“คืนนี้จะนอนที่นี่เหรอ...”
เสียงห้าวทุ้มคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังทำให้ปลายรุ้งสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปมองก็พบเจ้าของเสียงยืนกอดอกพิงขอบประตู ด้วยมาดสุดเท่ห์
“วินท์ นี่นายไม่คิดว่าฉันจะหัวใจวายมั่งหรือไง เล่นย่องมาเงียบๆ” ปลายรุ้งถอนหายแรง พร้อมกับเอ็ด
นภวินท์ยิ้มกว้าง ดวงตาสีสนิมเหล็กพราวกระจ่าง ทำให้ใบหน้าขาวๆนั้นชวนมอง ร่างสูงขยับเข้ามายืนใกล้ๆ
“ขวัญอ่อนจริงนะแม่คู้ณ... ” เขาลากเสียงสูง มองหน้าเพื่อนสาวอย่างเอ็นดู “ แม่เขาจัดที่นอนให้แล้ว คืนนี้นอนที่บ้านฉันนะ แม่อยากคุยกับเธอ เห็นบอกว่ามีเพื่อนที่เปิดแกลลอลี่ สนใจภาพของเธอ”
“เมื่อกี้ไม่เห็นป้ารจว่าอะไร แล้วใครเหรอที่สนใจงานของฉัน” น้ำเสียงของปลายรุ้ง ดูกระตือรือร้น เมื่อได้ยินว่ามีคนสนใจงานของตัวเอง
ท่าทีนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนส่งข่าว เธอไม่รู้ว่า ข่าวดีนี้นภวินท์กับมารดาต้องลงทุนเกลี้ยกล่อมเจ้าของแกลลอลี่ เพื่อนสนิทของคุณรจนาอยู่นาน กว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วยเหลือ ชายหนุ่มทนเห็นเพื่อนสาว เอารูปวาดของตัวเองวางขายเหมือนแม่ค้าหาบเร่ไม่ไหว อย่างน้อยวางในแกลลอลี่งานยังดูมีเกรดกว่ามากมายนัก
“ลุงอินน่ะ” นภวินท์บอกชื่อเจ้าของแกลลอลี่
“อ๋อ... ลุงอินสรวง เจ้าของบ้านอินสรวงลายไทยน่ะหรือ ฉันรู้จัก”
ปลายรุ้งรู้จักกับอินสรวง เพื่อนของคุณรจนาเมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นเจ้าของแกลลอลี่ที่คุณรจนานำภาพเขียนไปฝากขาย อินสรวงเปิดบ้านเป็นแกลลอลี่กึ่งโฮมสเตร์ ให้บริการลูกค้า ที่ชอบงานศิลปะ และการพักผ่อน มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล ในชื่อ “บ้านอินสรวงลายไทย”
“มีคนสนใจงานของเธอ ที่แม่เอาไปฝากลุงเขาขาย” นภวินท์ อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม
“ในที่สุดก็มีคนตาดีจนได้ แบบนี้ค่อยมีแรงทำงานหน่อย”
ปลายรุ้งยิ้มร่า กำหมัดกระแทกลม เหมือนนักมวย ท่าทางนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เห็น
“ทำยังกับจะไปออกศึกที่ไหน ถ้าสนใจก็ ไปคุยกับแม่ฉันไวไว มัวโอ้เอ้อะไรอยู่”
นภวินท์โอบไหล่บาง พาเดินออกมาข้างนอก ก่อนจะแย่งกุญแจมาช่วยปิดล็อคให้ แล้วพาเพื่อนสาวเดินกลับไปยังบ้านของเขา ชายหนุ่มมองใบหน้าเรียวละมุนนั้นอย่างอาทร ปลายรุ้งเลือกเผชิญโลกด้วยตัวเอง โดยไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร แม้แต่เขากับแม่ซึ่งเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน สองปีที่ระเหเร่ร่อนมีเพียงโปสการ์ดจากที่ต่างๆส่งมาทุกเดือน นั่นเป็นเพียงข่าวสารเดียวที่เขากับแม่รับรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่จะอยู่อย่างไรนั้น เจ้าของโปสการ์ดไม่เคยเอ่ยให้ฟัง
“พรุ่งนี้ เราไปวัดกันนะ”
ปลายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองคนตัวสูง รอยยิ้มอ่อนๆของนภวินท์ทอดมองมาอย่างอบอุ่นนั้น ทำให้ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายวาวระยับ พร้อมกับอุทานลั่นเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“พรุ่งนี้... จริงสิ! พรุ่งนี้วันเกิดนายนี่ ฉันเกือบลืม”
“วันเกิดเธอด้วย เราเกิดวันเดียวกัน” นภวินท์ยิ้มกว้าง มือที่โอบไหล่กระชับแน่นขึ้น “อยู่ฉลองวันเกิดกับฉันนะ ฉันอยากให้เธอเล่นเปียโนให้ฟัง”
“ได้สิ...”
เสียงตอบดังขึ้นแผ่วๆ เจ้าของเสียงพยักหน้ารับ รอยยิ้มระบายเต็มดวงหน้าอ่อนใส เรียวแขนเล็กๆสอดรอบเอวหนา ศีรษะเอนอิงไหล่กว้าง เหมือนเคยชอบทำ กิริยานั้นทำให้ริมฝีปากหยักโค้งของคนตัวสูงแย้มกว้างขึ้น ไม่ได้พบกันสองปี ไม่ทำให้ความผูกพันจางหายไปเลย
“แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ปลาย...” นภวินท์ก้มลงกระซิบ
ปลายรุ้งยิ้มรับ “สุขสันต์วันเกิดนะ นภวินท์!”
เธอตะโกนตอบใส่หูอีกฝ่ายสุดเสียง ก่อนจะรีบกระโดดถอยห่างออกมาจากร่างสูงนั้น เสียงแหลมๆทำให้คนที่โดนกรอกหูทำหน้ายู่ จนต้องเอามือขยี้หูตัวเองแรงๆให้หายแสบ คนโดนแกล้งหันไปมองคนแกล้ง ที่ยืนยิ้มร่าอ้าปากหัวเราะเยาะอยู่ ด้วยสายตาคาดโทษ นภวินท์พุ่งเข้ามาหาร่างเล็กบางที่ยืนอยู่ เจ้าหล่อนรีบขยับหนี แต่ไม่ไวพอเมื่อขายาวๆของชายหนุ่มก้าวมาถึงตัวก่อน ท่อนแขนแข็งแรงรวบเอวไว้มั่นรัดแน่นราวปลอกเหล็ก
“เล่นอย่างนี้นะ ได้เลย” เขาตอบโต้กลับคืนด้วยวิธีเดียวกัน “ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ยายปลาย!”
เสียงตะโกนดังลั่นไม่แพ้กัน ทำเอาขี้หูของคนได้ยินเต้นเป็นจังหวะเร็กเก้ แสบหูจี๊ดๆ หลับตาปี๋
“เป็นไงมั่ง ยายตัวแสบ”
นภวินท์ คลายมือออก เมื่อเห็นหน้ายับย่นของคนช่างแกล้ง ทันทีที่เป็นอิสระเจ้าหล่อนก็แก้แค้นคืนทันควัน
“สุขสันต์ วันเกิดนภวินท์!” เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นอีกหน ก่อนที่ร่างเล็กบางนั้นจะซอยเท้าวิ่งหนี
“เฮ้ย! ไม่เลิกใช่ไหม ได้เลย...”
