บทนำ
“ไปโดนอะไรมาคะ”
เสียงของนางพยาบาลดังขึ้นพร้อมปรี่เข้าไปช่วยจับร่างของว่าที่คุณแม่ โดยมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ช่วยประคองเข้ามาหน้าห้องฉุกเฉิน
“เท้าเหยียบเศษแก้วมาค่ะ” หญิงสาวที่มาพร้อมกับอาการเจ็บและกลิ่นคาวของเลือดที่ฝ่าเท้าเอ่ยตอบ หน้าก้มต่ำไปมองรอยบาดแผล สิ่งที่ปะทะกับสายตาคู่ที่มีความกังวลนิดๆ เป็นหน้าท้องที่ยื่นนูนด้วยอายุครรภ์ที่ใกล้คลอดเต็มที ถ้าเป็นแต่ก่อนแค่แผลเล็กน้อย เธอสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่อาจทำได้
“คุณหมอออกเวรไปหรือยังแหวน” นางพยาบาลคนหนึ่งหันไปเอ่ยถามกับรุ่นน้องที่ทำหน้าที่อยู่คู่กัน ดวงตาดึงไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงเคาน์เตอร์
“กำลังจะออกเวรแล้วค่ะ”
“แล้วหมอนัทมาหรือยัง” เมื่อได้คำตอบ คำถามต่อมาก็ดังขึ้น
“ยังค่ะ” พยาบาลรุ่นน้องเอ่ยบอกพร้อมขยับตัวไปช่วยประคองว่าที่คุณแม่ขึ้นเตียง สายตาสังเกตบาดแผลเบื้องต้น
“งั้นไปตามหมอไท่กลับมาก่อน”
“ค่ะ”
พยาบาลรุ่นน้องรีบปลีกตัวไปยังห้องพักของคุณหมอคนดังกล่าว ด้านคนที่ทำหน้าที่มานานนั่งยองๆ ลงดูรอยแผลอีกรอบ ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้ร้ายแรง แค่ทำแผลก็เพียงพอ ไม่ต้องถึงขั้นเย็บ จังหวะหนึ่งก็เงยหน้าไปมองคนเจ็บราวกับคุ้นหน้า เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ฝ่ายว่าที่คุณแม่บนเตียงเม้มปากเข้าหากันแน่นด้วยความตกใจผสมไปด้วยความรู้สึกแปลบปลาบในอก เพราะชื่อของบางคนหลุดเข้ามากระทบใจ ส่วนนางพยาบาลใหม่เอี่ยมผลักประตูห้องให้เปิดกว้างหลังได้รับคำอนุญาต
“หมอไท่คะ มีเคสค่ะ คนท้องเหยียบเศษแก้วมาค่ะ”
“ครับ”
หมอไท่หรือทิวัตถ์ตอบกลับด้วยท่าทางนิ่งเรียบ มือที่กำลังเอื้อมไปหยิบสมาร์ตโฟนเปลี่ยนไปหยิบชุดกาวน์มาสวมใส่แทน
นางพยาบาลที่นำสารมาแจ้งถอยร่นเปิดทางให้คุณหมอ สองเท้าก้าวตามหลังไป แต่ก็ไม่วายลอบมองใบหน้าที่มีความหล่อเหลาโดดเด่น มาพร้อมกับผิวที่ขาวละเอียด ดวงตาคมเฉี่ยวคงได้มาจากเชื้อสายชาวจีน แต่ความเป็นไทยก็มีมากเช่นกัน เดินไปไม่นานก็กลับไปยังห้องฉุกเฉินอีกครั้ง
“คุณหมอมาแล้วค่ะ”
คำรายงานนั้นทำให้มีคนชะงักแม้จะรู้ก่อนหน้าแล้ว ต่างจากผู้มาใหม่อย่างคุณหมอคนเก่งที่เป็นแพทย์ศัลยกรรมมือดีที่ยังหน้านิ่งเรียบได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ยืดเท้าหน่อยครับ” ทิวัตถ์เอ่ยเสียงเข้มขึ้นเมื่อคนเจ็บหดเท้าหนี ดวงหน้าเงยขึ้นไปมองราวหนึ่งนาทีถ้วน
“คุณแม่คะ ยืดเท้าหน่อยค่ะ”
