ログインหนึ่งสัปดาห์ต่อมา…
“พรีมไปแล้วนะคะ ต่อไปแม่กับพ่อไม่ต้องรอกินมื้อเย็นแล้วนะ ช่วงนี้ที่ออฟฟิศเตรียมเปิดตัวซูเปอร์คาร์ใหม่ พรีมอาจกลับช้าเพราะต้องอยู่ช่วยเตรียมงาน” เสียงหวานเอ่ยกับแม่ที่ออกมายืนส่งหน้าบ้าน ส่วนพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว
“จ้ะ ต่อไปพ่อกับแม่เองก็จะยุ่งมากขึ้นเหมือนกัน น่าจะไม่มีเวลาให้พรีมด้วยเพราะบริษัทฯ อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง พรีมต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก”
“รับทราบค่ะ แม่กับพ่อไม่ต้องห่วงพรีมนะ แล้วก็ต่อไปไม่ต้องให้คนขับรถไปรับไปส่งแล้วนะคะ พรีมอยากลองใช้ชีวิตแบบพนักงานออฟฟิศดูค่ะ ว่าจะเริ่มตั้งแต่เย็นนี้เลย” สาวน้อยส่งยิ้มให้แม่ก่อนจะเดินขึ้นรถที่คนขับเปิดประตูรออยู่
“ลองใช้ชีวิตพนักงานอะไรล่ะ ลุงอูฐคนนั้นให้บอดี้การ์ดมาคอยตามประกบต่างหาก” ร่างน้อยเอนตัวลงเบาะอย่างคนหมดแรง ดีหน่อยที่ลีมูซีนคันงามมีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร คนขับรถเลยไม่เห็นท่าทางของคุณหนูในตอนนี้
“ชีวิตพนักงานออฟฟิศมันมีอะไรให้น่าทดลองกัน แม่ก็ไม่เอะใจเลย สงสัยคงจินตนาการว่าลูกสาวกำลังโตแล้วแน่เลย ฮือ” สองขาเรียวชูขึ้นเหนืออากาศแล้วถีบทึ้งไปมาราวกับเด็กน้อยเมื่อนึกถึงข้อความที่ได้รับจากเบอร์ปริศนาเมื่อเช้านี้
‘ฉันถึงไทยแล้ว ต่อไปคนของฉันจะเริ่มทำหน้าที่ดูแลเธอ ส่วนเธอก็เริ่มทำหน้าที่ดูแลฉันด้วย’
“อีตาอูฐแก่โรคจิต!” ใบหน้าหวานบูดบึ้งอย่างอารมณ์เสีย ยิ่งนึกถึงวันแรกที่เจอเขาและถูกรุกล้ำพื้นที่สงวนแล้วก็ยิ่งโมโห พอคิดว่าวันนี้ต้องเจอเรื่องแบบนั้นอีกก็ใจคอไม่ดี “ถ้าหล่อจะไม่ว่าเลย อย่างน้อยก็ต้องหล่อและตรงสเปคด้วยสิถึงจะมีอารมณ์ร่วม แต่นี่…” เขาไม่ใช่สเปคเธอ คนหล่อสำหรับเธอคือคนที่ตรงสเปคเท่านั้น
@บริษัท อาเมียร์คาน ยูเออี ซูเปอร์คาร์ จำกัด
“เด็กฝึกงานบริษัทเรานี่รวยใช่เล่นเลยนะ นั่งลีมูซีนมาทำงานทุกวัน” เสียงคุยกันแบบไม่สนว่าคนถูกเอ่ยถึงจะได้ยินหรือไม่ดังขึ้นขณะสโรชาเดินเข้าไปประจำที่นั่ง
“รวยไม่รวยไม่รู้ แต่ส้นสูงที่ใส่กับกระเป๋าที่สะพายก็หลายแสนเลย” สาวออฟฟิศนางหนึ่งปรายตามองสโรชาแล้วก็หันไปคุยกับเพื่อนต่อ พวกเธอกำลังนั่งเติมแป้งและแต่งหน้ากันอยู่ที่โต๊ะตัวเอง
“แต่เดี๋ยวนี้คนไม่รวยก็ใช้ของแพง ๆ แบบนั้นได้นะ ถ้ามีคนเลี้ยงน่ะ” ประโยคค่อนแคะกระแนะกระแหนจากกลุ่มพนักงานสาวที่ไม่ค่อยยินดีเวลามีเด็กฝึกงานสวย ๆ เข้ามายังดังไม่เลิก ส่วนคนถูกพูดถึงน่ะเหรอ
ก็จริง… ถ้าจะใช้ของพวกนี้ก็ต้องรวย ถ้าไม่รวยก็ต้องมีกำลังซื้อประมาณหนึ่ง หรือไม่ก็ต้องมีคนเลี้ยง เพราะเธอเองก็มีพ่อแม่คอยเลี้ยงดูเหมือนกัน สาวน้อยนั่งเขี่ยโทรศัพท์มือถือรองานจากรุ่นพี่ในแผนกเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไร
“น้องพรีมเปลี่ยนกระเป๋าอีกแล้วเหรอ” เสียงหวานของพี่หญิงดังขึ้นพร้อมร่างอรชรเดินหอบเอกสารปึกหนาเดินมาหาเธอ
“อ้าว พี่หญิงสวัสดีค่ะ” สโรชารีบลุกขึ้นทักทายพี่คนสวย พี่หญิงคือพนักงานไม่กี่คนที่ใจดีกับเธอ เพราะส่วนมากเด็กฝึกงานจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก “ค่ะ พอดีเห็นว่าเพิ่งออกใหม่ พรีมก็เลยรีบไปสอยมา” ความภูมิใจของผู้หญิงก็คือการได้อวดอะไรแบบนี้และมีคนชมว่าของที่เรามีมันสวยมันจึ้งนี่แหละ คนหนึ่งชอบแต่ไม่มีกำลังซื้อ อีกคนชอบแต่มีกำลังซื้อเลยคุยกันถูกปากเหมือนแชร์ประสบการณ์กัน
“แต่สวยจริงนะ พี่ชอบ ถ้าราคาไม่แรงก็น่าจัดสักใบอยู่”
“พี่หญิงเป็นถึงผู้ช่วยเลขาของบริษัทซูเปอร์คาร์เลยนะ ราคาแค่นี้จิ๊บ ๆ อยู่แล้ว แหม” หนึ่งในพนักงานสาวกลุ่มเดิมเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของสโรชาคุยกัน
“ใช่ ๆ เด็กฝึกงานอย่างน้องพรีมยังสอยได้เลย พี่หญิงก็อย่าน้อยหน้าสิ”
“แต่ก็แปลกอยู่น้า น้องพรีมยังไม่ทำงานเลยแต่ค่าครองชีพสูงเวอร์ มีคนเลี้ยงปะเนี่ย” คำถามทีเล่นทีจริงแต่แฝงไปด้วยความอยากเผือกเรื่องชาวบ้านทำให้สาว ๆ ทั้งแผนกหูผึ่ง ยิ่งผังโต๊ะทำงานเป็นแบบเรียงแถวตรงและหันหน้าเข้ากันแล้วก็ยิ่งง่ายต่อการฟังเรื่องชาวบ้าน
“ใช่ค่ะ” คนถูกถามพยักหน้ารับอย่างไม่อาย ทำคนทั้งแผนกเหวอกันเป็นแถบ “ตอนนี้พรีมให้พ่อกับแม่เลี้ยงอยู่ค่ะ ถ้าเริ่มทำงานแล้วจะเลี้ยงพ่อกับแม่คืน” ประโยคถัดมาทำพนักงานในแผนกถอนหายใจพร้อมกันดังพรืด พวกเขาก็คิดเป็นตุเป็นตะไปอีกอย่าง แต่พี่สาวกลุ่มเดิมก็ยังถามไม่เลิก
“พี่ขอถามได้ไหมคะว่าพ่อแม่น้องพรีมทำงานอะไร เผื่อพี่จะไปทำบ้าง อยากลองใช้ชีวิตแบบค่าครองชีพสูง ๆ ดู”
“พ่อทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ ส่วนแม่เมื่อก่อนเป็นผู้ช่วยพ่อ แต่ตอนนี้อยู่บ้านเฉย ๆ แล้วค่ะ”
“หืม ธุรกิจส่วนตัวนี่อะไรคะ บ้านพี่ก็ทำนะแต่ไม่เห็นรวยเลยอะ พ่อเป็นได้แค่เสี่ยระดับตำบลเฉย ๆ”
“อืม…” ใบหน้าหวานครุ่นคิดขณะนิ้วชี้เรียวจิ้มแก้มตัวเองจนบุ๋มลงแล้วเอ่ยต่ออย่างอารมณ์ดี “พี่ทรายลองให้พ่อทำธุรกิจเหมือนพ่อพรีมดูก็ได้ค่ะ ลองมาเปิดโรงแรมกับทำอสังหาฯ ดูสิคะ พ่อพรีมเคยบอกว่าลงทุนครั้งแรกแค่สี่สิบกว่าล้าน ตอนนี้ต่อยอดได้กำไรหลักพันล้านเลยค่ะ” ถ้าผู้ถือหุ้นไม่หักหลังกับไม่มีคู่แข่งมาขัดขาก็ไม่มีปัญหาอะไร ประโยคสุดท้ายสาวน้อยนึกในใจไม่กล้าเอ่ยออกมา กว่าจะมีวันนี้ได้พ่อกับแม่ของเธอใช้เวลาสร้างร่วมยี่สิบปี แค่คิดว่าจะถูกขโมยทุกอย่างไปก็หัวร้อนแล้ว
“เดี๋ยวนะ นี่น้องพรีมมีธุรกิจโรงแรมด้วยเหรอคะ พี่หญิงเพิ่งรู้เลยนะเนี่ย” ผู้ช่วยเลขายังไม่ไปไหน การจับกลุ่มเมาส์ก่อนเริ่มงานถือเป็นอาหารจานหลักยามเช้าของสาวออฟฟิศ หญิงสาวเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าจะมีลูกคุณหนูมาฝึกงานในบริษัทฯ ที่ตัวเองทำงานอยู่ ปกติแล้วลูกหลานนักธุรกิจจะฝึกงานในบริษัทฯ ตัวเองกัน
“ค่ะ โรงแรมกับธุรกิจอสังหาฯ ที่อยู่ในเครือกาดีร์ เป็นของครอบครัวพรีมเองค่ะ”
“…” สรุปก็คือ โรงแรมดังหลายแห่งในกรุงเทพฯ ที่ค่าห้องคืนละหลายแสน เดือนละหลายล้าน เป็นของพรีมเองค่ะ นี่คือสิ่งที่ทุกคนในแผนกแปลได้จากคำตอบของสาวน้อย
เมื่อข้อข้องใจเกี่ยวกับค่าครองชีพของเด็กฝึกงานหายไป บรรยากาศในแผนกก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง บวกกับถึงเวลาเข้างานแล้วเลยแยกย้ายกันไปประจำที่
ติ๊ง!บานประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับร่างอรชรในชุดนักศึกษารัดรูปเดินสะพายกระเป๋าออกมา สิ่งหนึ่งที่สโรชาสัมผัสได้คือบรรยากาศในชั้นยังเงียบสงบเหมือนเดิม ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือวันนี้ไม่มีใครเอาปืนมาจ่อหัวเธอเสียงรองเท้าส้นเข็มสีดำดังกระทบพื้นมันวาวตามจังหวะเยื้องย่าง ร่างน้อยเดินผ่านหน้าบอดี้การ์ดหนวดเฟิ้มนับสิบที่ยืนนิ่งไม่กระดิก และไม่สนใจเธอนับตั้งแต่ก้าวขาออกจากลิฟต์ เหลือบมองแต่ละคนที่เดินผ่านหากบอกว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งเอามาตั้งไว้ก็คงเชื่อ“ก็นะ เจ้าชายลำดับที่สองแห่งราชวงศ์บ่อน้ำมันที่รั้งตำแหน่งเจ้าผู้ครองรัฐ คงไม่จ้างคนธรรมดามาเป็นบอดี้การ์ดหรอก” เสียงแผ่วพึมพำก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่เคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะยกมือเคาะ บานประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออกราวกับรู้ว่าเธอมาถึงแล้ว“ท่านอาซิซบอกให้รีบเข้าไปครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มที่เปิดประตูออกเอ่ยขึ้นพร้อมผายมือเข้าไปด้านใน ขณะที่สโรชาเดินเข้าไป เขาและเพื่อนอีกคนที่เคยยืนประจำอยู่ก็ออกมาและปิดประตูลง“สวัสดีค่ะ กลับมาเร็วจังเลยนะคะ” เรียวปากสวยเอ่ยทักทายร่างกำยำที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวพันรอบเอวไว้ เจ้าของห้องนั่งอ้าขาโ
อีกด้านหนึ่ง...“เหมือนจะไม่รู้ว่าถูกคนอื่นหมั่นไส้นะครับ ไม่รู้ด้วยว่าโดนแขวะ” คาริบพูดกับเจ้านายขณะยืนกอดอกมองหน้าจอขนาดใหญ่ที่กำลังฉายภาพโซนหนึ่งของออฟฟิศ “ก็นายบอกเองนี่ ว่าเด็กคนนี้เหมือนโตมาในทุ่งลาเวนเดอร์ มองอะไรก็คงเห็นเป็นดอกไม้นั่นแหละ” ชีคหนุ่มกระตุกยิ้มเบา ๆ ขณะมองภาพสาวน้อยบนหน้าจอ “หรือไม่ก็อาจจะรู้แต่แสร้งไม่รู้แล้วหาทางตลบหลังอยู่ก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยต่อขณะดวงตาคมจับจ้องไปที่ต้นขาขาวเนียนของคนที่นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าเล่น“งั้นก็หายห่วงนะครับ เพราะต่อไปคุณสโรชาคงมีข่าวลือแปลก ๆ กับท่านอาซิซ” แค่หญิงสาวที่เข้ามาดูแลเจ้านายเขาแบบชั่วครั้งชั่วคราวยังโดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ และถูกพูดถึงด้วยเรื่องเสื่อมเสียมากมาย แล้วสโรชาที่เป็นเด็กฝึกงานในบริษัทฯ ล่ะจะเหลืออะไร “ว่าแต่ท่านอาซิซให้คนเตรียมโต๊ะทำงานในนี้ทำไมครับ” องครักษ์หนุ่มหันไปมองมุมหนึ่งของห้องแล้วก็สงสัย ทันทีที่เดินทางกลับถึงเมืองไทย นายเหนือหัวของเขาก็ให้จัดโต๊ะทำงานในห้องเพิ่มอีกตัว“เอาไว้ให้เด็กฝึกงาน”“ห๊ะ เด็กฝึกงานจะมาทำอะไรในห้องนี้ครับ”“ก็ฝึกงานน่ะสิ หนุ่มพรหมจรรย์อย่างนายจะไปรู้อะไร”“…” คิ้วเข้มขององครักษ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา…“พรีมไปแล้วนะคะ ต่อไปแม่กับพ่อไม่ต้องรอกินมื้อเย็นแล้วนะ ช่วงนี้ที่ออฟฟิศเตรียมเปิดตัวซูเปอร์คาร์ใหม่ พรีมอาจกลับช้าเพราะต้องอยู่ช่วยเตรียมงาน” เสียงหวานเอ่ยกับแม่ที่ออกมายืนส่งหน้าบ้าน ส่วนพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว“จ้ะ ต่อไปพ่อกับแม่เองก็จะยุ่งมากขึ้นเหมือนกัน น่าจะไม่มีเวลาให้พรีมด้วยเพราะบริษัทฯ อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง พรีมต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก”“รับทราบค่ะ แม่กับพ่อไม่ต้องห่วงพรีมนะ แล้วก็ต่อไปไม่ต้องให้คนขับรถไปรับไปส่งแล้วนะคะ พรีมอยากลองใช้ชีวิตแบบพนักงานออฟฟิศดูค่ะ ว่าจะเริ่มตั้งแต่เย็นนี้เลย” สาวน้อยส่งยิ้มให้แม่ก่อนจะเดินขึ้นรถที่คนขับเปิดประตูรออยู่ “ลองใช้ชีวิตพนักงานอะไรล่ะ ลุงอูฐคนนั้นให้บอดี้การ์ดมาคอยตามประกบต่างหาก” ร่างน้อยเอนตัวลงเบาะอย่างคนหมดแรง ดีหน่อยที่ลีมูซีนคันงามมีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร คนขับรถเลยไม่เห็นท่าทางของคุณหนูในตอนนี้“ชีวิตพนักงานออฟฟิศมันมีอะไรให้น่าทดลองกัน แม่ก็ไม่เอะใจเลย สงสัยคงจินตนาการว่าลูกสาวกำลังโตแล้วแน่เลย ฮือ” สองขาเรียวชูขึ้นเหนืออากาศแล้วถีบทึ้งไปมาราวกับเด็กน้อยเมื่อนึกถึงข้อความที่ได้รับจากเบอร์ป
“มีอะไร? ทำหน้าเหมือนตัวเองเสียผลประโยชน์” เจ้าของใบหน้าคมเข้มเอ่ยถามคนที่นั่งขมวดคิ้วมองกระดาษสีขาวในมือ ตอนนี้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาที่ทั้งคู่นั่งอยู่มีเอกสารหลายแผ่นวางไว้ ซึ่งแต่ละแผ่นสโรชาอ่านมาแล้วทุกตัวอักษร“เรื่องเทคโอเวอร์กับรายละเอียดการจัดการบริษัทฉันเข้าใจค่ะ ไม่มีอะไรโต้แย้ง เรื่องที่คุณให้คนนัดวันเจรจาใหม่กับพ่อก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องมีคนติดตามหรือบอดี้การ์ดด้วย” คิ้วเรียวย่นชนกันพร้อมเงยหน้าไปสบตาเขาอย่างไม่เข้าใจ “หรือคุณกลัวว่าฉันจะหนี”“ทำไมต้องกลัว” ริมฝีปากหนามีเคราอ่อน ๆ ปกคลุมเอ่ยพร้อมช้อนตามองสาวน้อยตรงหน้า “ยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้นอยู่ดี” ความมั่นใจในตัวเองของเขาทำสโรชาหมั่นไส้ แต่ก็ต้องทนไว้เพราะข้อตกลงของเขามันเป็นผลดีต่อกิจการของครอบครัว“ตอบให้ตรงคำถามสิคะ จู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้มาติดตามทุกฝีก้าว คุณไม่คิดว่าพ่อแม่ฉันจะสงสัย หรือคนอื่นจะมองแปลก ๆ เหรอคะ”“งั้นจะให้ตามห่าง ๆ ก็แล้วกัน” “เหตุผลที่ฉันต้องมีบอดี้การ์ดส่วนตัวคืออะไรคะ”“คิดว่าเป็นผู้หญิงของฉันแล้วชีวิตเธอจะปลอดภัยหรือไง เธอไม่ได้เข้ามาคืนเดียวแล้วแยกย้ายเหมือนผู้หญิงคนอื่นนะ เราต้
