Share

๐๒ ไม่กล้าสบตา

Author: Cucumber
last update Last Updated: 2025-06-29 22:23:05

ศาลากลางหมู่บ้าน

จันทร์เจ้าขาเดินเข้ามานั่งยังใต้ร่มไม้กับแม่โดยสายตาก็สอดส่องมองหาใครอีกคนอย่างใจจดใจจ่อด้วยความคิดถึงและอยากรู้อยากเห็นว่าเขาในตอนที่เป็นพ่อครูนั้นดูเก่งเท่ห์ขนาดไหนจะเป็นแบบในหนังหรือเปล่านะแต่เพียงแค่คิดเธอก็ยิ้มจนแก้มแทบจะแตกอยู่แล้ว

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอจนจันทร์เจ้าขาต้องถอนหายใจออกมาแรงๆเมื่อไม่ได้ดั่งใจตนและทำสีหน้าเบื่อหน่ายเหม่อมองอะไรไปทั่วอย่างไม่สบอารมณ์จนกระทั่ง….

“อ้าวเดือนลูกสาวเบาะ งามแท้เนาะ” (อ้าวเดือนลูกสาวเหรอ สวยจังเลยนะ)

“ใช่จ้ะป้านัน น้องจันทร์ไหว้ป้านันเขาหน่อยสิลูก”เดือนเอ่ยตอบพร้อมกับหันมาทางลูกสาวที่มัวแต่เหม่อมองหาใครบางคน เธอจึงสะกิดและเอ่ยบอก

“สวัสดีค่ะ”มือเล็กยกขึ้นพนมพร้อมกับก้มหัวไหว้อย่างนอบน้อมตามคำบอกของแม่

“โอ้ย ไหว้พระเถาะลูกๆ” (โอ้ยๆ ไหว้พระเถิดลูกๆ)

ป้านันเดินมาเอ่ยทักทายก่อนจะหันไปดึงแขนหลานสาวและพากันเดินสะบัดตูดออกไปนั่งยังด้านหน้าซึ่งใกล้กับลานทำพิธีมากที่สุดทำเอาจันทร์เจ้าขาต้องขมวดคิ้วมองเพราะตรงนั้นมันทั้งร้อนและโดนแดดเข้าเต็มๆ

“ป้าแกไปนั่งใกล้อะไรขนาดนั้น”

“อยากรู้ไหมล่ะ เดี๋ยวแม่พาไป”

ว่าแล้วเดือนก็หยัดตัวลุกขึ้นจับมือลูกสาวแล้วพาเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่ว่างตรงหน้าลานทำพิธีที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาทำเอาจันทร์เจ้าขารู้สึกแสบตาไปหมดจนต้องลากเก้าอี้ขยับเข้าด้านในแต่ก็ถูกมือของแม่ดึงไว้ก่อนเธอจึงหันไปขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ

“นั่งตรงนี้”

“แต่มันร้อนนะคะ”

“หลวงพ่อจะได้พรมน้ำมนต์โดนเราเยอะๆไงลูก”

เดือนเอ่ยบอกลูกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นทำเอาฉันไม่กล้าปฏิเสธจึงยอมทำตามคำบอกกล่าวของแม่และยกมือขึ้นมาบังแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้แยงตาตัวเองพร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีอย่างสุดจะทน…

รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แววว่างานจะเริ่มจนฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะหน้ามืดเพราะอากาศที่ร้อนบวกกับเธอยังไม่มีข้าวตกถึงท้องมาเลยตั้งแต่เช้าเพราะแม่บอกว่าให้แบกท้องมารอกินที่นี่ สรุปเกือบจะ9โมงอยู่แล้วฉันก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย จนเริ่มรู้สึกแสบท้องขึ้นมาแล้วเนี่ย เห้อ เป็นฉันนี่มันลำบากจริงๆ

“แม่เมื่อไหร่งานจะเริ่ม น้องจันทร์ร้อนจนแสบผิวไปหมดแล้ว หิวแล้วด้วย”

“ชู่ว นู่นไงมาแล้ว”

