หลังจากออกมาจากเหลาอาหารแล้วเหลียนอี้ปิงพาน้องเขยไปที่ตลาดค้าสัตว์เพื่อเลือกซื้อเกวียนเทียมลาหรือวัวขึ้นอยู่กับว่าเงินในมือพวกเขาพอหรือไม่ เงิน 10 ตำลึงทองที่เตรียมเอาไว้เพื่อจ่ายให้กับทางการแทนการไปเป็นทหารตั้งแต่แรกนั้น ได้จากการนำสินเดิมของท่านแม่และภรรยาของเขาไปจำนำเอาไว้ที่โรงรับจำนำ
“พี่ใหญ่ขอรับ หลังจากเราซื้อเกวียนแล้วข้าว่าพี่ใหญ่ไปเอาสินเดิมของแม่ยายกับพี่สะใภ้มาคืนพวกนางเถอะขอรับ ข้าคิดว่าต่อไปในภายภาคหน้าพวกเราคงไม่ขัดสนเงินทองเท่าไหร่ เป็นไปได้หากข้ามีเงินในอนาคตข้าก็อยากจะซื้อที่ดินเป็นของครอบครัวตัวเองขอรับ”
“ได้ตกลง เช่นนั้นเราก็แวะโรงรับจำนำก่อนก็แล้วกัน ข้าคิดว่าเงินเรามีพอที่จะซื้อเกวียนวัวหรือเกวียนลาได้”
เมื่อตกลงกันได้แล้วเหลียนอี้ปิงขับเกวียนมุ่งหน้าไปที่โรงรับจำนำและทำการไถ่ถอนสินเดิมของภรรยาและมารดาออกมาทั้งหมด รวมเป็นเงิน 8ตำลึงทอง ทำให้ในตอนนี้เงินในมือเหลืออยู่เพียง 2 ตำลึงทองกับอีก 6 ตำลึงเงินที่ได้จากการขายปลา
หลังจากจัดการธุระที่โรงรับจำนำเสร็จแล้วทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังตลาดค้าสัตว์ทันที ด้วยจำนวนเงินที่มีในมือ คงจะซื้อได้เพียงเกวียนเทียมลาเท่านั้น หรือหากโชคดีอาจจะได้วัวราคาถูกก็เป็นได้
“ถึงแล้วเราเอาเกวียนไปฝากในที่รับฝากก่อน เจ้าคิดเอาไว้หรือยังจะซื้อวัวหรือลา” อี้ปิงถามน้องเขย
“ข้าคิดว่าซื้อเกวียนลาก็ดีขอรับ หากเรามีเงินมากขึ้นค่อยซื้อวัวก็ยังไม่สาย ถึงอย่างไรเราก็ต้องเข้าเมืองมาขายปลาอยู่แล้ว เราควรจะเก็บเงินไว้บ้างข้ากลัวว่าหากเราต้องใช้เงินแล้วจะขัดสนขอรับ”
“ได้เอาตามที่เราว่า ข้าเชื่อว่าหลานสาวต้องเห็นด้วยกับพวกเราแน่นอน”
“ขอรับ อาโหยวเองนางอยากได้ลาเพราะว่าลาวิ่งเร็วกว่าวัวขอรับ”
เมื่อนำเกวียนไปฝากพร้อมทั้งจ่ายค่าดูแล 5 อิแปะแล้วทั้งสองคนเดินกลับมาที่ตลาดค้าสัตว์พวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังร้ายขายลาที่อยู่หลังตลาดติดกับร้านขายม้า ส่วนด้านหน้าจะเป็นร้านขายวัว
“นายท่านทั้งสอง ต้องการลาหรือไม่ขอรับ เชิญท่านเข้าไปเลือกซื้อได้เลยขอรับ ชอบตัวไหนสอบถามราคากับข้าได้เลยขอรับ รับรองว่าข้าจะขายให้ท่านในราคาพิเศษเลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่ขายรีบเอ่ยออกมาเพราะวันนี้เขายังขายลาไม่ได้สักตัว
“พวกข้าขอเดินดูก่อนได้หรือไม่”
“ได้ขอรับได้ เชิญทางนี้ขอรับ”
ทั้งสองคนเดินดูลาในแต่ละคอก ลาแต่ละตัวได้รับการดูแลอย่างดี คอกสะอาดสะอ้านไม่มีกลิ่นเหม็น นับว่าดูแลดีมากทั้งสองคนเดินเลยมาจนถึงคอกสุดท้ายก็ยังไม่รู้สึกถูกใจลาตัวไหน
ในระหว่างที่อี้ปิงกำลังยืนดูลาคอกสุดท้ายอยู่นั้น เจี้ยนป๋อก็หันไปเห็นลา 2 ตัวที่ถูกแยกออกมาจากลาตัวอื่น ในคอกที่พวกมันอยู่นั้นมีเพียงพวกมันสองตัวเท่านั้น
“เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอดูลา 2 ตัวที่อยู่ในคอกเล็กนั่นได้หรือไม่ เหตุใดถึงได้แยกมันออกจากตัวอื่น ๆ”
“เจ้าสองตัวนี้ เกิดมาก็มีหน้าตาแปลกกว่าตัวอื่นเขา อีกทั้งตัวอื่น ๆ รังเกียจไม่ยอมอยู่ร่วมคอกกับพวกมันพี่น้อง จนเกิดการทำร้ายกันขึ้น ข้าเองก็ไม่เข้าใจขอรับ หากท่านสนใจลา 2 ตัวนี้ ข้าขายให้ท่านราคาพิเศษตัวละ 20 ตำลึงเงินขอรับ”
“เช่นนั้นข้าเอา 2 ตัวนี้ แล้วร้านของเจ้ามีเกวียนขายหรือไม่”
“มีขอรับ ขนาดเล็ก 15 ตำลึงเงิน ขนาดกลาง 18 ตำลึงเงิน ส่วนขนาดใหญ่ 22 ตำลึงเงินขอรับ”
“เช่นนั้นก็เอาขนาดใหญ่ไปเลยก็ดีนะน้องเขย คนบ้านเราเยอะเวลาเดินทางจะได้ไม่ต้องนั่งเบียดกันมาก”
“ตกลงขอรับพี่เขย เช่นนั้นเสี่ยวเอ้อร์รบกวนเจ้านำเจ้าสองตัวนี้ไปเทียมเกวียนให้ข้าด้วย ส่วนนี่เงิน ค่าเกวียนกับลา” เจี้ยนป๋อยื่นเงิน 1 ตำลึงทองให้เสี่ยวเอ้อร์
“รอสักครู่ขอรับเชิญตามข้ามารับเงินทอนที่ห้องบัญชีทางด้านนี้เลยขอรับ”
หลังจากที่ตามเสี่ยวเอ้อร์ไปรับเงินทอนอีก 38 ตำลึงเงินคืนแล้ว ทั้งสองคนนั่งรอให้เสี่ยวเอ้อร์นำลาทั้งสองตัวเทียมเข้ากับเกวียน ทั้งสองคนนั่งรออยู่หน้าห้องบัญชีอย่างใจเย็นไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็นำลาเทียมเข้ากับเกวียนเสร็จแล้วมาส่งให้พวกเขาทั้งสองคน
หลังจากออกจากร้านค้าสัตว์ เหลียนอี้ปิงเดินไปที่ลานฝากเกวียนและขับเกวียนมุ่งหน้ากลับบ้านทันที ระหว่างทางเขาได้ถามน้องเขยอย่างเว่ยเจี้ยนป๋อว่าเหตุใดถึงเลือกเจ้าลาสองตัวนี้ มันทั้งตัวเล็กและเตี้ยไปสักหน่อย
“น้องเขยข้าถามได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงเลือกลาสองตัวนี้ ข้าว่ามันออกจะตัวเล็กไปสักหน่อยและเตี้ยไปสักนิด หรือมันจะยังไม่โต”
“พี่ใหญ่มันไม่ใช่ลาขอรับ”
“อ้าวหากมันไม่ใช่ลา แล้วคืออะไรก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันเป็นลา”
“มันคือล่อขอรับ ล่อคือลูกที่เกิดจากลาและม้าผสมพันธุ์กัน เจ้านี่ยังเล็กยังไม่โตแต่แข็งแรงมาก ที่สำคัญมันแข็งแรงและอดทนได้ดีกว่าลาแถมมันยังวิ่งเร็วด้วยนะขอรับ”
“มิน่าเล่าลาตัวอื่นถึงได้รังเกียจมันสองตัว เพราะเป็นลูกผสมข้ามสายพันธุ์นี่เอง เช่นนั้นเท่ากับว่าพวกเราได้กำไรแล้วน่ะสิ”
“ใช่ขอรับเราได้กำไรมากจริง ๆ เช่นนั้นเรารีบกลับบ้านกันเถอะขอรับจะได้เอาเกวียนไปคืนที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องเช่าเกวียนผู้อื่นแล้วจะไปไหนมาไหนก็สะดวก”
“นั่นสิ พรุ่งนี้เรานำปลาไปส่งแต่เช้าหน่อยกลับมาแล้วข้าจะลองเข้าป่าไปสักรอบเผื่อเราจะได้อะไรพอที่จะนำไปขายทำเงินเข้าบ้านได้”
