บทที่ 1
หย่า “ไงคะ ยัยหนูลูกแม่”ความนุ่ม ความบอบบางที่ได้สัมผัสสู่อ้อมกอดทำให้คนเป็นแม่ยกยิ้มกว้าง ยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ ตื้นตันจนน้ำตาคลอหน่วย
“เดี๋ยวคุณแม่ลองให้น้องดูดนมดูนะคะ”
“ค่ะ”
คุณแม่มือใหม่เอี่ยมค่อยๆ ประคองเจ้าตัวเล็กแนบชิดกับอก แล้วทำตามวิธีที่เธอได้ศึกษามาคร่าวๆ บวกกับความรู้ที่เคยผ่านตามาบ้างจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ดวงตากลมโตเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหว เป็นภาพที่ปรีดิทาไม่สามารถสรรหาคำใดมาอธิบายได้ ในวันนี้เธอได้เรียนรู้ในคำว่าแม่มากขึ้น
รอยยิ้มที่เคยจางหายไปนานได้หวนคืนมา ยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมหันไปส่งความรู้สึกนั้นให้กับหญิงวัยห้าสิบสามปีที่ยืนอยู่ไม่ห่างอย่างนงลักษณ์ หรือว่าป้านง คนสนิทที่ยังอยู่ข้างๆ กันแม้ในวันที่เธอไม่เหลืออะไร
ก๊อก ก๊อก
ไม่ถึงอึดใจก็มีผู้มาใหม่มายืนเคาะประตูอยู่หน้าห้อง คุณแม่มือใหม่จัดเสื้อให้เข้าที่ตามเดิม แล้วเป็นนงลักษณ์ที่เป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตู
“พี่นัท”
ปรีดิทายิ้มทักทาย คิดไว้แล้วว่าคงไม่พ้นนครินทร์ คนที่ช่วยจัดการทุกอย่างให้กับเธอเมื่อหลายวันก่อน
“น่าเอ็นดูมากครับ ตาสวยเหมือนโปรดเลย” นครินทร์ชะโงกหน้าไปมองยัยเด็กตัวเล็กที่ต้องอยู่ในตู้อบเสียหลายวัน เพราะคลอดก่อนกำหนด ก่อนหน้านี้เขาได้แวะเวียนไปดูอยู่บ่อยครั้ง
ปรีดิทาดึงตากลับมามองสายเลือดในอ้อมอก ปากนุ่มระบายยิ้มอีกอย่างมีความสุข ก่อนได้ยินคำถามให้ร้องตอบ
“โปรดตั้งชื่อลูกไว้หรือยัง”
“โปรดตั้งไว้แล้วค่ะ โปรดจะให้แกชื่อ ปราณปรียา”
เพราะลูกคือลมหายใจ ลูกคือชีวิตของเธอ ชื่อนี้จึงเหมาะสมกับเจ้าตัวเล็กมากที่สุด วินาทีถัดมาก็ได้ยินคำถามที่ส่งผลต่อหัวใจอยู่ไม่น้อย
“มันไม่มาเลยใช่ไหม” หลายวันที่ผ่านมาเขาเห็นเพื่อนสนิทมาทำงาน แต่ไม่เคยเห็นมันแวะเวียนมายังอาคารนี้เลย
หญิงสาวปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ แต่หากถามว่าเธอเฝ้ารอเขาไหม
เธอไม่รอ...อีกแล้ว และหลังจากนี้ก็จะจัดการทำทุกอย่างให้มันจบ
“ถ้าโปรดออกจากที่นี่วันไหน บอกพี่นะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ขอบคุณค่ะ แต่โปรดกลับกับป้านงได้ โปรดจะให้พี่แท็กซี่เจ้าประจำมารับค่ะ พี่นัทไม่ต้องห่วงนะคะ” เธอนึกขอบคุณนครินทร์ที่หยิบยื่นน้ำใจมาให้ แต่เรื่องใดที่ไม่ลำบากหรือเหลือบ่ากว่าแรง เธอก็อยากยืนด้วยตัวเอง
นครินทร์กดหน้ารับ เขารู้ว่าปรีดิทามีความแกร่งอยู่ไม่น้อย แถมยังเป็นคนที่มีความเก่งและฉลาดร่วมด้วย แต่หลังจากเจ้าตัวสูญเสียบิดาไปเมื่อหลายเดือนก่อนทำให้ความอ่อนแออ่อนไหวขยับพื้นที่เข้ามายึดใจดวงน้อยอยู่มาก ไหนจะเรื่องที่ถูกสามีหมางเมินนั่นอีก แล้วไม่วายทิ้งท้ายความห่วงใยก่อนปลีกตัวกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“ถ้าโปรดขาดเหลืออะไรบอกพี่ได้นะ พี่พร้อมช่วย”
