเจ้า ข้าไม่สังหารเจ้า คงไม่อาจระบายความเกลียดแค้นที่ติดอยู่ในใจไปได้!” “ลากขุนนางชั่วช้าออกไปสอบปากคำและสังหารทันที ตรวจค้นจวนของเขา เนรเทศสามพันลี้ในสามชั่วโครตให้ และยึดเป็นของหลวงทั้งหมด!” เจียงโจวนึกไม่ถึงว่าการร้องขอความเมตตาจะนำไปสู่การทำลายล้างตระกูลของเขา เขากลัวมากจนเนื้อตัวสั่นไม่หยุด อยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกองครักษ์ที่ถือดา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 80

    “เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยามนี้ไม่ว่าจะลงโทษหรือเอาผิดก็เป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือการบรรเทาภัยพิบัติและช่วยเหลือผู้ประสบภัย เหตุการณ์ที่องค์รักษ์อวี่หลินสังหารหมู่ผู้ประสบภัยนั้น มีทั้งแง่มุมดีและแง่มุมเลวร้าย แม้ชีวิตผู้คนหลายพันคนจะสูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย แต่ความผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรีบช่วยเหลือผู้ประสบภัย มิฉะนั้น จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของราชสำนักในสายตาของราษฎร”คำพูดของจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลยอีกทั้งเป็นเรื่องที่หลี่เฉินกังวลจริง ๆเขาจึงมิได้พูดแทรก และรอให้จ้าวเสวียนจีพูดต่อจ้าวเสวียนจีมิได้หยุดพูด หายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้ กระหม่อมขอเสนอแนะให้องค์รัชทายาทมีราชโองการให้คัดเลือกบุคคลผู้มีจิตใจเมตตา สามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ และมากด้วยความสามารถลงพื้นที่ประสบภัยเพื่อปลอบประโลมราษฎร”เมื่อได้ยินประโยคนี้ จุดประสงค์ของจ้าวเสวียนจีก็ชัดเจนขึ้นแล้วขุนนางทั้งราชสำนัก ใครบ้างที่สามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ได้ไม่มีผู้ใดนอกจากองค์รัชทายาททว่าองค์รัชทายาททรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 81

    หากกล่าวว่าหลายวันก่อน หลี่เฉินเพิ่งถูกบีบให้สละบัลลังก์ แม้จะมีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองอยู่บ้าง แต่ยังดูอ่อนหัดและไร้เดียงสา สุดท้ายมิใช่เพราะฮ่องเต้ต้าสิงผู้ฟื้นอย่างกะทันหันและช่วยชีวิตเขาไว้ เกรงว่ายามนี้องค์รัชทายาทอาจกลายเป็นหุ่นเชิด หรือถูกทหารองครักษ์อวี่หลินกดดันสำเร็จแล้วทว่าองค์รัชทายาทในยามนี้ที่ยืนอยู่บนพระที่นั่งไท่เหอ เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองจะดูชำชองอย่างมาก รู้จักหลบหลีกและโจมตีอย่างชาญฉลาด ย่างก้าวหลายก้าวที่ผ่านมา ล้วนคิดวางแผนในจุดที่ตนไม่ทันได้เตรียมการ จนเอาชนะเบี้ยได้ตัวหนึ่งแม้จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่โดยรวมแล้ว ยังมีแนวโน้มสูงที่ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะสูญเสียจ้าวเจี้ยนเย่ ภายใต้ความสำเร็จที่ทำให้กับซูเจิ้งถิงกลับมามีบทบาทอีกครั้ง และปกครองทหารกล้าสามแสนนายของหน่วยบัญชาการสูงสุดเพียงผู้เดียวดังนั้น โดยสรุปแล้ว จ้าวเสวียนจีพ่ายแพ้ไปหนึ่งเบี้ยสิ่งสำคัญที่สุดคือ องค์รัชทายาทมิได้ใช้อารมณ์ต่อต้านแรงกดดันจากเขา แต่กลับยอมถอยก้าวอย่างชาญฉลาดสิ่งนี้ทำให้จ้าวเสวียนจีตระหนักว่าองค์รัชทายาทในยามนี้เรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนความสามารถ ไม่ได้เปิดเผยจุดอ่อนอีกต่อไป แต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 82