นางพยาบาลมากประสบการณ์จำเป็นต้องสะกิดต้นแขนว่าที่คุณแม่เบาๆ เพราะราวกับอีกฝ่ายตกอยู่ในภวังค์บางอย่างที่เอาแต่มองจ้องหน้าคุณหมอ
“ค่ะ”
คนที่เวลานี้เจ็บปวดทางกายน้อยกว่าทางใจดึงตัวเองกลับมา หัวใจที่ซ่อนอยู่ในอกซ้ายเต้นไว แม้พยายามหักห้าม แต่สายตายังเอาแต่มองการกระทำที่คุ้นเคย ไม่นานก็ต้องดึงความสนใจไปอยู่ที่หน้าท้อง มือยกขึ้นลูบเบาๆ ราวกับปลอบ
“ถีบเก่งเชียวค่ะ” คำชวนคุยดังออกจากปากของนางพยาบาลคนเดิม ขณะคุณหมอคนเก่งกำลังทำความสะอาดแผล
ว่าที่คุณแม่ยิ้มรับ ช่วงนี้ยัยหนูน้อยของเธอถีบเก่ง สงสัยเพราะดีใจที่ใกล้จะได้เจอหน้ากันแล้ว อีกไม่เกินหนึ่งเดือน ก่อนเลือกกลับไปมองคนเบื้องหน้าอีกหน คนที่ตอนนี้ไม่ยอมแตะมีดผ่าตัดที่แสนรัก คนที่ทิ้งความเป็นหมอศัลยกรรมไว้ด้านหลัง
ในชั่วครู่หนึ่งทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
“ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ และต้องล้างแผลทุกวัน” สิ้นคำพูดร่างของคุณหมอก็เดินไวๆ จากไป ส่งไม้ต่อให้กับพยาบาลทั้งสองช่วยประคองคนเจ็บลงจากเตียง
“คุณพ่ออยู่ไหนแล้วคะ เดี๋ยวพยาบาลจะไปตามให้ค่ะ”
สายตากวาดมองหาผู้ชายที่เห็นว่ามาพร้อมคนเจ็บ ไม่รู้ตอนนี้หายไปไหนแล้ว
คนที่ถูกถามส่งยิ้มเจื่อนมาก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ทันจะได้อธิบายใดๆ เสียงเรียกหนึ่งก็ดึงให้หันไปสนใจ
“หมอ...น้องโปรด”
เสียงทุ้มอบอุ่นมาพร้อมกับร่างสูงขาวผู้ที่ดูแค่ผิวเผินก็รู้ว่าเจ้าตัวทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ในตำแหน่งคุณหมอไม่ต่างจากผู้ที่ผละห่างจากไป
“เป็นอะไรครับนั่น” ทันทีที่สองเท้าสืบไปใกล้ว่าที่คุณแม่ เสียงเอ่ยถามด้วยความห่วงใยก็ดังขึ้น
“โปรดเผลอเหยียบเศษแก้วเข้าน่ะค่ะพี่นัท”
คนที่ถูกเรียกว่าหมออย่างปรีดิทา หัวใจกระตุกนิดๆ นานหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้ยินคำคำนี้ มีความคิดถึงวิ่งมาควบคู่กับความเจ็บปวด
“แล้วมากับใครครับ” หมอนัทหรือนครินทร์ยังยิงคำถาม
“โปรดนั่งแท็กซี่มาค่ะ”
“ทำไมคุณสามีถึงปล่อยให้มาคนเดียวล่ะคะ ท้องก็โตมากแล้ว ใกล้คลอดแล้วใช่ไหมคะเนี่ย”
พยาบาลรุ่นน้องไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ได้ คราแรกคิดว่าผู้ชายที่ช่วยประคองอีกฝ่ายเข้ามาเป็นสามี แท้จริงแล้วคงจะเป็นโชเฟอร์แท็กซี่
ว่าที่คุณแม่ยิ้มชืด ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี กระทั่งมีผู้ชิงตอบแทน
“คุณแหวนครับ ฝากดูแลโปรดสักครู่นะครับ ผมจะไปตามสามีของคนไข้”
