๑
ไม่รู้จักกัน
วี้หว่อ วี้หว่อ วี้หว่อ...เสียงไซเรนจากรถหน่วยกู้ภัยดังแทรกเข้ามาในห้วงคำนึงอันริบหรี่ รู้สึกได้ถึงการถูกรุกรานและวุ่นวายจากใครหลายคน ความเจ็บปวดทางร่างกายกำลังผสานเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจที่รวดร้าว หยาดน้ำตาหลั่งรินเฉกเช่นหยาดเลือดที่กำลังทะลักผสมปนเปสายฝนที่พร่างพราย
‘น้อย น้อย!’
เสียงเพรียกดังขรมรอบกาย แต่ยังไม่ชัดเจนเท่าเสียงของใครบางคน ทว่าความเย็นเยียบกำลังปกคลุมร่างกายทุกอณู กลบเสียงของใครคนนั้นให้ค่อยๆ เจือจางและบางเบาไปในอากาศ
‘สัญญากับน้อยนะ ถ้าพี่เธียรไม่รักน้อยแล้ว ขอให้บอกกันตรงๆ อย่าโกหกหรือปิดบัง แค่บอกมาคำเดียว น้อยจะเป็นฝ่ายไปเอง ไม่อยู่ให้พี่เธียรต้องลำบากใจเลยสักนิด...’
เสียงนี้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากข้างใน พร้อมภาพความทรงจำหวานชื่นที่ฉายฉาน จนในที่สุดอนุสติสุดท้ายของหญิงสาวพลันดับวูบลงพร้อมภาพความทรงจำสุดท้ายอันแสนเจ็บปวด
ครืดด...พรึบ!!
สิ้นเสียงครูดเบาๆ แสงแรกของวันพลันสาดสว่างเข้ามาภายในห้อง ไม่นานนักเสียงเคลื่อนไหว เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นราวกับมีใครบางคนกำลังกระซิบกระซาบ
“เธอเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ พอจะบอกได้ไหมคะว่าจะฟื้นตอนไหน”
เสียงเดิมดังขึ้นมาอีกแล้ว น้ำเสียงบอกถึงความกระวนกระวายใจ
“เรื่องนี้ผมยังบอกไม่ได้ครับ อาจจะหนึ่งวันหรือหนึ่งอาทิตย์ก็ได้ แต่ที่น่ายินดีคือตอนนี้เธอพ้นภาวะวิกฤตแล้ว”
เสียงแรกช่างคุ้นเหลือเกิน แต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร จากนั้นเสียงพูดคุยก็เบาลงและเงียบหายไปในที่สุด ถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในความรู้สึกอันลึกลับ ก่อนเข้าสู่ความเวิ้งว้างอีกครั้ง
สามวันต่อมา...
เปลือกตาที่เคยปิดสนิทค่อยๆ ขยับ ไม่กี่วินาทีจึงเปิดขึ้นรับแสงรำไรที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างห้อง ทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากความฝันอันยุ่งเหยิงต้องหลับตาลง ก่อนจะค่อยๆ เปิดตาพร้อมความรู้สึกแปลกประหลาด งุนงงกับทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบห้องสีขาว ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนและสุดท้ายคือกลิ่นสะอาดจากน้ำยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ ที่โชยมาบางๆ
ที่นี่คือที่ไหน ทว่าภาพตรงหน้าพร่ามัวจนไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นที่ใด และสิ่งที่กำลังรับรู้อยู่ในเวลานี้คือความฝันหรือความจริง คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากันพร้อมเปลือกตาที่ปิดลง ริมฝีปากซีดขยับครางอย่างไร้เสียงเมื่อความเจ็บปวดเริ่มสำแดงอาการของมันออกมาจนต้องนอนนิ่งเพื่อบรรเทาความรู้สึกร้าวระบม