    ณ ตำหนักบูรพา สนมองค์รัชทายาทจ้าวหรุ่ยพักอาศัยอยู่ในตำหนักร้อยบุบฝา“พระองค์มาแล้ว”เมื่อเห็นหลี่เฉินก้าวยาวเดินมา จ้าวหรุ่ยรีบลุกขึ้นต้อนรับ“ได้ยินมาว่าวันนี้องค์รัชทายาทประชุมราชการเช้า ทุกอย่างราบรื่นใช่หรือไม่ หิวหรือไม่ หม่อมฉันสั่วคนให้เตรียมอาหารว่างที่พระองค์ชื่นชอบ...” ก่อนที่จ้าวหรุ่ยจะเอ่ยจบ เขาถูกหลี่เฉินขัดจังหวะ “ไม่เป็นไร ข้าจะพูดคุยกับพระสนม คนอื่นถอยออกไปเถิด” หลังจากนางกำนัลออกไปหมดแล้ว หลี่เฉินก็นั่งลงบนเตียงนุ่ม มองหิมะที่อยู่นอกหน้าต่าง และเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พระสนม ตำหนักร้อยบุปผามักเต็มไปด้วยดอกโบตั๋น กุหลาบ และดอกไม้สีสันสวยงามอยู่เสมอ แต่ดอกไม้เหล่านี้บอบบางต้องดูแลให้ดี อายุก็สั้น บัดนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วปลูกดอกเหมยเพิ่มจะดีที่สุดจ้าวหรุ่ยชงน้ำชาหนึ่งกาให้หลี่เฉิน ค่อย ๆ วางลงบนโต๊ะของเตียงนุ่ม และเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ จึงเอ่ยว่า “ดอกเหมยจะสวยงามหลังผ่านความหนาวช่วงฤดูหนาวนี้ สรรพสิ่งล้วนเงียบสงบ ดอกไม้ที่สวยงามมีไม่มากนัก หากพระองค์ทรงชอบ หม่อมฉันจะให้คนปลูกดอกเหมยไว้บ้าง แต่เดิมพระองค์ทรงโปรดดอกไม้สวยงามไฉนจึงทรงโน้มน้าวหม่อมฉันให้ปลูกดอกเหมย ที

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 83

    ทั้งสองสวมชุดทั่วไปเดินออกจากตำหนักบูรพาผ่านประตูตงหวา ประตูตงอัน และมาถึงบริเวณที่ราษฎรทั่วไปในเมืองหลวงอาศัยอยู่ แม้หิมะจะตกหนัก แต่ถนนในเมืองหลวงผู้คนยังคงพลุกพล่าน ร้านค้าริมถนนโดยรอบก็เต็มไปด้วยแผงหาบเร่และขนมนึ่ง หากในยามปกติ จ้าวหรุ่ยคงมีจิตใจเบิกบานแน่นอน แต่ยามนี้นางไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ฉากตรงหน้าจะครึกครื้นเพียงใด ก็ไม่อาจกระตุ้นความสนใจของนางได้เลยนางติดตามหลี่เฉินอย่างเฉื่อยชาและเป็นกังวล เดินออกมาจากประตูฉงเหวิน ผ่านประตูหย่งติ้ง และเดินออกจากเมืองหลวง ทันทีที่ออกจากประตูหย่งติ้ง ราวกับเข้าสู่อีกโลกหนึ่งบรรยากาศที่รกร้างและกว้างใหญ่ไพศาล มองเห็นทิวทัศน์ภูเขาที่เลือนรางอยู่ระยะไกล และระยะใกล้เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวราวกับสวมใส่เสื้อผ้าสีเงิน บนถนนหลวงมีผู้คน ผู้มาเยือนและพ่อค้าแม่ค้า กำลังต่อแถวเข้าเมือง แต่ละคนบนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล“นายท่านโปรดเมตตาเด็กน้อยคนนี้ด้วยเถิด เด็กไม่ได้กินอะไรเลยมาหลายวันแล้ว ขอท่านเมตตาประทานอะไรให้กินสักหน่อย หรือแม้แต่เหรียญทองแดงก็ได้ เพียงเท่านี้ก็พอเด็กน้อยจะซื้อแป้งทอดได้แล้ว”ทันที

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 84

    “ที่พวกข้าอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านที่ยากจน ไร้ผู้คน เหลือเพียงครอบครัวเดียว พวกข้าโชคดีที่มีสมาชิกในครอบครัวรอดหนึ่งหรือสองคน” “พวกข้าตามญาติพี่น้องขออาหารตลอดทาง ต่อมามีคนขอทานมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีใครมีเสบียงอาหารเพียงพอที่จะช่วยพวกข้า ทุกคนอยากขุดรากหญ้าและแทะเปลือกไม้ แต่เด็กน้อยนี่สิ ท้องใหญ่มาก เพราะกินดินขาว และร้องลั่นด้วยความเจ็บทุกคืน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้” “มาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่ามีคนล้มตายระหว่างทางมากเท่าใด คนที่แข็งแกร่งไปปล้น ขโมย หรือขึ้นเขาเป็นโจรป่าเลยก็มี ผู้หญิงบางคนขอเพียงมีอาหารให้กิน ก็ถอดเสื้อผ้าให้แล้ว เด็กสาวบางคนถูกส่งไปเป็นสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย ล้วนเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตช่างลำบากแสนเข็ญเหลือเกิน”ชายชราพูดพลางหลั่งน้ำตาชายชราพูดจาโดยไม่ประดิษฐ์ แม้แต่ลำดับเหตุการณ์จะดูสับสนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะความจริงใจที่นึกอะไรออกก็พูดออกมา ถึงสะกิดใจคนได้อย่างมาก ดวงตาของจ้าวหรุ่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ และพึมพำว่า “ที่แท้ราษฎรข้างนอก ลำบากเช่นนี้” ในยามนี้ องครักษ์ผ้าแพรเดินเข้ามาพร้อมกับซาลาเปาและแป้งทอด ชายชราขอบคุณ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 85

