หลังจากเสร็จพิธีศิลาก็หันไปมองคนข้างๆที่แอบมองเขาอยู่ตลอดเวลาที่กำลังทำพิธี แต่มองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแม้ว่าจะอยากเอ่ยทักแต่ก็ไม่กล้าเพราะว่าแต่ก่อนว่าเธอเอาไว้เยอะเลยกลัวตัวเองเสียฟอร์ม…
เขาละสายตาจากเธอก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นและเดินไปหาหลวงปู่ซึ่งเป็นปู่ของเขา ที่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆลานทำพิธีโดยมีเหมราชที่เดินตามหลังมาพร้อมกับเอ่ยแซวพ่อครูของตนต่อหน้าหลวงปู่อย่างไม่เกรงกลัวและเกรงใจเพราะพูดหยอกพูดเล่นกันอยู่ประจำ “กั่งฮ่มให่สาวจะของผัดฮ้อนจนเหงื่อไหลเปียกหลัง คักโพดอาจารย์ข่อย” (กางร่มให้สาวตัวเองกลับร้อนจนเหงื่อใหลเปียกหลัง เกินไปจริงๆอาจารย์ผม) “สาวไสล่ะบักเหม พามาให่หลวงปู่เบิ่งแหน่” (สาวไหนล่ะไอ้เหม พามาให้หลวงปู่ดูหน่อย)หลวงปู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าดีใจ เพราะหลานชายเพียงคนเดียวของเขาอายุก็เข้าเลขสามแล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเมียเลยสักนิด จนแกแอบหวั่นใจ “เซาเว้าแหน่บักห่า” (หยุดพูดหน่อยไอ้ห่า) “ป๊าดๆ อาจารย์ข่อยเปลี่ยนไปครับหลวงปู่เบิ่งๆ” (ว้าวๆ อาจารย์ผมเปลี่ยนไปครับหลวงปู่ดูๆ)เหมราชไม่พูดเปล่าชี้มือชี้ไม้ใส่ศิลาไม่หยุด เพี๊ยะ!! “เอ๊อะ!! ทำร้ายร่างกายว่ะ! ฮับบ่ได่ๆ” (โอ้ย!! ทำร้ายร่างกายว่ะ! รับไม่ได้ๆ)มือหนาฟาดลงยังหัวของลูกศิษย์เต็มแรงก่อนที่มันจะเงยหน้ามองเขาแล้วบ่นอุ๊บ “ฮับบ่ได่กะไปไกลๆส้นตีนกู!” (รับไม่ได้ก็ไปไกลๆส้นตีนกู!) ศิลาเริ่มหงุดหงิดเพราะเหมราชยังคงพูดพร่ำไม่หยุดแถมพูดอะไรเรื่อยเปื่อยอีกต่างหาก สงสัยวันนี้มันอยากเจอลูกชายสองตนของเขาแน่ๆถึงปากไม่อยู่สุขแบบนี้ เขาเลยยกขาขึ้นเตรียมจะถีบอีกคนหวังให้มันล้มหัวคมำพื้นทว่า… “นมัสการจ้ะหลวงปู่” “...”ศิลาหันไปมอง นัยตาสีนิลของพ่อครูหนุ่มไหววูบเพียงชั่งครู่ก่อนจะหันหนี เดือนเดินเข้ามาหาหลวงปู่แสงพร้อมกับลูกสาวซึ่งก็คือจันทร์เจ้าขา ทั้งสองสาวพากันนั่งลงยังพื้นดินพนมมือขึ้นเตรียมจะกราบลงพื้น “ลุกๆ มันเปี้ยนบ่ต้องนั่งกะได่” (ลุกๆ มันเปื้อนไม่ต้องนั่งก็ได้)หลวงปู่รีบเอ่ยบอกสองแม่ลูก เดือนจึงได้ยิ้มแห้งให้ก่อนจะลุกขึ้นโดยมีเด็กสาวข้างกายช่วยพยุงและปัดเศษฝุ่นเศษดินออกให้ “แล้วมามีอิหยังอยู่บ่” (แล้วมามีอะไรไหม) “ลูกหนูเพิ่งกลับมาจ้ะ เลยอยากมาขอของขลังจากหลวงปู่ไว้ติดตัวสักหน่อย” “โอ้! กะว่าแม่นไผคือผุงามแท้ ทีแท้กะหลานฮักของหลวงปู่ตั๋วหนิ” (โอ้! ก็ว่าใครทำไมสวยขนาดนี้ ที่แท้ก็หลานรักของหลวงปู่นี่เอง)หลวงปู่แสงหันไปมองจันทร์เจ้าขาเด็กสาวตัวน้อยที่ชอบไปเที่ยวเล่นอยู่ที่บ้านเขาแต่ก่อนเมื่อจำได้ว่าเธอคือเด็กสาวคนนั้นแกก็ระบายรอยยิ้มแสนอบอุ่นมอบให้สองแม่ลูก จันทร์เจ้าขาและเดือนเองก็ยิ้มตอบ “ค่ะหลวงปู่ น้องจันทร์เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี่เองค่ะ เพิ่งรู้ว่าหลวงปู่บวชแล้วก็…”พี่ศิลาเป็นพ่อครู ประโยคหลังจันทร์เจ้าขาไม่ได้เอ่ยออกไปเพียงแค่หันไปมองอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆหลวงปู่ก็เท่านั้น แต่แค่แวบเดียวก็หันกลับมาเพราะไม่กล้าสบตาเขา และแน่นอนว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่รอดพ้นสายตาของชายแก่วัยชราหลวงปู่คนนี้ไปได้แน่นอน ริมฝีปากแห้งผากจึงยกยิ้มขึ้นก่อนจะปลายตาไปมองยังหลานชายที่ทำเป็นเสมองไปทางอื่นไม่สบตาเธอเช่นเดียวกัน “กะให่อิหล่าไปเอาอยู่เฮือนบักศิลามันติล่ะ มีหลายแฮงอยากได่แบบได๋มีเบิ่ด” (ก็ให้หลานไปเอาอยู่บ้านไอ้ศิลามันสิ มีเยอะมากอยากได้แบบไหนมีหมด) “...”ศิลาหันไปมองหน้าหลวงปู่ของตนทันทีแต่ไม่ใช่ไม่พอใจอะไร เขาพอใจ พอใจมาก มากที่สุดเลยแหละ เพราะว่ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะไปเจอคนตัวเล็กนี่ยังไงให้ตัวเองไม่เสียฟอร์ม และหลวงปู่ของเขาก็ช่วยเปิดทางให้ราวกับอ่านความคิดของเขาได้อย่างไรอย่างนั้น ดี ดีมาก! “ถ้ายังไม่มีน้องจันทร์ยังไม่เอาก็ได้ค่ะหลวงปู่ ไว้จะไปหาที่วัดดีกว่า”แม้จะดีใจที่จะได้ไปบ้านของเขา แต่ทว่าอีกใจหนึ่งกลับนึกกลัว เขาเป็นพ่อครูเชียวนะ หมอธรรมของหมู่บ้านน่ะ เธอจะกล้าไปยุ่มย่ามที่บ้านของเขาได้ยังไง แล้วอีกอย่างแต่ก่อนเขาก็ไม่ชอบให้เธอเข้าไปยุ่งกับชีวิตเขาด้วย แต่ตอนนั้นยังเด็กเลยดึงดันไม่ฟังอะไรใคร แต่ตอนนี้ไม่เอาดีกว่าจ้ากลัวผีกลัวคน บรึ๋ย~ “เป็นหยัง? ขี้เดียด” (ทำไม? รังเกียจ) “ปะ เปล่านะคะ น้องจันทร์แค่เกรงใจ” “บ่ได่อิหยัง สิเอาบ่ของน่ะ” (ไม่ได้ติดอะไร จะเอาไหมของน่ะ) หงึก หงึก จันทร์เจ้าขารีบพยักหน้ารับพร้อมกับหันไปมองหน้าแม่ของตัวเองเป็นเชิงขออนุญาติ เดือนจึงพยักหน้าให้ยิ้มๆก่อนจะเอ่ยบอก “งั้นน้าฝากน้องด้วยนะจ้ะพ่อครู เดี๋ยวน้ากลับก่อนต้องไปดูร้าน” “ครับ” “เอ้า แม่…”หันไปพูดกับแม่แบบไม่มีเสียง “โชคดี”เอ่ยตอบแบบไม่มีเสียงเช่นเดียวกัน เดือนยิ้มด้วยความชอบใจก่อนจะเดินออกไปและยกมือขึ้นมาบ่ายๆให้ลูก