สิ้นเสียงของเดือนผู้เป็นแม่จันทร์เจ้าขาก็เงยหน้าขึ้นหันไปมองยังฝั่งที่แดดสาดส่องเข้ามาปะทะใบหน้าของตัวเองเต็มๆ แต่ก็มีเงาของใครบางคนเดินเข้ามาบดบังมันไว้ได้พอดีจันทร์เจ้าขาจึงหันไปมองก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นใครอีกคนกำลังเดินตรงเข้ามา หัวใจที่ตอนแรกห่อเหี่ยวงอแงตอนนี้เริ่มเต้นตุบตับราวกับกลองที่กำลังบรรเลงเพลง แต่เป็นเพลงแดนซ์สามช่าด้วยความดีใจปนตื่นเต้นเนื่องจากมันเต้นแรงและเร็วมากอย่างอธิบายไม่ได้ 

ใบหน้าหล่อคมที่แม้จะสวมใส่แว่นกันแดดสีดำเพื่อบดบังก็ยังมองเห็นได้เด่นชัดว่าเขาหล่อมากขนาดไหน ร่างกายกำยำสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงผ้าฝ้ายสีเดียวกัน มือหนากำลูกประคำไว้ในมือและเดินตรงมาด้วยท่าทางสง่า มืออีกข้างยกขึ้นถอดแว่นกันแดดแบรนด์หรูของตัวเองออกก่อนจะจัดการเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อเขาหรี่ตามองไปยังลานพิธีเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองยังทางเดินตรงหน้า เท้าแกร่งยังไม่ทันได้ขยับไปไหนสายตาของเขาดันไปสะดุดเข้ากับใครบางคนเสียก่อน

“กลับมาแล้วสินะ หึ คงหมายถึงคนนี้”

ศิลาพึมพำกับตัวเองพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจแต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นก่อนจะกลับมาทำหน้าเรียบนิ่งดังเดิม

“พ่อครูเว้าอิหยังครับ” (พ่อครูว่ายังไงนะครับ)

เหมราชลูกศิษย์ของศิลาเอ่ยถามอาจารย์ของตนด้วยความสงสัยเพราะเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงอาจารย์พูดอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ค่อยถนัดนักเพราะมัวแต่ถือร่มให้เขาอยู่

“เอาฮ่มไปกั่งให่ผู่นั่น” (เอาร่มไปกางให้คนนั้น)

นิ้วเรียวยกขึ้นชี้ไปยังหญิงสาวสวมชุดผ้าถุงสีอ่อนกับเสื้อผ้าไหมสีไข่ที่กำลังมองมายังเขาตาไม่กระพริบ ซึ่งตอนนี้ใบหน้าสวยเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาแถมยังหน้าแดงจัดจนมันลามไปถึงแขนของเธอแล้วด้วย ทำเอาเขาอดเป็นห่วงไม่ได้

“ครับ?”

“กูเว้าเทื่อเดียว” (กูพูดครั้งเดียว)ศิลาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำทำเอาเหมราชขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

“เอ่อ ครับๆ”

เหมราชรีบเดินตรงไปยังหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับยืนกางร่มให้เธอทันทีโดยไม่สนใจสายตาของชาวบ้านคนอื่นที่กำลังมองมาข้างหน้าอย่างสนอกสนใจ เหมราชเลือกทำตามคำสั่งของคนที่เป็นอาจารย์ แม้จะไม่รู้ว่าเขาให้ทำแบบนั้นทำไมแต่ก็ยอมทำตามเพราะหวาดกลัวสายตาของอาจารย์ตน ที่นอกจากปราบผีและทำพิธีต่างๆแล้วพ่อครูศิลายังชอบสั่งให้กุมารไปแกล้งลูกศิษย์ตัวเองเล่นด้วย และมักจะชอบให้เหตุผลว่า ‘ไม่มีอะไรทำ’ เสมอมา ทำเอาเหมราชหวาดกลัวเพราะกุมารสองตนที่ชอบมาแกล้งนั้นไม่เคยมาในสภาพดีเลยสักครั้ง 

