เจียงซุ่ยฮวนมองกงซุนซวี ราวกับมองของร้อนที่จับถือไม่ได้ การให้กงซุนซวีอยู่ที่นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หากครอบครัวของเขารู้เข้า แล้วแจ้งทางการว่านางลักพาตัวคุณชายบุตรขุนนาง นางจะทำอย่างไร? นางไม่อยากมีเรื่องยุ่งยากเช่นนี้เลย เห็นสีหน้าดื้อรั้นของกงซุนซวี เจียงซุ่ยฮวนจึงถามอย่างหมดปัญญา "ต่อจากนี้เจ้าจะไปไหน?" กงซุนซวีกำมือแน่น ถาม "พี่เจียง พี่จะรับข้าไว้สักไม่กี่วันได้ไหม?" เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะปฏิเสธ กงซุนซวีก็รีบพูด "มากสุดสิบวัน อีกสิบวันแม่ทัพฉีหยวนจะกลับจากชายแดน ตอนนั้นทหารของเขาจะรับสมัครทหารที่ประตูเมือง ข้าจะปลอมตัวไปสมัคร ไม่สร้างความยุ่งยากให้พี่แน่นอน" "แม่ทัพฉีหยวนจะกลับมาในอีกสิบวัน?" เจียงซุ่ยฮวนทวนเบาๆ ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แม่ทัพฉีหยวนไม่ใช่คนอื่น คือเจียงอวี๋ พี่ชายแท้ๆ ของร่างเดิม บุตรชายคนเดียวของอ๋องหย่งหนิง เจียงอวี๋เก่งกาจในการรบ ได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพฉีหยวน คอยรักษาการณ์ที่ชายแดนตลอด แทบไม่ค่อยกลับเมืองหลวง หากเจียงซุ่ยฮวนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา คงจะคิดว่าเขาเป็นวีรบุรุษ แต่เจียงซุ่ยฮวนมีความทรงจำของร่างเดิม จึงไม่ได้ชื่นชมเขา กลับรู้สึกดูแคลน
"แม้เจ้าจะปิดบังอายุแอบเข้าไปได้ แต่การฝึกในค่ายทหารหนักหนา สภาพความเป็นอยู่ก็ลำบาก เจ้าจะทนความยากลำบากได้หรือ?" เมื่อกงซุนซวีฟังจบ ดวงตาราวกับลุกโชนด้วยไฟแรงกล้า พยักหน้าแรงๆ พูดว่า "ข้าทนได้!" "..." เจียงซุ่ยฮวนตั้งใจจะพูดให้เขาถอย แต่ไม่คิดว่าพูดไปมากมาย กลับยิ่งทำให้เขามุ่งมั่นขึ้น "ไม่ใช่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าเป็นถึงบุตรชายท่านไท่เว่ย การสร้างความดีความชอบสำหรับเจ้าง่ายดายที่สุด เหตุใดต้องไปสมัครทหารด้วย?" ที่เจียงซุ่ยฮวนไม่อยากให้เขาสมัครทหาร เพราะในสนามรบเต็มไปด้วยอันตราย และเขายังอายุน้อยนัก หากเกิดเรื่องขึ้น บิดามารดาของเขาจะเจ็บปวดเพียงใด น้องชายของเขา กงซุนหลานชิง เพียงแค่เป็นลมแดด ฮูหยินหลี่ผู้เป็นมารดาก็เป็นห่วงจนทำอะไรไม่ถูก หากเขาตายในสนามรบ ฮูหยินหลี่คงร้องไห้ตายแน่ ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นหลานชายของกู้จิ่น หากเขาตาย กู้จิ่นก็คงเจ็บปวดใจเช่นกัน เมื่อได้ยินคำว่าไท่เว่ย สีหน้ากงซุนซวีก็เปลี่ยนไปมาก เขาคำรามเสียงต่ำ "อย่าพูดอีกว่าข้าเป็นบุตรชายไท่เว่ย ข้าตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาแล้ว!" เสียงของเขาแหบแห้ง หากฟังดีๆ จะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ เจียงซุ่ยฮวนตกใจใ