ปรีดิทายิ้มรับแล้วทุ่มความสนใจทั้งหมดมาอยู่ที่แก้วตาดวงใจ ใครจะไม่รัก ไม่เหลียวแลแกก็ไม่เป็นไร เพราะเธอคนนี้จะดูแลลูกสุดความสามารถ จะเติมเต็มให้แกไม่ให้รู้สึกขาด
“แม่รักหนูที่สุดเลยนะลูก”
คุณแม่มือใหม่ยังมีรอยยิ้ม นับจากนี้ไปเธอจะกลับมายิ้มให้ได้เหมือนก่อน จนวันเวลาล่วงผ่านมาถึงวันที่เฝ้ารออีกครั้ง
“เรากลับบ้านกันนะคะ” วันนี้เธอจะได้พาดวงใจกลับไปยังบ้านหลังเล็กๆ ที่จะเป็นที่พักกายพักใจ จะเป็นสนามเด็กเล่น เป็นสถานที่หัดคลานหัดเดินของปราณปรียา
หญิงสาวโอบอุ้มแก้วตาดวงใจเดินตรงไปยังด้านนอกของอาคาร มีนงลักษณ์ช่วยหอบหิ้วของเดินตามหลังมา พอไปหยุดเท้าอยู่ด้านหน้าก็เห็นรถแท็กซี่มิเตอร์คันที่คุ้นตาจอดเทียบท่ารอรับอยู่
“สวัสดีค่ะพี่กันต์ ขอบคุณที่มารับโปรดนะคะ” ปรีดิทากล่าวทักทายเพื่อนบ้านที่ช่วยเหลือกันตลอดมาตั้งแต่เธอย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่มาอยู่ในบ้านที่แม้จะเล็กแต่ก็ไม่ได้ทำให้ลำบากอะไร
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่ซื้อของมารับขวัญหลานด้วยนะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่กันต์เอี้ยวตัวไปตอบเพื่อนบ้านที่น่ารักที่กำลังนำลูกสาวใส่คาร์ซีตที่เตรียมมา โดยเขาเองก็มีลูกเล็กไม่ต่างกัน
“ขอบคุณนะคะที่เอ็นดูแก”
ปรีดิทายิ้มกว้างขอบคุณชายตรงหน้า จากนั้นรถก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออก นำพาเธอ ลูกสาว และคนเก่าคนแก่กลับบ้านหลังเล็กที่เป็นบ้านจัดสรรชั้นเดียว เป็นบ้านหลังเก่าที่เธอเคยอยู่กับบิดา
ปรีดิทายิ้มเจื่อนลงเมื่อนึกถึงคนที่เคยโอบกอด ความคิดถึงมากมายลามล้นอก ความทรงจำก็เช่นกัน
ใช้ระยะเวลาไปเพียงครู่ก็ถึงจุดหมายปลายทาง ปรีดิทาหันไปกล่าวคำขอบคุณโชเฟอร์แท็กซี่เจ้าประจำอีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปด้านในบ้าน
“ป้าขอไปเตรียมธูปมาจุดบอกเจ้าที่เจ้าทางก่อนนะคะ” นงลักษณ์ที่วางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้บนโต๊ะกลางบ้านหันไปเอ่ยบอกกับคุณหนูที่เธอดูแลมาแต่อ้อนแต่ออก
คุณแม่มือใหม่ว่าไปตามความเชื่อของนงลักษณ์ เห็นอีกฝ่ายเดินไวๆ ไปยังตู้เก็บของเพื่อหยิบธูป แต่ดูเหมือนว่าของที่ต้องการจะไม่ครบตามจำนวนที่ต้องมี
“ป้าออกไปซื้อเถอะค่ะ” เห็นถึงความกังวลของนงลักษณ์จึงเอ่ยบอก ไม่อยากให้ไม่สบายใจ
นงลักษณ์ทำสีหน้าลังเลใจ ไม่อยากปล่อยคุณหนูให้อยู่ตามลำพัง เพราะหนที่แล้วที่เธอออกไปทำธุระสำคัญก็เกิดเรื่องเกิดราวขึ้น โชคดีที่มีเพื่อนบ้านใจดีนำพาไปส่งโรงพยาบาล
“ป้าไปเถอะค่ะ โปรดเองก็อยากไหว้เหมือนกัน อีกอย่างร้านก็อยู่ใกล้ๆ นี่เอง” อะไรที่ทำให้เกิดความสบายใจ เธอเองก็อยากทำ และมันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายตรงไหน
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวป้ามานะคะ”