จันทร์เจ้าขาขณะที่กำลังมองเขาตาค้างก็รู้สึกได้ถึงร่มเงาของบางอย่างพร้อมกับพัดลมตัวน้อยที่เปิดพัดจ่อมายังใบหน้าของเธอและกางร่มให้ เจ้าขาขมวดคิ้วหันไปมองก่อนจะสบตาเข้ากับลูกศิษย์ของเขาที่เดินตามหลังในตอนแรกแต่ตอนนี้กลับมากางร่มให้เธอทำเอาเธองงและสงสัยไม่น้อย

“มากางให้ฉันทำไมคะ”เสียงใสเอ่ยถามพร้อมกับมองเขา 

“เอ่ออั่น อาจารย์..หมายถึงพ่อครูให้ผมมากั่งให้ครับ” พูดไทยตกอีสาน-_-

“อะ อ๋อ ขอบคุณค่ะ”

จันทร์เจ้าขาเอ่ยตอบพร้อมกับอมยิ้มอยู่คนเดียวด้วยความดีใจที่เขาทำแบบนี้แสดงว่ายังจำเธอได้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะเป็นพ่อครูไปแล้วแต่ก็ยังไม่ลืมแถมยังให้คนมากางร่มให้เธอแบบนี้อีก แสดงว่าตอนนี้มีใจให้แล้วใช่ไหม!! ฉันสวยขนาดนี้ก็ต้องชอบบ้างละวะ เอาละอิเจ้าขาเอ้ยจะมีผัวเป็นพ่อครูกับเขาก็คราวนี้แหละ

“ยิ้มไม่หุบเชียวนะลูก”

“แม่ก็…”

จันทร์เจ้าขาที่โดนแม่แซวก็ได้แต่บิดตัวเขินอายอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะหันไปสนใจยังลานพิธีที่ตอนนี้มีชายหนุ่มร่างแกร่งเจ้าของร่มคันนี้ กำลังยืนหันหลังหยิบธูปขึ้นมาจุดและยกมือพนมขึ้นเหนือหัว ริมฝีปากหยักขยับท่องบทสวดตามที่เคยร่ำเรียนมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแผ่วเบา สายลมเย็นพัดมาเป็นระยะๆก่อนจะหยุดนิ่งสงบลงพร้อมกับที่มือหนาที่ประดับไปด้วยเส้นเลือดจะปักธูปลงยังในกระถาง มือหนายกขึ้นพนมและจรดไว้เหนือหัวหนึ่งครั้งก่อนจะหันหลังเดินลงมายังด้านล่างและให้หลวงปู่แสงปู่ของเขากับมัคทายกได้ทำพิธีต่อเพราะเขาทำแค่เรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักรักษาหมู่บ้านให้มารวมตัวกันก็เท่านั้น ร่างแกร่งเดินตรงมายังเหมราชก่อนจะเอ่ยปากสั่งลูกศิษย์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไปเอาเก่าอี้มาให่กู” (ไปเอาเก้าอี้มาให้กู)

“แล้วไผสิถือครับ” (แล้วใครจะถือครับ)

พรึ่บ!

“!!”

“มะ ไม่ต้องก็ได้ค่ะเดี๋ยวหนูถือเอง”

เมื่อเห็นว่าศิลาดึงร่มจากเหมราชไปถือไว้ให้เธอ จันทร์เจ้าขาจึงรีบเอ่ยท้วงและทำท่าจะยื่นมือเข้าไปจับร่มไว้เองแต่ทว่ามือหนากลับยกขึ้นสูงสุดแขนทำให้จันทร์เจ้าขาไม่สามารถเอื้อมถึงได้จึงได้แต่ยืนมองเขาตาปริบๆ แต่พอเห็นว่าเขากำลังมองมาที่เธออยู่แล้วทำให้จันทร์เจ้าขารีบก้มหน้าลงหลบสายตาของเขาทันที 

เพราะเพียงแค่เห็นใบหน้าหล่อของเขาเธอก็หัวใจเต้นแรงและมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูกไปหมดแล้วยิ่งมาอยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้อีก ทำเอาจันทร์เจ้าขาหัวใจแทบจะวายไปเลยด้วยซ้ำ คนอะไรแค่ยืนมองยังมีผลต่อหัวใจของเธอมากขนาดนี้

“หึ”

“...”

