สำนักพ่อครูศิลา
ศิลาพาจันทร์เจ้าขาปั่นจักรยานเข้ามายังเขตรั้วบ้านของตนและตรงไปยังใต้ถุนซึ่งเป็นที่เก็บจักรยาน เขาจอดมันอย่างระมัดระวังก่อนจะมองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งเกาะเอวและคอของเขาไว้อยู่ เธอหันหน้ามองออกไปข้างหน้าไม่ขยับหรือกระดุกกระดิกจนเขาแอบคิดว่าเธอแข็งเป็นก้อนหินไปแล้ว
กึก!
“ฮอดแล้ว” (ถึงแล้ว) ศิลาขยับหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเอ่ยกระซิบแผ่วเบา
“คะ ค่ะ” จันทร์เจ้าขาขนลุกและหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงลมอุ่นที่เป่ารดต้นคอ จึงรีบกระโดดลงจากตักของเขา
พรึ่บ!
“หึ” ศิลาหัวเราะในลำคอชอบใจก่อนจะจัดการตั้งขาตั้งจักรยานไว้แล้วหันมามองเธอ ที่ตอนนี้กำลังยืนตัวลีบเรียบร้อยรออยู่ จะน่ารักอะไรขนาดนั้นวะ
“ตามมา”
“ค่ะ”
ศิลาเดินนำขึ้นไปบนบ้านโดยมีจันทร์เจ้าขาเดินตามหลังมาติดๆ เธอมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจเพราะมีหลายอย่างที่แปลกตาออกไปจากแต่ก่อนมาก ขณะที่เจ้าขากำลังสนใจกับบริเวณรอบบ้านจึงไม่ทันมองเลยทำให้…ชน
ปึก!
“อ๊ะ!”
มือเล็กยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองพลางมองไปยังอีกคนที่อยู่ๆ ก็หยุดโดยไม่บอกกันก่อน ทำให้เธอชนจนเจ็บตัว
“เจ็บบ่” (เจ็บไหม)
“เจ็บสิคะ ถามมาได้”
“หึ สมน้ำหน้า บ่แนมทางเอง” (หึ สมน้ำหน้า ไม่มองทางเอง)
“เอ้า! ก็พ่อครูหยุดไม่บอกนี่คะ!”
พ่อครูอีกแล้ว ทำไมถึงชอบเรียกห่างเหินมากขนาดนั้น ทีแต่ก่อนยังเรียกพี่เพชรคะพี่เพชรขาอยู่เลย ห้ามก็ไม่ฟัง
“ไปนั่งถ่าม่องฮั่น” (ไปนั่งรอตรงนั้น) นิ้วเรียวชี้ไปยังพื้นที่มีพรมปูอยู่หน้าโต๊ะไม้สักสีเข้ม จันทร์เจ้าขาจึงพยักหน้าให้แล้วเดินไปนั่งตามคำบอกกล่าว
หลังจากนั้นศิลาก็เดินหายเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งภายในบ้าน จันทร์เจ้าขาได้แต่มองตามตาปริบๆ แต่เพราะสนใจโต๊ะเครื่องบูชาข้างหลังโต๊ะไม้สักนี่มากกว่าจึงเลิกสนใจและมองไปยังข้าวของต่างๆ บนโต๊ะเหล่านั้นที่ตรงกลางมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่และรอบๆ มีพานและสร้อยคอ ตะกรุด กำไล ฝ้าย สายสิญจน์และของแปลกตาอื่นๆ อีกมากมายซึ่งเธอคิดว่ามันน่าจะเป็นพวกของขลังอะไรพวกนั้นที่ชาวบ้านเขาว่ากัน
“คิกๆ”
“...”
