บทที่ 5 ไม่ได้อยากชนะ
คนที่เจ็บหัวใจถึงกับแค่นยิ้มออกมาหลังหลงเหลือเพียงแค่ตนเอง ส่วนเขาเดินไวๆ ขึ้นห้องไปแล้ว มือนั้นออกอาการสั่นเล็กน้อย เธออยากจะยกมันฟาดหน้าคนปากสุนัขจริงๆ แต่ทำไปคงไร้ประโยชน์ แล้วขยับตัวเดินตรงไปยังห้องนอน เพราะคิดถึงลูกสาวจะแย่อยู่แล้ว
“ไงจ๊ะ เด็กดีของแม่”
เสียงนุ่มละมุนเอ่ยทักทายยัยตัวเล็กที่รับเข้าสู่อ้อมกอด
“คิดถึงแม่ไหมคะ”
ปรีดิทาตั้งคำถามกับปราณปรียาที่มองเธอตาแป๋ว แล้วได้ยินเสียงอ้อแอ้ตอบกลับมา หัวใจของคนเป็นแม่จึงชื่นขึ้นหลังแห้งกร้านจนเกือบจะแตกระแหงเหมือนพื้นดินที่ขาดน้ำ
“อ้าว ง่วงอีกแล้วหรือคะหนูปราณ”
อุ้มได้ไม่นานเท่าไรปราณปรียาก็หาวและปรือตา ปรีดิทาจึงร้องเพลงกล่อมเบาๆ พร้อมโยกตัวไปมาราวสิบนาทีเห็นจะได้ร่างนุ่มนิ่มก็หลับสนิทไป มือเรียวบางวางแกลงบนที่นอน ทิ้งตัวลงนั่งเฝ้ามองแกอย่างมีความสุขอยู่หลายนาทีกว่าจะขยับตัวไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่อยากอยู่ในตัวตนของลลิษานานนัก
ไม่นานเท่าไรหญิงสาวก็เดินออกมาพร้อมกับมีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดอยู่บนไหล่ ใช้มันเช็ดผมให้แห้ง พอเสร็จก็ไปประจำตรงโต๊ะหนังสือที่มีโน้ตบุ๊กวางไว้
สายตากลมโตมองเลือกหนังสือที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน เธอก็ชอบอ่านหนังสือไม่ต่างจากเขา มือนั้นกดเปิดโน้ตบุ๊กด้วย เพราะเธอก็ยังต้องหาข้อมูลบางอย่างที่สำคัญ จมอยู่กับสิ่งที่ต้องการค้นหาได้ไม่นาน ดวงหน้าหวานก็ต้องหันขวับไปมองด้านหลัง เพราะได้ยินเสียงหน้าประตูห้อง
แค่อึดใจเดียวกลีบปากด้านล่างก็ต้องเม้มแน่น เมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามาในห้องของเธออย่างถือวิสาสะ ไม่ขอ แต่กลับใช้กุญแจที่เขาถือไว้ในมือไขเข้ามา จึงเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ลืมปากไว้ที่งานหรือไงคะ”
ปรีดิทามีสายตาต่อว่า แม้เธอจะเป็นผู้อาศัย แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาภายในห้องนี้โดยไม่เอ่ยขอ
ทิวัตถ์แค่เอียงคอรับฟัง ก่อนจะได้ยินคำถามอีก
“คุณมีอะไรหรือคะ แต่โปรดว่าเราไปคุยกันข้างนอกเถอะค่ะ ลูกของโปรดหลับอยู่”
หญิงสาวเบือนหน้าไปมองลูกสาวเล็กน้อย ไม่อยากให้เสียงของเธอกับเขาไปรบกวนแก ทว่าผู้รับฟังหาได้ใส่ใจกลับก้าวเดินลึกเข้ามาภายในห้อง จนไปหยุดอยู่ตรงเตียงนอน
