.
.
(สวัสดีครับ ปรินทร์ครับ)
“เอ่อ....”
(ใครครับ?)
“กะทิค่ะ”
(....กำลังรออยู่เลย)
“ค่ะ คือเรื่อง...”
(ครับ...คือว่าตอนนี้คุยทางโทรศัพท์ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เธอพอจะมีเวลาออกมาเจอกันหน่อยไหม?”
“ที่ไหน เมื่อไหร่คะ?”
(แล้วตอนนี่เธออยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวผมจะได้นัดที่ใกล้ๆ)
“บ้านนายเหนือ”
(...งั้นเป็นที่.....)
“คุยกับใคร?”
(........)
เสียงทุ้มต่ำแทรกเข้าไปในสายจึงทำให้คนปลายสายเงียบลงไม่ทันที่จะได้นัดแนะกันให้เรียบร้อย กะทิถึงกับสะดุ้งจนโทรศัพท์ล่วงไปที่พื้นทั้งที่ยังไม่กดวางสาย สายตาคมกริบมองท่าทีของเธออย่างเรียบนิ่ง ก่อนจะหลุบตามองไปยังโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่
“นายเหนือ!...”
ทิศเหนือในชุดเชิ้ตสีดำทับในกางเกงสแลกดูเรียบร้อยเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์ที่ตกโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่หยิบมันขึ้นมาสายตาคมก็จ้องมองเธอเขม็งก่อนจะมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่ตอนนี้ปลายสายได้วางไปแล้ว ทิศเหนือดูสงสัยไม่น้อยก่อนจะหันไปมองหญิงสาวอีกครั้งด้วยใบหน้ายิ่งขรึม
“ฉันถามว่าคุยกับใคร?”
“เอ่อ....”
“ทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนั้น?”
“เปล่านะคะ...”
“เธอมีอะไรปิดบังฉันอยู่หรือเปล่า?”
สายตาคมกริบจ้องมองอย่างคาดคั้น กะทิเองก็ไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ จึงทำได้เพียงก้มหน้าตามเดิม ทิศเหนือเดินเข้าไปใกล้เธอเรื่อยๆ จนกะทิต้องพูดออกมา
“รุ่นพี่ค่ะ!”
“หืม?”
“รุ่นพี่ที่มอ เขาขอเบอร์ไว้ คุณการันต์น่าบอกนายเหนือไปแล้วไม่ใช่หรอคะ?”
“งั้นสิ... รุ่นพี่ที่มาจีบเธอ?”
“ค่ะ”
ทิศเหนือไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายื่นโทรศัพท์คืนเธอโดยไม่ได้เอะใจอะไรอีกเพราะมันจริงอย่างที่เธอว่า การันต์ได้รายงานเขาหมดแล้ว รวมถึงเรื่องที่ไปนั่งทานข้าวโต๊ะเดียวกันกับนายตำรวจคู่แค้นของเขาด้วย กะทิรีบรับโทรศัพท์จากมือเขาแล้วก้มหน้าลงดังเดิม ทิศเหนือไม่ได้สนใจมากนักก่อนจะหลังและเดินเอามือไขว้หลังสำรวจไปรอบๆ ห้อง
“ถูกใจไหม?”
“คะ? หมายถึง?”
“ห้องนี้...ฉันไม่ถามเรื่องรุ่นพี่ของเธอหรอก เพราะยังไงเธอก็ไม่ได้ไปเจอมันอยู่ดี”
“...ก็ดีค่ะ”
“อืม”
“นายเหนือมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า แค่แวะมาดูความเรียบร้อย”
“นายเหนือไม่ได้เลือกของแต่งห้องเองหรอกหรอคะ?”