ประตูห้องถูกเปิดและปิดลงในเวลาไม่กี่วินาที เสียงพูดคุยไม่ดังนักบอกให้รู้ว่ามากันหลายชีวิต
“เมื่อไรจะฟื้นก็ไม่รู้นะคะ” เสียงของผู้หญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น
“หมอบอกว่าสภาพร่างกายโดยทั่วไปดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานก็คงจะฟื้นจ้ะ”
ครานี้เสียงผู้พูดดูมีอายุ และเป็นเสียงเดียวกับที่หล่อนเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าได้ยินมาจากที่ไหน
เสียงขยับตัวและแรงดันที่เบียดเตียง ทำให้คนที่ยังหลับตาเพราะความมึนงงและร้าวระบมเกิดการรับรู้
“ตื่นได้แล้วโว้ยน้อย แกไม่รู้เหรอว่าพวกเรารอที่จะไปเที่ยวกับแกอยู่ ฉันไม่ยอมให้ทริปนี้ล่มนะเว้ย แต่ถ้าแกไม่ยอมตื่นขึ้นมาจริงๆ ฉันก็จะแบกแกไปทั้งอย่างงี้เลยคอยดูดิ”
ครานี้เป็นเสียงของผู้ชาย ท่าทางของเขาคงจะเป็นคนอารมณ์ดี แต่ก็มีนิสัยติดจะเอาแต่ใจตนเองอยู่ไม่น้อย
คนที่ยังนอนหลับตาได้แต่ขบคิด พวกเขาเป็นใครกัน ทำไมถึงได้พูดจาเสียงดังหนวกหูชะมัด ฝันอีกแล้วเหรอ
เวลานั้นเองที่ร่างสูงในชุดกาวน์สีขาวสะอาดเดินเข้ามา ทุกคนทักทายเขา ชายหนุ่มยิ้มตอบแล้วขยับเข้าไปยืนชิดเตียง พลันดวงตาคมหรี่ลงเมื่อเห็นปฏิกิริยาบนเปลือกตาของผู้ป่วย มันขยับเบาๆ ก่อนคราแรก จากนั้นจึงขยับอีกครั้งอย่างชัดเจน ทันทีที่ปลายนิ้วเรียวยาวขาวสะอาดแตะลงบนข้อมือขาวผ่องของคนไข้ เจ้าของร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงก่อนหน้านี้ก็เริ่มตอบสนอง พร้อมกับเปลือกตาที่ค่อยๆ เปิดขึ้นทีละนิด
ทุกคนเห็นเหมือนกัน ต่างกรูเข้ามาด้วยความยินดีปรีดาจนนางพยาบาลที่ติดตามคุณหมอต้องเอ่ยปากห้าม
“อย่าเพิ่งเบียดเข้ามากันค่ะ ขอให้คุณหมอได้ตรวจคนไข้ก่อนค่ะ”
ทั้งสามคนต่างชะงักงัน และพากันขยับห่างออกไปยืนเรียงหน้ากระดานยังอีกฟากหนึ่งของเตียง มองดูคุณหมอตรวจสภาพของบุคคลอันเป็นที่รักด้วยใจอันจดจ่อที่กำลังเต้นระทึกอยู่ภายในทรวงอก
ทันทีที่ดวงตาคู่สวยเปิดกว้าง ทุกคนต่างร้องอุทานออกมาด้วยความปีติยิ่ง
“น้อย!”
เสียงนั้นคล้ายว่าดังแผ่วเบาก่อนดังขึ้น เช่นเดียวกับแสงพร่าเบลอในคราแรกค่อยๆ ชัดเจนในเวลาต่อมา บุคคลหลายคนกรูเข้ามาหา ข้างๆ ยังมีชายร่างสูงและหญิงสาวที่สวมชุดสีขาวเหมือนกันยืนมอง ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกมึนงง
“สวัสดีครับ”
เสียงทักทายนุ่มทุ้มทำให้คนที่ยังคงไม่ได้สติสมประดีหันมองตามเสียงที่ได้ยิน ก่อนจะหยุดนิ่งที่ใบหน้าขาวของคุณหมอหนุ่ม
“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างครับ”
ผู้ป่วยกะพริบตาปริบๆ ราวกับว่ากำลังประมวลคำถามของเขาอยู่ หลายอึดใจต่อมาจึงค่อยๆ ขยับริมฝีปากเบาๆ
“หิวน้ำค่ะ”