“นั่งลง”

น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยออกคำสั่ง จันทร์เจ้าขาเองก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะพอมองไปรอบๆแล้วก็มีสายตาหลายคู่กำลังมองมาที่เธอและเขาอยู่พอดีจึงรีบนั่งลง และไม่นานเหมราชก็วิ่งกลับมาพร้อมกับเก้าอี้สองตัว เขาคว้ามันมาวางลงด้านข้างของเธอและยื่นร่มให้เหมราชที่กำลังวางเก้าอี้อีกตัวอยู่ข้างหน้าเธอและแม่(แดดมันส่องมาจากทางข้างหน้า) ขณะที่ทั้งสองกำลังจะนั่งลงก็มีผู้ใหญ่ชัยผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านขุนไพรเดินเข้ามาทักเสียก่อน

“พ่อครูไปนั่งม่องฮั่นที่ข่อยเตรียมไว่ให่ดีกั่วครับ ม่องนี่มันฮ้อน” (พ่อครูไปนั่งตรงนั้นที่ผมเตรียมไว้ให้ดีกว่าครับ ตรงนี้มันร้อน)

“แล้วชาวบ้านเพิ่นบ่ฮ้อน?” (แล้วชาวบ้านเขาไม่ร้อน?)

คำพูดห้วนสั้นของเขาแค่ไม่กี่คำทำเอาผู้ใหญ่บ้านที่มีอายุมากกว่าหลายปีชะงักนิ่งหน้าเจื่อนลงทันตาเห็น ก่อนที่จันทร์เจ้าขาจะได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ตนและเหมราชที่อยู่ใกล้ๆดังออกมาอย่างคนกลั้นขำ 

“คะ ครับ เทื่อหน้าข่อยสิให่บักเชนมันเอาเต็นท์มากั่ง” (คะ ครับ รอบหน้าผมจะให้ไอ้เชนมันเอาเต็นท์มากาง)ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยบอกด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“อืม”

ศิลาเอ่ยตอบแค่นั้นก่อนจะหยิบแว่นกันแดดแบรนด์หรูขึ้นมาสวมใส่และหันไปมองยังลานพิธีที่ตอนนี้หลวงพ่อและมัคทายกกำลังเริ่มทำพิธีและพาชาวบ้านพูดว่าตามไม่ขาดปาก เขาจึงเลิกสนใจผู้ใหญ่และหันไปพนมมือขึ้นตั้งใจฟังพิธีด้วยท่าทีสงบนิ่งอย่างที่เคยเป็นแม้ว่าในใจจะไม่สงบดั่งเช่นภายนอกเลยก็ตาม เหตุผลก็น่าจะรู้ๆกันอยู่

จันทร์เจ้าขานั่งพนมมือตามแม่และมองไปยังลานพิธีด้านหน้าแสร้งทำเป็นสนใจแต่ความจริงแล้วเธอกำลังสนใจใครอีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้างของตัวเองเสียมากกว่า คนอะไรขนาดนั่งนิ่งๆยังหล่อเลยอะ แบบนี้ใครจะไปทนไหว ขอแอบมองหน่อยแล้วกัน 

แววตาใสเป็นประกายวาวราวกับโดนชายหนุ่มตรงหน้าสะกดเอาไว้เธอจ้องมองเขาไม่ละสายตาอย่างหลงใหล แต่มองได้ไม่นานนักก็ถูกเขามองกลับมาทำให้จันทร์เจ้าขาต้องรีบหันหน้ามองตรงและเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นด้วยความประหม่าและหัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง… สายตานั่น ใบหน้านั่น โอ้ยย หล่อโฮกอิเจ้าขาจะตาย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๕ อืม แซ่บ