“เลือกเอง แต่ไม่ได้ลงมาดู”
“อ๋อ ค่ะ”
“เป็นเด็กขี้สงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทิศเหนือหันมาขมวดคิ้วพร้อมกับถามกะทิด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะมาแรกๆ ตอนอยู่โรงฝึกเธอดูไม่สนใจอะไรนักหลังจากเกิดเรื่องขึ้น คล้ายกับคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ และทำตามคำสั่งเพียงเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากฝึกฝนเธอมาได้ไม่ถึงปีเธอกลับพัฒนาตัวเองจนดูอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม แต่ยังคงมีความขี้กลัวไม่ต่างจากเดิมมากนัก
“ข..ขอโทษค่ะ”
และก็เป็นอย่างที่เขาคิด คำพูดขอโทษจนติดเป็นนิสัยได้เอ่ยขึ้นเช่นเดิม ทิศเหนือดูไม่สบอารมณ์กับความปวกเปียกของหญิงสาวตรงหน้าเท่าไหร่นัก เขาไม่พูดอะไรแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
กะทิถอนหายใจพลางคิดเกลียดตัวเองที่อ่อนแอเหมือนเดิม น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างเจ็บใจ เธออยากเป็นตัวเธอมากกว่านี้ ห้าวหาญเหมือนตอนมีพ่อกับแม่อยู่...เธอรังเกียจความอ่อนแอของตัวเอง
“คุณหนู ทานข้าวได้แล้วค่ะ...เอ๊ะ...คุณหนูเป็นอะไรคะ?”
มะนาวสาวใช้รุ่นราวคราวเดียวกันเดินมาเรียกเธออย่างอารมณ์ดี ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหากะทิที่ยืนน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่เงียบๆ พร้อมกับเข้าไปกอดปลอบโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร กะทิเองก็ไม่ได้ตอบคำถามเธอแต่กลับร้องไห้ไม่หยุดอยู่อย่างนั้นในอ้อมกอดของหญิงสาวรุ่นน้อง
“อ่อนแอสิ้นดี”
ทิศเหนือที่ยืนอยู่หน้าห้องพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเขาไม่ชอบผู้หญิงอ่อนแอปวกเปียกเห็นแล้วมันขัดอารมณ์ขัดลูกตา ชายหนุ่มคิดในใจว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่รับเธอมาเลี้ยงแล้วยังคิดฝึกเธอ และหวังให้เธอกลายเป็นอาวุธของเขา เพราะตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นภาระของเขาเสียมากกว่า
.
.
หลังจากวันที่เธอได้คุยกับปรินทร์ครั้งนั้นเธอก็ไม่ได้คุยอีกเลย ถึงเขาจะโทรมาบ้างแต่ก็มีเหตุการณ์ให้ต้องวางสายก่อนตลอด แต่ตำรวจหนุ่มก็ไม่เคยละความพยายามเลยสักครั้ง และที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือทิศเหนือผู้เป็นคนส่งเสียเลี้ยงดูแถมยังเป็นเจ้าของบ้านที่เธออยู่ ถึงแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่แทบไม่เจอหน้ากันเลย จะมีเห็นบ้างก็เพียงตอนเขาออกไปทำงานตอนช่วงเช้าเท่านั้น
นอกจากจะกล่าวทักทายตามมารยาทเขาก็แค่พยักหน้ารับแต่ไม่เคยหันมามองหน้ากะทิเลยสักครั้ง บางครั้งเกือบเดือนถึงจะเจอกันทีหนึ่ง ทำให้กะทิรู้สึกเหมือนโดนรังเกียจอย่างไรอย่างนั้น
จนมาตอนนี้ กะทิเองก็เลิกสนใจเขาไปแล้วเพราะการันต์บอกให้เธอสนใจเรื่องของตัวเองก่อน เธอจะมีการันต์ มะนาว ป้าจันทร์ และเทมป์ที่เข้ามาสอนศิลปะการป้องกันตัวและอาวุธทุกชนิดให้เธอตามตารางหลังเรียนบทเรียนระดับมหาวิทยาลัยเสร็จ
เธอเองก็รู้สึกเหงาไม่น้อยเพราะไม่มีเพื่อนที่พบเจอกันได้นอกจากคุยกันผ่านโทรศัพท์ แต่ก็ยังดีที่มีมะนาวและป้าจันทร์อยู่ด้วยบ้างและคอยให้กำลังใจเธอตลอด แต่ผู้ที่อ้างตัวว่ารับเลี้ยงกลับไม่เคยโผล่หน้ามาไยดีเธอเลยสักครั้ง มีก็แต่การันต์ที่คอยช่วยดูแลเธอ
.