ขณะที่จันทร์เจ้าขากำลังนั่งมองก็ได้ยินเสียงของใครบางคนกำลังหัวเราะชอบใจอยู่ใกล้ๆ ซึ่งมันไม่ได้มาแค่เสียงมันมีลมที่อยู่ๆ ก็พัดเข้ามาใส่เธอแต่ไม่ได้รุนแรงมากนัก เพียงแค่มันทำให้เธอรู้สึกเสียวสันหลังวาบและขนลุกซู่ขึ้นมาก็เท่านั้น คล้ายกับว่ากำลังโดนมองอยู่จากทางด้านหลังเลยแฮะ
แอดดด
เสียงประตูไม้เปิดออกทำให้จันทร์เจ้าขาหันไปให้ความสนใจทันที ก่อนจะเห็นสายตาดุๆ ของเขามองข้ามหัวเธอออกไป ความรู้สึกหวาดกลัวและขนลุกในตอนแรกก็หายไปด้วย จันทร์เจ้าขาจึงหันไปมองตามเขาแต่ก็พบกับความว่างเปล่า เขาเห็นอะไร?
เท้าแกร่งก้าวออกจากห้องก่อนจะปิดประตูลงและเดินเข้ามาหาจันทร์เจ้าขาที่นั่งรออยู่พื้นด้านล่างอยู่แล้ว ศิลานั่งลงยังโต๊ะไม้สักด้านหน้าเธอก่อนจะเท้าแขนลงยังตักตัวเองแล้วโน้มตัวลงมองจันทร์เจ้าขาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา จนเธอที่รู้สึกประหม่าอยู่แล้วยิ่งบีบมือตัวเองแน่นเข้าไปอีกพร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีเสมองไปทางอื่น
“หันมา” น้ำเสียงเข้มครึมเอ่ยสั่งทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งโหยงรีบหันกลับมามองเขาทันที ใบหน้าหล่อยกยิ้มพอใจก่อนจะยืดตัวนั่งตรง
“หนะ ไหนของที่จะให้คะ”
“เว้านำกันก่อนบ่ได่ติ” (คุยกันก่อนไม่ได้เหรอ)
“...”
ฉันรีบเอ่ยถามเพราะไม่อยากอยู่ที่นี่นานเพราะยังไม่ชินและทำตัวไม่ถูกกับเขา ซ้ำยังอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้อีกถึงแม้ว่าแต่ก่อนจะเคยตามติดเขาไปในทุกที่ก็ตามแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันเพราะเขาเป็นถึงพ่อครูแล้ว เธอเลยคิดว่ามันค่อนข้างที่จะแปลกและไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่
“เฮียนจบแล้ว?” (เรียนจบแล้ว?)
“ค่ะ”
“บ่เฮ็ดงาน?” (ไม่ทำงาน?)
“กลับมาพักก่อนค่ะ แล้วจะกลับไปหางานทำ”
“...”
ฉันเอ่ยตอบตามตรงและจู่ๆ เขาก็เงียบไปไม่ถามต่อ ทำให้ฉันสงสัยเลยเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นเขากำลังมองมาที่ฉันอยู่พอดีจึงรีบหลุบตาลงเพื่อหนีทว่า…
พรึ่บ!
“ทะ ทำอะไรคะ”
มือหนาเลื่อนมาจับล็อกใบหน้าเล็กของเธอไว้ไม่ให้หันหนีไปไหน และจ้องมองใบหน้าสวยเนียนที่เขาเฝ้าถวิลหาทั้งเจ้าของของมันที่เขาคิดถึงจนแทบขาดใจในตอนที่รู้ว่าเธอไม่อยู่ที่นี่แล้ว แต่ในเมื่อกลับมาแล้วเขาจะไม่มีทางปล่อยเธอไปอีก มันจะไม่มีวันนั้นอีกแล้วเพราะเขาจะโอบกอดเธอไว้ไม่ให้ห่างกายเลย ไม่ว่าอะไรจะมาพรากเธอไปจากเขาไม่ได้ทั้งนั้น
“อิหล่าสิถิ่มอ้ายไปอีกแล้วเบาะ” (หนูจะทิ้งพี่ไปอีกแล้วเหรอ)
“...” จันทร์เจ้าขามองหน้าเขาอย่างอึ้งๆ
ศิลาขยับหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าสวยของหญิงสาวตรงหน้าช้าๆ เขาจ้องมันราวกับคนที่กำลังโดนมนต์สะกด เพียงแค่เธอนั่งอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่อาจละสายตาห่างออกจากเธอไปได้เลยแม้แต่น้อย ลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลงตามจังหวะกลืนน้ำลายเป็นระยะราวกับคนที่กำลังพยายามยับยั้งชั่งใจตนเองไว้อยู่
ทำไมเธอจะต้องกลับไป ทำไมต้องไปไกลจากเขา แล้วทำไมต้องไปทำงานที่อื่น อยู่ที่นี่เขาสามารถหาเลี้ยงเธอได้สบายๆ เลยด้วยซ้ำ หรือเพราะว่าเขาปฏิเสธเธอไปในคราวนั้นทำให้เธอตัดสินใจที่จะทิ้งเขาไป หรือเพราะว่าเธอมีใครอีกคนอยู่แล้ว…
“มีผัวยัง”
“คะ!? ห้ะ?”