“ข้าเห็นด้วยขอรับตอนนี้เงินในมือพี่ใหญ่เหลือเพียงแค่ 2 ตำลึงทอง ถึงแม้ว่ามันจะถือเป็นเงินจำนวนมากหากรู้จักใช้ก็จะสามารถอยู่ได้อีกเป็นปี แต่เกิดสงครามแบบนี้ข้าเองก็ไม่วางใจขอรับ ส่วนข้าอย่างที่ท่านเห็นเหลือเท่านี้แล้วขอรับ”
“ข้าเข้าใจ โชคยังดีที่ท่านแม่มีสินเดิมนับว่าพอมีราคาอยู่บ้าง พี่สะใภ้เจ้าเองก็ยังพอมีของมีราคาติดตัวมาบ้าง ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหตุใดถึงได้เก็บเงินแทนการไปเป็นทหารกับชาวบ้านที่แทบจะไม่มีกินเช่นพวกเรา ถึง 10 ตำลึงทอง”
“ก็คงเป็นการบีบให้ไปรบนั่นล่ะขอรับ หากเราไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ก็ต้องไปรบ แต่ตอนนี้แม้มีเงินก็ไม่สามารถช่วยให้ไม่ต้องไปรบได้เสียแล้ว ข้าเกรงว่าสถานการณ์น่าจะเลวร้ายขึ้นมาก พวกเราคงได้แต่ภาวนาให้หลานชายกับลูกเขยกลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น”
“ข้าเองก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เราคาดเดาอะไรไม่ได้กับสงครามหรอกนะ”
ใช้เวลาไม่นานเกวียนทั้งสองเล่มก็วิ่งตามกันเข้ามาในหมู่บ้านท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่มองมายังเกวียนลาใหม่เอี่ยมของคนบ้านเหลียน
เหลียนอี้ปิงนำเกวียนวัวไปคืนที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมค่าเช่าเกวียน 50 อิแปะ เมื่อจ่ายเงินค่าเช่าเกวียนเรียบร้อยแล้วเขารีบเดินกลับบ้านทันทีด้วยไม่อยากพูดคุยกับชาวบ้านเท่าใดนัก ตลอดทางที่เดินมามีชาวบ้านถามถึงเกวียนลาที่ซื้อมาใหม่เขาได้แต่บอกว่าเป็นน้องเขยของเขาที่ซื้อมาเพียงเท่านั้น
“เจ้าใหญ่กลับมาแล้วหรือ รีบไปล้างไม้ล้างมือจะได้มากินข้าว น้องเขยรอกินข้าวพร้อมเจ้าอยู่” แม่เฒ่าเหลียนที่เห็นลูกชายเดินเข้าบ้านมานางจึงรีบบอกให้ลูกชายรีบไปกินข้าวเพราะเขาออกจากบ้านตั้งแต่ยามอิ๋นด้วยนิสัยของลูกชายคงไม่หาอะไรกินจากในตัวเมืองเป็นแน่
“ขอรับท่านแม่”
เพราะพี่ใหญ่อย่างเหลียนอี้หลุนไม่อยู่แล้วหน้าที่หาน้ำและหญ้ามาให้ลาทั้งสองตัวนั้นจึงตกเป็นของสองพี่น้องหย่งคังกับหย่งหมิง ทั้งสองคนชอบลาทั้งสองตัวนี้มาก แต่ท่านพ่อบอกพวกเขาว่ามันคือล่อไม่ใช่ลา
พ่อเฒ่าเหลียนเองก็ดูจะชอบอกชอบใจกับล่อสองตัวนี้มาก ถึงแม้ว่ามันยังไม่โตเต็มวัยแต่ทั้งสองตัวแข็งแรงดีอีกทั้งซื้อมาได้ในราคาถูกมากนับว่าสายตาของลูกเขยนั้นแหลมคมมาก
“น้องเขย นี่เงินส่วนแบ่งของเจ้ากับของหลานสาว” อี้ปิงยื่นเงินให้เจี้ยนป๋อ 4 ตำลึงเงิน
“ขอบคุณขอรับพี่ใหญ่ พรุ่งนี้ก่อนนำปลาไปขายค่อยเอาให้นาง วันนี้เวลายังมีอีกมาก เราเข้าป่าไปวางกับดักกันดีหรือไม่เผื่อจะโชคดีได้อะไรติดมือมาบ้าง”
“ตกลง เช่นนั้นไปเตรียมของกันเถอะ”
พ่อเฒ่าเหลียนที่เดินเข้ามาในบ้านเห็นลูกชายและลูกเขยกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่พร้อมกับธนูเดินออกจากบ้านเขาจึงได้ถามทั้งสองคนว่าจะออกไปไหนกันไม่ใช่เพิ่งจะกลับมาจากในเมืองกันหรอกหรือ