จันทร์เจ้าขาได้แต่เม้มปากแน่น ยืนตัวแข็งทื่อหันกลับมามองหลวงปู่และศิลากับลูกศิษย์อีกหนึ่งคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา “เดี๋ยวหลวงปู่เมือแล้ว ไปบักเหมไปส่งกูแหน่” (เดี๋ยวหลวงปู่กลับแล้ว ไปไอ้เหมไปส่งกูหน่อย)ว่าจบหลวงปู่ก็กระแทกไม้เท้าลงยังพื้นแล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไป “อ้าว แล้วไผสิไปส่งพ่อครูข่อยล่ะหลวงปู่” (อ้าว แล้วใครจะไปส่งพ่อครูผมล่ะหลวงปู่) “บักปึกเอ้ย ตามมาสิเว้าให่ฟังดอกน่า” (ไอ้โง่เอ้ย ตามมาเดี๋ยวพูดให้ฟังหรอกน่า) “ครับๆ”เหมราชเดินไปพยุงหลวงปู่แล้วเดินไปยังรถก่อนจะขับแล่นออกไป เมื่ออยู่กันเพียงสองคนบริเวณนี้ทำให้ความเงียบเข้าปกคลุมและบรรยากาศน่าอึดอัดก็เริ่มตึงเข้ามา จันทร์เจ้าขาไม่ยอมเอ่ยปากศิลาเองก็ยังคงเงียบจนกระทั่ง… “พ่อครูจ้ะ หนิงอยากให้พ่อครูผูกสายสิญจน์ให้ พอดีว่าอันเก่ามันหายไปไหนไม่รู้น่ะค่ะ พอจะสะดวกไหมคะ” หนุงหนิงหลานสาวป้านันเดินตรงเข้ามาหาทั้งคู่พร้อมกับจีบปากจีบคอขอในสิ่งที่ตนต้องการเสียงหวาน แม้ความจริงแล้วเธออยากจะมาพูดคุยและใกล้ชิดกับพ่อครูให้มากขึ้น เพราะว่าเธอเองก็ชอบพ่อครูไม่ต่างจากจันทร์เจ้าขาเลย เพียงแค่มาชอบหลังจากที่เขารับช่วงต่อจากปู่มาก็เท่านั้น “บ่ว่าง ไปกันเถาะ” (ไม่ว่าง ไปกันเถอะ) “!” “...”จันทร์เจ้าขาหันไปยิ้มให้หนุงหนิงอย่างผู้ชนะ ให้มันรู้ซะบ้างว่าของใครเป็นของใคร หึ! หมับ พรึ่บ! เขาเอ่ยตอบเพียงสั้นๆก่อนจะเอ่ยออกคำสั่งกับอีกคนและไม่รอช้า มือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือเล็กก่อนจะดึงให้เดินตามไปในทันที หนุงหนิงทำได้แค่ยืนหน้าเหวอและชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจและไม่ชอบใจที่จันทร์เจ้าขานั้นได้อยู่ใกล้ชิดพ่อครูศิลาของเธอ ทั้งๆที่เธอพยายามเข้าหาเขามาตลอด แต่แม้แต่แตะมือกันเกินสองนาทีก็ยังไม่เคย เคยแค่ตอนที่เขาผูกสายสิญจน์ให้ที่ข้อมือก็เท่านั้น หนุงหนิงเดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปหาป้าของเธอในทันที พร้อมกับคิดแค้นจันทร์เจ้าขาในใจและรอเวลาเอาคืน… ศิลาจูงมือคนตัวเล็กมายังรถจักรยานของตนที่จอดพิงไว้ข้างต้นไม้ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนฉันแอบหวั่นใจ แต่ไม่ได้หวันใจเพราะคำถามนะ หวั่นใจเพราะน้ำเสียงของเขานี่แหละจะนิ่งจะดุไปไหนอะ “คนเฮาบ่คึดสิทักกันแหน่บ้อ” (คนเราไม่คิดจะทักกันหน่อยเหรอ) “อะ เอ่อ…สวัสดีค่ะพี่ เอ้ย! พ่อครู!” จันทร์เจ้าขาเอ่ยทักทายตามคำที่เขาถามพร้อมกับแกะมือเขาออกและยกมือไหว้สวัสดีคล้ายกับคนที่ไม่สนิทกัน ทำเอาศิลาที่ยืนมองแอบหงุดหงิดเล็กน้อยที่เธอทำตัวห่างเหิน เขาจึงหันไปดึงจักรยานขึ้นมาพร้อมกับนั่งคร่อมแต่จันทร์เจ้าขายังคงยืนนิ่งมองเขาและขมวดคิ้วเป็นปม “หะ ให้นั่งตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ละเห็นว่ามีม่องนั่งม่องได๋” (แล้วเห็นว่ามีที่นั่งตรงไหน) “ก็มันมีแค่เบาะเดียว” “กะมานั่งม่องนี่เดะ” (ก็มานี่งตรงนี้ไง)มือหนาตบลงที่ตักตัวเองสองทีพร้อมกับเอียงคอมองมายังเธอที่กำลังยืนงงอยู่ “ฟ้าวๆ มันฮ้อน” (เร็วๆ มันร้อน) “มันจะนั่งได้จริงๆหรอคะ?” นั่นสิจะนั่งยังไง ตอนเขาปั่นจะไม่ลำบากแย่หรอ แล้วถ้าต้องนั่งตรงนั้นมันก็ต้องใกล้เขามากๆแน่ๆ… พรึ่บ! “อ๊ะ!” มือหนาคว้าเข้าที่เอวขอดกิ่วก่อนจะออกแรงดึงให้มานั่งลงยังตักของตนในท่าไพ่ข้าง มือเล็กรีบเอื้อมเกาะที่รอบคอของเขาทันทีเพราะกลัวตกและยังคงตกใจอยู่ แต่นั่นทำให้อีกคนชอบใจและแอบยิ้มอยู่ในใจเงียบๆ “เกาะไว่ สิปั่นแล้ว” (เกาะไว้ จะปั่นแล้ว) “คะ ค่ะ”ฉันเอ่ยตอบพร้อมกับเกาะรอบคอเขาไว้มือนึง อีกมือหนึ่งก็เกาะเอวเขาไว้แน่น ขณะที่ล้อจักรยานแล่นไปตามถนนลาดยางภายในหมู่บ้าน สายตาหลายคู่ของชาวบ้านมองมายังทั้งสองคนด้วยความสนอกสนใจ จันทร์เจ้าขาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าและซุกเข้ากับอกแกร่งของเขาเพราะเขินและไม่อยากมองไม่อยากให้ใครรู้ว่าคนที่นั่งอยู่คือเธอ ไม่งั้นสาวๆในหมู่บ้านต้องพากันแห่มารุมตบเธอเป็นแน่ที่แย่งพ่อครูสุดหล่อของพวกเธอไป แต่การที่ได้ซุกหน้าเข้ากับอกของเขาเป็นอะไรที่ฟินสุดๆ เพราะนอกจากจะได้สัมผัสกล้ามหน้าท้องแน่นๆของเขาแล้ว ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเขาอีกด้วยทำเอาเธอแทบเคลิ้มแหน่ะ ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก “สะ เสียงอะไร”เจ้าขาที่นั่งเงียบอยู่จู่ๆก็เอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างใกล้ๆหูจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “อยากฮู้เบาะ” (อยากรู้เหรอ) “ก็มัน อ๊ะ!” ฟรึบ! มือหนาปล่อยจากแฮนด์จักรยานและจับเข้าที่หัวของคนบนตักและกดเข้าซบกับแผงอกของตัวเองให้แนบชิดสนิทไม่แม้แต่จะมีที่ว่างให้อากาศได้แทรกผ่าน แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆตามฉบับของเขา “เงียงเบิ่ง เสียงหัวใจของอ้ายที่มันฮ้องเอิ้นหาเจ้า” (ฟังสิ เสียงหัวใจของพี่ที่มันร้องเรียกหาเอ็ง) ฟอร์มไม่อยู่แล้ว รุกเลยแล้วกัน… “///”ฉันรู้หรอกน่าว่ามันคือเสียงของหัวใจของเขาที่เต้นแรงไม่ต่างจากฉันเลยสักนิด แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะหยอดคำหวานใส่เธอแบบนี้ ก็ไหนบอกว่าไม่ชอบไงที่ใจเต้นแรงแบบนี้แสดงว่าเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม กรี๊ดรอแล้วนะ! ใบหน้าเล็กแนบชิดเข้ากับแผงอกแกร่งและตั้งใจฟังเสียงหัวใจของเขายิ่งกว่าตั้งใจเรียนเสียอีก ไหนจะคำพูดหวานหูชวนหลงใหลนั่น ทำเอาใบหน้าสวยเห่อร้อนแดงขึ้นมาด้วยความเขินอาย และไม่กล้าเอ่ยถามอะไรออกไปอีก ไหนจะคำเรียกแทนตัวเองของเขามันยิ่งทำให้จันทร์เจ้าขาเขินหนักเข้าไปใหญ่ ทั้งที่แต่ก่อนเขาไม่เคยพูดแบบนี้กับเธอเลยสักครั้งพอมาตอนนี้ทำไม่ถึง…. “หึ”ศิลาเค้นขำในลำคอแผ่วเบาด้วยความชอบใจ เพราะเมื่อเขาเห็นว่าเธอเงียบจึงเหลือบมอง จึงได้เห็นสองแก้มเนียนๆของเธอนั้นกำลังแดงปรั่งราวกับลูกตำลึงสุขด้วยอาการเขิน เขาจึงไม่รอช้าเอ่ยความในใจออกไปให้เธอได้ฟังด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและกระเส่า “คึดฮอด” (คิดถึง) เขาคิดถึงเธอจริงๆ “...”จันทร์เจ้าขาถึงกับขนลุกซู่หดคอหนี เมื่อริมฝีปากหยักขยับเข้ามากระซิบยังข้างหูเธอ ลมอุ่นๆเป่ารดยังใบหูเล็กจนทำให้เธอหน้าแดงหนักกว่าเดิม ศิลาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้จึงเลื่อนมือขึ้นมาลูบหัวเธอและปั่นจักรยานไปเรื่อยๆตามถนนอย่างอารมณ์ดีและแย้มยิ้มสุดๆจนชาวบ้านพากันมองตาม แต่ถามว่าสนใจไหม ตอบเลยว่าไม่เขาสนใจเพียงคนในอ้อมกอดนี่ต่างหากเมื่อเดินมาถึงจันทร์เจ้าขาก็ถึงกับอ๋อขึ้นมาทันที เพราะเขาพาเธอเดินมาที่ครัวก่อนจะไปเปิดตู้เย็นและก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินตรงมายังเคาเตอร์ไม้และวางของในมือลง ซึ่งมันก็คือผักคะน้าและหมูสับ ศิลาหยิบผักออกมาและเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานและจัดการล้างผักในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วก่อนจะวางมันลงยังตะกร้าเพื่อรอให้สะเด็ดน้ำ ก่อนเขาจะหันมาเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นแล้วค่อยวกกลับไปหยิบผักในตะกร้านั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ การกระทำเล่านั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย นอกจากจะเป็นพ่อครูที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว เขายังทำอาหารเป็นอีกหรอเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอช่วยจะดูแปลกไปไหมนะ มาขอของจากเขาแถมยังมาให้เขาทำกับข้าวให้กินอีก“เอ่อ…พ่อครูให้หนูช่วยไหมคะ”“เฮ็ดเป็น?” (ทำเป็น?)