หลังจากที่เขาเงียบอยู่นานจู่ๆ ก็เอ่ยคำถามที่ทำเอาจันทร์เจ้าขาถึงกับสะดุ้งและมองเขาอย่างตกใจ เขาจะสื่อถึงอะไร หรือเขามีใครอยู่แล้ว…
“ละ แล้วพ่อครูมีเมียหรือยังคะ”
“อ้ายถามเจ้าก่อน” (พี่ถามเอ็งก่อน)
“ยังค่ะ”
“...” คำตอบเพียงสั้นๆ ของคนตรงหน้าทำเอาศิลาเผลอหลุดยิ้มออกมาด้วยความดีใจทันที แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
“แล้วพ่อครูละคะ”
“อืม”
“คะ?”
“ยังบ่มี” (ยังไม่มี)
ศิลาเอ่ยตอบเสียงเรียบก่อนจะเบนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับยกมือขึ้นป้องปากเพื่อแอบยิ้ม ก่อนที่ลมเย็นๆ จะพักเข้ามาใส่ทั้งคู่อีกครั้ง
‘แหนะๆ มีแอบยิ้มด้วย’
'สงสัยว่าแม่จ๋าของพวกหนูจะเป็นพี่สาวคนนี้แน่ๆ’
'ฮู้ไว้กะดี’ (รู้ไว้ก็ดี)
เสียงสองกุมารแสบเอ่ยแซวศิลาในกระแสจิตอย่างกวนๆ แต่คำตอบของเขานั้นทำเอาทั้งสองที่ยืนอยู่ไม่ไกลพากันยกมือขึ้นมาปิดปากและหันหน้ามองกันทันที ก่อนจะโดนสายตาดุๆ ของเขาไล่จึงค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศ
ศิลาจึงหันมาสนใจคนตรงหน้าก่อนจะวางมือลงยังหน้าขาของตัวเองอีกครั้งและอ้าออกห่างกันท่าทางเคร่งครึม
“ขยับมา”
“ตรงนี้ก็ถึงค่ะ”
“ขั่นฮอดสิให้ขยับเข้ามาอีกเฮ็ดหยัง?” (ถ้าถึงจะให้ขยับเข้ามาอีกทำไม?)