กงซุนซวีจ้องพื้นด้วยดวงตาไร้ประกาย พึมพำ "ข้าบังเอิญได้ยินเขาคุยกับมารดาข้า ที่แท้พิษในร่างข้า เป็นเขาป้อนให้ข้าตั้งแต่เพิ่งเกิด" เจียงซุ่ยฮวนตกตะลึง ท่านไท่เว่ยเป็นบิดาแท้ๆ ของกงซุนซวี จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? กงซุนซวีหัวเราะเยาะตัวเอง "แปลกประหลาดใช่ไหม? ข้าก็คิดเช่นกัน หลายปีมานี้เขาดีกับข้ามาตลอด ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพิษที่ข้าได้รับกลับเป็นเขาเป็นคนวาง!" "ทุกครั้งที่ข้าปวดหัวจนทนไม่ไหว เขาก็ดูทรมานมาก ข้าคิดว่าเขาสงสารข้า คิดดูตอนนี้คงแค่รู้สึกผิดเท่านั้น" กงซุนซวีพูดพลางส่ายหน้า "ไม่ เขาคงไม่รู้สึกผิดหรอก มิเช่นนั้นทำไมไม่บอกความจริงกับข้า? แม้แต่มารดาข้า ก็โกหกว่าคนวางยาพิษฆ่าตัวตายแล้ว ที่แท้นางรู้มาตลอดว่าคนวางยาพิษเป็นใคร!" เห็นกงซุนซวีท่าทางสิ้นหวัง เจียงซุ่ยฮวนยังไม่กล้าเชื่อ คาดเดาว่า "เจ้าอาจจะฟังผิดหรือไม่?" "ไม่ใช่" กงซุนซวีส่ายหน้า "ข้ายืนฟังที่หน้าประตูชัดเจน จึงผลักประตูเข้าไปถามพวกเขา พวกเขาไม่เพียงยอมรับ ยังบอกเหตุผลด้วย" "เหตุผลคืออะไร?" เจียงซุ่ยฮวนคิดไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรจะทำให้ท่านไท่เว่ยวางยาพิษบุตรแท้ๆ รอยยิ้มของกงซุนซวียิ่งขมขื่น "ท่านไท่เว่ยบอกว่าว
จางรั่วรั่วยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า "หม่อมฉันสนุกสนานกับการแข่งขันล่าสัตว์เสียจนลืมตัว จับสัตว์ได้เพียงไม่กี่ตัว ท่านพ่อจึงลงโทษให้กวาดลานเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อขัดเกลาจิตใจ" วิธีสั่งสอนของท่านอาจารย์จางช่างแปลกประหลาดนัก เจียงซุ่ยฮวนมองไม้กวาดในมือนาง ก่อนเอ่ยอย่างลังเล "เจ้าจะกวาดให้เสร็จก่อนหรือไม่ แล้วข้าค่อยบอกจุดประสงค์ที่มา" "ไม่ต้องหรอก เจ้าบอกมาเถิด" นางพิงแขนบนด้ามไม้กวาด "อีกอย่าง ท่านพ่อก็มิได้บอกว่าต้องกวาดนานเท่าใด ข้ากวาดมาหนึ่งชั่วยามแล้ว พักได้แล้ว" เจียงซุ่ยฮวนจึงเอ่ยถาม "วันที่เจ้าลืมตาดูโลก มีพรตเต๋าผู้หนึ่งนามว่าเหยียนซวีมาที่จวนท่านอาจารย์หรือไม่" "พรตเต๋าเหยียนซวี?" จางรั่วรั่วเกาศีรษะ "ฟังดูคุ้นหูอยู่" เจียงซุ่ยฮวนกระซิบเตือน "เขาเป็นเต๋าที่ปากร้ายนัก ไม่เคยมีคำดีสักคำ" "อ๋อ! นึกออกแล้ว!" จางรั่วรั่วตบมือหนึ่งที ไม้กวาดเอียงไปด้านข้าง นางรีบยื่นมือประคองไม้กวาดให้ตั้งตรง แล้วเอ่ยว่า "ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง วันที่ข้าเกิด มีเต๋าผู้หนึ่งวิ่งมาที่จวน บอกว่าชะตาข้าต่ำช้า นอกจากตัวเองจะไม่เป็นสุขแล้ว ยังจะนำความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวอีกด้วย" "ยิ่งไปกว่านั้น