.
3ปีผ่านไป
“วันนี้วันเกิดครบ21ปีของพี่กะทินะคะ พี่ไม่คิดจะหยุดสักวันหรอคะ?”
“เดี๋ยวซ้อมเสร็จก่อนน่า ได้จัดงานเลี้ยงแน่ๆ”
“โธ่ พี่กะทิ ไม่ฟังมะนาวเลย”
มะนาวยืนร้องโอดครวญอยู่ด้านนอกเวทีมวยที่อยู่ในยิมภายในบริเวณรั้วบ้าน เป็นเวลาสามปีแล้วที่เธอถูกกักขังเหมือนนกในกรง ชีวิตเธอดำเนินไปอย่างเคร่งครัด ด้วยความเกลียดชังตัวเองที่อ่อนแอจนตอนนี้เธอไม่อ่อนแออีกต่อไปแล้ว การเรียนด้านกฎหมายที่เรียนแต่ภายในบ้านก็เทียบเท่าระดับปีที่3จะเข้าปีที่4ของมหาวิทยาลัย
“ว้าย! พี่กะทิ!! ระวังค่ะ”
มะนาวส่งเสียงกรีดร้องเมื่อเห็นเทมป์กำลังพุ่งหมัดเข้าหาหญิงสาวร่างเล็กที่เธอเรียกว่าพี่ แต่กะทิกลับหลบได้ก่อนจะสวนหมัดขึ้นไปยังปลายคางของใบหน้าหล่อตี๋นั้นจนเขาทรงตัวไม่อยู่และยกมือขอยอมแพ้ไปในที่สุด
“เธอนี่นับวันยิ่งสุดยอดเลย...เก่งขึ้นเยอะมาก”
“ขอบคุณ”
กะทิเดินเข้าไปยื่นมือให้เทมป์ก่อนที่เขาจะรับความหวังดีนั้นแล้วลุกขึ้นด้วยแรงดึงของหญิงสาว เทมป์ยอมรับในตัวของกะทิได้โดยไม่มีเงื่อนไขเพราะการพัฒนาฝีมือและความมุ่งมั่นของเธอในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองออกจากเวทีมวยพร้อมกับเดินไปหยิบน้ำมาดื่มด้วยความเหนื่อยหอบ เพราะพวกเขาซ้อมมวยมาเป็นเวลาเกือบ5ชั่วโมงแล้ว
เทมป์มองกะทิที่ยกน้ำดื่มก่อนจะยิ้ม ชายหนุ่มรู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงเธอจะเรียนหนัก ซ้อมหนัก ตารางซ้อมแน่นแค่ไหน เธอก็ยังคงตามหาคนที่ฆ่าครอบครัวของเธอไม่พัก แม้ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จัก แต่เธอใช้ความรู้ที่เรียนมาทั้งในตำราและเรียนรู้ด้วยตัวเองมาใช้ แต่มันก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย
“เรื่องพ่อแม่เธอ...”
“........”
“ทางที่ดีล้มเลิกดีกว่านะ...คนตายไปแล้วถึงจะรู้ความจริงก็ไม่ทำให้ฟื้นขึ้นมาหรอก”
“มันก็ใช่...เธอฉันอยากหาไอ้คนนั้นให้เจอ”
“เธอนี่ยิ่งโตยิ่งไม่อ่อนหวานเลยนะ ตอนแรกนี้เจ้าน้ำตาอ่อนแอไปหมด”
“โตขึ้นก็ต้องเปลี่ยนแปลงสิ อีกอย่างฉันเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนั้นด้วย”
“ถ้าเธอหาคนทำลายครอบครัวของเธอเจอแล้วเธอจะทำยังไง?”