สองหนุ่มสาววิ่งไล่กวดกัน ต่างผลัดกันตะโกนโหวกเหวกตอบโต้กันไปมา บรรยากาศย้อนกลับไปเหมือนดังวันวาน ไม่มีใครยอมแพ้ใคร กับเกมส่งเสียงให้ดังกว่าแบบนี้ เป็นการแข่งขัน ที่ไม่มีใครแพ้ชนะ หากมีเพียงการประลองที่หวังผลแค่ความสนุกมากกว่าสิ่งอื่น
ภาพของสองหนุ่มสาวที่กำลังหยอกล้อกัน อยู่ในสายตาของคนที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้หนา ทุกอิริยาบถ ของทั้งสองถูกบันทึกไว้ในกล้องวีดีโอ เมื่อทั้งสองเดินลับหายไปจากเฟรม คนที่ลอบบันทึกก็กดปุ่มปิดเครื่อง ก่อนจะพาตัวเองกลับมายังสำนักงานนักสืบ
“เป็นไง ได้อะไรมาบ้าง” คนที่นั่งรออยู่ในห้องทำงานรีบถาม
กล้องวีดีโอถูกส่งให้ ภาพต่างๆที่บันทึกไว้ นับตั้งแต่สองหนุ่มลงจากเครื่องบิน แล้วพากันนั่งแท็กซี่และต่อด้วยเรือเมล์ มายังบ้านสวนริมน้ำ จนมาถึงภาพสุดท้าย ที่ทั้งสองเดินโอบไหล่กัน
“กอดกันสวีทหวานขนาดนี้ ไม่เรียกว่าแฟน จะเรียกอะไร เฮียชิต”
วิชิตกดปุ่มปิดเครื่อง ดวงตาฉายแววพอใจ “เจ้าเปี๊ยก แกทำดีมาก เอ้า ! นี่รางวัล แล้วจะเรียกใช้บริการของแกใหม่” เจ้าของสำนักงานนักสืบ เปิดลิ้นชักหยิบซองกระดาษ ส่งให้ลูกน้อง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เมื่อร่างผอมสูงของลูกน้องเดินลับประตูไป วิชิตก็หยิบเอกสารในลิ้นชักมาเปิดดู ข้อมูลของหญิงสาวคนเดียวกับที่อยู่ในวีดีโอ มีมากขึ้นเรื่อยๆ และคงมากพอที่จะส่งให้คนว่าจ้างสักที เจ้าสำนักงานนักสืบวางเอกสารทั้งหมดลง ก่อนจะยกหูโทรศัพท์โทรหาลูกค้าคนสำคัญ
“ท่านครับ ผมได้ข้อมูลของผู้หญิงคนนั้นมาครบแล้ว สรุปคร่าวๆ ว่าเธอเป็นคนพิเศษของนายนภวินท์ครับ รวมถึงเรื่องที่อยู่ กับเบอร์โทรของนายนภวินท์ ผมหาได้เรียบร้อยแล้วครับ ผมจะส่งข้อมูลให้ท่านทางอีเมลนะครับ” เขารายงาน
“ดีมาก รีบส่งมาเลยนะ พรุ่งนี้ผมจะโอนเงินค่าจ้างไปให้ ” น้ำเสียงของปลายสายฟังดูพอใจมาก
“ท่านต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ”
“ตามดูพฤติกรรมของนายนภวินท์ไปเรื่อยๆ อ้อ... ช่วยถ่ายรูปแม่ของเขามาให้ผมด้วย”
คำสั่งเพิ่มเติมของลูกค้า ทำให้วิชิตขมวดคิ้ว เขาได้รับว่าจ้างจากลูกค้าผู้นี้ ให้ติดตามช่างภาพหนุ่ม ที่ชื่อนภวินท์มาได้สามวัน ผู้ว่าจ้างไม่ได้ให้เหตุผลว่าต้องการข้อมูลของชายหนุ่มคนนี้ทำไม นี่ยังอยากได้ข้อมูลของมารดาชายหนุ่มอีก เจ้าของบริษัทนักสืบได้แต่คาดเดาเหตุผลของลูกค้าไปต่างๆนานา ทว่า... ความสงสัยนั้นก็ถูกเก็บไว้ในใจ เพราะค่าจ้างที่สูงลิ่วทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยถามออกไป
“ผมขอเวลาอีกอาทิตย์ครับ แล้วจะส่งข้อมูลที่ท่านต้องการให้”
“สองวัน ผมให้เวลาคุณสองวัน ผมต้องได้ข้อมูลทุกอย่าง แค่นี้นะ” พูดจบก็วางสายไป
“สองวัน... อะไรกันวะ” วิชิตถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ... เอาแต่ใจชะมัด ถือว่ามีเงินจ้างเราแพงๆ”
แม้จะบ่นแต่สุดท้ายวิชิตก็ต้องทำตามความต้องการของลูกค้ากระเป๋าหนักคนนี้อยู่ดี ...