“จะทำอะไรกันคะ” ปรีดิทาขยับตัวไปใกล้เตียงเช่นกัน ท่าทางนั้นราวกับจะปกป้องแก้วตาดวงใจ ทิวัตถ์จึงแค่นยิ้มแล้วโยนคำถามไปบ้าง
“เข้าใกล้ไม่ได้?” ชายหนุ่มตั้งคำถาม
“คุณก็ไม่ได้อยากจะเข้าใกล้แกอยู่แล้ว”
“รู้ดี”
ทิวัตถ์เอ่ยคำชม
“ค่ะ” เธอน้อมรับคำประชดประชันที่ไม่ต่างจากมีดคมๆ แล้วเอ่ยเสียงจริงจังอีกครั้ง
“ช่วยขยับมาห่างๆ แกด้วยค่ะ”
เมื่อเขาไม่อยากใกล้ ไม่ได้เห็นลูกอยู่ในสายตาก็ไม่มีประโยชน์ที่จะยืนอยู่ตรงนั้น
“ได้” ทิวัตถ์ดึงตาไปมองคนขี้หวง แล้วทำตามที่เจ้าตัวต้องการ มุมปากค่อยๆ เผยยิ้มร้ายเมื่อขายาวๆ ก้าวตรงไปหาหญิงสาว
หัวใจดวงเล็กออกอาการเต้นไว สายตาคู่นั้นคล้ายมีเลศนัย แถมเขายังไม่เลิกเดินรุกเข้ามาหา จนเธอต้องเดินถอยหนีไปติดกับโต๊ะหนังสือ หนำซ้ำเขายังโน้มตัวมาใกล้ให้เธอมองตาขวาง ไม่ทันจะได้เอ่ยปาก มือแกร่งก็เอื้อมมือไปหยิบบางอย่าง ส่วนเธอนั้นพลิกตัวไปกดปิดโน้ตบุ๊กของตัวเองโดยพลัน
“ซ่อนอะไรไว้” ทิวัตถ์เหลือบตาไปมองโน้ตบุ๊ก ท่าทางของปรีดิทาบอกชัดว่ากำลังทำบางอย่างที่ไม่อยากให้เขารับรู้
หญิงสาวไม่ตอบ แต่เธอไม่ได้ซ่อน เธอกำลังหาต่างหาก หาที่ที่อำนาจของหยางจินไปไม่ถึง และหาคนที่จะมางัดข้อกับหยางจิน เธอเชื่อว่าต้องมีสักคน อาจจะหลายคนด้วย
“สอนพิเศษ” ทิวัตถ์ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ตาดึงกลับไปมองหนังสือคู่มือการเรียนที่วางตั้งอยู่หลายเล่ม รวมถึงในมือของเขาด้วย แต่เล่มนี้พิเศษกว่าเล่มอื่น
“ค่ะ โปรดสอนพิเศษ”
หญิงสาวยอมรับ
“ยังอ่านมันอยู่” ในมือเขาเป็นหนังสือเกี่ยวกับการผ่าตัด ที่มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้
“แปลกตรงไหนคะ ถ้าโปรดจะหาความรู้ให้ตัวเอง” เธอว่าแล้วเก็บอาการกลัดหนองไว้ในอก แค่นึกถึงการเป็นหมอ ความเศร้า ความคิดถึงก็ลอยวน พลางเงยหน้าขึ้นไปจ้องตาคนที่ยอมถอยห่างออกไปเสียที
“พูดธุระของคุณมาเถอะค่ะ”
“อยาก” มันเป็นคำสั้นๆ ที่ทิวัตถ์เห็นชัดถึงสีหน้าไม่พอใจของคนตรงหน้า
“กลายเป็นสัตว์ที่ไม่มีความยับยั้งไปแล้วหรือไงคะ” ไม่นึกว่าเขาจะพูดเช่นนั้นออกมา สายตามีความผิดหวังปรากฏ ส่วนคนปากร้ายบิดปาก แล้วถามซ้ำ
“ไม่ได้?”
สีหน้าของชายหนุ่มกวนประสาทไม่น้อย ราวกับจงใจจะกวนน้ำให้ขุ่น
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”