เสี่ยวถังหยวนมิอาจเข้าใจถ้อยคำ เหลือบตาไปยังมือที่ยื่นออกมาของเจียงซุ่ยฮวน หน้าผากขมวดเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ยื่นซองแดงออกไปเบาๆเจียงซุ่ยฮวนหัวเราะร่า รับซองแดงไว้ในกำมือกล่าวว่า “วางใจได้เถิด แม่จะเก็บรักษาให้เจ้าก่อน จะไม่ให้ใครเอาไปเล่นได้”………ประชาชนในเมืองหลวงฉลองปีใหม่กันอย่างปรีดิ์เปรม เหตุการณ์วุ่นวายราวคลื่นลมเรื่องการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาและองค์หญิงจิ่นเซวียนก็พลันซาลงฝ่าบาทและจีกุ้ยเฟยคิดว่าเรื่องจะสงบได้ กลับไม่ทันข้ามวัน กลับกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่โหมกระหน่ำดุเดือดยิ่งขึ้นไปอีกเหล่าประชาราษฎร์มีความไม่พอใจยิ่งนัก ฮองเฮาคือมารดาของแผ่นดิน ถูกจีกุ้ยเฟยทำร้ายถึงแก่ชีวิต เป็นเหตุการณ์มิอาจให้อภัย พระเจ้าแผ่นดินยังช่วยปกปิดอีก นี่มันเป็นเหตุการณ์ใดเล่าเมืองหลวงนี้มีผู้ชายจำนวนมากที่มีภรรยาสามสี่คน บัดนี้พระเจ้าแผ่นดินเปรียบเสมือนเป็นผู้เปิดทาง ในอนาคตคงมีผู้ชายมากขึ้นเรื่อยๆ ที่รักอนุภรรยามากกว่าภรรยาที่แท้จริงเวลาผ่านไปนาน ความปั่นป่วนใหญ่หลวงคงบังเกิดในแผ่นดินบางส่วนน้อยกลับเห็นด้วย เห็นว่าฮองเฮาทำผิดพลาด จึงสมควรถูกประหารชีวิตทว่าคนเหล่านั้นส่วนใ
บุรุษในภาพเขียนนั้น ดั้งโด่ง ปากบาง คิ้วคมดวงตางดงาม งามล้ำเกินสามัญชน เมื่อแรกเห็น เจียงซุ่ยฮวนก็ดูออกในทันที นั่นคือกู้จิ่นนั่นเองส่วนเหตุที่นางถึงกับนิ่งงันดั่งกลายเป็นรูปปั้น ก็ด้วยเหตุว่ากู้จิ่นในภาพนั้น มิได้สวมอาภรณ์หากจะกล่าวให้ถี่ถ้วน ภาพนั้นแสดงเพียงช่วงร่างเบื้องบนของกู้จิ่น ไหล่กว้าง เอวคอด ผิวซีดขาว มัดกล้ามกระจ่างเป็นระเบียบเจียงซุ่ยฮวนกลืนน้ำลายอย่างเงียบงัน ยอมรับด้วยใจจริงว่า ภาพนี้เขียนได้อย่างยอดเยี่ยม เส้นสายพริ้วไหว รายละเอียดประณีต ชัดเจนว่าผู้วาดย่อมเป็นผู้มีฝีมือสูงส่งฉู่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าภูมิใจยิ่งนัก “ข้าให้ช่างวาดเช่นนี้โดยเฉพาะ อาจเกินจริงอยู่บ้าง แต่ภาพวาดย่อมต้องขับเน้นให้ดูเลิศเลอกว่าความเป็นจริงอยู่แล้ว”เจียงซุ่ยฮวนเม้มริมฝีปาก เอ่ยเบา ๆ ว่า “ไม่เกินจริงเลย”เรือนร่างของกู้จิ่นนั้น แท้จริงดียิ่งกว่าภาพวาดเสียอีกฉู่เฉินได้ยินไม่ถนัด จึงย้อนถาม “เจ้าว่าอย่างไรนะ”เจียงซุ่ยฮวนกระแอมเบา ๆ ก่อนกล่าวว่า “ภาพนี้ ข้าชอบนัก”นางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “อาจารย์ ช่างวาดผู้นั้นชื่ออะไรหรือ”“เป็นช่างวาดชื่อเลื่องลือแห่งเมืองหลวง นามว่าหลินยวน เ
