เมื่อเดินมาถึงจันทร์เจ้าขาก็ถึงกับอ๋อขึ้นมาทันที เพราะเขาพาเธอเดินมาที่ครัวก่อนจะไปเปิดตู้เย็นและก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินตรงมายังเคาเตอร์ไม้และวางของในมือลง ซึ่งมันก็คือผักคะน้าและหมูสับ ศิลาหยิบผักออกมาและเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานและจัดการล้างผักในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วก่อนจะวางมันลงยังตะกร้าเพื่อรอให้สะเด็ดน้ำ ก่อนเขาจะหันมาเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นแล้วค่อยวกกลับไปหยิบผักในตะกร้านั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ การกระทำเล่านั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย นอกจากจะเป็นพ่อครูที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว เขายังทำอาหารเป็นอีกหรอเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอช่วยจะดูแปลกไปไหมนะ มาขอของจากเขาแถมยังมาให้เขาทำกับข้าวให้กินอีก
“เอ่อ…พ่อครูให้หนูช่วยไหมคะ”
“เฮ็ดเป็น?” (ทำเป็น?)
สิ้นประโยคคำถามของคนตัวเล็กมือที่กำลังหั่นผักก็หยุดชะงักลงก่อนจะหันกลับมาและเอียงคอถามกลับ จันทร์เจ้าขาได้แต่ส่ายหน้าให้พร้อมกับยิ้มแห้งๆ
“ม่องนี่บ่ต้องซ่อยดอก แค่ซ่อยเฮ็ดโตคือแต่ก่อนท่อนั่นกะพอ” (ตรงนี้ไม่ต้องช่วยหรอก แค่ช่วยทำตัวเหมือนแต่ก่อนแค่นั้นก็พอ)
หมายถึงแบบไหน อะไร ยังไง แบบที่วิ่งตามตูดเขาต้อยๆ น่ะเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก
“แต่ตอนนั้นพ่อครูยังไม่ได้เป็นพ่อครูนี่คะ”
“เป็นหยัง เป็นพ่อครูแล้วเจ้าเฮ็ดคือเก่าบ่ได่?” (ทำไม เป็นพ่อครูแล้วเอ็งทำแบบเดิมไม่ได้?)
“ก็…พ่อครูบอกเองนี่คะว่าไม่ชอบให้มายุ่ง แล้วหนูก็ยังไม่ชินด้วย”
“ฮู้นำติ คึดวาบ่ฮู้ บอกไปบ่เคยฟัง” (รู้ด้วยเหรอ นึกว่าไม่รู้ซะอีก บอกไปไม่เคยฟัง)
“...” จันทร์เจ้าขาได้แต่เม้มปากเข้าหากันแน่นเพราะไปไม่เป็น ที่เขาพูดมามันก็ถูกทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เธอเองก็ไม่ชินเช่นเดียวกันที่ต้องพูดและทำตัวห่างเหินจากเขามากขนาดนี้ทั้งที่ในใจอยากจะวิ่งเข้าไปกอดเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่กล้า เผื่อเผลอทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าของเขาเสื่อมขึ้นมาทำยังไง ถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันคงโดนตราหน้าว่าเป็นตัวซวยของหมู่บ้านกันพอดี
“ไปนั่งถ่าม่องฮั่นไป” (ไปนั่งรอตรงนั้นไป)
“ค่ะ”
เมื่อเอ่ยสั่งเสร็จศิลาก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อ ซึ่งเมนูวันนี้ก็คือข้าวผัดคะน้าหมูสับ ความจริงอยากทำต้มยำกุ้งแบบที่เธอชอบให้กินแต่ว่าในตู้มันไม่ค่อยจะมีของอะไรเพราะอยู่คนเดียวเลยกินอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว สงสัยเขาจะต้องซื้อของที่เธอชอบตุนไว้สักหน่อยแล้ว แล้วค่อยหลอกล่อให้มาหาเขาอีกที
จันทร์เจ้าขาเดินตรงไปยังโต๊ะไม้สักสำหรับทานข้าวแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คดู เพราะตั้งแต่กลับมาเธอยังไม่ได้เปิดดูมันเลย
ครืดดด ครืดดด
เมื่อเปิดโทรศัพท์ขึ้นมันก็สั่นขึ้นมาทันที จันทร์เจ้าขาจึงมองที่ปลายสายก่อนจะกดรับและวางโทรศัพท์ไว้ตรงขวดน้ำเพื่อใช้มันตั้งกล้อง ให้เธอได้คุยถนัดๆ
(ไม่โทรมาเลยนะสาว) >ไอติม
“โทษทีพอดีฉันเพิ่งเปิดโทรศัพท์น่ะ”
(อยู่บ้านเหรอ) >พริมโรส
“เปล่า…”
(อ้าว แล้วอยู่ไหน) >พริมโรส
“อยู่…”
“มากินเข่า” (มากินข้าว)
“เอ่อ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ”
(เสียงผู้ชาย! แกอยู่ไหนนน!) >ไอติม
ติ๊ด!