“ฉันจะฆ่ามันด้วยมือของฉันเอง”
“.....ถ้าเมื่อสามปีก่อนฉันไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อ”
“จะฆ่าได้ยังไง เธอยังไม่เคยฆ่าคนเลยด้วยซ้ำ”
ระหว่างที่เทมป์และกะทิพูดคุยกันอยู่ การันต์ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย พร้อมกับมองไปยังกะทิที่ยืนอยู่อย่างท้าทาย กะทิยกยิ้มก่อนจะจ้องมองใบหน้าหล่อของการันต์เขม็ง
“เอาอีกแล้ว คู่นี้อีกแล้ว พี่กะทิพอเถอะค่ะ”
มะนาวพูดร้องห้ามปรามคนทั้งคู่ เพราะเวลาการันต์เข้ามาทีไรก็ต้องมีการลองวิชาของกะทิทุกที นั่นหมายถึงจะได้ตีกันอีกรอบ การันต์และกะทิเหมือนไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดระยะสามปีที่ผ่านมา แต่การันต์ก็ยังอยู่ข้างๆ กะทิตลอด มะนาวรู้ดีว่าการที่การันต์พูดยั่วยุก็เพื่อกระตุ้นให้กะทิมุ่งมั่นฝึกซ้อมมากขึ้นกว่าเดิม
“จะลองหน่อยไหมล่ะคุณการันต์”
“ตัวแค่นี้เก่งจริงนะ”
“ก็พอตัว”
การันต์มองดูหญิงสาวร่างเล็กที่มีกล้ามเนื้อสวยงามเหมือนพวกรักสุขภาพ ทรวดทรงองเอว เหมือนถูกปั้นมาคล้ายหุ่นหญิงสาวเซ็กซี่ ต่างจากปีแรกๆ ที่ดูผอมแห้งแรงน้อยมากโข ถ้าแต่งตัวดีๆ คงจะไม่มีใครไม่เหลียวหลังแน่ บวกกับเธอที่เริ่มโตเต็มวัยเป็นสาวสะพรั่ง ใบหน้าสวยก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น ถึงเขาจะเจอเธอทุกวันแต่ก็อดมองเธอไม่ได้ทุกครั้งที่เจอ
“ไม่ละ วันนี้จะเว้นให้สักวัน เพราะปีนี้นายเหนือจะมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเธอ”
“ที่จริงไม่จำเป็นต้องจัดให้วุ่นวายก็ได้หรอก”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะพี่กะทิ มะนาวตั้งตารอวันนี้เลยนะที่พี่จะแต่งตัวสวยๆ”
มะนาวแย้งขึ้นพร้อมกับทำหน้ายู่เชิงงอนให้พี่สาวที่นับถือกันมาตั้งแต่ปีที่สองที่เข้ามาอยู่ด้วยกัน กะทิยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปโยกหัวของผู้เป็นน้องสาวเบาๆ
“พี่หมายถึงแค่เค้กธรรมดากับป้าจันทร์ มะนาวร้องเพลงให้เหมือนทุกปีก็ดีอยู่แล้ว”
“แต่มะนาวอยากให้พี่แต่งตัวสวยๆ นี่คะ พี่กะทิเอาแต่ใส่เสื้อยืดกางเกงมวย ไม่ก็เสื้อกีฬาอ่ะ ผู้หญิงที่น่ารักๆ วันแรกหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ฮึ่ย”
“ปีนี้พี่ก็จะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนนะ”
“เห็นทีจะไม่ได้ค่ะ นายเหนือส่งชุดมาให้แล้ว”
มะนาวพูดจบก็เดินลากผู้เป็นพี่ออกไป การันต์และเทมป์มองหน้ากันพร้อมกับส่ายหัว ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาจะปั้นผู้หญิงอ่อนแอคนนั้นเป็นหญิงสาวที่ห้าวหาญเหมือนผู้ชายได้ขนาดนี้
“กูเห็นนะ สายตามึงที่มองกะทิ”
เทมป์พูดขึ้นพร้อมกับหันไปมองหน้าการันต์ที่มองตามหลังหญิงสาวไปจนลับตา การันต์หันไปมองหน้าเทมป์เรียบเฉยดังเดิม แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรเพื่อนของตน
“สวยล่ะสิ แถมเซ็กซี่อีกด้วย...ไม่น่าเชื่อ ถ้านายเหนือเห็นจะเป็นแบบมึงไหมเนี่ย”
“กูทำไม? กูแค่มองว่าสวยขึ้นไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น นั่นเด็กนายมึงก็รู้”
“แต่ที่กูคิดคือนายไม่น่าเลี้ยงเสือไว้ใกล้ตัวเลยว่ะ ดูจากการตอบคำถามของยัยนั่นแล้ว”
“กูว่านายมีแผนสำรองไว้แล้ว...”