สิ้นประโยคคำถามของคนตัวเล็กมือที่กำลังหั่นผักก็หยุดชะงักลงก่อนจะหันกลับมาและเอียงคอถามกลับ จันทร์เจ้าขาได้แต่ส่ายหน้าให้พร้อมกับยิ้มแห้งๆ“ม่องนี่บ่ต้องซ่อยดอก แค่ซ่อยเฮ็ดโตคือแต่ก่อนท่อนั่นกะพอ” (ตรงนี้ไม่ต้องช่วยหรอก แค่ช่วยทำตัวเหมือนแต่ก่อนแค่นั้นก็พอ)หมายถึงแบ
สำนักพ่อครูศิลาศิลาพาจันทร์เจ้าขาปั่นจักรยานเข้ามายังเขตรั้วบ้านของตนและตรงไปยังใต้ถุนซึ่งเป็นที่เก็บจักรยาน เขาจอดมันอย่างระมัดระวังก่อนจะมองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งเกาะเอวและคอของเขาไว้อยู่ เธอหันหน้ามองออกไปข้างหน้าไม่ขยับหรือกระดุกกระดิกจนเขาแอบคิดว่าเธอแข็งเป็นก้อนหินไปแล้วกึก!“ฮอดแล้ว” (ถึงแล้ว) ศิลาขยับหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเอ่ยกระซิบแผ่วเบา“คะ ค่ะ” จันทร์เจ้าขาขนลุกและหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงลมอุ่นที่เป่ารดต้นคอ จึงรีบกระโดดลงจากตักของเขาพรึ่บ!“หึ” ศิลาหัวเราะในลำคอชอบใจก่อนจะจัดการตั้งขาตั้งจักรยานไว้แล้วหันมามองเธอ ที่ตอนนี้กำลังยืนตัวลีบเรียบร้อยรออยู่ จะน่ารักอะไรขนาดนั้นวะ“ตามมา”“ค่ะ”ศิลาเดินนำขึ้นไปบนบ้านโดยมีจันทร์เจ้าขาเดินตามหลังมาติดๆ เธอมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจเพราะมีหลายอย่างที่แปลกตาออกไปจากแต่ก่อนมาก ขณะที่เจ้าขากำลังสนใจกับบริเวณรอบบ้านจึงไม่ทันมองเลยทำให้…ชนปึก!“อ๊ะ!”มือเล็กยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองพลางมองไปยังอีกคนที่อยู่ๆ ก็หยุดโดยไม่บอกกันก่อน ทำให้เธอชนจนเจ็บตัว“เจ็บบ่” (เจ็บไหม)“เจ็บสิคะ ถามมาได้”“หึ สมน้ำหน้า บ่แนมทางเอง” (หึ สมน้ำหน้า ไม่
หลังจากเสร็จพิธีศิลาก็หันไปมองคนข้างๆที่แอบมองเขาอยู่ตลอดเวลาที่กำลังทำพิธี แต่มองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแม้ว่าจะอยากเอ่ยทักแต่ก็ไม่กล้าเพราะว่าแต่ก่อนว่าเธอเอาไว้เยอะเลยกลัวตัวเองเสียฟอร์ม…เขาละสายตาจากเธอก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นและเดินไปหาหลวงปู่ซึ่งเป็นปู่ของเขา