“ค่ะๆ”
จันทร์เจ้าขารีบคลานเข่าขยับเข้าไปให้ใกล้มากขึ้น
“อีก”
เมื่อได้ยินว่าให้ขยับเข้าไปอีกเธอจึงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นจนแทบจะอยู่ตรงหว่างขาของเขาอยู่แล้ว นี่ยังไม่พออีกเหรอ
“พะ พอยังคะ”
“อืม”
จากตอนแรกที่นั่งก้มหน้าก็ต้องเงยขึ้นเพราะหากก้มสายตาของเธอก็จะจับจ้องไปที่เป้ากางเกงของเขาซึ่งมันดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ จันทร์เจ้าขาจึงเลือกที่จะมองหน้าเขาแทนถึงแม้ว่าการที่ได้มองหน้าเขามันจะทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงมากก็ตามแต่ถ้ายังคงก้มมองตรงจุดนั้นอยู่อาจจะทำให้เธอหัวใจหยุดเต้นได้เพราะเผลอคิดเรื่องอกุศลกับเขา…
มือหนาหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะโน้มลงมาใกล้และจัดการสวมสร้อยตะกรุดนาคเกี้ยวลงยังรอบคอระหงของเธออย่างเบามือ ขณะที่กำลังติดตะขอสร้อยลมหายใจอุ่นของเขาก็เป่ารดข้างแก้มเธอไม่หยุดพักจนจันทร์เจ้าขาต้องขยับคอหนี
“อยู่ซื่อๆ” (อยู่นิ่งๆ)
เมื่อได้ยินเสียงเข้มๆ เอ่ยบอกจันทร์เจ้าขาจึงนั่งนิ่งตัวเกร็งแข็งทื่อปล่อยให้เขานั่งเป่าลมอุ่นรดข้างแก้มและใบหูของตัวเองนานนับนาที ก่อนเขาจะผละออกและนั่งหลังตรงตามเดิม
“พนมมือ หลับตา”
ศิลาเลื่อนมือเข้ามาจับที่หัวของเธอแล้วหลับตาลง จันทร์เจ้าขาจึงพนมมือขึ้นและหลับตาลงตามที่เขาบอก ศิลายกยิ้มก่อนจะบริกรรมคาถาพุทธคุณปกป้องคุ้มครองให้คนตัวเล็กแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งที่มองเห็นด้วยตาเนื้อและที่มองไม่เห็น…
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ…..
พุทธาอะนุนามะริยาสุขังเขยเย
พุทธาอะนินาสุหะลาลิสังเขยเย
พุทธาริโยเคมะกุลักขะกัปปะเก
วันทามิเตสุระนะรักกะเมสะเม
จันทร์เจ้าขาหลับตาลงได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ทำนองระรื่นหูอยู่หลายบทก่อนจะรู้สึกได้ถึงลมอุ่นๆ เป่าลงยังหัวของตนและมือที่วางถูกดึงออกจันทร์เจ้าขาจึงแอบลืมตาขึ้นมองหนึ่งข้าง แต่โดนศิลามองกลับมาเสียก่อนทำให้เธอสะดุ้งและรีบหลับตาลงทันที
“มืนตาได่แล้ว” (ลืมตาได้แล้ว)
“...” เมื่อได้ยินประโยคคำสั่งเธอจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นและยิ้มแห้งให้กับเขา มือหนาจึงเลื่อนมาจับที่หัวเธอโยกไปมาอย่างนึกเอ็นดูและลืมตัว ส่วนอีกคนที่โดนปฏิบัติแบบนั้นก็ถึงกับเขินหน้าแดงขึ้นมาทันที แต่ในขณะนั้นก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นมาขัดทั้งคู่ขึ้นมาเสียก่อน
โครกก~
“ไอ้บ้าเอ้ย” จันทร์เจ้าขาพึมพำกับตัวเองแผ่วเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าแล้วยิ้มแห้งให้ ทั้งอายทั้งเขิน ไม่รู้จะหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว มีอย่างที่ไหนกำลังจะเข้าโหมดโรแมนติก แต่เสียงท้องของนางเอกอย่างฉันมันดันร้องขึ้นมาขัดเสียก่อน เสียบรรยากาศหมดเลย ไอ่ร่างกายบ้านี่ไม่ยเมให้ความร่วมมือฉันเลย