เจียงซุ่ยฮวนยกจอกสุราขึ้นพลางแย้มยิ้มบางเบา กล่าวว่า “ตลอดปีนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทุกท่านล้วนตรากตรำลำบากกันมามากนัก”“ขอให้ปีใหม่นี้ ทุกสิ่งสมปรารถนา มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง! ดื่มหมดจอก!”ผู้คนรอบข้างต่างก็ยกจอกสุราขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เอ่ยอย่างเบิกบานว่า “หมดจอก!”เสี่ยวถังหยวนที่นอนอยู่ในเปล เมื่อเห็นท่าทางของทุกคน ก็เลียนแบบด้วยความน่ารัก คว้ากระดิ่งยกขึ้นมาทุกคนหัวเราะชอบใจ เจียงซุ่ยฮวนยื่นจอกสุราไปแตะเบา ๆ กับกระดิ่งในมือเสี่ยวถังหยวน“เสี่ยวถังหยวนต้องเติบโตอย่างราบรื่น กลายเป็นบุรุษผู้ประเสริฐในภายหน้า”นางเอ่ยคำอวยพรอย่างแผ่วเบา เสี่ยวถังหยวนหัวเราะคิกคัก สั่นกระดิ่งในมือเบา ๆจากนั้น เจียงซุ่ยฮวนแจกซองแดงให้ทุกผู้คน “วันนี้เป็นคืนสิ้นปี หากกินข้าวเสร็จแล้ว ผู้ใดอยากอยู่เฝ้าปีใหม่ก็อยู่เฝ้าเถิด ผู้ใดอยากพักผ่อนก็ไปนอน”“พรุ่งนี้ข้าจะให้วันหยุดหนึ่งวัน ใครจะไปที่ใดหรือทำสิ่งใดก็แล้วแต่ใจ”หยิ่งเถาและหงหลัวกล่าวทันทีว่า “พวกเราจะไม่ไปที่ใด ขออยู่เคียงข้างคุณหนู”ส่วนผู้ติดตามทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องเอ่ย เพราะหน้าที่คือคุ้มครองความปลอดภัยให้เจียงซุ่ยฮวน แม้มีวันหย
“ไม่ได้! อาจารย์ตัดใจจากมันไม่ได้เลย!” ฉู่เฉินโอบขาเตียงไว้แน่น “ข้ากับเตียงนี้ ชะรอยมีบุพเพสันนิวาสแต่ปางก่อน ยามแรกเห็นก็รู้สึกลุ่มหลงโดยมิต้องใช้เหตุผล”“……” เจียงซุ่ยฮวนคลายมือลง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ในเมื่ออาจารย์ชอบมันถึงเพียงนี้ ข้าก็มิขัดข้องหากจะจัดพิธีวิวาห์ให้เจ้าทั้งคู่”“เตียงนั้นยกให้ท่าน ส่วนเงินของขวัญวิวาห์ ข้าขอเก็บไว้เป็นของขวัญดีหรือไม่”ฉู่เฉินส่ายหน้า “มิได้ๆ ความชอบเป็นเรื่องหนึ่ง การแต่งงานเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมยังไม่รีบปล่อยมืออีก” เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วถามฉู่เฉินละมือทันใด “ก็ได้ ขนมันเข้าไปในห้องเถิด”เจียงซุ่ยฮวนส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ “อาจารย์ ห้องที่ถูกเพลิงผลาญก่อนหน้านั้น เดิมทีก็เป็นของท่าน”“บัดนี้ ข้ายกห้องนี้คืนให้ท่าน จนกว่าท่านจะออกจากเมืองหลวง”ฉู่เฉินเบิกตากว้าง “ห้องนี้เป็นห้องใหม่ เจ้าไม่อยู่เองหรือ”“เรื่องนั้นค่อยว่ากันภายหลัง ข้าพอใจห้องเดิม”“ขอบใจมาก เจ้าเก้า!” ฉู่เฉินดีใจยิ่งนัก กระโดดโลดเต้น กลับไปเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วราวสายลม แล้วขนเข้าห้องใหม่ในพริบตายวี่จี๋ก้าวออกมาอย่างลนลาน “คุณหนู ห้องยังมิท
แม้ว่าเจ้าเถี่ยหนิวจะเป็นใบ้ แต่โสตประสาทนั้นกลับไวเป็นพิเศษ เขาหันกลับมาอย่างงุนงง รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่ทันจางหายเจียงซุ่ยฮวนโบกมือเรียก “เจ้ามานี่สิ ข้าจะตรวจคอให้เจ้า”เถี่ยหนิวยืนนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับถูกสะกดวิญญาณ“ปัดโธ่ เจ้ายังยืนตะลึงอยู่ไยเล่า!” เถี่ยจู้ร้อนใจถึงขั้นย่ำเท้า “เจ้านี่โชคดีนักที่ได้พบคนมีบุญคุณ ไยจึงยังไม่รีบมาอีก!”เถี่ยหนิวเพิ่งได้สติ จึงก้าวเท้าอันแข็งแรงเข้ามาหาเจียงซุ่ยฮวน แล้วรีบใช้มือแสดงภาษาท่าทางอย่างว่องไวเถี่ยจู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นแล้วถึงกับตาลาย รีบแปลความหมายว่า “ตอนเด็กเขาเคยป่วยหนักจนพิษไข้ทำลายเส้นเสียง ต่อมาแม้ว่าไปพบหมอมาหลายคน ก็ล้วนส่ายหน้าไม่อาจเยียวยาได้”เจียงซุ่ยฮวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากเป็นมาแต่กำเนิดก็ยากจะรักษา แต่ของเจ้าเป็นเพราะโรคภัยทำลายลำคอ เช่นนี้น่าจะยังพอมีหวัง”“ก่อนอื่น อ้าปากกว้าง ๆ ให้ข้าดูหน่อย”เถี่ยหนิวเชื่อฟัง อ้าปากออก เจียงซุ่ยฮวนจึงสังเกตลำคอของเขา เมื่อดูแล้วก็มีความเข้าใจคร่าว ๆ ในใจเส้นเสียงของเขาถูกทำลายอย่างรุนแรง โชคยังดีที่มิได้เสียหายทั้งหมด ยังพอมีโอกาสฟื้นคืน“เจ้าพูดไม่ได้สักคำใช่หรือไ
“ข้าดื่มพอแล้ว ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” เจียงซุ่ยฮวนวางจอกน้ำชาในมือลง แล้วออกเดินไปข้างนอกนางเดินไปยังชายคา แหงนหน้าขึ้นทอดมองเบื้องบนแดดในวันนี้แจ่มใส ท้องฟ้าสีครามปราศจากกลุ่มเมฆ สายลมพัดแผ่วเบานอกกำแพงเรือนมีต้นหลิวต้นหนึ่ง กิ่งก้านของมันเอนไหวตามแรงลม แผ่พาดอยู่บนขอบกำแพงสองสามกิ่ง พลางมีหน่ออ่อนสีเขียวอ่อนผลิแทรกขึ้นมา“ฤดูใบไม้ผลิคงใกล้จะมาถึงแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจแผ่วเบา “วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน”ผ่านไปเพียงสองวัน นางก็คิดตกได้ไม่น้อยการจากกันในยามนี้ ก็เพื่อวันข้างหน้าจะได้อยู่ร่วมกับกู้จิ่นอย่างราบรื่นมิใช่หรือสายลมอ่อนพัดโบกต้องใบหน้า นางจึงค่อย ๆ หลับตาลง ซึมซับความรู้สึกของห้วงยามนี้อย่างเงียบงัน“คุณหนู ท่านทำสิ่งใดอยู่หรือ”เสียงของเถี่ยจู้ดังขึ้นข้างกาย เจียงซุ่ยฮวนลืมตาขึ้น รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า “มิได้มีสิ่งใด วันนี้อากาศดี ข้าเพียงมายืนเล่นสักครู่”นางหันศีรษะไปมองเขา “มีเรื่องใดหรือ”เถี่ยจู้หัวเราะแหะ ๆ “พวกข้าทำงานเสร็จสิ้นแล้ว ขอเชิญคุณหนูไปตรวจดูเถิด”ช่างฝีมือทั้งหลายนั้นมาทำงานอยู่ที่นี่หลายวัน ทุกวันมาตั้งแต่ฟ้ายั