ที่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆลานทำพิธีโดยมีเหมราชที่เดินตามหลังมาพร้อมกับเอ่ยแซวพ่อครูของตนต่อหน้าหลวงปู่อย่างไม่เกรงกลัวและเกรงใจเพราะพูดหยอกพูดเล่นกันอยู่ประจำ“กั่งฮ่มให่สาวจะของผัดฮ้อนจนเหงื่อไหลเปียกหลัง คักโพดอาจารย์ข่อย” (กางร่มให้สาวตัวเองกลับร้อนจนเหงื่อใหลเปียกหลัง เกินไปจริงๆอาจารย์ผม)“สาวไสล่ะบักเหม พามาให่หลวงปู่เบิ่งแหน่” (สาวไหนล่ะไอ้เหม พามาให้หลวงปู่ดูหน่อย)หลวงปู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าดีใจ เพราะหลานชายเพียงคนเดียวของเขาอายุก็เข้าเลขสามแล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเมียเลยสักนิด จนแกแอบหวั่นใจ“เซาเว้าแหน่บักห่า” (หยุดพูดหน่อยไอ้ห่า)“ป๊าดๆ อาจารย์ข่อยเปลี่ยนไปครับหลวงปู่เบิ่งๆ” (ว้าวๆ อาจารย์ผมเปลี่ยนไปครับหลวงปู่ดูๆ)เหมราชไม่พูดเปล่าชี้มือชี้ไม้ใส่ศิลาไม่หยุดเพี๊ยะ!!“เอ๊อะ!! ทำร้ายร่างกายว่ะ! ฮับบ่ได่ๆ” (โอ้ย!! ทำร้ายร่างกายว
ศาลากลางหมู่บ้านจันทร์เจ้าขาเดินเข้ามานั่งยังใต้ร่มไม้กับแม่โดยสายตาก็สอดส่องมองหาใครอีกคนอย่างใจจดใจจ่อด้วยความคิดถึงและอยากรู้อยากเห็นว่าเขาในตอนที่เป็นพ่อครูนั้นดูเก่งเท่ห์ขนาดไหนจะเป็นแบบในหนังหรือเปล่านะแต่เพียงแค่คิดเธอก็ยิ้มจนแก้มแทบจะแตกอยู่แล้วแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอจนจันทร์เจ้าขาต้องถอนหายใจออกมาแรงๆเมื่อไม่ได้ดั่งใจตนและทำสีหน้าเบื่อหน่ายเหม่อมองอะไรไปทั่วอย่างไม่สบอารมณ์จนกระทั่ง….“อ้าวเดือนลูกสาวเบาะ งามแท้เนาะ” (อ้าวเดือนลูกสาวเหรอ สวยจังเลยนะ)“ใช่จ้ะป้านัน น้องจันทร์ไหว้ป้านันเขาหน่อยสิลูก”เดือนเอ่ยตอบพร้อมกับหันมาทางลูกสาวที่มัวแต่เหม่อมองหาใครบางคน เธอจึงสะกิดและเอ่ยบอก“สวัสดีค่ะ”มือเล็กยกขึ้นพนมพร้อมกับก้มหัวไหว้อย่างนอบน้อมตามคำบอกของแม่“โอ้ย ไหว้พระเถาะลูกๆ” (โอ้ยๆ ไหว้พระเถิดลูกๆ)ป้านันเดินมาเอ่ยทักทายก่อนจะหันไปดึงแขนหลานสาวและพากันเดินสะบัดตูดออกไปนั่งยังด้านหน้าซึ่งใกล้กับลานทำพิธีมากที่สุดทำเอาจันทร์เจ้าขาต้องขมวดคิ้วมองเพราะตรงนั้นมันทั้งร้อนและโดนแดดเข้าเต็มๆ“ป้าแกไปนั่งใกล้อะไรขนาดนั้น”“อยากรู้ไหมล่ะ เดี๋ยวแม่พาไป”ว่าแล้วเดือนก็หยัดตัว