“สามีคุณโปรดอยู่ที่นี่หรือคะ แหวนไปตามให้เองก็ได้ค่ะ” นางพยาบาลรุ่นน้องขันอาสา ส่วนอีกคนนิ่งเงียบไปเพราะเริ่มจำได้แล้วว่าเคยเห็นหรือรู้จักว่าที่คุณแม่คนนี้จากที่ไหน
“งั้นช่วยไปที่ห้องหมอไท่ให้ทีครับ”
“หมอไท่หรือคะ แต่เมื่อกี้คุณหมอเป็นคนทำแผลให้เองนะคะ” คนฟังทำสีหน้าทั้งตกใจและประหลาดใจ
“ปีศาจยังต้องกลัวหัวใจของมันครับ ใจดำฉิบหาย”
นครินทร์ร้องเหอะในลำคอก่อนปล่อยประโยคเปรียบเปรย ไม่นึกเลยว่าเพื่อนของเขาจะมีหัวใจที่มืดดำขนาดนี้ ส่วนสาเหตุนั้นเขาตอบไม่ได้ มันไม่เคยปริปากออกมาเลยสักครั้ง คนที่รู้ก็คงมีแค่มันกับคนที่ถูกทิ้งถูกขว้างตรงหน้า พลางเอ่ยเสียงเข้มออกไป
“โปรดรอแป๊บนะ เดี๋ยวพี่มา”
สิ้นคำนครินทร์เดินไวๆ ตรงไปยังห้องพักของเพื่อนทันที
“มึงจะออกเวรแล้ว?” นครินทร์ยืนพิงตัวอยู่กับกรอบประตู แล้วคำถามเข้มๆ ที่มีความจริงจังก็ถูกปล่อยออกไปทันทีทันใด
“อื้อ”
คนต้องตอบขานรับแล้วเก็บของใส่กระเป๋าต่อ แม้จะได้ยินประโยคถัดมา แต่กลับปล่อยให้มันเป็นเหมือนอากาศ รู้ว่ามีแต่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน
“ไปส่งน้องโปรดด้วย”
คนที่เฝ้ามองปฏิกิริยาของเพื่อนขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยถามหนึ่งประโยค
“มึงรู้ไหมว่าน้องใกล้คลอดแล้ว” นครินทร์อยากเตือนและย้ำซ้ำๆ ให้แทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจแข็งเหมือนหิน
แต่ผลที่ได้คือความเงียบที่ปราศจากความสนใจ
“มึงต้องรู้สิก็มึงเป็นหมอ และเป็นคนทำน้องท้องนี่วะ”
นครินทร์เป็นฝ่ายตอบคำถามของตัวเอง ดวงตามองเพื่อนที่กำลังหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมากดดู จึงได้เห็นหลายการแจ้งเตือนที่ปรากฏบนหน้าจอ ความไม่พึงพอใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
“ไอ้ไท่ น้องโทร.หามึงเป็นสิบสายเลยนะ แต่มึงไม่ยอมรับ น้องเลยต้องนั่งแท็กซี่มาคนเดียวทั้งที่ท้องแปดเดือนแล้ว มึงเป็นคนหรือเปล่าวะ”
เขาไม่รู้จะสรรหาคำใดมานิยามในความเย็นชาที่แผ่ไอเย็นออกมาจากหัวใจของเพื่อน ขนาดเขายังหนาวขนาดนี้ แล้วปรีดิทาล่ะจะรู้สึกขนาดไหน
“ถ้าไม่รักน้องโปรดก็หย่าไปเลยสิวะ เดี๋ยวกูจะไปเป็นพยานให้เอง วันนี้เลยก็ได้” มันคือทางออกที่ง่ายที่สุด ไม่รักก็หย่าขาดกันไป แต่เพื่อนของเขากลับยังคงสถานะสามีภรรยาไว้ เคยเอ่ยถามถึงสาเหตุมาแล้วหลายครั้งแต่มันไม่เคยตอบ
“รอ”
ทิวัตถ์หย่อนสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋ากางเกง ปากได้รูปเอ่ยตอบสั้นๆ เป็นคำเดิมๆ ที่เขาพูดมาหลายเดือน แล้วหันไปบอกเพื่อนอีกเพื่อหยุดประโยคถัดไป