    เมื่อเดินมาถึงจันทร์เจ้าขาก็ถึงกับอ๋อขึ้นมาทันที เพราะเขาพาเธอเดินมาที่ครัวก่อนจะไปเปิดตู้เย็นและก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินตรงมายังเคาเตอร์ไม้และวางของในมือลง ซึ่งมันก็คือผักคะน้าและหมูสับ ศิลาหยิบผักออกมาและเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานและจัดการล้างผักในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วก่อนจะวางมันลงยังตะกร้าเพื่อรอให้สะเด็ดน้ำ ก่อนเขาจะหันมาเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นแล้วค่อยวกกลับไปหยิบผักในตะกร้านั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ การกระทำเล่านั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย นอกจากจะเป็นพ่อครูที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว เขายังทำอาหารเป็นอีกหรอเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอช่วยจะดูแปลกไปไหมนะ มาขอของจากเขาแถมยังมาให้เขาทำกับข้าวให้กินอีก“เอ่อ…พ่อครูให้หนูช่วยไหมคะ”“เฮ็ดเป็น?” (ทำเป็น?)สิ้นประโยคคำถามของคนตัวเล็กมือที่กำลังหั่นผักก็หยุดชะงักลงก่อนจะหันกลับมาและเอียงคอถามกลับ จันทร์เจ้าขาได้แต่ส่ายหน้าให้พร้อมกับยิ้มแห้งๆ“ม่องนี่บ่ต้องซ่อยดอก แค่ซ่อยเฮ็ดโตคือแต่ก่อนท่อนั่นกะพอ” (ตรงนี้ไม่ต้องช่วยหรอก แค่ช่วยทำตัวเหมือนแต่ก่อนแค่นั้นก็พอ)หมายถึงแบ

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๔ ของขลังของใจ

    สำนักพ่อครูศิลาศิลาพาจันทร์เจ้าขาปั่นจักรยานเข้ามายังเขตรั้วบ้านของตนและตรงไปยังใต้ถุนซึ่งเป็นที่เก็บจักรยาน เขาจอดมันอย่างระมัดระวังก่อนจะมองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งเกาะเอวและคอของเขาไว้อยู่ เธอหันหน้ามองออกไปข้างหน้าไม่ขยับหรือกระดุกกระดิกจนเขาแอบคิดว่าเธอแข็งเป็นก้อนหินไปแล้วกึก!“ฮอดแล้ว” (ถึงแล้ว) ศิลาขยับหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเอ่ยกระซิบแผ่วเบา“คะ ค่ะ” จันทร์เจ้าขาขนลุกและหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงลมอุ่นที่เป่ารดต้นคอ จึงรีบกระโดดลงจากตักของเขาพรึ่บ!“หึ” ศิลาหัวเราะในลำคอชอบใจก่อนจะจัดการตั้งขาตั้งจักรยานไว้แล้วหันมามองเธอ ที่ตอนนี้กำลังยืนตัวลีบเรียบร้อยรออยู่ จะน่ารักอะไรขนาดนั้นวะ“ตามมา”“ค่ะ”ศิลาเดินนำขึ้นไปบนบ้านโดยมีจันทร์เจ้าขาเดินตามหลังมาติดๆ เธอมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจเพราะมีหลายอย่างที่แปลกตาออกไปจากแต่ก่อนมาก ขณะที่เจ้าขากำลังสนใจกับบริเวณรอบบ้านจึงไม่ทันมองเลยทำให้…ชนปึก!“อ๊ะ!”มือเล็กยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองพลางมองไปยังอีกคนที่อยู่ๆ ก็หยุดโดยไม่บอกกันก่อน ทำให้เธอชนจนเจ็บตัว“เจ็บบ่” (เจ็บไหม)“เจ็บสิคะ ถามมาได้”“หึ สมน้ำหน้า บ่แนมทางเอง” (หึ สมน้ำหน้า ไม่

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๓ ใกล้ชิดและคิดถึง

    หลังจากเสร็จพิธีศิลาก็หันไปมองคนข้างๆที่แอบมองเขาอยู่ตลอดเวลาที่กำลังทำพิธี แต่มองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแม้ว่าจะอยากเอ่ยทักแต่ก็ไม่กล้าเพราะว่าแต่ก่อนว่าเธอเอาไว้เยอะเลยกลัวตัวเองเสียฟอร์ม…เขาละสายตาจากเธอก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นและเดินไปหาหลวงปู่ซึ่งเป็นปู่ของเขา ที่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆลานทำพิธีโดยมีเหมราชที่เดินตามหลังมาพร้อมกับเอ่ยแซวพ่อครูของตนต่อหน้าหลวงปู่อย่างไม่เกรงกลัวและเกรงใจเพราะพูดหยอกพูดเล่นกันอยู่ประจำ“กั่งฮ่มให่สาวจะของผัดฮ้อนจนเหงื่อไหลเปียกหลัง คักโพดอาจารย์ข่อย” (กางร่มให้สาวตัวเองกลับร้อนจนเหงื่อใหลเปียกหลัง เกินไปจริงๆอาจารย์ผม)“สาวไสล่ะบักเหม พามาให่หลวงปู่เบิ่งแหน่” (สาวไหนล่ะไอ้เหม พามาให้หลวงปู่ดูหน่อย)หลวงปู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าดีใจ เพราะหลานชายเพียงคนเดียวของเขาอายุก็เข้าเลขสามแล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเมียเลยสักนิด จนแกแอบหวั่นใจ“เซาเว้าแหน่บักห่า” (หยุดพูดหน่อยไอ้ห่า)“ป๊าดๆ อาจารย์ข่อยเปลี่ยนไปครับหลวงปู่เบิ่งๆ” (ว้าวๆ อาจารย์ผมเปลี่ยนไปครับหลวงปู่ดูๆ)เหมราชไม่พูดเปล่าชี้มือชี้ไม้ใส่ศิลาไม่หยุดเพี๊ยะ!!“เอ๊อะ!! ทำร้ายร่างกายว่ะ! ฮับบ่ได่ๆ” (โอ้ย!! ทำร้ายร่างกายว

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๒ ไม่กล้าสบตา

    ศาลากลางหมู่บ้านจันทร์เจ้าขาเดินเข้ามานั่งยังใต้ร่มไม้กับแม่โดยสายตาก็สอดส่องมองหาใครอีกคนอย่างใจจดใจจ่อด้วยความคิดถึงและอยากรู้อยากเห็นว่าเขาในตอนที่เป็นพ่อครูนั้นดูเก่งเท่ห์ขนาดไหนจะเป็นแบบในหนังหรือเปล่านะแต่เพียงแค่คิดเธอก็ยิ้มจนแก้มแทบจะแตกอยู่แล้วแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอจนจันทร์เจ้าขาต้องถอนหายใจออกมาแรงๆเมื่อไม่ได้ดั่งใจตนและทำสีหน้าเบื่อหน่ายเหม่อมองอะไรไปทั่วอย่างไม่สบอารมณ์จนกระทั่ง….“อ้าวเดือนลูกสาวเบาะ งามแท้เนาะ” (อ้าวเดือนลูกสาวเหรอ สวยจังเลยนะ)“ใช่จ้ะป้านัน น้องจันทร์ไหว้ป้านันเขาหน่อยสิลูก”เดือนเอ่ยตอบพร้อมกับหันมาทางลูกสาวที่มัวแต่เหม่อมองหาใครบางคน เธอจึงสะกิดและเอ่ยบอก“สวัสดีค่ะ”มือเล็กยกขึ้นพนมพร้อมกับก้มหัวไหว้อย่างนอบน้อมตามคำบอกของแม่“โอ้ย ไหว้พระเถาะลูกๆ” (โอ้ยๆ ไหว้พระเถิดลูกๆ)ป้านันเดินมาเอ่ยทักทายก่อนจะหันไปดึงแขนหลานสาวและพากันเดินสะบัดตูดออกไปนั่งยังด้านหน้าซึ่งใกล้กับลานทำพิธีมากที่สุดทำเอาจันทร์เจ้าขาต้องขมวดคิ้วมองเพราะตรงนั้นมันทั้งร้อนและโดนแดดเข้าเต็มๆ“ป้าแกไปนั่งใกล้อะไรขนาดนั้น”“อยากรู้ไหมล่ะ เดี๋ยวแม่พาไป”ว่าแล้วเดือนก็หยัดตัว