“นี่พวกเจ้าสองคนจะไปที่ใดกันอีกไม่ใช่เพิ่งจะกลับมาจากในเมืองกันรึ เหตุใดไม่พักเสียหน่อยล่ะ”
“พวกเราจะไปวางกับดักขอรับท่านพ่อ ท่านพ่อนี่ขอรับข้าฝากท่านพ่อคืนให้ท่านแม่ด้วย ข้าเอาสินเดิมของท่านแม่กลับมาแล้วรวมถึงของภรรยาข้าด้วย เราไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินแล้ว ข้าจึงเอามันกลับมาคืนให้ท่านแม่และภรรยาจะดีกว่า”
“ตกลง พ่อจะเอาไปคืนแม่เจ้าให้ เข้าป่าไปก็ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าพากันเข้าไปลึกนักพวกเจ้าไม่ใช่นายพรานไม่ได้ชำนาญในการล่าสัตว์ อย่าได้ริไปล่าสัตว์ในป่าด้านซ้ายหมู่บ้านเชียว ถึงบ้านเราจะขาดเงินแต่หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าพ่อว่ามันจะได้ไม่คุ้มเสียเข้าใจหรือไม่"
“ข้าเข้าใจขอรับท่านพ่อ”
“ข้าเองก็เข้าใจดีขอรับท่านพ่อตา”
เว่ยเจี้ยนป๋อเดินมาหาลูกชายที่ด้านข้างของบ้านพวกเขานำลามาผูกเอาไว้ใต้ต้นไม้ให้มันอยู่ชั่วคราวก่อน หลังจากวางกับดักแล้วเขาและพี่ชายของภรรยาจะช่วยกันตัดไม้ไผ่มาทำคอกให้ทั้งสองตัวอยู่
“หย่งคัง หย่งหมิง หากท่านแม่ของเจ้ากลับมาบอกท่านแม่ของเจ้าว่าพ่อกับท่านลุงจะเข้าป่าไปวางกับดักและตัดไม้มาทำคอกให้เจ้าสองตัวนี้”
“ขอรับท่านพ่อ”
“ขอบใจมาก ลูกช่วยกันดูแลเจ้าสองตัวนี้ให้ดีล่ะ”
“วางใจได้เลยขอรับท่านพ่อ พวกเราจะดูแลมันอย่างดี”
“น้องเขยเจ้ารอสักครู่ข้าจะให้ท่านพ่อไปซื้อหญ้าสานกับชาวบ้านเอาไว้มามุงคอกของเจ้าสองตัวนี้มันจะได้มีที่หลบแดดหลบฝน”
“ขอรับพี่ใหญ่”
ทางด้านเว่ยจื้อโหยวนั้นตอนนี้นางพลิกหน้าดินเรียบร้อยแล้วนางจะตากหน้าดินสัก 3-4 วัน จากนั้นนางค่อยให้ท่านลุงกับท่านพ่อช่วยหามูลสัตว์มาให้นางจะได้นำมาใส่ลงในแปลงผักที่นางทำเอาไว้ แล้วจะได้เริ่มลงมือเพาะปลูกเสียที ในช่วงเวลา 3-4 วันที่ตากหน้าดินนางคิดว่าจะต้องเข้าไปสำรวจป่าเพื่อหาหนทางทำเงินดูสักครั้ง ไม่แน่ว่านางอาจจะได้เสบียงอาหารมาเพิ่มก็ได้
หลังจากเหลียนอี้หลุนแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ไม่นาน หยวนจิ้งเองก็พบรักเข้ากับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง นางเป็นบุตรสาวพรานป่าที่มีนิสัยใจคอกล้าหาญไม่ต่างไปจากน้องสะใภ้อย่างเว่ยจื้อโหยว ที่สำคัญนางเป็นคนจิตใจดี หยวนจิ้งแต่งภรรยาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ทันที ต่างจากอี้หลุนที่ไม่ว่าจะทำยังไง ภรรยาก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ส่วนภรรยาของกู้ตงและสหายทั้งสองตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยความพยายามของอี้หลุนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์เสียที