“เด็กนั่นต้องรอเท่านั้น”
เสียงไม่ทันจางหายสองเท้าหนักๆ ของทิวัตถ์ก็เดินออกจากห้องไป นครินทร์ได้แค่ผ่อนลมหายใจแรงๆ เขาจะทำอะไรได้ นอกจากเดินคอตกกลับไปหาปรีดิทา
“น้องโปรดหายไปไหนแล้วครับคุณแหวน” พอไปถึงสายตาก็ต้องกวาดมองหา เพราะไม่เห็นว่าที่คุณแม่เสียแล้ว
“เธอไปแล้วค่ะ ออกไปเมื่อกี้นี่เองค่ะคุณหมอ”
เธอพยายามบอกให้อีกฝ่ายรอแล้วแต่ไม่อาจทัดทานได้ นครินทร์พยักหน้าเข้าใจ แล้วดึงตัวเองกลับมาสู่โหมดทำงาน ไม่ทันจะได้ขยับไปไหนเสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามาให้หันมอง
“ช่วยด้วยครับ…ช่วยด้วย”
“เสียงโวยวายอะไรกันครับนั่น”
ผู้คนด้านในหันไปมองเป็นตาเดียว ไม่ถึงนาทีก็เห็นบุรุษพยาบาลเข็นร่างหนึ่งที่นั่งอยู่บนวีลแชร์เข้ามาด้านในพร้อมกับเสียงร้องบอกอีกรอบ
“คุณผู้หญิงคนนี้น่าจะกำลังจะคลอดครับ เธอน้ำคร่ำแตกแล้ว”
นครินทร์รีบปรี่เข้าไปดู ในทันใดดวงตาก็ต้องขยายกว้างเมื่อพบว่าคนบนวีลแชร์คือคนที่เขาเพิ่งถามหา
“น้องโปรด”
นครินทร์แทรกตัวเข้าไปประชิดวีลแชร์ เห็นชัดถึงสีหน้าตกใจของปรีดิทา แม้จะเป็นหมอ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ย่อมนึกกลัว ก่อนเขาจะมองตามสายตาของน้อง สายตาที่มุ่งไปหาใครบางคนที่กำลังจะเดินสวนออกไป
“พี่...ไท่”
ข้อมือบางที่โอบหน้าท้องของตัวเองเอาไว้พยายามยกขึ้นเพื่อจะเอื้อมไปจับมือของคนที่เธอเรียกว่าพี่ไท่ คนที่เป็นสามี คนที่เธอเฝ้ารอ ทว่าความเจ็บทางใจนั้นวิ่งคู่มาพร้อมกับอาการปวดท้องเมื่อเขาคนนั้นกำลังเดินผ่านไปแบบไร้เยื่อใย
เขาหันมอง แต่ไม่สนใจ ทำราวเธอกับลูกไม่มีตัวตน สายตาคู่นั้นก็ฟ้องชัดว่าเธอไม่สำคัญอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นปากยังเอ่ยเรียกด้วยความหวังครั้งสุดท้าย
“พี่...คุณไท่”
เมื่อความหวังที่ก่อมาจากทรายพังทลาย เสียงร้องไห้ก็ดังออกจากปากอิ่ม
“ฮื่อ”
ด้านนครินทร์เอ่ยเรียกเพื่อนเสียงดัง
“ไอ้ไท่ น้องกำลังจะคลอด น้องน่าจะคลอดก่อนกำหนด” เมื่อเพื่อนไม่หยุด เป็นเขาที่วิ่งไวๆ เข้าไปกระชากต้นแขนรั้งไว้แล้วดูคำที่มันตอบกลับมา
“อื้อ” เป็นคำสั้นๆ ที่สื่อถึงความใจดำได้สุดขั้ว
“นั่นลูกเมียมึงนะ”
“แล้วแต่มึงเห็นสมควร”
ทิวัตถ์หยุดเท้าเพื่อตอบและนิ่งไปราวหนึ่งนาทีแล้วก้าวเท้าไวๆ ต่อไปให้พ้นจากอาคารสูงขนาดเจ็ดชั้น ทิ้งให้เพื่อนอ้าปากค้างในความใจร้ายที่เกินจะคาดถึง
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”