"ยังไง?"
"วิธีขังเสือไว้ในกรง.."
การันต์พูดก่อนจะเดินออกไปเพื่อไปเตรียมงานเลี้ยงตามที่ผู้เป็นนายสั่งไว้ เทมป์เองก็เตรียมเก็บข้าวของและไปเตรียมตัวเข้างานเลี้ยงเช่นกัน ถึงเขาจะไม่รู้ว่าทำไมปีนี้ถึงต้องจัดการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ก็ตาม
.
.
..4 ปีผ่านไปหลังจากที่กะทิคลอดลูกชายตัวน้อย ทิศเหนือก็ยังคงดูแลไม่ห่างแต่ถึงอย่างนั้นเธอและลูกก็ออกจากบ้านไร่เมื่อครบสามเดือนเหมือนที่ตกลงไว้ ทิศเหนือเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เขายังคงคอยเทียวไปหาเธอและลูกที่บ้านไม่ได้ห่าง แถมยังไม่ยอมนอนบ้านของตนเองอีกด้วย ในทุกๆ วันเขาจะมีข้ออ้างเพื่อได้นอนที่บ้านของภรรยาสาว แม้จะต้องนอนที่โซฟาก็ตามก็ยังดีกว่าช่วงปีแรกๆ ที่ต้องนอนในรถ ปีหลังๆ มานี้กะทิก็ดูจะใจอ่อนลงอยู่บ้าง ส่วนการันต์กับอัญญาก็ได้แต่งงานกันเรียบร้อยในปีที่สามชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่หน้าโรงเรียนเด็กเล็กแห่งหนึ่งเหมือนทุกครั้ง ด้วยใบหน้าที่หล่อร้ายของเขาทำเอาครูสาวถึงกับมองค้าง ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรชายคนนี้ได้เลย แม้จะเป็นสูญรวมสายตาแต่ทิศเหนือกลับไม่ได้สนใจใดๆ ยังคงก้มมองนาฬิกาเพื่อรอเวลาที่ลูกชายตัวน้อยของเขาเลิกเรียน“ปะป๊าฮับ!”เสียงเรียกของเด็กชายดังขึ้น ทิศเหนือรีบหันไปตามเสียงเรียกนั้น ก่อนที่ลูกชายตัวน้อยจะวิ่งกางแขนไปหาผู้เป็นพ่ออย่างดีใจเช่นทุกวัน ครูสาวยืนม
..“เริ่มเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเด็กจะไม่มีน้ำนมดื่ม เพราะเด็กยังทานอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำนมจากอกคุณแม่”“เอ่อ....”พยาบาลสาวไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปลากมือของทิศเหนือไปยังหญิงสาวที่ยังนั่งอ้าปากค้างอยู่ กะทิเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ส่วนพยาบาลก็สอนวิธีนวดให้ทิศเหนืออย่างตั้งใจ ทิศเหนือเองก็ไม่ต่างจากกะทิเท่าไหร่ อะไรที่ไม่เคยทำก็ทำมันแบบเขินๆ ที่กะทิไม่แย้งเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องปัญหาที่มีของตน จึงทำได้แค่เงียบ“อย่างนั้นแหละค่ะ...ต้องนวดแบบนี้บ่อยๆ นะคะ”“...ครับ”“เพราะว่าถ้าคุณพ่อช่วยนวดจะทำให้น้ำนมไหลออกมาได้เร็ว”“เอ่อ...ครับ”“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พยาบาลขอตัวก่อนนะคะ”พยาบาลยิ้มก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้คนทั้งคู่อยู่ด้วยกันเงียบๆ ในห้อง กะทิเองก็ไม่ได้พูดอะไรเอนตัวนอนและหลับตานิ่ง เพื่อรอเวลาที่คุณหมอจะส่งตัวลูกชายของตน ทิศเหนือมองหน้าไร้อารมณ์ของกะทิก็หย่อนตัวนั่งโซฟาข้างๆ เตียงพร้อมกับถอนหายใจ อาจจะเป็นเพราะความเพลียจึงทำให้กะทิผล็อยหลับไป ทิศเหนือมองกะทิอยู่เงียบๆ อย่างนั้
..เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ทิศเหนือไม่เคยออกไปทำงานนอกบ้านอีกเลย แถมยังใช้เวลาเกือบสองเดือนที่ทำงานอยู่ที่บ้านไร่ไม่หนีหายไปไหนแม้แต่นาทีเดียว กะทิเองจะยังไม่ค่อยพูดคุยกับเขาเหมือนเดิม แถมยังพยายามทำตัวห่างจากเขาอีกตามเคย แม้กระทั่งถึงวันคลอดเธอก็ไม่เคยถามหาเขา ยังคงถามหาแต่การันต์ลูกน้องของเขาแทนจนตอนนี้มาอยู่หน้าห้องคลอดทิศเหนือก็แทบจะนั่งไม่อยู่ ลุกเดินไปเดินมาอย่างตื่นเต้นเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววหมอคนไหนจะเดินออกมาจากห้องคลอดเลย การันต์นั่งมองผู้เป็นนายไปมา แม้ตัวเขาเองจะตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าหลานแต่ก็ไม่เท่าทิศเหนือเลย“นั่งก่อนดีไหมครับนาย”“เป็นมึงนั่งใจเย็นได้หรอวะ กูตื่นเต้นจนอยากจะไปทำคลอดเองแล้วเนี่ย”“อย่างน้อยนายเหนือก็น่าจะใจเย็นลงหน่อยนะครับ”“แม่ง...ช้าฉิบหาย หมอมัวทำอะไรกันอยู่วะ”ทิศเหนือเดินไปเดินมาพร้อมกับสบถไป คิ้วเข้มขมวดยุ่งเมื่อรู้สึกว่ามันนานเกินไปสำหรับเขา การันต์ยิ้มกริ่มเพราะความใจร้อนอยากเห็นหน้าลูกชายของผู้เป็นนาย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเขาไม่เคยคิดจะมีล
..หลังจากขับรถมานานกว่าสองชั่วโมง ก็ถึงบ้านไร่เดชาเสียที คนในบ้านต่างออกมาต้อนรับพวกเขาเพราะยังไม่ค่ำจึงมีคนงานในบ้านเดินเข้ามาช่วยหอบหิ้วข้าวของของเจ้านายเข้าบ้านไป แม้กะทิจะอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะสนิทสนมด้วย เพราะถือว่าเธอเป็นคุณนายเดชาเดชจึงมีหลายครั้งที่กะทิมักจะออกไปเดินเล่นคนเดียว ถึงจะมีผู้ติดตามไปแต่กลับไม่มีใครกล้าพูดคุยกับเธอทิศเหนือเองก็ไม่ได้ถามไถ่เธอเรื่องนี้ และกะทิก็ไม่ยอมบอกเขากลัวว่าจะไปเป็นเรื่องรบกวนเวลาเขาทำงานเสียเปล่าๆ แต่การไม่ที่เธอไม่อยากงอแงใส่เขาหรือเอาแต่ใจกับเขา กลายเป็นการเปิดทางให้เขามีคนอื่นเสียอย่างนั้น ถึงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่ามีคนอื่นแต่ช่วงเวลานั้นทิศเหนือก็ได้แปรใจปันให้คนอื่นไปแล้วกะทิเดินเข้าบ้านที่คุ้นเคยอย่างเงียบๆ ไม่มีคำพูดหรือสนทนาใดๆ กับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสามีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอเดินเข้าห้องนอนของตัวเองโดยไม่หันหลังกลับไปมองมาเฟียหนุ่มที่กำลังเดินตามเธอต้อยๆ เหมือนสุนัขเชื่องๆ ที่เลี้ยงไว้ กะทิหันไปมองชายหนุ่มที่เดินตามเธอเข้าในห้องด้วยสายตาเรียบนิ่งอย่างที่ชอบทำ ใบหน้าหล่อทำทีท่าสงสัย