เซี่ยเหิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น อ้ายหลินเองก็ท้องโตและกำลังใกล้คลอดตามเว่ยจื้อโหยวมาติด ๆ หมู่บ้านต้าลี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยเจี้ยนป๋อได้เป็นบิดาของจอหงวนฝ่ายบุ๋น อวิ๋นเซียวนั้นมีน้องชายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อวิ๋นเฟยกับหย่งคังก็มีลูกชายหญิงให้บิดามารดาได้เลี้ยงหลานไม่เหงา ทำเอาลุงใหญ่อย่างเหลียนอี้ปิงอิจฉาตาร้อนไปหมดเจ้าแฝดต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า หลังจากมารดาคลอดน้อง ๆ แล้วทั้งสองคนจะเข้าไปศึกษาที่เมืองหลวงตามที่รับปากกับท่านลุงเฟยหลงเอาไว้ เว่ยจื้อโหยวมีความสุขที่ได้อยู่กับลู
เหลียนอี้หลุนตอนนี้กำลังชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามใจตัวเองหรือจะยอมเดินออกมาอย่างเช่นที่เคยทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงใจในตัวม่านหลิน เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย บิดามารดาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เจ้าเมืองเตี้ยนถงเองไม่เคยคิดดูถูกชาติกำเนิดของเหลียนอี้หลุนอย่างที่ตัวอี้หลุนเข้าใจ ที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกุเรื่องว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของสหายของนางนั้นเพื่อกระตุ้นให้อี้หลุนรู้ใจตัวเองเพียงเท่านั้น เหลียนอี้หลุนทำหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้ามานานแล้วและนางเองก็รู้ดีว่าเขาพึงใจในตัวบุตรสาวคนเล็กของนาง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเช่นนางกับสามีนั้นมีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเช่นไรกับบุตรสาวของตัวเอง ม่านหลินนั้นตกหลุมรักเหลียนอี้หลุนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงในสายตาคนอื่นนางเป็นคุณหนูจวนขุนนางที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากวิ่งออกไปเที่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหาร งานเย็บปักและการต่อสู้ไม่ได้ด้อยเลย ม่านหลินเองก็เริ่มถอดใจแล้วเช่นเดียวกัน นางคิดว่าความพยายามของตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จ ขนาดที่นาง
หมู่บ้านหนานซานตอนนี้ข่าวการกลับมาของสามสหายปากร้ายแห่งหมู่บ้านหนานซานที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมทั้งนำภรรยากลับมาด้วยเป็นที่เลื่องลือไปสี่หมู่บ้านยี่สิบลี้เลยก็ว่าได้ชาวบ้านหลายคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษปากคมเช่นสามคนนั้นจะสามารถแต่งภรรยาจากเมืองหลวงกลับมาได้ อีกทั้งเหล่าภรรยายังเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับสินเดิมมากมายและเช้าวันนี้หลังจากที่ส่งสามีออกไปทำงานแล้วเหล่าสะใภ้ทั้งสามก็นัดแนะกันเข้าป่าล่าสัตว์หาของป่าดังเช่นชาวบ้านทั่วไป ทั้งสามคนคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานมาอยู่หมู่บ้านหนานซานแห่งนี้“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่สะใภ้ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ป่านี้เสวี่ยเหลียนกับซินเหมยคงมารอแล้ว” ม่อจื่อ“จื่อเอ๋อร์ระวังตัวด้วยนะ อย่าเข้าป่าลึกมากนัก บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดอย่าทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่” แม่สามีบอกลูกสะใภ้ชาวเมืองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ผิงม่อจื่อหลังจากบอกลาแม่สามีแล้วก็มุ่งหน้ามาที่จุดนัดหมายที่มีสหายสองคนรออยู่ที่ทางขึ้นเขาท้ายหมู่บ้าน เส้นทางนี้ชาวบ้านในหมู่บ้า
หลังจากผ่านพ้นการแต่งงานแบบที่แปลกประหลาดไปแล้ว สี่หนุ่มแห่งหมู่บ้านต้าลี่ต่างได้ภรรยากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนอกเหนือจากของฝากที่พวกเขาซื้อเอาไว้มากมายเพราะทั้งสี่คนแต่งงานแล้วและภรรยายังตามสามีกลับไปด้วย ขากลับทำให้มีขบวนรถม้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เว่ยจื้อโหยวเองถึงแม้จะดีใจที่เจ้าพวกลิงทโมนทั้งสี่ในที่สุดก็รู้จักแต่งภรรยามีครอบครัวเสียทีจะได้ไม่ต้องรวมหัวกันไปทำเรื่องอะไรพิเรน ๆ อีก แต่ดูท่าทีภรรยาของแต่ละคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวคิดว่าคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกไม่น้อย “เดินทางปลอดภัยนะ อาเซียวน้องสะใภ้” เฟยหลง“ขอบคุณขอรับพี่รอง ท่านกลับไปดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายเถอะไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเซียว“เจ้าแฝดไม่อยู่กับลุงที่เมืองหลวงหรือ” เฟยหลงถามหลานชาย“ไม่ขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อทำงาน เอาไว้ถึงเวลาเข้าสำนักศึกษาแล้วค่อยมาอยู่กับท่านลุงที่เมืองหลวงขอรับ แต่ต้องรอให้ท่านแม่มีน้องก่อนนะขอรับ เพราะหากพวกเราสองคนมาอยู่ที่เมืองหลวงข้ากลัวท่านแม่จะเหงา” ต้าเป่า“ได้ เช่นนั้นลุงรองจะสร้างเรือนเอาไว้ให้พวกเจ้าสองคนนะ เอาติดกับเรือนของน้องชายเลยดีหรือไม่”“ดีขอรับ ท่านลุงรักษาตัวด้วยนะขอรับ เอาไว้ต้าเ