หลังเห็นคนที่รักตอบกลับมา นงลักษณ์จึงพลิกตัวเดินไวๆ ไปคว้าจักรยานคู่ใจปั่นออกจากบ้านไปยังร้านขายของจิปาถะที่ตนนั้นเป็นลูกค้าประจำ
ปรีดิทามองตามจนคนที่รักพ้นระยะสายตาก็หันกลับมามองยัยหนูน้อยในวงแขน รอยยิ้มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วมุ่งหมายจะพาแกเดินลึกเข้าไปในห้องนอนที่เธอได้เตรียมของใช้จำเป็นไว้บางส่วนแล้ว
แต่สิ่งแรกที่เธอควรทำคือพาลูกไปไหว้คุณตา สองเท้าก้าวไปหยุดยังหน้ารูปภาพสีขาวดำ
“พ่อคะ...”
ปรีดิทาพยายามยิ้ม ไม่อยากให้คนเป็นพ่อต้องกังวล ไม่ทันจะเอ่ยคำต่อไปกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหน้าบ้าน
ดวงหน้าหวานหันขวับไปมองด้วยความกังวล เสียงที่ได้ยินไม่ใช่ฝีเท้าเพียงคู่เดียว นั่นย่อมหมายถึงว่าคงไม่ใช่นงลักษณ์ที่ซื้อของกลับมา ไม่ถึงอึดใจใครบางคนก็ถือวิสาสะเข้ามาภายในบ้านของเธอ
“ท่านมาทำไมกันคะ” เจ้าของบ้านตั้งคำถามโดยพลัน หลังเห็นหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญ แขกที่เธอไม่อยากพบหรือเสวนาด้วย
“ส่งเด็กนั่นมาให้ฉัน”
ผู้มาใหม่บอกความต้องการแบบไม่อ้อมค้อม ไม่อยากพูดมากให้เสียเวลา ปรีดิทากระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิมอีกนิด ความกังวลพุ่งปรี๊ด เพราะเธอรู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับบุคคลตรงหน้าและมีเปอร์เซ็นต์แพ้แบบราบคาบ“ถอยออกไปจากบ้านของโปรดค่ะ” แต่ความเป็นแม่ เธอเองไม่คิดถอย ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นมองไปยังผู้ให้กำเนิดของเขาคนนั้น
หยาง...จิน ชายที่สามีของเธอชังจับใจ จังหวะหนึ่งต้องแค่นยิ้ม คงต้องเติมคำว่าอดีตเข้าไปด้วย
“ตัวเล็กอย่างกับมดกล้ามาออกคำสั่ง” หยางจินหัวเราะเต็มเสียงใส่มดที่คิดจะปล่อยหมัดใส่ราชสีห์อย่างเขา
ปรีดิทาพยายามกลบเกลื่อนความกลัว เธอไม่มีทางปล่อยลูกออกจากอ้อมกอด ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมาทำความรู้จักหรือเหลียวแล ไยกันถึงจะกล้ามาพรากลูกไปจากอกของเธอ
“ไปเอานังเด็กตัวเล็กมา” คนอย่างหยางจินเบื่อการเจรจา ไม่ชอบอะไรที่มากเรื่องมากความสักเท่าไร จึงออกคำสั่งแบบไร้การต่อรอง
“อย่ามายุ่งกับหนูปราณ” ปรีดิทาประกาศกร้าว สองเท้าถอยห่างออกไปอีกนิด นาทีถัดมาก็ได้ยินถ้อยคำให้เธอมองนิ่งๆ กลับไป
“ชื่อไม่เห็นเหมือนพ่อของมัน”
หัวใจของหยางไม่ได้หงุดหงิด ก็แค่แปลกใจนิดๆ ไม่เหมือนก็ดีจะได้ไม่ยุ่งยาก แล้วกรอบหน้าก็หันไปสั่งทางสายตากับลูกน้องคนสนิททั้งสองอย่างตรีและทศให้รีบจัดการ
ชายทั้งสองที่มีส่วนสูงไล่เลี่ยกันกดหน้ารับ แล้วบอกให้ลูกน้องสามคนที่ติดตามมารุกเข้าหาปรีดิทาทันที
“ถอยออกไปนะ”
หญิงสาวต้องก้าวเท้าถอยหลังไปมากกว่าเดิม ใบหน้าหันมองซ้ายมองขวาหาทางรอด จะหยิบจับอะไรมาป้องกันตัวก็ไม่ถนัดนักเมื่อเธอไม่สามารถปล่อยลูกสาวให้พ้นอ้อมกอดได้ ความหวังในตอนนี้ไม่พ้นร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย...”