..“เลือกได้ดีค่ะ”กะทิพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจ แม้ภายในใจจะไม่ได้เป็นอย่างสีหน้าที่แสดงออกไป แววตาของมาเฟียหนุ่มผู้โหดร้ายกลับแสดงออกมาอย่างชัดเจน เขามองกะทิด้วยความรู้สึกเจ็บปวด มันเจ็บปวดมากกว่าการโดนแย่งแฟนคนแรกเสียอีก แม้แต่ลูกเขาก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นการเติบโตของลูกชายตัวเอง“แต่...เธอต้องอยู่กับพี่จนกว่าจะคลอดได้สามเดือน เพราะร่างกายเธอยังคงไม่หายดี”“ไม่จำเป็น”“พี่ขอแค่สามเดือน ให้เวลาพี่หาบ้านที่จะซื้อให้และรถ”“คนอย่างคุณมันไม่ใช่เรื่องยากหรอกแค่เรื่องพวกนั้น”“ก็จริง...แต่พี่ขอ..ขอร้อง...ให้พี่คุกเข่าตรงนี้ก็ยอม”“ทำสิ”กะทิพูดออกมาอย่างไม่แยแส การันต์เองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อทิศเหนือยอมคุกเข่าทันทีที่กะทิพูดจบ เพราะคนอย่างทิศเหนือไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร มีแต่คนอื่นที่คุกเข่าต่อหน้าเขาเพราะความเกรงกลัว ทิศเหนือยอมจำนนทุกอย่างจริงๆ เพื่อให้ได้อยู่กับลูกและเมียเพียงแค่สามเดือน“กะทิ นายเหนือ”“ได้ ฉันจะยอมอยู่กับคุณสามเดือน และค
..“อะไรนะครับ?”“กูให้มึงไปสืบหาเรื่องของอัญญา...แต่มึงกลับมาสภาพนี้ มึงสืบแบบไหน?”“ก็....”“อย่าบอกนะว่าแบบเดิมที่เคยทำ”“.......”การันต์ไม่ได้ตอบคำถามทีเล่นทีจริงของผู้เป็นนาย เพียงเท่านั้นทิศเหนือก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นอย่างที่เขาคิดแน่นอน เพราะเขาและการันต์อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทำไมจะไม่รู้วิธีการของลูกน้องคนสนิท ทิศเหนือยกยิ้มก่อนจะพยักหน้าเบาๆ“ขอโทษครับนาย”“กูยังไม่ได้ว่าอะไรมึงเลย”“ผมนึกว่านายจะโกรธที่...”“ทำไมกูต้องโกรธ กูดีใจด้วยซ้ำ กะทิจะได้ไม่คิดมาก”“นายจะบอกเรื่องนี้กับกะทิหรอครับ?”“มีเหตุผลอะไรที่กูต้องบอก...เดี๋ยวเธอก็เห็นท่าทีของพวกมึงเอง”“ครับ? ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอ”“กูไม่ได้หมายถึงมึงหรอก กูหมายถึงอัญญาต่างหาก”ทิศเหนือพูดด้วยความมั่นใจ เพราะดูจากผู้หญิงแล้วไม่ว่าจะรักหรือไม่รักถ้าได้มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอที่ทำให้จำไม่ลืมก็ไม่แปลกที่ท่าทีที่มีต่อกันมันจะเปลี่ยนไปเองตามธรรมชาติ และยิ่งเป็นคนที่