“ตายยากจังวินท์ คิดถึงทีไร โทรมาทุกที” เธอรีบกดรับ ก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไปก่อน “ไปไงวินท์ อื้อ... ใช่ปลายกับคุณเมฆกำลังจะไปที่บ้านพักที่จัน อะไรนะวินท์อยู่ที่นั่นเหรอ อีกสักชั่วโมงนะปลายกับคุณเมฆจะไปถึง อย่าแย่งกินกุ้งย่างหมดก่อนล่ะ”“นายวินท์ อยู่ที่รีสอร์ทเหรอ” ฆนากรถามคนที่เพิ่งกดวางสาย“ค่ะ บอกว่าพายายสิงห์ หลานเฮียเป๋งไปด้วย” ปลายรุ้งเล่าสิ่งที่ได้ยินให้สามีรับรู้ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม“ยายสิงห์ หลานเฮียเป๋งเป็นใครกัน” เขาขมวดคิ้ว แปลกใจชื่อประหลาดนั่นปลายรุ้งหัวเราะขำ ใครได้ยินชื่อเล่นของสิงหกัลยา เป็นต้องทำหน้าแบบนี้ทุกคน ผู้หญิงในประเทศไทยที่ชื่อสิงห์ จะมีสักกี่คน“เธอชื่อสิงหกัลยาค่ะ เป็นรุ่นน้องของปลายกับวินท์ที่มหาลัย ปลายเป็นพี่รหัสของยายสิงห์ เฮียเป๋งเจ้านายของวินท์เป็นน้าชายของยายสิงห์ นี่คงโดนเฮียเป๋งบังคับให้พายายสิงห์มาเที่ยวด้วยแหงๆ”“และคุณสิงห์ที่ปลายว่าเนี่ย หน้าตาเป็นยังไงสวยมั้ย”“สวยสิคะ ยายสิงห์แกเป็นลูกครึ่งไทยอิตาลี่ ขาวสูงหุ่นนางแบบเชียวแหละ เสียอย่าง...” ปลายรุ้งยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงวีรกรรมของสิงหกัลยา“เสียอะไร นิสัยหรือว่าอะไร” ฆนากรซักไซร้ เขาช
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ รับรองสิ้นปีเฮียแจกโบนัสไม่อั้น” เปรมศักดิ์ตบไหล่ช่างภาพหนุ่มแรง สีหน้าสดชื่นขึ้นทันตาเห็น“แล้วจะให้ใครไปเป็นล่ามให้ผม บอกก่อนนะว่าผมได้แค่ภาษาอังกฤษ ภาษาสเปนอิตาลี่เนี่ยผมไม่รู้สักคำ” นภวินท์ยังกังวลใจ“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมผู้ช่วยให้แกแล้ว รับรองมีเซอร์ไพรซ์” เปรมศักดิ์หลิ่วตาให้ เขาหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาใครบางคน“เออ... ไอ้วินท์มันรับปากแล้ว ไอ้ช่วงมันขาหักไปไม่ได้ เป็นไอ้วินท์ทำแทน รีบมารายงานตัวเลยนะ ไอ้วินท์มันอยู่ที่นี่แล้ว จะได้เตรียมแผนงานกันล่วงหน้า มาเลย มาเร็วๆ” พูดจบก็วางหู“ใครเหรอพี่ ที่หามาเป็นผู้ช่วยผม ที่สำนักพิมพ์เราไม่เห็นมีใครเก่งภาษาสเปนกับอิตาลี่สักคน” นภวินท์อยากรู้เหลือเกิน ว่าผู้ช่วยเขาเป็นใคร“น่าเดี๋ยว มาถึงแกก็รู้เอง” เปรมศักดิ์เอ่ยยิ้มๆราวครึ่งชั่วโมง ประตูห้องของบรรณาธิการฝ่ายบริหารก็ถูกเคาะ เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตคนเคาะก็เปิดประตูเข้ามา นภวินท์หันไปมองพร้อมกับลุ้นตัวโก่ง คนที่เดินเข้ามาส่งยิ้มมาแต่ไกล“ดีจ้า น้าเป๋ง เฮียวินท์” เสียงใสแจ้ว ราวกับระฆังแตก ทักทายคนในห้องร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าลวดลายแบบยิปซี มีเ