นางพยาบาลรีบนำแก้วน้ำมาส่งให้ผู้ป่วยสาวทันที คุณหมอหนุ่มปรับระดับเตียงจนหญิงสาวสามารถดื่มน้ำได้สะดวก พอดื่มน้ำจนอิ่มจึงกวาดตามองคนที่ยืนข้างเตียงอีกฝั่ง ไล่ไปทีละคนอย่างพินิจพิเคราะห์
สายตาว่างเปล่ามองคนยืนชิดขอบเตียง ทำให้คนเหล่านั้นใจหายวาบ เพราะแววตาที่มองมาเป็นแววตาของคนแปลกหน้าหาใช่ลูกสาวที่รักใคร่และเพื่อนสาวคนสนิท
กลิ่นหอมยวนใจโชยมาพร้อมกับร่างอวบอิ่มของคุณแม่คนสวยที่เดินตรงมาขึ้นเตียงนอน ชายหนุ่มวางเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะข้างเตียงนอนแล้วหันไปหาภรรยาที่สอดตัวเข้ามาภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันพร้อมกับโอบกอดร่างนุ่มเอาไว้ทันที“พร้อมยัง คืนนี้ได้แล้วใช่ไหม”น้ำเสียงทุ้มพร่าที่กระซิบข้างหูพร้อมกับอาการซุกไซ้จนขนกายลุกชันทำให้หญิงสาวเอียงคอหนีพร้อมกับหัวเราะคิกด้วยความจักจี้“ได้ค่ะ แต่ว่าอย่าเพิ่งรุนแรงนักนะ เดี๋ยวจะ...อ๊ะ” หญิงสาวพูดไม่ทันจบ เสียงก็เงียบไปเพราะถูกปล้นจูบจากคนหื่น“ไม่ได้ใส่เสื้อในเหรอ” เขางึมงำอยู่กับอก เมื่อสอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวโคร่งนวิยาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะครางออกมาเมื่อยอดถันสีอ่อนถูกดูดกลืนหลังจากนั้น มือทั้งสองข้างยกขึ้นกอดศีรษะของสามีเอาไว้ อกอวบอิ่มแอ่นยกยามเขารูดเลียปลายยอดและรอบๆ ป้านสีหวาน บางทีก็ขบดูดจนเสียดเสียวไปทั้งตัว ซ่านซ่ายุบยิบทั่วหนังศีรษะ จากนั้นบทรักก็เริ่มเร่าร้อนจนถึงจุดพีกเสียงเนื้อแน่นหนั่นกระทบกระแทกหนักหน่วงเร่าร้อน บั้นท้ายอวบอั๋นถูกฟาดตี เร้าอารมณ์ที่ฟุ้งอยู่แล้วให้ร้อนถึงจุดเดือด เสียงครวญครางที่แผ่วเบาเพราะต้องระวังไม่ให้ลูกน้อยตกใจตื่นดังขึ้นอ
บทส่งท้ายแดดอ่อนๆ ในตอนเย็น พบหญิงสาวแก้มป่องท้องโตหนึ่งอัตรากำลังนั่งเอนหลังอิงอกกว้างของสามีบนผ้าผืนใหญ่พร้อมกับตะกร้าของกินสารพัดอย่างวันนี้อายุครรภ์ของนวิยาย่างเข้าเดือนที่แปด ก่อนที่ เธียรวิชญ์จะหยุดพาหญิงสาวตะลอนทัวร์ ชายหนุ่มก็ตามใจคนท้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะต้องอยู่เหย้าเฝ้าเรือนเพื่อเตรียมตัวคลอดลูก โดยพาเมียรักมาพักผ่อนยังสถานที่ท่องเที่ยวไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ให้ภรรยาได้ผ่อนคลายมากที่สุด ตอนคลอดจะได้คลอดง่ายๆ เพราะนวิยายืนยันว่าจะคลอดด้วยตัวเองไม่ผ่าคลอดเด็ดขาด“น้อยแน่ใจนะว่าไม่ผ่าคลอด” เธียรวิชญ์เอ่ยถามภรรยาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ“แน่ใจค่ะ น้อยอยากมีประสบการณ์ อยากรับรู้ถึงความเจ็บปวดจากการคลอดลูก อีกอย่างเราสองคนแม่ลูกก็แข็งแรงด้วยกันทั้งคู่ เพราะฉะนั้นคลอดเองได้สบายมาก แต่ท้ายที่สุดถ้าถึงตอนนั้นแล้วน้อยไม่ไหว คุณหมอก็คงพิจารณาเองว่าควรจะคลอดเองหรือว่าผ่า พี่เธียรไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”หญิงสาวปลอบใจสามีที่ดูจะค่อนข้างกังวลแทนภรรยามากเกินควรด้วยสีหน้าสบายใจแบบสุดๆ“ก็พี่เป็นห่วงน้อยกับลูก แล้วก็ไม่อยากให้น้อยต้องเจ็บปวดมากด้วย”นวิยาได้ฟังแล้วยิ่งปลื้มใจในตัว
นวิยาแก้มแดงขึ้นไปอีกระดับ กะพริบตาปริบๆ ก่อนถลึงตาใส่เพื่อนรักที่จ้องมองเอาจริงๆ จังๆแต่พอภิมพิมลเห็นใบหน้างดงามเปล่งปลั่งเป็นสีชมพู เรือนร่างอวบอิ่มอรชรผุดผาดบาดตาด้วยออราราศีคุณนายที่เคลือบจับ งดงามเสียยิ่งกว่าก่อนแต่งงาน ความคิดก่อนหน้าก็ค่อยๆ อันตรธานหายไป ความกังวลใจมลายสิ้น“ยังโอเคสิจ๊ะ คนไม่โอเคแบบไหนจะสวยได้ขนาดนี้” ไม่พูดเปล่า แต่นวิยายังยกลำแขนกลมกลึงเปลือยเปล่าอวดผิวพรรณผุดผาดให้เพื่อนได้ยลเต็มตา “พี่เธียรดูแลฉันดีที่สุดเลยจ้ะ พายไม่ต้องห่วงน้อยแล้วนะ ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขายิ่งทะนุถนอมน้อยมากขึ้น”คนเป็นเพื่อนเบ้ปากหมั่นไส้คนอวดผัว“ไม่มีอะไรรุนแรงก็ดีแล้วแหละ” ภิมพิมลเอ่ยอย่างโล่งใจ ก่อนขยับห่างเล็กน้อยแล้วยิ้มกว้าง “อันที่จริงฉันอิจฉาแกมากเลยนะน้อย จากที่ตอนแรกร่อแร่ นึกว่าจะเลิกกันแน่ๆ แต่ก็กลับมาคบกัน แถมมีเรื่องพีกให้ใจหายใจคว่ำเล่นกันทั้งบาง สุดท้ายก็ลงเอยกันได้ ชีวิตแกนี่เหมือนนางเอกในนิยายเลยรู้ไหม”นวิยายิ้มอ่อนขณะสบตาเพื่อน นางเอกอย่างนั้นเหรอ ทวนประโยคนั้นในใจพลางคิดถึง พระเอก ที่หายไปสักพัก แล้วคิดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างเขากับหล่อน อันที่จริงความร้อนแรงของ
นึกย้อนไปเมื่อสักหนึ่งปีก่อน หล่อนกับเขาเกือบจะเลิกกัน แต่พอคิดว่าเคยเลิกรักกันบ้างไหมก็นึกไม่ออก จะมีสักช่วงเวลาไหมที่หล่อนกับเขาหยุดรักกันไปจริงๆ คำตอบที่ได้จากตัวเองคือไม่เคยเลย หล่อนไม่เคยหยุดรักเขาได้สักวินาทีหญิงสาววางมือเรียวลงบนมือใหญ่อบอุ่นที่กอดกุมอยู่ตรงหน้าท้องแบนราบ พลางเอนหลังอิงแนบไปกับแผงอกกำยำของสามีหมาดๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นรักใคร่“ถามอะไรหน่อยสิคะ”คนที่อุทิศอกเป็นพนักอิงให้หญิงสาวเลิกคิ้วสูง“อืม” เขาจูบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มหอมกรุ่นขณะรับคำ“เคยมีสักวันไหม ที่พี่เธียรจะหยุดรักหรือคิดจะเลิกรักน้อย”สิ้นเสียงหวานคนถูกถามเงียบไปนาน จนคนถามชักจะคอแข็ง ชายหนุ่มจึงยิ้มขันแล้วหอมแก้มนุ่มฟอดใหญ่“ก็เคยนะ”คราวนี้ไม่ใช่แค่คอที่แข็ง แต่ตาก็แข็งจัดเมื่อหันขวับมามองเขาตรงๆ คนตอบเลยชักจะร้อนๆ หนาวๆ จึงรีบบอกออกมา“แต่ก็จำไม่ได้ว่าพี่เคยคิดแบบนั้นตอนไหน อาจจะหลายครั้งหลายตอน แต่ก็ไม่เคยจะทำได้เลย อ๊ะๆ อย่าเพิ่งงอนพี่สิครับที่รัก ที่พี่คิดแบบนั้นน้อยก็รู้ว่าเพราะอะไร”น้ำเสียงช่วงท้ายประโยคอ่อนลง เช่นเดียวกับนัยน์ตาคู่งามก็ค่อยๆ อ่อนแสง มือที่วางทับหลังมือใหญ่เปลี่ยนเป็นสอดประสานเ