“หึ ยังบ่ได่กินเข่าติ” (หึ ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ) ศิลาขำในลำคอแผ่วเบาแล้วเอ่ยถามเธอออกไป
“ยังค่ะ”
“คือบ่บอก” (ทำไมไม่บอก)
“กะ ก็พ่อครูไม่ถาม”
“ตามมา”
ศิลาส่ายหน้าให้เธอก่อนจะลุกขึ้นและเดินนำไปยังด้านหลังเรือน จันทร์เจ้าขาไม่รอช้ารีบเดินตามหลังเขาไปทันที
เมื่อเดินมาถึงจันทร์เจ้าขาก็ถึงกับอ๋อขึ้นมาทันที เพราะเขาพาเธอเดินมาที่ครัวก่อนจะไปเปิดตู้เย็นและก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินตรงมายังเคาเตอร์ไม้และวางของในมือลง ซึ่งมันก็คือผักคะน้าและหมูสับ ศิลาหยิบผักออกมาและเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานและจัดการล้างผักในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วก่อนจะวางมันลงยังตะกร้าเพื่อรอให้สะเด็ดน้ำ ก่อนเขาจะหันมาเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นแล้วค่อยวกกลับไปหยิบผักในตะกร้านั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ การกระทำเล่านั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย นอกจากจะเป็นพ่อครูที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว เขายังทำอาหารเป็นอีกหรอเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอช่วยจะดูแปลกไปไหมนะ มาขอของจากเขาแถมยังมาให้เขาทำกับข้าวให้กินอีก“เอ่อ…พ่อครูให้หนูช่วยไหมคะ”“เฮ็ดเป็น?” (ทำเป็น?)สิ้นประโยคคำถามของคนตัวเล็กมือที่กำลังหั่นผักก็หยุดชะงักลงก่อนจะหันกลับมาและเอียงคอถามกลับ จันทร์เจ้าขาได้แต่ส่ายหน้าให้พร้อมกับยิ้มแห้งๆ“ม่องนี่บ่ต้องซ่อยดอก แค่ซ่อยเฮ็ดโตคือแต่ก่อนท่อนั่นกะพอ” (ตรงนี้ไม่ต้องช่วยหรอก แค่ช่วยทำตัวเหมือนแต่ก่อนแค่นั้นก็พอ)หมายถึงแบ
สำนักพ่อครูศิลาศิลาพาจันทร์เจ้าขาปั่นจักรยานเข้ามายังเขตรั้วบ้านของตนและตรงไปยังใต้ถุนซึ่งเป็นที่เก็บจักรยาน เขาจอดมันอย่างระมัดระวังก่อนจะมองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งเกาะเอวและคอของเขาไว้อยู่ เธอหันหน้ามองออกไปข้างหน้าไม่ขยับหรือกระดุกกระดิกจนเขาแอบคิดว่าเธอแข็งเป็นก้อนหินไปแล้วกึก!“ฮอดแล้ว” (ถึงแล้ว) ศิลาขยับหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเอ่ยกระซิบแผ่วเบา“คะ ค่ะ” จันทร์เจ้าขาขนลุกและหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงลมอุ่นที่เป่ารดต้นคอ จึงรีบกระโดดลงจากตักของเขาพรึ่บ!“หึ” ศิลาหัวเราะในลำคอชอบใจก่อนจะจัดการตั้งขาตั้งจักรยานไว้แล้วหันมามองเธอ ที่ตอนนี้กำลังยืนตัวลีบเรียบร้อยรออยู่ จะน่ารักอะไรขนาดนั้นวะ“ตามมา”“ค่ะ”ศิลาเดินนำขึ้นไปบนบ้านโดยมีจันทร์เจ้าขาเดินตามหลังมาติดๆ เธอมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจเพราะมีหลายอย่างที่แปลกตาออกไปจากแต่ก่อนมาก ขณะที่เจ้าขากำลังสนใจกับบริเวณรอบบ้านจึงไม่ทันมองเลยทำให้…ชนปึก!“อ๊ะ!”มือเล็กยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองพลางมองไปยังอีกคนที่อยู่ๆ ก็หยุดโดยไม่บอกกันก่อน ทำให้เธอชนจนเจ็บตัว“เจ็บบ่” (เจ็บไหม)“เจ็บสิคะ ถามมาได้”“หึ สมน้ำหน้า บ่แนมทางเอง” (หึ สมน้ำหน้า ไม่