ปลายนิ้วเรียวกดตัดสายทันทีในตอนที่ใครอีกคนเรียกและพวกมันกำลังจะตะโกนโวยวายถาม แต่จันทร์เจ้าขาไม่ได้สนใจหันมาสนใจคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ดีกว่าเพราะเธอถือคติว่า ผู้ต้องมาก่อนเพื่อนเสมอ
“เว้านำไผ” (คุยกับใคร)
“เพื่อนค่ะ”
“ผู้หญิงผู้ชาย?” เอ่ยถามเสียงเรียบพร้อมกับวางจานข้าวผัดลงยังโต๊ะไม้สักตรงหน้า
“ผู้หญิงค่ะ”
จันทร์เจ้าขากลั้นยิ้มเอาไว้แทบไม่อยู่ ที่เขาถามแบบนี้แสดงว่ามีใจชัวร์ แถมตอนปั่นจักรยานมายังบอกว่าคิดถึงเธออีกด้วย อยากกรี๊ด
“อืม เอ่าแล้วแล้วฟ้าวกิน” (อืม เอ้าเสร็จแล้ว รีบกิน)
“ค่ะ แล้วพ่อครูไม่กินหรอคะ”
“กินก่อนเลย”
จันทร์เจ้าขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะตักข้าวเข้าปากพร้อมกับแอบเหลือบมองศิลาไปด้วย และแน่นอนว่าเขากำลังมองมาและทำให้ทั้งคู่สบตากันอีกแล้วจันทร์เจ้าขาจึงรีบหันหนีและเคี้ยวข้าวตุ่ยๆ
“แซ่บบ่” (อร่อยไหม)
“ค่ะ”
เอ่ยตอบพร้อมกับพยักหน้า มือก็กำลังตักข้าวจะเอาเข้าปากอีกครั้งทว่าจู่ๆ ศิลาก็ลุกขึ้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ไส ป้อนแหน่” (ไหน ป้อนหน่อย)
“คะ?”
“กินนำ” (กินด้วย)
“ดะ เดี๋ยวไปเอาช้อนให้ค่ะ” จันทร์เจ้าขากำลังจะวางช้อนลงแต่ก็ถูกมือหนาเลื่อนมาจับไว้เสียก่อน พร้อมกับอ้าปากงับช้อนและยัดข้าวเข้าปากตัวเอง
หมับ
งับ
“!!!”
“อืม แซ่บ” (อืม อร่อย)
ศิลาเคี้ยวข้าวอยู่ในปากแล้วมองหน้าจันทร์เจ้าขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งยังทำลอยหน้าลอยตาอีก ไหนแม่บอกว่าเขาเปลี่ยนไปไง นี่มันคนเดิมชัดๆ ชอบกวนอวัยวะเบื้องล่างสุดๆ แล้วก็บอกว่าไม่ชอบทั้งที่ทำกับเธอแบบนี้ตั้งแต่ตอนนั้น จนตอนนี้ก็ยังทำอยู่
มือเล็กตักข้าวเข้าปากพร้อมกับมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย เพราะว่าทำตัวไม่ถูกที่ถูกเขานั่งมองตอนกินแบบนี้ จากปกติกินคำใหญ่ๆ ก็ต้องกินคำเล็กลง ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด เห้อ
“ปกติกินคำโป่มกั่วนี่บ่แม่นเบาะ” (ปกติกินคำใหญ่กว่านี้ไม่ใช่เหรอ)
“ห๊า…” ขณะที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากจู่ๆ ศิลาก็เอ่ยถามขึ้น ทำให้มือที่ถือช้อนไว้หยุดนิ่งกลางอากาศ จันทร์เจ้าขาช้อนตาขึ้นมองเขาและอ้าปากค้าง
“แมงวันบินเข่าปากแล้ว” (แมลงวันบินเข้าปากแล้ว)
มือเล็กรีบวางช้อนลงก่อนจะทำท่าทำทีว่สปัดไล่แมลงวันออก ทั้งๆ ที่มันไม่มีเลยสักตัว ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงหัวเราะของเขาจึงหันไปมองค้อนใส่ เพราะเธอรู้แล้วว่ากำลังโดนเขาหลอก
“คนขี้ตั๋ว!” (คนโกหก!)
“กะอยากให่ตั๋วเอง ซ่อยบ่ดะ-” (ก็อยากให้โกหกเอง ช่วยไม่ดะ-)
“พ่อครู!!!”
ควับ
ขณะที่กำลังคุยกับคนตัวเล็กที่ตอนนี้หายเกร็งและคุยกับเขาปกติเหมือนแต่ก่อนแล้ว ก็มีเสียงคนมาตะโกนเรียกขัดจังหวะเสียก่อน ศิลาถอนหายใจออกมาอย่างอดทนอดกลั้นก่อนจะหันไปมอง
จันทร์เจ้าขาเองก็เช่นเดียวกัน จริงๆ ก็ได้ยินตั้งแต่มีเสียงรถขับเข้ามาแล้วแหละแต่เจ้าของบ้านเขาไม่ได้สนใจไง เรามีคนคนนอกก็เลยไม่กล้าเอ่ยถาม แม้ในใจจะอยากรู้มากก็เถอะ
“เดี๋ยวมา” ศิลาลุกขึ้นก่อนจะหันมาเอ่ยบอก
“ค่ะ”
จันทร์เจ้าขาตอบรับและพยักหน้าหงึกๆ พอศิลาเดินพ้นครัวออกไปเธอก็รีบตักข้าวยัดเข้าปากรวดเดียวจนหมดแล้วจัดการล้างจานคว่ำไว้ให้เขาทันที ก่อนจะเดินย่องๆ ไปเอาหูแนบกับผนังครัวเพื่อฟังคนด้านนอกว่าคุยอะไรกัน…
.
“ตะโกนหาพ่อมึงเบาะบักเหม” (ตะโกนหาพ่อมึงเหรอไอ้เหม)
ร่างแกร่งเดินพ้นห้องครัวออกมาก็เห็นว่าลูกศิษย์ตนนั้นกำลังนั่งรออยู่ที่พรมด้านหน้าโต๊ะไม้สัก จึงเดินเข้าไปนั่งแล้วเอ่ยถาม
“ข่อยกะเอิ้นเจ้าแบบนี้ตลอดเดะพ่อครู ว่าแต่น้องคนสวยเมือยัง” (ผมก็เรียกคุณแบบนี้ตลอดนะพ่อครู ว่าแต่น้องคนสวยกลับยัง) เหมราชเอ่ยถามพร้อมกับชะโงกหน้ามองหาใครอีกคนที่อาจารย์ของตนนั้นพากลับมาด้วย
เพี๊ยะ!
“เอ๊อะ! ฮ่วยบ่แม่นบักสองตนนั้นเดะ สิมาฟาดข่อยเฮ็ดหยัง” (โอ้ย! ไม่ใช่ไอ้สองตนนั้นนะ จะมาฟาดผมทำไม) เหมราชร้องออกมาเสียงดังเมื่อโดนฝ่ามือหนักๆ ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของอาจารย์ตนนั้นตบเข้าที่หัวจนมันสั่นคลอน
“มึงเอิ้นหากูมีอิหยัง อย่านอกเฮื่อง” (มึงเรียกหากูมีอะไร อย่านอกเรื่อง)
“อ๋อ คุณพิมพ์เพิ่นสิมาอาบน้ำมนต์อีกสามมื้อข่างหน่า เลยฝากข่อยมาบอกเจ้า” (อ๋อ คุณพิมพ์เขาจะมาอาบน้ำมนต์อีกสามวันข้างหน้า เลยฝากผมมาบอกคุณ)
“กูบ่ว่าง” (กูไม่ว่าง)
“แต่”
“มึงเซาจับคูให่กูกับลูกกำนันได่แล้ว กูบ่ได่มักเพิ่น” (มึงหยุดจับคู่ให้กูกับลูกกำนันได้แล้ว กูไม่ได้ชอบเขา)
นิ้วเรียวยกขึ้นชี้หน้าลูกศิษย์อย่างคาดโทษก่อนจะลุกขึ้นหันหลังกลับเตรียมจะเดินเข้าครัว
“แต่มักคนที่อยู่นำตอนนี่แม่นบ่ละครับนาย” (แต่ชอบคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ใช่ไหมละครับนาย) เหมราชเอ่ยตามหลังเสียงแผ่วอย่างแซวๆ เพราะไม่กล้าพูดเสียงดังให้เขาได้ยิน
“กูได่ฮิน” (กูได้ยิน)
“กะเว้าให่ได่ฮินนี่ล่ะ” (ก็พูดให้ได้ยินนี่แหละ) เหมราชเอ่ยตามหลัง
ว่าจบจบศิลาก็เดินไปที่ครัวทันที จังหวะนั้นคนที่แอบฟังอยู่ก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานทำท่าเก็บจานทันทีเพราะกลัวโดนจับได้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปแอบฟังเขาทำไมและจะหลบทำไมทั้งๆที่พวกเขาคุยกันเสียงดังขนาดนั้น ต่อให้ไม่ไปแอบฟังก็ได้ยิน
สองคิ้วหนาขมวดเข้าหากันพร้อมกับมองไปยังคนตัวเล็กที่เพิ่งวางจานลงยังตะกร้าเสร็จแล้วหันมามองเขาพอดี จันทร์เจ้าขาส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเช็ดมือและเดินตรงเข้ามาหา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“บ่มี กินแล้วละเบาะ” (ไม่มี กินเสร็จแล้วเหรอ)
“ค่ะ เดี๋ยวหนูกลับบ้านแล้วนะคะ ป่านนี้แม่คอยแล้ว”
“อืม เดี๋ยวไปส่ง”
หมับ
มือหนาเลื่อนมาจับมือเล็กนุ่มนิ่มไว้ก่อนจะพาเดินออกมาจากครัวโดยไม่แคร์สายตาของเหมราชที่กำลังมองทั้งคู่ตาค้างอยู่ แม้ว่าหลวงปู่จะเล่าให้เขาฟังแล้วถึงเรื่องราวของทั้งคู่แต่ก่อนและตอนที่พี่สาวคนสวยย้ายไปเรียนที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้เห็นกับตาเขาเลยไม่เชื่อแต่มาตอนนี้เขาเชื่อเต็มอกเลยแหละว่าอาจารย์ของเขานั่นหลงเธอมากแค่ไหน มองจาดดวงจันทร์ลงมายังดูออกเลย
.
.
ร้านแม่เดือน
หลังจากที่ศิลามาส่งจันทร์เจ้าขาเสร็จก็กลับไปทันที ทำให้คนที่รอจะเจอเขามาตลอดเสียใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่างเถอะอย่างน้อยวันนี้ก็เกิดกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะแล้ว
“ยิ้มแป้นเชียวนะ”
“ก็คนมันอารมณ์ดีนี่คะแม่”
เดือนเอ่ยแซวลูกสาวขณะที่กำลังยืนหั่นผักเตรียมทำกับข้าวเที่ยงอยู่ในครัว จันทร์เจ้าขายิ้มร่าก่อนจะเดินไปสวมกอดแม่จากทางด้านหลังแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่อารมณ์ดีสุดๆ
เดือนวางมีดลงจากมือก่อนจะกอดตอบลูกสาวอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยถามเรื่องที่อยากรู้
“เป็นไง พอเจอพี่เขาแล้วยังชอบอยู่ไหม”
“ชอบสิคะ ชอบมากกว่าเดิมด้วย!”
“หึ นั่นสินะ แต่ก่อนเราชอบพี่เขาขนาดนั้นตอนนี้จะเลิกชอบไปง่ายๆ ก็คงจะไม่ใช่ เอาเถอะแม่เอาใจช่วย แต่ว่า…”
“แต่อะไรคะแม่”
เดือนพูดแค่นั้นแล้วหยุดชะงัก จันทร์เจ้าขาเอ่ยถามพร้อมกับเงยหน้ามอง
“มันมีคู่แข่งน่ะสิ แม่ได้ยินมาว่าลูกสาวกำนันเขาชอบพี่ศิลาของลูกมากอยู่ มาอาบน้ำมนต์กับมาหาอยู่บ่อยๆ”
“...”
“อะไร พอรู้ก็จะยอมแพ้แล้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ เขาทำอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ พี่ศิลาเขาไม่ได้ชอบเธอ”
“แน่ใจขนาดนั้น?”
“ค่ะ” ความจริงก็ไม่แน่ใจหรอกค่ะแม่ แต่จากที่ได้ยินมาวันนี้ยังไงหนูก็ชนะใสๆ คิดแล้วมีความสุขชะมัดเลยวุ้ย
จันทร์เจ้าขายิ้มร่าก่อนจะเดินขึ้นไปบนบ้านเพื่อเปลี่ยนชุดเพราะตอนนี้เธอเริ่มอึดอัดแล้ว อยากใส่เสื้อครอปกับกางเกงขาสั้นมากกว่า สบายกว่าเยอะเลย
“ไม่ว่ายังไงตำแหน่งเมียของพี่ก็ต้องเป็นฉัน! ไม่สิตำแหน่งเมียพ่อครูต่างหาก คิกๆ” เสียงใสเอ่ยเจื้อยแจ้วกับตัวเองก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านในทันที
เมื่อเดินมาถึงจันทร์เจ้าขาก็ถึงกับอ๋อขึ้นมาทันที เพราะเขาพาเธอเดินมาที่ครัวก่อนจะไปเปิดตู้เย็นและก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินตรงมายังเคาเตอร์ไม้และวางของในมือลง ซึ่งมันก็คือผักคะน้าและหมูสับ ศิลาหยิบผักออกมาและเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานและจัดการล้างผักในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วก่อนจะวางมันลงยังตะกร้าเพื่อรอให้สะเด็ดน้ำ ก่อนเขาจะหันมาเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นแล้วค่อยวกกลับไปหยิบผักในตะกร้านั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ การกระทำเล่านั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย นอกจากจะเป็นพ่อครูที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว เขายังทำอาหารเป็นอีกหรอเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอช่วยจะดูแปลกไปไหมนะ มาขอของจากเขาแถมยังมาให้เขาทำกับข้าวให้กินอีก“เอ่อ…พ่อครูให้หนูช่วยไหมคะ”“เฮ็ดเป็น?” (ทำเป็น?)สิ้นประโยคคำถามของคนตัวเล็กมือที่กำลังหั่นผักก็หยุดชะงักลงก่อนจะหันกลับมาและเอียงคอถามกลับ จันทร์เจ้าขาได้แต่ส่ายหน้าให้พร้อมกับยิ้มแห้งๆ“ม่องนี่บ่ต้องซ่อยดอก แค่ซ่อยเฮ็ดโตคือแต่ก่อนท่อนั่นกะพอ” (ตรงนี้ไม่ต้องช่วยหรอก แค่ช่วยทำตัวเหมือนแต่ก่อนแค่นั้นก็พอ)หมายถึงแบ
สำนักพ่อครูศิลาศิลาพาจันทร์เจ้าขาปั่นจักรยานเข้ามายังเขตรั้วบ้านของตนและตรงไปยังใต้ถุนซึ่งเป็นที่เก็บจักรยาน เขาจอดมันอย่างระมัดระวังก่อนจะมองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งเกาะเอวและคอของเขาไว้อยู่ เธอหันหน้ามองออกไปข้างหน้าไม่ขยับหรือกระดุกกระดิกจนเขาแอบคิดว่าเธอแข็งเป็นก้อนหินไปแล้วกึก!“ฮอดแล้ว” (ถึงแล้ว) ศิลาขยับหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเอ่ยกระซิบแผ่วเบา“คะ ค่ะ” จันทร์เจ้าขาขนลุกและหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงลมอุ่นที่เป่ารดต้นคอ จึงรีบกระโดดลงจากตักของเขาพรึ่บ!