เมฆหมอกสีขาวขุ่นลอยตัวเป็นลอนริ้วตัดสีเขียวของต้นไม้ทึมทึบลดหลั่นบนยอดทิวเขาสูง บรรยากาศบนภูฉ่ำชื้นด้วยไอเย็นงดงามประหนึ่งภาพวาดจากปลายพู่กัน กาแฟดำร้อนหรือโกโก้อบอุ่นกรุ่นควันจึงเหมาะควรยิ่งในเช้านี้ แต่คนคู่หนึ่งที่ดั้นด้นจากพื้นราบมาสู่ยอดเขาสูงชันกลับนอนอุตุอยู่บนเตียงนุ่มชนิดไม่ยอมกระดิกตัวออกจากผ้าห่มผืนหนา ซบซุกอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันชนิดไม่คิดจะขยับไปไหน“หิวไหม”เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มกระซิบถามชิดแก้มนุ่มของภรรยาสาวเธียรวิชญ์และนวิยาเพิ่งแต่งงานกันได้หนึ่งเดือนหลังจากเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลผ่านพ้นไป เขาเป็นฝ่ายชนะคดี ทำให้อดีตเพื่อนคนนั้นต้องชดเชยเป็นเงินจำนวนมหาศาลและต้องหนีหน้าหายลับไปทันทีที่คดีความสิ้นสุด ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่คิดจะใส่ใจให้เสียเวลา เพราะเมื่อจบเรื่องวุ่นๆ เขาก็ประกาศจัดงานมงคลสมรสกับคนรักอย่างยิ่งใหญ่ไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น เพราะคนที่เขาแคร์มีเพียงนวิยา“หิวนิดๆ แล้ว พี่เธียรล่ะ หิวหรือยัง” หญิงสาวขยับร่างเปลือยขึ้นมานอนเกยร่างหนาอุ่น วางมือทั้งสองบนอกกว้างแล้ววางคางเรียวทับ ดวงตาคู่สวยสบตาคมกริบของสามีสุดที่รักอย่างอ่อนหวานสดใส“หิวแล้ว แต่หิวไม่มากนะ”คนฟังเลิ
ไอ้เธียร มึงนี่เสน่ห์โคตรแรง ขนาดเพื่อนยังไม่เว้นนะมึง ได้กันยังวะ ตัวติดกันอย่างกับลูกโม่กับกระบอกปืนมึงจะบ้าหรือไงวะ กูกับดาวไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย อ้าว ก็พวกกูเห็นมึงตัวติดกันอย่างกับอะไร แถมใครๆ เขาก็ลือกันว่ามึงกับมันคั่วกันอยู่หยุดเลย มึงพูดแบบนี้กูขนลุกว่ะ ชายหนุ่มค้านพลางส่ายหน้า เขาไม่เคยคิดกับพัสดาเกินเพื่อนแต่ดาวมันคิด ใครอีกคนโพล่งออกมา หน้าตาเหมือนเบื่อหน่ายอย่างนั้นแต่รู้ลึกรู้จริงแทบทุกเรื่อง ทั้งหมดหันสายตามาทางเขา จนเธียรวิชญ์เริ่มจะขนลุกขึ้นมาจริงๆไม่หรอก พวกมึงก็รู้ว่ากูไม่เคยคิดแบบนั้นกับดาวมึงจำคืนที่มึงพาน้องวาวไปที่ห้องได้ไหม เพื่อนสนิทเอ่ยถาม เธียรวิชญ์นิ่งคิดก่อนพยักหน้าเออ จำได้ ทำไม...เพื่อนที่นั่งกันอยู่สบตากัน ก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วใครคนหนึ่งก็ตอบให้เขาตาสว่างวันนั้นดาวมันตามพวกมึงไป แต่มึงแม่งเสือกมีอะไรกับน้องวาวแล้วดันไม่ล็อกประตู เพื่อนหยุดเล่าลงแค่นั้น แต่แค่นั้นเธียรวิชญ์ก็นิ่งงัน หน้าเหลอหลาไม่อยากเชื่อมึงอย่าบอกนะว่าดาวแอบดูกูกับวาวอึ๊บกันสิ้นคำถาม พวกมันพากันพยักหน้า จากนั้นก็กลายเป็นเสียงหัวเราะดังประสาน ตอนนั้นเขายอมรับว่า