หลังจากเสร็จพิธีศิลาก็หันไปมองคนข้างๆที่แอบมองเขาอยู่ตลอดเวลาที่กำลังทำพิธี แต่มองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแม้ว่าจะอยากเอ่ยทักแต่ก็ไม่กล้าเพราะว่าแต่ก่อนว่าเธอเอาไว้เยอะเลยกลัวตัวเองเสียฟอร์ม…เขาละสายตาจากเธอก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นและเดินไปหาหลวงปู่ซึ่งเป็นปู่ของเขา ที่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆลานทำพิธีโดยมีเหมราชที่เดินตามหลังมาพร้อมกับเอ่ยแซวพ่อครูของตนต่อหน้าหลวงปู่อย่างไม่เกรงกลัวและเกรงใจเพราะพูดหยอกพูดเล่นกันอยู่ประจำ“กั่งฮ่มให่สาวจะของผัดฮ้อนจนเหงื่อไหลเปียกหลัง คักโพดอาจารย์ข่อย” (กางร่มให้สาวตัวเองกลับร้อนจนเหงื่อใหลเปียกหลัง เกินไปจริงๆอาจารย์ผม)“สาวไสล่ะบักเหม พามาให่หลวงปู่เบิ่งแหน่” (สาวไหนล่ะไอ้เหม พามาให้หลวงปู่ดูหน่อย)หลวงปู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าดีใจ เพราะหลานชายเพียงคนเดียวของเขาอายุก็เข้าเลขสามแล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเมียเลยสักนิด จนแกแอบหวั่นใจ“เซาเว้าแหน่บักห่า” (หยุดพูดหน่อยไอ้ห่า)“ป๊าดๆ อาจารย์ข่อยเปลี่ยนไปครับหลวงปู่เบิ่งๆ” (ว้าวๆ อาจารย์ผมเปลี่ยนไปครับหลวงปู่ดูๆ)เหมราชไม่พูดเปล่าชี้มือชี้ไม้ใส่ศิลาไม่หยุดเพี๊ยะ!!“เอ๊อะ!! ทำร้ายร่างกายว่ะ! ฮับบ่ได่ๆ” (โอ้ย!! ทำร้ายร่างกายว
ศาลากลางหมู่บ้านจันทร์เจ้าขาเดินเข้ามานั่งยังใต้ร่มไม้กับแม่โดยสายตาก็สอดส่องมองหาใครอีกคนอย่างใจจดใจจ่อด้วยความคิดถึงและอยากรู้อยากเห็นว่าเขาในตอนที่เป็นพ่อครูนั้นดูเก่งเท่ห์ขนาดไหนจะเป็นแบบในหนังหรือเปล่านะแต่เพียงแค่คิดเธอก็ยิ้มจนแก้มแทบจะแตกอยู่แล้วแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอจนจันทร์เจ้าขาต้องถอนหายใจออกมาแรงๆเมื่อไม่ได้ดั่งใจตนและทำสีหน้าเบื่อหน่ายเหม่อมองอะไรไปทั่วอย่างไม่สบอารมณ์จนกระทั่ง….“อ้าวเดือนลูกสาวเบาะ งามแท้เนาะ” (อ้าวเดือนลูกสาวเหรอ สวยจังเลยนะ)“ใช่จ้ะป้านัน น้องจันทร์ไหว้ป้านันเขาหน่อยสิลูก”เดือนเอ่ยตอบพร้อมกับหันมาทางลูกสาวที่มัวแต่เหม่อมองหาใครบางคน เธอจึงสะกิดและเอ่ยบอก“สวัสดีค่ะ”มือเล็กยกขึ้นพนมพร้อมกับก้มหัวไหว้อย่างนอบน้อมตามคำบอกของแม่“โอ้ย ไหว้พระเถาะลูกๆ” (โอ้ยๆ ไหว้พระเถิดลูกๆ)ป้านันเดินมาเอ่ยทักทายก่อนจะหันไปดึงแขนหลานสาวและพากันเดินสะบัดตูดออกไปนั่งยังด้านหน้าซึ่งใกล้กับลานทำพิธีมากที่สุดทำเอาจันทร์เจ้าขาต้องขมวดคิ้วมองเพราะตรงนั้นมันทั้งร้อนและโดนแดดเข้าเต็มๆ“ป้าแกไปนั่งใกล้อะไรขนาดนั้น”“อยากรู้ไหมล่ะ เดี๋ยวแม่พาไป”ว่าแล้วเดือนก็หยัดตัว