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๑ พ่อครู

    หมู่บ้านขุนไพร-ช่วงบ่ายแก่-รถตู้โดยสารมาจอดอยู่หน้าร้านค้าเล็กๆในหมู่บ้านก่อนที่ลูกสาวคนสวยซึ่งก็คือจันทร์เจ้าขาเดินลากกระเป๋าออกมาแล้ววิ่งตรงไปกอดแม่ที่ยืนรอรับด้วยความคิดถึง ใบหน้าสวยซุกเข้าที่อกของแม่อย่างออดอ้อนเหมือนกับตอนที่ตนยังเป็นเด็กก็ชอบทำแบบนี้เช่นกัน เดือนจึงยกมือขึ้นมาลูบหัวและแผ่นหลังบางของลูกสาวด้วยความเอ็นดูและคิดถึง สองแม่ลูกยืนกอดกันกลมอยู่อย่างนั้นนานนับนาทีก่อนจะคลายออก“น้องจันทร์ของแม่สวยขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”เดือนเอ่ยแซวลูกสาวก่อนจะจับให้เธอหมุนตัวเพื่อมองสำรวจ“ก็ต้องสวยสิคะ คุณแม่ของน้องจันทร์สวยมากขนาดนี้ ลูกไม้หล่นจะไกลต้นได้ยังไง~”“ปากหวานเชียวนะ อยากได้อะไรล่ะหืมมม”มือนุ่มของแม่หยีหัวลูกสาวอย่างนึกเอ็นดูพร้อมกับเอ่ยถาม“หงึ เบื่อคนรู้ทันจัง”จันทร์เจ้าขาเบะปากคว่ำแกล้งงอนคนเป็นแม่“กล้าเบื่อแม่เหรอ”“โอ๋ๆนะคะ ใครจะกล้าเบื่อคนสวยของน้องจันทร์กันล่ะ”ฟอดดดดริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มออกกว้างเมื่อได้ขโมยหอมแก้มนุ่มนิ่มของแม่คนที่ไม่ว่าจะหอมกี่ครั้งก็ยังคงชื่นใจไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด เดือนเองก็ได้แต่ยิ้มเขินอายกับการกระทำของลูกสาวที่ต่อให้โตแค่ไหนก็ยังคงทำตัวเ

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๐ อารัมภบท

    ป่าช้าหวืดดด~ หวืดดด~เสียงลมพัดจนต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณป่าช้าของวัดบ้านป่าที่ห่างไกลความเจริญโอนเอนไปตามแรงของลม ที่มาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อดังขึ้นเป็นระรอกไม่หยุดพัก ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันรีบปิดประตูปิดบ้านหนีกันไปหมดด้วยความหวาดกลัวเนื่องจากวันนี้เป็นวันปล่อยผีหรือที่ชาวบ้านพากันเรียกว่าวันโกนนั่นเอง… หากเป็นภัยธรรมชาติก็ไม่อาจเลี่ยงได้แต่หากเป็นภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นพวกเขาขอไม่เสี่ยงสู้ปิดบ้านหนีเอาตัวรอดกันไปก่อนเสียยังดีกว่าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ค่อยหาวิธีแก้กันอีกทีในช่วงเช้าตึก ตึก ตึกชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นๆ ชวนมองของพ่อครูศิลาหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ มือหนาที่เต็มไปด้วยเส้นเหลือดที่แตกระแหนงยกตะเกียงไฟนำทางขึ้น แววตาคมกริบสีนิลกวาดมองไปบริเวณรอบๆ เพื่อหาใครบางคนที่หลวงปู่แสงซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของเขาให้มาพบ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว จะมีก็เพียงเหล่าสัมภเวสีที่พากันลอยเพ่นผ่านไปทั่วเพื่อก่อกวนและขอส่วนบุญจนเขาเริ่มรำคาญ“ออกไป มือนี่กูบ่อยากเฮ็ดไผ” (ออกไป วันนี้ข้าไม่อยากทำร้ายใคร)น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status