“อย่าคิดอะไรแบบนั้นอีกนะ คนดี”เขาแย้มริมฝีปากมอบรอยยิ้มแสนอบอุ่น ดวงตาคมทอประกายอ่อนหวาน ขณะก้มลงแตะริมฝีปากบนหน้าผากเนียน บนเปลือกตาทั้งสอง บนจมูกโด่งเล็กนั้น ก่อนจะกดริมฝีปากบนเรียวปากนุ่มหนักๆ“ปลาย... คุณคือผู้หญิงคนแรก คนเดียวในชีวิตผม”ชายหนุ่มทอดเสียงนุ่ม เอ่ยช้าและชัดเจน คลื่นความอบอุ่นไหลรินสู่หัวใจคนฟัง ปลายรุ้งหลับตาลงปล่อยให้ตัวเองซึมซับทุกถ้อยคำนั้นไว้ในหัวใจ ไม่มีคำว่ารักสักคำสิ่งที่สัมผัสนั้นมากกว่าคำว่ารักหญิงสาวแทบไม่รู้ตัวว่าร่างของตัวเอง ถูกเขาโอบประคองพามาถึงระเบียงริมน้ำบ้านของป้ารจตั้งแต่เมื่อไหร่“คุณพาปลายมาที่นี่ทำไมคะ ดึกแล้ว” น้ำเสียงของเธอช่างแผ่วพร่า เหลือเกินเมื่อเอ่ยถามเขาฆนากรยิ้มละมุน เขาประคองร่างบางให้นั่งบนผ้านวมหนาที่ปูไว้บนพื้นไม้ ดวงไฟสีนวลถูกเปิดไว้เพียงดวงเดียว บรรยากาศยามนี้เงียบสงบเย็นสบาย ท้องฟ้ากระจ่างนวลตาด้วยแสงจันทรา สายลมพัดพาความสดชื่นของแม่น้ำมากระทบกายแผ่วๆ สองร่างทอดกายนอนเคียงกัน ศีรษะเล็กหนุนท่อนแขนแข็งแรงของคนตัวโตต่างหมอน“เวลาผมเหงาหรือคิดอะไรไม่ออก ผมจะหอบผ้านวมมานอนดูดาว ดูดวงจันทร์แบบนี้” มือหนากุมมือเรียวไว้ในอุ้งมืออุ่น
“มีอะไรก็ผัดๆรวมกันมาเถอะ ฉันหิวแล้วนะ” ปลายรุ้งพูดแก้เก้อมือบางจับหน้าอกข้างซ้ายตัวเองที่กำลังเต้นรัวแรงด้วยความตกใจ ทำไมเธอต้องใจสั่นแบบนี้ด้วยนะ หญิงสาวมองร่างสูงใหญ่ ที่กำลังหั่นผัก เตรียมทำอาหารให้เธอด้วยสายตาไม่เข้าใจ เธอไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้กับนภวินท์มาก่อน เขาเคยจับมือโอบไหล่หลายครั้ง ทุกครั้งไม่เคยรู้สึกแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปลายรุ้งหาคำตอบให้ตัวเองไม่พบ“เสร็จแล้ว ข้าวผัดไส้กรอกของเชฟกระทะเหล็ก”ข้าวผัดไส้กรอกหอมน่าอร่อยถูกวางตรงหน้า ปลายรุ้งมองคนทำที่ภูมิใจนำเสนออาหารของตน ก่อนจะหยิบช้อนมาตักเข้าปาก ตาโตๆของจิตรกรสาวโตกว่าเดิม เมื่อพบว่ามันอร่อยเหลือเชื่อ รีบตักอีกคำเข้าปาก จากนั้นก็ไม่สนใจสายตาที่จ้องมองอีก“อร่อยใช่ไหม”ดวงตาคมจ้องหน้าเธอนิ่งริมฝีปากหยักโค้งเจือสีแดงสดขยับแย้ม ก่อนที่มือหนาจะยื่นมาแตะมุมปากหญิงสาว หยิบเม็ดข้าวที่ติดออกมาส่งเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย“อื้อ... อร่อยจริงๆด้วย”ปลายรุ้งอ้าปากค้าง มองคนที่กำลังกินข้าวด้วยความตกใจ หน้าร้อนผ่าวกับการกระทำของอีกฝ่ายคนบ้าอะไรกินข้าวติดปากคนอื่นได้ด้วย“นี่น้ำเดี๋ยวสำลักตาย ขี้เกียจผายปอด”เขาหัวเราะเบาๆ