หมู่บ้านขุนไพร-ช่วงบ่ายแก่-รถตู้โดยสารมาจอดอยู่หน้าร้านค้าเล็กๆในหมู่บ้านก่อนที่ลูกสาวคนสวยซึ่งก็คือจันทร์เจ้าขาเดินลากกระเป๋าออกมาแล้ววิ่งตรงไปกอดแม่ที่ยืนรอรับด้วยความคิดถึง ใบหน้าสวยซุกเข้าที่อกของแม่อย่างออดอ้อนเหมือนกับตอนที่ตนยังเป็นเด็กก็ชอบทำแบบนี้เช่นกัน เดือนจึงยกมือขึ้นมาลูบหัวและแผ่นหลังบางของลูกสาวด้วยความเอ็นดูและคิดถึง สองแม่ลูกยืนกอดกันกลมอยู่อย่างนั้นนานนับนาทีก่อนจะคลายออก“น้องจันทร์ของแม่สวยขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”เดือนเอ่ยแซวลูกสาวก่อนจะจับให้เธอหมุนตัวเพื่อมองสำรวจ“ก็ต้องสวยสิคะ คุณแม่ของน้องจันทร์สวยมากขนาดนี้ ลูกไม้หล่นจะไกลต้นได้ยังไง~”“ปากหวานเชียวนะ อยากได้อะไรล่ะหืมมม”มือนุ่มของแม่หยีหัวลูกสาวอย่างนึกเอ็นดูพร้อมกับเอ่ยถาม“หงึ เบื่อคนรู้ทันจัง”จันทร์เจ้าขาเบะปากคว่ำแกล้งงอนคนเป็นแม่“กล้าเบื่อแม่เหรอ”“โอ๋ๆนะคะ ใครจะกล้าเบื่อคนสวยของน้องจันทร์กันล่ะ”ฟอดดดดริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มออกกว้างเมื่อได้ขโมยหอมแก้มนุ่มนิ่มของแม่คนที่ไม่ว่าจะหอมกี่ครั้งก็ยังคงชื่นใจไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด เดือนเองก็ได้แต่ยิ้มเขินอายกับการกระทำของลูกสาวที่ต่อให้โตแค่ไหนก็ยังคงทำตัวเ
ป่าช้าหวืดดด~ หวืดดด~เสียงลมพัดจนต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณป่าช้าของวัดบ้านป่าที่ห่างไกลความเจริญโอนเอนไปตามแรงของลม ที่มาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อดังขึ้นเป็นระรอกไม่หยุดพัก ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันรีบปิดประตูปิดบ้านหนีกันไปหมดด้วยความหวาดกลัวเนื่องจากวันนี้เป็นวันปล่อยผีหรือที่ชาวบ้านพากันเรียกว่าวันโกนนั่นเอง… หากเป็นภัยธรรมชาติก็ไม่อาจเลี่ยงได้แต่หากเป็นภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นพวกเขาขอไม่เสี่ยงสู้ปิดบ้านหนีเอาตัวรอดกันไปก่อนเสียยังดีกว่าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ค่อยหาวิธีแก้กันอีกทีในช่วงเช้าตึก ตึก ตึกชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นๆ ชวนมองของพ่อครูศิลาหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ มือหนาที่เต็มไปด้วยเส้นเหลือดที่แตกระแหนงยกตะเกียงไฟนำทางขึ้น แววตาคมกริบสีนิลกวาดมองไปบริเวณรอบๆ เพื่อหาใครบางคนที่หลวงปู่แสงซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของเขาให้มาพบ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว จะมีก็เพียงเหล่าสัมภเวสีที่พากันลอยเพ่นผ่านไปทั่วเพื่อก่อกวนและขอส่วนบุญจนเขาเริ่มรำคาญ“ออกไป มือนี่กูบ่อยากเฮ็ดไผ” (ออกไป วันนี้ข้าไม่อยากทำร้ายใคร)น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