เวลาผ่านไปอีกสองวันก็มีข่าวออกมาว่าชุยต้าหวังพร้อมนางจินซื่อถูกจับข้อหาร่วมมือกันทำให้อดีตภรรยาเอกถึงแก่ความตาย และยึดเอาสินเดิมภรรยาพร้อมทั้งใส่ความบุตรที่เกิดกับภรรยาเอกให้มีความผิดและส่งขายไปเป็นทาสหลวงหลังจากเจ้าหน้าที่ทางการสอบสวนแล้วนางจินซื่อสารภาพว่าเป็นคนวางยาอดีตภรรยาเอกเพื่อต้องการขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน ส่วนชุยต้าหวังมีความผิดฐานยึดเอาสินเดิมภรรยาและขายลูกชายทั้งสี่ไปเป็นทาส ด้วยเหตุนี้นางจินซื่อมีโทษประหารข้อหาฆ่าคนตาย ชุยต้าหวังมีโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกชายอย่างชุยตงหลางนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่บิดามารดาได้กระทำลงไปจึงไม่มีความผิด ลูกสาวอย่างชุยรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีส่วนรู้เห็นและร่วมมือกับมารดาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกันทางการได้คืนสินเดิมของมารดาชุยต้าทั้งหมดให้กับพวกเขาสี่พี่น้อง ชุยต้าเองย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยิน แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป เพราะต่างก็ตั้งใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านต้าลี่แล้ว ชุยต้ากลับไปคงต้องคุยกับพี่น้องของตัวเองเรื่องสินเดิมมารดาที่เหลือไม่มากแล้วเพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชุยต้าหวังและนางจินซื่
หย่งซีและชุยต้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพพร้อมกับที่เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน หย่งซีใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าตึง ๆ เข้าไปหาพี่สาวเพื่อบอกกับนางว่าเขาและชุยต้าถูกคนรังแกอย่างไรบ้าง“เป็นอะไรเสี่ยวซีทำไมหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้น ใครทำอะไรให้โมโหมาหรือ” เว่ยจื้อโหยวถามน้องชาย“ก็วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองมาแล้วไปเจอยายป้าปากแดงอยู่ ๆ ก็เข้ามาด่าว่าพี่ชายชุยต้ากับข้า แถมยังบอกว่าพี่ชายชุยต้าเป็นอดีตพี่ชายของนาง เท่านั้นยังไม่พอนางยังด่าว่าเป็นทาสด้วย เป็นทาสอะไรกันไม่ได้เป็นทาสเสียหน่อย”“ใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าด่าคนอื่นกลางตลาดขนาดนั้น ไม่กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีแล้วไม่มีใครมาสู่ขอหรือ แถมเป็นสตรีด้วย”“ข้าไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ รู้แค่ว่านางไม่สวย ทาหน้าขาวโพลนแถมยังปากแดงอีกด้วย ใครจะไปสนใจกันว่านางเป็นใคร ไม่ได้รู้จักแต่เข้ามาด่า นางบอกว่าพี่ชุยต้าเป็นอดีตพี่ชาย”“สรุปที่เจ้าโมโหขนาดนี้ แม่นางผู้นั้นด่าเจ้าหรือด่าชุยต้า” “ด่าข้าด้วย ด่าพี่ชายชุยต้าด้วย นางด่าข้าว่าไอ้เด็กเหลือขอ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” หย่งซีหน้างอตอบพี่สาว“ตกลง ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปถามชุยต้าเดี๋ยวพี่สาวจะจัดก