“ฉันมีอะไรจะบอกนายแผนสักอย่าง”เฟอร์นันโดขยับเข้าไปใกล้นายแผน เขาก้มศีรษะป้องปากกระซิบบางอย่างที่หูของอีกฝ่าย บอดี้การ์ดของภัทรมือสั่นระริก หันมามองหน้าคนพูดก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แววตาอ่อนแสงลง“ไอ้สุริยะ ฉันไม่จำเป็นต้องฆ่าคนที่ตายแล้วอย่างแก ให้มือฉันต้องเปื้อนเลือดสกปรก แกกำลังจะได้รับกรรมของแกแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า...”ร่างใหญ่ตัวของแผนขยับออกห่าง พร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะบาดหัวใจคนฟังเหลือเกิน จนทนไม่ไหว“แกหัวเราะอะไรกัน นี่แกไม่ฆ่าฉันแล้วใช่ไหม”“ฉันไม่ฆ่าแกหรอก ถ้าแกตายแกจะไม่ได้ลิ้มรสความเจ็บปวด ของการตายทั้งเป็น”นายแผนหยุดหัวเราะ ดวงตาดำใหญ่จ้องหน้าเขาด้วยแววตาสมเพช ก่อนจะเอ่ยประโยค ที่ทำให้สุริยะต้องช็อคตาตั้ง“แกจำผู้หญิงสวยๆ ชุดแดง ที่งานเลี้ยงของคุณเฟอร์นันโดได้ไหม เธอเป็นเอดส์!”“แกพูดบ้าอะไร ฉันไม่เชื่อแกหรอก ถึงผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเอดส์ แต่ฉันไม่เคยนอนกับผู้หญิงโดยไม่ป้องกัน” เขาค้านเสียงหลง“หึ... ป้องกันเหรอ คืนนั้นแกเมา แกลืมป้องกัน แกกำลังจะตายไอ้สุริยะ ตายด้วยความมักมากในกามของแกไงล่ะ” นายแผนตอกย้ำอีกครั้งสุริยะทบทวนความทรงจำก่อนจะใจหายวาบชาไปทั้งตัว คืนน
นภวินท์ยิ้มบางๆ ตบบ่าพี่ชายแรงๆ “อย่าคิดมากสิ ยายปลายน่ะขี้เหงา อีกไม่เกินอาทิตย์ ต้องรีบแล่นกลับมาหาพวกเราแน่” เขามั่นใจเหลือเกิน“นายเข้าใจปลายดีนี่ สมแล้วที่ปลายรักนาย”ฆนากรมองหน้าน้องชายด้วยแววตาเศร้า ชายหนุ่มเฝ้ามองปลายรุ้งกับนภวินท์ อย่างเงียบๆ ตั้งแต่กีรดารินทร์จากไป ปลายรุ้งพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับนภวินท์ จนไม่สนใจเขาเลย เขาพยายามจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าปลายรุ้งรักเขา แต่ท่าทีที่จิตกรสาวปฏิบัติต่อนภวินท์ ทำให้ฆนากรต้องถอยกลับมาอยู่ในมุมมืดของตัวเอง พ่อกับแม่และน้องชายกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ฆนากรกลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอากาศที่ไม่มีใครสนใจ แม่เอาใจใส่ดูแลพ่อที่ไม่ค่อยสบาย ส่วนปลายรุ้งขลุกอยู่กับนภวินท์แทบเป็นเงาของกันและกัน ตัวเขาต้องรับภาระดูแลบริษัทแทนบิดา เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับงาน เมื่อมีเวลาส่วนตัวเขาอยากใช้มันกับปลายรุ้ง แต่หญิงสาวกลับออกเดินทางท่องเที่ยว โดยไม่บอกลาเขาสักคำ เหมือนเขาไม่ใช่คนที่เธอเห็นความสำคัญอีก“ใช่ ฉันกับปลายเรารักกัน เรารักกันมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่นายจะได้รู้จักกับเธอ”นภวินท์มองอาการคอแข็งของพี่ชายอย่างขบขัน ฆนากรไม่เคยเปลี่ยนนิสัยชอบคิดเองเออเ