“หึ” ศิลาหัวเราะในลำคอชอบใจก่อนจะจัดการตั้งขาตั้งจักรยานไว้แล้วหันมามองเธอ ที่ตอนนี้กำลังยืนตัวลีบเรียบร้อยรออยู่ จะน่ารักอะไรขนาดนั้นวะ“ตามมา”“ค่ะ”ศิลาเดินนำขึ้นไปบนบ้านโดยมีจันทร์เจ้าขาเดินตามหลังมาติดๆ เธอมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจเพราะมีหลายอย่างที่แปลกตาออกไปจากแต่ก่อนมาก ขณะที่เจ้าขากำลังสนใจกับบริเวณรอบบ้านจึงไม่ทันมองเลยทำให้…ชนปึก!“อ๊ะ!”มือเล็กยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองพลางมองไปยังอีกคนที่อยู่ๆ ก็หยุดโดยไม่บอกกันก่อน ทำให้เธอชนจนเจ็บตัว“เจ็บบ่” (เจ็บไหม)“เจ็บสิคะ ถามมาได้”“หึ สมน้ำหน้า บ่แนมทางเอง” (หึ สมน้ำหน้า ไม่
หลังจากเสร็จพิธีศิลาก็หันไปมองคนข้างๆที่แอบมองเขาอยู่ตลอดเวลาที่กำลังทำพิธี แต่มองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแม้ว่าจะอยากเอ่ยทักแต่ก็ไม่กล้าเพราะว่าแต่ก่อนว่าเธอเอาไว้เยอะเลยกลัวตัวเองเสียฟอร์ม…เขาละสายตาจากเธอก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นและเดินไปหาหลวงปู่ซึ่งเป็นปู่ของเขา ที่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆลานทำพิธีโดยมีเหมราชที่เดินตามหลังมาพร้อมกับเอ่ยแซวพ่อครูของตนต่อหน้าหลวงปู่อย่างไม่เกรงกลัวและเกรงใจเพราะพูดหยอกพูดเล่นกันอยู่ประจำ“กั่งฮ่มให่สาวจะของผัดฮ้อนจนเหงื่อไหลเปียกหลัง คักโพดอาจารย์ข่อย” (กางร่มให้สาวตัวเองกลับร้อนจนเหงื่อใหลเปียกหลัง เกินไปจริงๆอาจารย์ผม)“สาวไสล่ะบักเหม พามาให่หลวงปู่เบิ่งแหน่” (สาวไหนล่ะไอ้เหม พามาให้หลวงปู่ดูหน่อย)หลวงปู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าดีใจ เพราะหลานชายเพียงคนเดียวของเขาอายุก็เข้าเลขสามแล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเมียเลยสักนิด จนแกแอบหวั่นใจ“เซาเว้าแหน่บักห่า” (หยุดพูดหน่อยไอ้ห่า)“ป๊าดๆ อาจารย์ข่อยเปลี่ยนไปครับหลวงปู่เบิ่งๆ” (ว้าวๆ อาจารย์ผมเปลี่ยนไปครับหลวงปู่ดูๆ)เหมราชไม่พูดเปล่าชี้มือชี้ไม้ใส่ศิลาไม่หยุดเพี๊ยะ!!“เอ๊อะ!! ทำร้ายร่างกายว่ะ! ฮับบ่ได่ๆ” (โอ้ย!! ทำร้ายร่างกายว
ศาลากลางหมู่บ้านจันทร์เจ้าขาเดินเข้ามานั่งยังใต้ร่มไม้กับแม่โดยสายตาก็สอดส่องมองหาใครอีกคนอย่างใจจดใจจ่อด้วยความคิดถึงและอยากรู้อยากเห็นว่าเขาในตอนที่เป็นพ่อครูนั้นดูเก่งเท่ห์ขนาดไหนจะเป็นแบบในหนังหรือเปล่านะแต่เพียงแค่คิดเธอก็ยิ้มจนแก้มแทบจะแตกอยู่แล้วแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอจนจันทร์เจ้าขาต้องถอนหายใจออกมาแรงๆเมื่อไม่ได้ดั่งใจตนและทำสีหน้าเบื่อหน่ายเหม่อมองอะไรไปทั่วอย่างไม่สบอารมณ์จนกระทั่ง….