หญิงสาวพยายามร้องสุดเสียง หวังว่าบ้านข้างๆ จะได้ยิน แม้ความหวังจะน้อยนิด เพราะเวลานี้ส่วนใหญ่เพื่อนบ้านจะออกไปทำงานกันหมดแล้ว ทางพี่กันต์คนสนิทก็ออกรถไปวิ่งรับผู้โดยสารต่อ ทางรอดจึงริบหรี่เสียเหลือเกิน“ถ้ามากเรื่องก็กระชากมา แขนหลุดก็ค่อยหาหมอหรือไม่ก็ให้พ่อมันมาต่อให้” หยางจินเอ่ยหน้านิ่ง
“เลว”
คำสั่งการนั้นทำให้คนเป็นแม่บริภาษออกไป ดวงตามองหยางจินด้วยความเกลียดชัง จังหวะนั้นเองฝ่ามือหยาบใหญ่ของชายคนหนึ่งก็ยื่นมาจับดวงใจของเธอ ปรีดิทารีบเบี่ยงตัวหลบ แต่ทำได้ยาก เพราะกลัวว่ายัยหนูจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็พยายามจะถ่วงเวลาไว้รอนงลักษณ์กลับมา หากอีกฝ่ายเห็นต้องรู้แน่ว่าคนพวกนี้ไม่มาดี จะได้รีบไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ที่อยู่ละแวกนี้
“ปล่อยเถอะครับ”
“ไม่”
ตรีผู้เป็นมือขวาเอ่ยขอ เขาเองไม่อยากทำให้เด็กบริสุทธิ์ต้องเจ็บไปด้วย แต่ปรีดิทานั้นดื้อรั้นเหลือเกินจึงสั่งการกับลูกน้องเสียงเหี้ยม
“จับคุณโปรดไว้”
บทที่ 4 ตัวแทน (2) หลังจากได้รับข้อความนั้นปรีดิทาขบเนื้อปากด้านล่างไม่รู้กี่หน ความอึดอัดเคลื่อนย้ายเข้าสู่หัวใจมากขึ้น ดวงตาอมโศกหันมองยัยตัวเล็กที่หลับไปอีกครั้ง จนเวลาล่วงผ่านมาถึงตอนเย็น เสียงที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามวลอากาศลดน้อยลงก็แว่วดัง เสียงของรถแอสตันมาร์ตินที่เคลื่อนมาจอด เขาคงกลับมาแล้ว ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งนิดๆ ก๊อก ก๊อก ปรีดิทาไม่ได้ถ่วงเวลาที่จะก้าวเดินไปเปิดประตู รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น จึงเปล่าประโยชน์หากจะชักช้า แต่ในตอนที่ประตูค่อยๆ ถูกเปิดก็มีลมหายใจสะดุดอยู่เหมือนกัน ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นไม่ใช่ทิวัตถ์ “คุณโปรดคะ คุณไท่ให้เนมมาบอกว่า ให้คุณโปรดอาบน้ำแล้วรีบขึ้นไปหาบนห้องค่ะ” คำบอกกล่าวนั้นปรีดิทาหน้าจืดลงไปแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว ความกังวลวนเวียนกลับเข้ามาเมื่อหันไปมองปราณปรียา “โปรดฝากเนมดูยัยหนูสักพักได้ไหม” “ได้ค่ะ เดี๋ยวเนมกับรำจะช่วยดูแลคุณหนูเองค่ะ” ปรีดิทายิ้มขอบคุณ สองเท้าก้าวกลับเข้าด้านใน แต่ไม่ได้ไปอาบน้
“ถ้ามีอะไรอยากให้เนมช่วยบอกเนมได้เลยนะคะ เนมก็เคยเลี้ยงเด็กอยู่บ้างค่ะ” จารวีขันอาสา ฝ่ายคุณแม่มือใหม่พยักหน้ารับ แต่หากเธอยังไหวก็อยากจะเลี้ยงยัยหนูด้วยตัวเอง สองเท้าก้าวไวๆ กลับไปหาลูกสาวแสนรัก “หลับสบายเลยนะคะคนเก่ง” ปราณปรียายังหลับด้วยท่าทางน่าเอ็นดู รอยยิ้มกระจายเต็มดวงหน้าของคนเป็นแม่ แม้จะรู้สึกง่วงแต่ปรีดิทากลับเดินไปหยิบหนังสือที่นงลักษณ์เก็บใส่กระเป๋ามาด้วยออกมาเปิด เธอต้องเตรียมข้อมูลสำหรับการสอน โน้ตบุ๊กก็ถูกเปิดขึ้นด้วย พอเวลาผ่านไปสักพัก ปรีดิทาก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นต่อสายหาคนสำคัญ “ป้าอยู่ได้ใช่ไหมคะ” นงลักษณ์เป็นอีกคนที่หญิงสาวห่วงใยไม่น้อย เมื่อได้ฟังคำตอบก็เบาใจไปได้บ้าง และเมื่อจัดการหลายอย่างเสร็จก็ก้าวเท้าขึ้นเตียงไปนอนกับลูกสาว แง้งง ปรีดิทาสะดุ้งตัวตื่นขึ้นในหนึ่งชั่วโมงต่อมา เพราะเสียงร้องของลูก “หิวนมหรือจ๊ะคนดี” หญิงสาวรีบเอาลูกเข้าอก เฝ้ามองแกกินนมด้วยความหิว หลังจากอิ่มแกก็กลับมาตาแป๋วอีกครั้ง “เร
“ไม่กี่อาทิตย์คงหนีได้แล้ว” ทิวัตถ์รู้ดีว่าเขาจะเป็นที่พักพิงของปรีดิทาไม่นานหรอก หลังจากนี้เจ้าตัวคงคิดหาทางจะจากไป หญิงสาวกดหน้าแล้วตบท้ายด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ปฏิเสธ เธอจะหนีไปอย่างแน่นอน โดยเงินส่วนหนึ่งจากเขาก็จะช่วยสนับสนุน คนที่ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้วอย่างเธอก็ไม่ต่างจากหมาจนตรอก เธอทำและยอมได้ทุกอย่าง เพื่อลูก เพื่อในวันหนึ่งจะได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง “เอาที่ที่หยางจินหาไม่เจอด้วยละกัน ขี้เกียจฟังคำอ้อนวอนอีก” “ไม่ต้องห่วงค่ะ แม้แต่คุณก็จะหาโปรดไม่เจอ และโปรดจะไม่มีวันเป็นหมาจนตรอกแบบนี้อีก” เธอขอสัญญาว่าจะทำอย่างที่เอ่ยแน่นอน พลางหันไปมองจารวีที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องรับแขก “เนม” “คะคุณโปรด” “ช่วยหยิบอุปกรณ์ทำแผลให้โปรดหน่อยสิ” ปรีดิทาบอกเสียงเรียบ สายตาเบนไปมองคนที่สมควรได้รับการทำแผล จารวีล่าถอยไปหยิบอุปกรณ์ ไม่นานก็กลับมายื่นให้แก่เจ้านาย “ขอบคุณจ้ะ” หญิงสาวยิ้มขอบคุณ แล้วหันไปสบตากับคนที่นั่งเงียบที่กำลังคล้ายจะอ้าปา
บทที่ 3 ตัวแทน ปรีดิทาถึงกับปากสั่นในความเลือดเย็นของทิวัตถ์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เธอตกหลุมรัก จนได้แต่งงานกัน ความหวานปะแล่มๆ ไม่ได้โดดเด่นตามสไตล์คนพูดน้อยอย่างเขาทำให้หัวใจของเธอชุ่มฉ่ำได้ เธอไม่ได้ต้องการการเอาอกเอาใจ ขอแค่เขารักก็เพียงพอ ก่อนดึงตัวเองกลับมามองนงลักษณ์อย่างลำบากใจ ฝ่ายคนที่ไม่เป็นที่ต้อนรับวางหน้าเครียด เพราะไม่อยากปล่อยให้คุณหนูอยู่ที่นี่ตามลำพัง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน กระทั่งปรีดิทาเปิดตาขึ้นหลังหลับลงเพื่อตัดสินใจ “ตอนนี้โปรดจำเป็นต้องพึ่งเขาค่ะป้า” นอกจากทิวัตถ์จะเลือดเย็นแล้ว เขายังสอนให้เธอเป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ในเวลานี้ทางเลือกของเธอแทบไม่มี การทำให้ลูกปลอดภัยจากห
“ขึ้นรถ” ปรีดิทายังไม่ได้ก้าวเท้าขึ้นไป เธอนิ่งคล้ายกำลังตัดสินใจ แน่นอนว่าเธออยากหนี อยากไปตอนนี้เลย แต่การหนีต้องจบลงในครั้งเดียว ไม่ใช่หนีแบบไม่จบไม่สิ้น หนีไปแล้วยังถูกตามเจอแล้วถูกจับกลับมา หรือต้องอยู่แบบหวาดระแวง สมองจึงขบคิดและทบทวน ที่ผ่านมาเธอไม่เคยคิดว่าต้องรับมือกับหยางจินจึงไม่ได้หาหนทางใดๆ ไว้เลย เธอก็อยู่ส่วนเธอ ส่วนหยางจินก็ไม่ได้เข้ามายุ่มย่าม และตัวของชายหนุ่มเองนั้นก็พูดถึงบิดาให้ฟังน้อยมาก จนแทบจะไม่พูดด้วยซ้ำ แต่เธอก็พอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ทิวัตถ์ชัง ชั่วครู่หนึ่งหญิงสาวก็หยิบสมาร์ตโฟนโทร.บอกเพื่อนบ้านที่รออยู่ว่าไม่ต้องรออีกแล้ว จากนั้นก้าวเท้าขึ้นรถ แล้วความเงียบก็กลืนกินไปทั่ว ปรีดิทานั่งขบปากอย่างกังวล หนทางเดียวที่มองเห็นตอนนี้มีแต่เขา มีแต่ยอมไปก่อน แต่การยอมนี้ต้องนำพาเธอกับลูกไปสู่อิสระอย่างเ
บทที่ 2 จนตรอก “ถ้าจะมารับเด็กกลับไป แกต้องเอาใบหย่ามาก่อน” แค่ปลายเท้าเดินเข้าไปหยุดยังโซนห้องรับรองแขก เสียงทรงอำนาจจากปากผู้ชายที่ทิวัตถ์ชิงชังเป็นอันดับหนึ่งก็ดังขึ้น หยางจินนั้นแสดงความต้องการ กรอบหน้าเงยมองลูกชายที่เพิ่งได้คืนกลับมา แล้วเห็นเจ้าตัวมองไปรอบๆ ราวกับมองหาอะไรสักอย่าง “ไม่ต้องห่วง หนูลลิษดูแลอยู่” หยางจินเอ่ยบอก เขาก็ไม่ได้ใจร้ายถึงกับจะทิ้งขว้างยัยเด็กตัวเล็กนั่นหรอก ฝ่ายแขกผู้มาใหม่ยังมีสีหน้าราบเรียบวางเฉย ขณะขยับตัวไปพิงกับกรอบประตู มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ “หนูลลิษพาเด็กนั่นมา ให้พ่อมันเห็นหน้าหน่อย” หยางจินพลิกตัวไปส่งเสียงเรียกอีกหนึ่งคนสำคัญ หลังลูกชายคนเล็กสาดค