    เมื่อเห็นด้วยตาตัวเองว่าศพหนาวจนแข็งถูกโยนลงหลุมใหญ่ราวกับขยะ เมื่อหลุมใกล้จะเต็ม ทหารก็เอาพลั่วมาถมหลุม ฉากอันน่าตกตะลึงนี้ สร้างความสะเทือนใจทำกับจ้าวหรุ่ยอย่างมากแม้ชีวิตของนางจะพลิกผันหลายหน เผชิญกับความยากลำบากในวัยเด็ก พลัดถิ่นไปพึ่งพาญาติห่าง ๆ อย่างจ้าวเสวียนจี สุดท้ายถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือ ส่งตัวเข้าไปตำหนักบูรพา แต่ชีวิตของจ้าวหรุ่ยนั้นเติบโตมาอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง ไม่เคยลิ้มรสความขมขื่นของชีวิตมนุษย์มาก่อนนางเอ่ยด้วยความไม่เชื่อ “หลายพันคน! ตายแบบนี้เนี่ยนะ!” “บนโลกนี้ ชีวิตมนุษย์ไร้ค่าที่สุด” หลี่เฉินมองจ้าวหรุ่ยพลางเอ่ยว่า “ข้าฆ่าเฉพาะคนที่สมควรฆ่า แต่บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตถือพู่กันและอ่านตำราเซิ่งเสียน แต่คนบริสุทธิ์ที่เสียชีวิตเพราะพวกเขากลับกองเป็นภูเขา” จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ไม่กล้าโต้ตอบคำพูดเหล่านี้นางสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ถูกกดไว้บริเวณหน้าอกของหลี่เฉิน ซึ่งพุ่งเป้าไปที่จ้าวเสวียนจีและตัวนางเอง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความหนาวเย็นหรือความหวาดกลัว ร่างกายของจ้าวหรุ่ยจึงสั่นไหวเล็กน้อย ขณะนี้ ทหารกลุ่มองครักษ์อวี่หลินสวมชุดเกราะเคลื่อนขบวนทัพมาจาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 86

    หลี่เฉินเอ่ยจบ ซูผิงเป่ยก็เผยความโหดเหี้ยมออกมา เขาสั่งทหารสองนายให้จับจ้าวเจี้ยนเย่ไว้ เขาชักดาบฟันเล็บนิ้วมือทั้งสิบของจ้าวเจี้ยนเย่ออกความทรมานเช่นนี้ไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตาย แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นแทบไม่มีผู้ใดทนได้บนทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ เสียงร้องโหยหวนของจ้าวเจี้ยนเย่ดังก้องราวกับภูตผีเลือดไหลจากปลายนิ้วแปดเปื้อนไปทั่วหิมะสีขาว ใบหน้าซีดเผือด เส้นเลือดขมับปูดโปน เหงื่อเม็ดโตไหลรินบนหน้าผากความเจ็บปวดอันรุนแรงกระตุ้นให้เขารู้สึกโกรธแค้น เขาต่อสู้ดิ้นรนและตะโกนว่า “องค์รัชทายาท! เจ้ามีเพียงวิธีต่ำช้าอย่างนั้นรึ! ฆ่าข้า! ฆ่าข้าซะ!”“ฆ่าเจ้า! ข้าแทบอยากถลกหนังเจ้า! หากข้าฆ่าเจ้าเพียงดาบเดียวจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ”“ซูผิงเป่ย!”“พ่ะย่ะค่ะ”“ตัดแขนขาทั้งสองข้างทิ้งซะ แล้วโยนเข้าไปในหลุมใหญ่ ให้คนเฝ้าทั้งวันทั้งคืน ปล่อยให้ตายไปเอง ใครกล้าช่วยก็ฆ่าทิ้งให้หมด!”คำสั่งของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวเจี้ยนเย่ที่ไม่กลัวตายเผยใบหน้าหวาดกลัวขึ้นมา“ไม่ ไม่เอา”เขาดิ้นรน อยากหลุดพ้นจากการควบคุมของทหารทว่ายามนี้ แขนขาของเขาที่ถูกคลึงไว้จะสลัดหลุดได้อย่างไรหลี่เฉินจ้องจ้า

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1069

    เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1068

    ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1067

    สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1066

    ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1065

    “ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1064

    เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1063

    ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1062

    “เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1061

    จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status