ณ แคว้นต้าเหยียน ลิ้นจี่นับเป็นผลไม้หายากยิ่ง สงวนไว้เพียงเพื่อราชวงศ์เท่านั้น เมื่อหลายปีก่อน ฮ่องเต้พระราชทานลิ้นจี่หนึ่งพวงแก่ท่านอาจารย์จาง เมื่อจางรั่วรั่วได้ลิ้มรสแล้วก็ชื่นชอบนักหนา จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่อาจลืมรสชาติอันเลอค่านั้นได้ วันนี้นางได้ลิ้มรสยาบำรุงแล้วจึงรู้ว่า ในโลกนี้ยังมียาบำรุงรสลิ้นจี่อีกด้วย จางรั่วรั่วอุ้มขวดยาบำรุงสองขวดไว้ราวกับสมบัติล้ำค่า กล่าวด้วยความซาบซึ้งว่า "หมอเจียง ท่านมอบของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ให้ข้า ข้าช่างไม่รู้จะกล่าวขอบคุณเช่นไรดี" "ท่านนั่งรอที่นี่เถิด ข้าจะไปสั่งให้พ่อครัวนำปลิงทะเลและหูฉลามชั้นเลิศมาปรุงอาหาร! วันนี้ต้องต้อนรับท่านให้สมเกียรติ!" แม้ว่าแคว้นต้าเหยียนจะติดทะเล แต่เมืองหลวงนั้นอยู่ห่างไกลจากทะเลนัก การขนส่งอาหารทะเลนั้นยากลำบาก จำต้องตากแห้งก่อนส่งเข้าเมืองหลวง แม้แต่ขุนนางใหญ่อย่างท่านอาจารย์จางก็ยังได้รับแบ่งปันเพียงปีละสองห่อเล็กๆ สำหรับต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเท่านั้น ความทรงจำพลันผุดขึ้นในห้วงคำนึงของเจียงซุ่ยฮวน เมื่อครั้งร่างเดิมอยู่ในจวนอ๋อง ทุกครั้งที่มีอาหารทะเลบนโต๊ะ ฮูหยินจะคีบใส่ชามของเจียงเม่ยเอ๋อร์ โดยอ้างว่านางร
"อะแฮ่ม ๆ!" ท่านอาจารย์จางไอสองที "เรื่องมีอยู่ว่า พวกเราอยากให้รั่วรั่วมีน้องชายหรือน้องสาว แต่กลับไม่อาจตั้งครรภ์ได้ จึงอยากให้เจ้าตรวจดูว่าเป็นเพราะข้าหรือฮูหยิน แล้วช่วยบำรุงรักษาด้วย" เจียงซุ่ยฮวนเข้าใจกระจ่าง น่าแปลกที่ทั้งสองมีท่าทีผิดปกติ ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้ ทั้งคู่ดูอายุไม่ถึงสี่สิบปี การอยากมีบุตรอีกคนก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล เจียงซุ่ยฮวนจึงรับปากทันที "ไม่มีปัญหา" "ดีจริงๆ เลย" ฮูหยินยัดกล่องไม้ใส่มือเจียงซุ่ยฮวน "เจ้ารับไว้ก่อน อีกไม่กี่วันพวกเราจะไปหาที่จวนเจ้า" เจียงซุ่ยฮวนเก็บกล่องไม้แล้วเงยหน้าขึ้นกล่าว "ไม่ต้องรออีกหลายวัน ข้าตรวจให้ได้เดี๋ยวนี้" "ไม่ได้ ไม่ได้ ตอนนี้ไม่ได้" ฮูหยินรีบส่ายหน้า กำลังจะอธิบาย ท่านอาจารย์จางก็สะกิดแขนนางเบาๆ นางเปลี่ยนสีหน้าในทันที ยิ้มตาหยีพลางกล่าว "หมอเจียง สตรีสาวอย่างเจ้าอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากพบความยากลำบากในการดำรงชีวิต ก็มาหาพวกเราที่จวนท่านอาจารย์ได้ทุกเมื่อ" "?" เจียงซุ่ยฮวนงงงัน ไม่ใช่พวกเขาที่ต้องการความช่วยเหลือจากนางหรอกหรือ ทำไมกลับกลายเป็นนางที่ลำบากไปเสียได้ จางรั่วรั่วเดินเข้ามาจากนอกประตู
หลังรับประทานอาหารเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนนั่งรถม้ากลับบ้าน เพิ่งลงจากรถ หยิ่งเถาก็รีบเข้ามาต้อนรับ "คุณหนู ทำไมเพิ่งกลับมาเจ้าคะ?" "เพิ่งรับประทานอาหารค่ำที่จวนท่านอาจารย์จางมา" เจียงซุ่ยฮวนส่งเห็ดถังแตะที่ถือมาให้ "นำไปที่ครัว บอกจางอวิ๋นให้ต้มซุปไก่พรุ่งนี้" หยิ่งเถารับเห็ดมา กล่าวว่า "คุณหนู คุณหนูว่านเพิ่งมาหาท่าน หม่อมฉันบอกว่าท่านออกไปข้างนอก ให้นางมาใหม่พรุ่งนี้" เจียงซุ่ยฮวนรู้ว่าว่านเมิ่งเยียนคงได้ยินข่าวการสิ้นสุดการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง จึงตั้งใจมาหานาง นางก้าวเข้าห้อง "ข้าจะพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ว่านเมิ่งเยียนมาค่อยเรียกข้า" จากบ้านมาหลายวัน นางคิดถึงเตียงของตนเองมาก จำเป็นต้องนอนพักให้เต็มที่ "อ้อใช่" นางหยุดฝีก้าว "จัดห้องให้ชุนเถาเรียบร้อยแล้วหรือ?" "เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ อยู่ติดกับห้องของหม่อมฉันกับหงหลัว นางพอใจมาก" "พวกเจ้าอยู่ด้วยกันราบรื่นดีหรือ?" "ราบรื่นดีเจ้าค่ะ โดยเฉพาะป้าจางอวิ๋น ชอบนางมากทีเดียว" หยิ่งเถายิ้ม "อาหารทุกจานที่ป้าจางอวิ๋นทำ นางบอกว่าอร่อยทั้งหมด สุดท้ายยังกินจนหมดเกลี้ยง แม้แต่น้ำแกงก็ไม่เหลือ" มุมปากเจียงซุ่ยฮวนยกขึ้นเล็กน้อย ถามต่อว่
คำพูดนี้เป็นเรื่องเท็จอย่างแน่นอน เจียงซุ่ยฮวนไม่เพียงมองออกถึงความรู้สึกของกู้จิ่น แต่นางเองก็รู้สึกหวั่นไหวต่อเขา เช่นยามนี้ กู้จิ่นอยู่ใกล้นางเหลือเกิน นางถึงกับได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้น "ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!" แต่นางไม่อาจตอบรับความรู้สึกของกู้จิ่น ไม่เพียงเพราะฐานะที่ห่างกันเกินไป สำคัญกว่านั้นคือในท้องนางยังมีทารก และกู้จิ่นก็ไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อกู้จิ่นได้ยินคำตอบของเจียงซุ่ยฮวน เขาก้มตัวเข้าใกล้นางมากขึ้น นางหลับตาแน่น ขนตายาวดกดำสั่นไหวเบาๆ ถึงกับได้ยินเสียงลมหายใจเร่งรีบของกู้จิ่น ราวกับกำลังอดกลั้นบางสิ่ง กู้จิ่นอยู่ข้างนอกมานานเท่าใดไม่ทราบ ลมหายใจที่เป่าออกมามีไอเย็นบางเบา ผมที่ขมับของนางสั่นไหวในลมหายใจนั้น เช่นเดียวกับหัวใจของนางในยามนี้ "ได้" กู้จิ่นเอ่ยอีกครั้ง เสียงทุ้มต่ำลงกว่าเดิม "เมื่อเจ้ามองไม่ออก ข้าก็จะบอกตรงๆ" "อาฮวน ข้าชอบเจ้า" เจียงซุ่ยฮวนลืมตาขึ้นทันที วินาถัดมาก็สบเข้ากับสายตาของกู้จิ่น แววตาของเขาอ่อนโยนลึกล้ำ นางแทบจะจมดิ่งลงไปในนั้น กู้จิ่นแสดงท่าทีประหม่าต่อหน้านางเป็นครั้งแรก ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ก่อนถามว่า "เจ้ายินดีเป็นชายา
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช