เข้าสู่ระบบโชคดีที่หนึ่งที่ปีที่ผ่านมาเธอได้พี่เลี้ยงเด็กมาใหม่ อายุมากกว่าเธอสิบปี มีลูกมาแล้วสามคน ลูก ๆ ก็โตหมดแล้ว จึงทำให้มีเวลาว่าง โชคดีที่แกไม่ชอบอยู่นิ่งจึงมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเจ้าแฝด ช่วงหนึ่งปีหลังเธอจึงสบายตัวขึ้นหน่อย ช่วงเช้าก่อนไปโรงเรียนเธอจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนป้านิลจะมาช่วยเธอแค่หลังเลิกเรียนจนถึงหนึ่งทุ่ม และเสาร์อาทิตย์แบบเต็มวัน โชคร้ายที่วันนี้ลูกชายป้านิลบวช ทำให้เธอต้องดูแลเจ้าแฝดแบบเต็มวัน จนเกือบทำให้โรคของเธอกำเริบอีกครั้ง
อาการแพนิก และซึมเศร้าของเธอเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เธอเป็นเพียงคนไข้ของคุณหมอตรีภพ ใช่ เธอคือคนไข้ของเขาที่กลายมาเป็นภรรยา แต่งงาน และมีลูกชายลูกสาวด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์
ระยะเวลาที่เธอพบเจอเขานั้นมีเรื่องราวมากมาย ยอมรับว่าอาการของเธอค่อย ๆ ดีขึ้น จนกระทั่งได้แต่งงานกัน อาการพวกนั้นก็กลับมาอีกครั้งจนถึงหลังคลอด และปัจจุบันก็ยังไม่หายดี
แม้จะไม่แสดงอาการมากมาย แต่บางครั้งหากเครียดหรือกังวลก็จะทำให้เธอระเบิดอารมณ์ออกมาโดยไม่คิด อย่างก่อนหน้านี้ที่เธอพึ่งระบายออกไป
อัญญามองสองแฝดผ่านทางกระจกมองหลังเพื่อดูว่าเรียบร้อยดีไหม เมื่อเห็นว่ากำลังแย่งของเล่นกันเธอก็รีบดุ “ถ้าทะเลาะกัน แม่จะไม่ให้กินไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายส์แล้วนะ” คำขู่ทำให้สองเสือสงบลงชั่วคราว
ที่จริงแล้วเธอไม่อยากมีลูกเพราะมีโรคประจำตัว อีกทั้งคิดว่าตัวเองไม่พร้อมจะเป็นแม่คน อีกเหตุผลที่มากกว่านั้นคือ ตัวเธอเองก็อายุเกินสามสิบปี ส่วนเขาก็ใกล้สี่สิบแล้ว
ด้วยอายุที่มากเช่นนี้จึงไม่อยากมีภาระ แต่เพราะทางครอบครัวหมอตรีภพต้องการให้มีทายาท พวกเขาจึงจำต้องมีให้พวกท่านจนเกิดมาเป็นสองลิงในวันนี้
ผ่านมาเกือบหกปีแล้ว ชีวิตเธอไม่ได้เรียบง่ายเหมือนในละครที่พอพระเอกนางเอกแต่งงานกันแล้วก็มีความสุขตลอดไป เพราะชีวิตหลังแต่งงานนั้นก็เหมือนกับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น และได้รู้ว่า บางครั้งคนเราก็ต้องการเวลาส่วนตัว ซึ่งตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยได้รับเลยสักนาที
“มะม้า หอมแย่งตุ๊กตาผม” ข้าวปั้นฟ้องขึ้นก่อน
“ไม่ใช่ พี่ปั้นต่างหากแย่งของหอมไป ฮือ ๆ”
เธอใกล้สติแตกเต็มทนแล้ว เลยมองไปที่ป้ายร้านอาหารแทน ก่อนเลี้ยวเข้าไปจอดที่จอดรถประจำ ที่ลานจอดรถมีรถเก๋งสีขาวจอดอยู่เพียงคันเดียว แสดงว่าคนที่เธอนัดสัมภาษณ์มาเพียงแค่คนเดียว
เมื่อรถจอดสนิท เด็กสองคนก็ยังทะเลาะกันไม่หยุด เธอพยายามควบคุมสติ จนสุดท้ายก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ “ถึงแล้วลูก”
“แม่ หอมจะเอาของหอมคืน เอามานะ” เสียงตีกันไปมาดังขึ้น
“ตุ๊กตานี่ของพี่นะ”
“ก็พี่ให้หอมแล้ว จะมาเอาคืนไม่ได้”
อัญญาถอนหายใจลึก ๆ สูดลมหายใจเข้าปอดจากนั้นก็พูดเสียงดังกว่าเดิมหลายเท่า “หยุดดดดด”
เงียบ...สองคนที่เถียงกันไม่หยุดก่อนหน้าหยุดทันที ทำไมถึงชอบให้เธอกลายเป็นปีศาจแทนที่จะเป็นแม่ดี ๆ แบบคนอื่นเขา สองลิงพอได้ยินก็หยุดนิ่ง
“ลงได้แล้ว”
เธอลงจากรถไปเปิดประตูเพื่อปลดสายเข็มขัดนิรภัยที่นั่งเด็กให้ทั้งสองคน ข้าวปั้นลงก่อน เธอก็หันไปเตือน “ห้ามไปไหนนะลูก รอน้องก่อน”
เธอขยับตัวเข้าไปด้านในที่นั่งอีกที่แล้วปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยก่อนจะอุ้มลูกสาวออกมา พอหันมามองด้านหลังก็ไม่เห็นลูกชายแล้ว
“ข้าวปั้น” หัวใจเธอตกไปที่ตาตุ่ม หันไปมองที่ถนนก็ไม่เห็นเด็ก จึงอุ้มข้าวหอมวิ่งไปด้านหน้าร้าน ปากก็เรียกชื่อลูกไม่หยุด ในใจเธอตอนนี้กำลังโทษตัวเอง ก็รู้อยู่ว่าลูกฟังเธอที่ไหน บอกไปซ้ายก็จะไปขวา บอกว่าไม่ก็จะทำ
“ข้าวปั้น ลูกอยู่ไหน” เธอใจสั่นเมื่อเห็นว่าด้านหน้าร้านก็ไม่อยู่ รีบหยิบมือถือขึ้นมาก็ทำตกอีกเพราะมือสั่น เธอได้แต่โทษตัวเองที่เป็นคนไม่เอาไหน
“กำลังหาลูกอยู่ใช่ไหมครับ”
เสียงนั้นคุ้นหู แต่อัญญารีบเก็บมือถือแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเห็นลูกชายอยู่ในอ้อมกอดของชายคนหนึ่ง ซึ่ง...
“พี่ยา”
“กวิน”
อัญญามองร้านอาหารหรู มีดนตรีสด และอาหารระดับพรีเมียมไว้คอยเสิร์ฟลูกค้ากระเป๋าหนักตรงหน้า เมื่อเจ็ดปีก่อน ก่อนเกิดเรื่องเธอเคยมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ อยากเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง และเปิดร้านให้คนรู้จักให้มากที่สุด แต่ความฝันทุกอย่างต้องหยุดลงเมื่อเธอได้เจอกวิน เด็กหนุ่มที่มีความฝันเช่นเดียวกับเธอ ลูกศิษย์กับอาจารย์ สำหรับเธอกับเขาแล้ว ถือว่าเป็นความผิดมหันต์ในชีวิต เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมีกับเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี ทำให้เธอต้องเกือบเข้าคุก และถูกแยกออกจากกัน ครั้งนั้นทำให้เธอได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก จนทำให้การรับรู้รสเปลี่ยนไป ตอนแรกเธอคิดว่าชีวิตในเส้นทางอาหารของเธอได้จบสิ้นแล้ว ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเธอก็เจอกับตรีภพ จิตแพทย์หนุ่มที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเธอ และสนับสนุนให้เธอทำตามฝัน “การเป็นเจ้าของร้านไม่จำเป็นต้องลงไปทำเองเสียหน่อย คุณก็แค่หาเชฟฝีมือดี ๆ สักคนก็พอแล้ว” นั่นทำให้เธอพบกับคุณปลื้ม เชฟที่มีรางวัลจากรายการดัง ๆ หลายรายการพ่วงท้าย แต่เขากลับไม่มีทุนทรัพย์ในการเปิดร้านอาหาร เธอจึงเสนอให้เขาได้
บ่ายโมงจนถึงเที่ยงคืน คือเวลาเปิดปิดร้านอาหารของเธอ อัญญาจอดรถนั่งอยู่นานก็ไม่คิดจะลงไป เธออยากอยู่คนเดียวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอมองป้ายร้าน ‘อัญญาเรสเตอร์รอง’ ร้านอาหารที่สร้างมาด้วยมือของเธอเอง เป็นร้านที่เธอตั้งใจทำเพื่อแสดงฝีมือในการทำอาหาร แต่เพราะว่าโรคของเธอทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจไป กลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ จนในที่สุดการรับรู้รสอาหารก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พอเปิดร้านได้เพียงสองปีเธอก็ต้องจ้างเชฟมาทำแทน ส่วนตัวเองก็ผันตัวมาเป็นผู้บริหารแทน เมื่อลงจากรถ ไม่ทันจะเปิดประตูเธอก็ได้ยินเสียงจากห้องครัวดังออกมาถึงหน้าประตูด้านนอก อัญญาที่เข้ามามองพนักงานเสิร์ฟกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงร่าเริง ที่หันหลังคุยกันสองคน “เห็นเชฟใหม่หรือยัง หล่อมาก” “อุ๊ย จริงอะ ยังไม่เห็น เดี๋ยวขอไปส่องก่อน” “เดี๋ยวไปรับออร์เดอร์ก็เห็นแล้ว อย่าไปเลย เดี๋ยวคุณยามาพวกเราจะถูกดุเอา ยิ่งช่วงนี้ดูเหมือนแกอารมณ์ไม่ค่อยดี” “ก็มีคนดูลูกให้แล้วนะ” “อืม ไม่รู้เหมือนกัน รีบทำงานเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันแขกที่มากินดินเนอร์” สองพนักงา
“ก็เพราะความใจดีทำให้ฉันต้องเสียใจมาจนทุกวันนี้ ในเมื่อนายไปแล้วก็ควรไปให้พ้น อย่าได้กลับมาอีก แบบนี้ถึงจะเรียกว่าคนมีศักดิ์ศรี” “ถ้าผมไม่อยากมีศักดิ์ศรีล่ะครับ” อัญญามองลึกเข้าไปในแววตานั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจริงทุกคำ “ถ้าอย่างนั้นนายก็มาสายเกินไปแล้ว เจ็ดปีมันนานเกินไป” “พี่พูดเหมือนยังคิดถึงผมมาตลอด” หญิงสาวพาลูกทั้งสองคนเข้าไปในรถ เพราะไม่อยากให้ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาอีก เมื่ออยู่กันสองคนเธอก็พูดความรู้สึกออกไป “ไม่ว่านายทำแบบนี้เพื่ออะไร มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ทุกอย่างมันจบตั้งแต่วันที่นายเลือกสิ่งนั้น ตอนนี้ฉันมีสามี และมีลูกที่น่ารักถึงสองคน นายไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันอีก” “ถ้าหากผมจะบอกว่า วันนั้นผมไม่ได้อยากเลือกทางนั้น แต่เพราะถูกบังคับ พี่จะเชื่อผมไหม และที่สำคัญ ตลอดเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาผมรักพี่ไม่เคยเปลี่ยน” คำว่ารักจากปากเขาง่ายดายนัก แต่สำหรับเธอแล้วมันก็เหมือนน้ำเปล่าที่สาดลงพื้น ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม “นายควรไปได้แล้ว” เธอพูดตัดบทไม่อยากสาวความยาวอีกจ
อัญญามองข้าวปั้น และข้าวหอมที่ตอนนี้กำลังนั่งกินไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายส์จากฝีมือของคนมาสัมภาษณ์งาน ดูท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ท่าทางคงอร่อยกว่าฝีมือเธอแน่ เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆนั่งลงบนโซฟาอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอจึงเบนสายตามามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เห็นสายตาคู่นั้นมองอยู่ที่เด็กสองคนอยู่แล้ว ก่อนจะหันมามอง และสบตาเธอ “ไม่นึกเลยว่าพี่จะมีลูกโตขนาดนี้แล้ว ผมไม่เจอพี่แค่ไม่กี่ปีเอง” “เจ็ดปี” เธอพูดจำนวนปีให้กับคนตรงหน้าแทนคำประมาณที่เขาพูดเอาไว้ตอนแรก ชายหนุ่มมองคนพูด “ครับ เจ็ดปีที่ผมไปเมืองนอก” “แล้วกลับมาทำไม” เป็นคำถามที่คนสัมภาษณ์งานไม่ควรถามที่สุด แต่เธอก็พูดคำในใจออกไปจนได้ เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนมีโรคประจำตัวก็คือคนตรงหน้าเธอในตอนนี้ คงตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ใบหน้าที่ดูขี้เล่น อ่อนโยน และมีน้ำใจ ยังคงมีเสน่ห์ชวนหลงใหล แต่เมื่อได้สัมผัสถึงความจริงข้างในจะรู้ว่ากำลังเล่นกับไฟที่ร้อนแรงจนสามารถกลับมาแผดเผาตัวเองจนตายได้ ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มกริ่ม ตอบไม่ตรงคำถาม “พี่คิดถึงผมใช่ไหม”
โชคดีที่หนึ่งที่ปีที่ผ่านมาเธอได้พี่เลี้ยงเด็กมาใหม่ อายุมากกว่าเธอสิบปี มีลูกมาแล้วสามคน ลูก ๆ ก็โตหมดแล้ว จึงทำให้มีเวลาว่าง โชคดีที่แกไม่ชอบอยู่นิ่งจึงมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเจ้าแฝด ช่วงหนึ่งปีหลังเธอจึงสบายตัวขึ้นหน่อย ช่วงเช้าก่อนไปโรงเรียนเธอจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนป้านิลจะมาช่วยเธอแค่หลังเลิกเรียนจนถึงหนึ่งทุ่ม และเสาร์อาทิตย์แบบเต็มวัน โชคร้ายที่วันนี้ลูกชายป้านิลบวช ทำให้เธอต้องดูแลเจ้าแฝดแบบเต็มวัน จนเกือบทำให้โรคของเธอกำเริบอีกครั้ง อาการแพนิก และซึมเศร้าของเธอเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เธอเป็นเพียงคนไข้ของคุณหมอตรีภพ ใช่ เธอคือคนไข้ของเขาที่กลายมาเป็นภรรยา แต่งงาน และมีลูกชายลูกสาวด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ระยะเวลาที่เธอพบเจอเขานั้นมีเรื่องราวมากมาย ยอมรับว่าอาการของเธอค่อย ๆ ดีขึ้น จนกระทั่งได้แต่งงานกัน อาการพวกนั้นก็กลับมาอีกครั้งจนถึงหลังคลอด และปัจจุบันก็ยังไม่หายดี แม้จะไม่แสดงอาการมากมาย แต่บางครั้งหากเครียดหรือกังวลก็จะทำให้เธอระเบิดอารมณ์ออกมาโดยไม่คิด อย่างก่อนหน้านี้ที่เธอพึ่งระบายออกไป อัญญามองสองแฝดผ่านทางกระจกมองหลังเพื่อดูว
อัญญานั่งถอนใจมองสภาพบ้านที่พึ่งจะจัดเรียบร้อยเมื่อวาน ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเหมือนเดิมด้วยฝีมือของลูกสองคนที่ทำเอาไว้ในวันนี้ ข้าวปั้นกับข้าวหอม ลูกชายลูกสาวฝาแฝดที่เธอได้มาเมื่อห้าปีก่อนกำลังระบายสีข้างฝาที่ตอนนี้ไม่เหลือสีเดิมของมันเหมือนที่เข้ามาอยู่เมื่อหกปีก่อนอีกแล้ว เธอถอนใจแล้วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ แต่ทำไมกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิม เสียงมือถือที่ดังขึ้นทำให้เธอได้สติ อัญญาจึงเดินไปรับโทรศัพท์แทน พอเห็นข้าวปั้นกำลังปีนขึ้นโต๊ะก็รีบตะโกนห้าม “เดี๋ยวตกนะลูก” แต่ข้าวปั้นไม่ได้สนใจฟังสักนิด ยังคงมุ่งมั่นที่จะปีนขึ้นไปบนโต๊ะเพื่อหยิบสีที่เธอยึดไว้ไม่ให้เล่นต่อ มือหนึ่งรับสาย อีกมือก็หิ้วปีกแขนลูกลงมา “แม่บอกว่าห้ามปีน” พูดไปพลางมองตาดุ แต่คนปีนกลับยิ้มไม่รู้สึกกลัวสักนิด ก่อนจะยกมือที่เปื้อนสีน้ำแปะที่แก้มของแม่ “ข้าวปั้น” เสียงเข้มกว่าเดิม จนคนปลายสายได้ยินชัด “แม่จะทนไม่ไหวแล้วนะ” เสียงปลายสายยังเงียบเหมือนรอเธอพูดให้จบ พอความเงียบเข้ามาเพราะตัวแสบวิ่งไปแปะสีใส่ตัวน้องสาวแทน อัญญาก็เอ่ยถาม “คุณคะ เมื่อไหร่จะ