“อึก” เสียงหอบหายใจดังขึ้นทันทีที่เรียวปากอิ่มได้รับอิสระ รสจูบเมื่อครู่ทั้งหนักหน่วงและรุนแรงราวกับจะกระชากวิญญาณของเธอให้ออกจากร่าง สโรชานั่งก้มหน้ากุมอกข้างซ้ายที่ก้อนเนื้อด้านในเต้นโครมครามไม่หยุด จูบแรกของเธอใช้แลกโรงแรมไปแล้ว“เซ็นเอกสารแผ่นแรกไปแล้ว ต่อไปให้เซ็นแผ่นไหนดี” ดวงตาคมไล่มองนกตัวน้อยนั่งสั่นระริกด้วยความชอบใจ ความรู้สึกตื่นเต้น แปลกใหม่ ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนทำให้อูฐแก่อย่างเขาติดใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง แม้จะเคยโอบกอดหญิงสาวมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนตัวสั่นในอ้อมแขนเขา แถมยังมีท่าทีเงอะงะราวกับนกน้อยเพิ่งหัดบิน ไม่ใช่เงอะงะเพราะเสแสร้งแกล้งทำให้เขาพอใจเหมือนหญิงสาวที่เคยเจอมา“ถะ ถ้ามีคนเข้ามาล่ะคะ” เสียงสั่นเอ่ยถาม แม้มองไม่เห็นบานประตูเพราะร่างกำยำยืนบังอยู่ แต่ก็ไม่สบายใจ “ไม่มีใครเข้ามาหรอก แต่ถ้าเข้ามาแล้วจะทำไม?” มือใหญ่ลูบไล้หน้าขาขาวเนียนช้า ๆ ก่อนจะเคลื่อนเข้าไปด้านในกระโปรงทรงเอจนร่างเล็กสะดุ้ง“อ๊ะ! ดะ เดี๋ยวสิคะ ที่คุณพูด หมายความว่ายังไง”“ลูกน้องฉันไม่ใช่พวกปากพล่อย”“แต่เขาก็เห็นนี่คะ”“ถึงเห็นก็จะบอกว่าไม่เห็น ถึงได้ยินก็จะบอกว่าไม่ได
“ฉันจะยกเลิกการเทคโอเวอร์โรงแรม แล้วมาเทคโอเวอร์เธอแทน โอเคไหม”“…คะ?”สโรชาหน้าแดงก่ำ สองมือเล็กกำกันแน่นเมื่อได้ยินข้อเสนอของเขา ในใจสับสน ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือต้องรู้สึกยังไง“ถ้าไม่สนใจก็กลับไปทำงานซะ วันนี้ฉันต้องเตรียมตัวออกไปข้างนอก” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ ร่างใหญ่เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้โซฟาตัวสีน้ำตาลเข้มตามเดิม สองตาคมจ้องมองมายังร่างน้อยที่ยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็งก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงประตูดังขึ้นเรียกสติร่างน้อยให้กลับคืนมา สโรชาสบตากับเจ้าของร่างใหญ่อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไร เสียงคนที่เปิดประตูเข้ามาก็ดังขึ้น“ท่านอาซิซ เหมือนว่าเราต้องส่งตัวแทนไปแล้วล่ะ…” ภาษาอาหรับดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของคนมาใหม่ ร่างใหญ่เงียบลงแค่นั้นเมื่อเห็นคนแปลกหน้ายืนอยู่ในห้อง เขาจำได้ว่าเมื่อเช้าหญิงสาวที่เข้ามาดูแลเจ้านายไม่ใช่คนนี้ สองตาสีเข้มหันไปสบตากับเจ้านายราวกับต้องการคำตอบ “มีเรื่องอะไร” คนถูกถามด้วยสายตาไม่ยอมตอบแต่เอ่ยถามเรื่องอื่นแทนสโรชายืนมองสองหนุ่มด้วยความประหม่า เธอไม่รู้ว่าควรออกไปหรือต้องอยู่รอคุยกับเขาก่อนดี แต่ที่รู้ตอนนี้คือผู้ชายที่เข้ามาใหม่ม