หมู่บ้านขุนไพร-ช่วงบ่ายแก่-รถตู้โดยสารมาจอดอยู่หน้าร้านค้าเล็กๆในหมู่บ้านก่อนที่ลูกสาวคนสวยซึ่งก็คือจันทร์เจ้าขาเดินลากกระเป๋าออกมาแล้ววิ่งตรงไปกอดแม่ที่ยืนรอรับด้วยความคิดถึง ใบหน้าสวยซุกเข้าที่อกของแม่อย่างออดอ้อนเหมือนกับตอนที่ตนยังเป็นเด็กก็ชอบทำแบบนี้เช่นกัน เดือนจึงยกมือขึ้นมาลูบหัวและแผ่นหลังบางของลูกสาวด้วยความเอ็นดูและคิดถึง สองแม่ลูกยืนกอดกันกลมอยู่อย่างนั้นนานนับนาทีก่อนจะคลายออก“น้องจันทร์ของแม่สวยขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”เดือนเอ่ยแซวลูกสาวก่อนจะจับให้เธอหมุนตัวเพื่อมองสำรวจ“ก็ต้องสวยสิคะ คุณแม่ของน้องจันทร์สวยมากขนาดนี้ ลูกไม้หล่นจะไกลต้นได้ยังไง~”“ปากหวานเชียวนะ อยากได้อะไรล่ะหืมมม”มือนุ่มของแม่หยีหัวลูกสาวอย่างนึกเอ็นดูพร้อมกับเอ่ยถาม“หงึ เบื่อคนรู้ทันจัง”จันทร์เจ้าขาเบะปากคว่ำแกล้งงอนคนเป็นแม่“กล้าเบื่อแม่เหรอ”“โอ๋ๆนะคะ ใครจะกล้าเบื่อคนสวยของน้องจันทร์กันล่ะ”ฟอดดดดริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มออกกว้างเมื่อได้ขโมยหอมแก้มนุ่มนิ่มของแม่คนที่ไม่ว่าจะหอมกี่ครั้งก็ยังคงชื่นใจไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด เดือนเองก็ได้แต่ยิ้มเขินอายกับการกระทำของลูกสาวที่ต่อให้โตแค่ไหนก็ยังคงทำตัวเ
ป่าช้าหวืดดด~ หวืดดด~เสียงลมพัดจนต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณป่าช้าของวัดบ้านป่าที่ห่างไกลความเจริญโอนเอนไปตามแรงของลม ที่มาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อดังขึ้นเป็นระรอกไม่หยุดพัก ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันรีบปิดประตูปิดบ้านหนีกันไปหมดด้วยความหวาดกลัวเนื่องจากวันนี้เป็นวันปล่อยผีหรือที่ชาวบ้านพากันเรียกว่าวันโกนนั่นเอง… หากเป็นภัยธรรมชาติก็ไม่อาจเลี่ยงได้แต่หากเป็นภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นพวกเขาขอไม่เสี่ยงสู้ปิดบ้านหนีเอาตัวรอดกันไปก่อนเสียยังดีกว่าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ค่อยหาวิธีแก้กันอีกทีในช่วงเช้าตึก ตึก ตึกชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นๆ ชวนมองของพ่อครูศิลาหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ มือหนาที่เต็มไปด้วยเส้นเหลือดที่แตกระแหนงยกตะเกียงไฟนำทางขึ้น แววตาคมกริบสีนิลกวาดมองไปบริเวณรอบๆ เพื่อหาใครบางคนที่หลวงปู่แสงซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของเขาให้มาพบ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว จะมีก็เพียงเหล่าสัมภเวสีที่พากันลอยเพ่นผ่านไปทั่วเพื่อก่อกวนและขอส่วนบุญจนเขาเริ่มรำคาญ“ออกไป มือนี่กูบ่อยากเฮ็ดไผ” (ออกไป วันนี้ข้าไม่อยากทำร้ายใคร)น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