“อ้าวเดือนลูกสาวเบาะ งามแท้เนาะ” (อ้าวเดือนลูกสาวเหรอ สวยจังเลยนะ)“ใช่จ้ะป้านัน น้องจันทร์ไหว้ป้านันเขาหน่อยสิลูก”เดือนเอ่ยตอบพร้อมกับหันมาทางลูกสาวที่มัวแต่เหม่อมองหาใครบางคน เธอจึงสะกิดและเอ่ยบอก“สวัสดีค่ะ”มือเล็กยกขึ้นพนมพร้อมกับก้มหัวไหว้อย่างนอบน้อมตามคำบอกของแม่“โอ้ย ไหว้พระเถาะลูกๆ” (โอ้ยๆ ไหว้พระเถิดลูกๆ)ป้านันเดินมาเอ่ยทักทายก่อนจะหันไปดึงแขนหลานสาวและพากันเดินสะบัดตูดออกไปนั่งยังด้านหน้าซึ่งใกล้กับลานทำพิธีมากที่สุดทำเอาจันทร์เจ้าขาต้องขมวดคิ้วมองเพราะตรงนั้นมันทั้งร้อนและโดนแดดเข้าเต็มๆ“ป้าแกไปนั่งใกล้อะไรขนาดนั้น”“อยากรู้ไหมล่ะ เดี๋ยวแม่พาไป”ว่าแล้วเดือนก็หยัดตัว
หมู่บ้านขุนไพร-ช่วงบ่ายแก่-รถตู้โดยสารมาจอดอยู่หน้าร้านค้าเล็กๆในหมู่บ้านก่อนที่ลูกสาวคนสวยซึ่งก็คือจันทร์เจ้าขาเดินลากกระเป๋าออกมาแล้ววิ่งตรงไปกอดแม่ที่ยืนรอรับด้วยความคิดถึง ใบหน้าสวยซุกเข้าที่อกของแม่อย่างออดอ้อนเหมือนกับตอนที่ตนยังเป็นเด็กก็ชอบทำแบบนี้เช่นกัน เดือนจึงยกมือขึ้นมาลูบหัวและแผ่นหลังบางของลูกสาวด้วยความเอ็นดูและคิดถึง สองแม่ลูกยืนกอดกันกลมอยู่อย่างนั้นนานนับนาทีก่อนจะคลายออก“น้องจันทร์ของแม่สวยขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”เดือนเอ่ยแซวลูกสาวก่อนจะจับให้เธอหมุนตัวเพื่อมองสำรวจ“ก็ต้องสวยสิคะ คุณแม่ของน้องจันทร์สวยมากขนาดนี้ ลูกไม้หล่นจะไกลต้นได้ยังไง~”“ปากหวานเชียวนะ อยากได้อะไรล่ะหืมมม”มือนุ่มของแม่หยีหัวลูกสาวอย่างนึกเอ็นดูพร้อมกับเอ่ยถาม“หงึ เบื่อคนรู้ทันจัง”จันทร์เจ้าขาเบะปากคว่ำแกล้งงอนคนเป็นแม่“กล้าเบื่อแม่เหรอ”“โอ๋ๆนะคะ ใครจะกล้าเบื่อคนสวยของน้องจันทร์กันล่ะ”ฟอดดดดริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มออกกว้างเมื่อได้ขโมยหอมแก้มนุ่มนิ่มของแม่คนที่ไม่ว่าจะหอมกี่ครั้งก็ยังคงชื่นใจไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด เดือนเองก็ได้แต่ยิ้มเขินอายกับการกระทำของลูกสาวที่ต่อให้โตแค่ไหนก็ยังคงทำตัวเ
ป่าช้าหวืดดด~ หวืดดด~เสียงลมพัดจนต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณป่าช้าของวัดบ้านป่าที่ห่างไกลความเจริญโอนเอนไปตามแรงของลม ที่มาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อดังขึ้นเป็นระรอกไม่หยุดพัก ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันรีบปิดประตูปิดบ้านหนีกันไปหมดด้วยความหวาดกลัวเนื่องจากวันนี้เป็นวันปล่อยผีหรือที่ชาวบ้านพากันเรียกว่าวันโกนนั่นเอง… หากเป็นภัยธรรมชาติก็ไม่อาจเลี่ยงได้แต่หากเป็นภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นพวกเขาขอไม่เสี่ยงสู้ปิดบ้านหนีเอาตัวรอดกันไปก่อนเสียยังดีกว่าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ค่อยหาวิธีแก้กันอีกทีในช่วงเช้าตึก ตึก ตึกชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นๆ ชวนมองของพ่อครูศิลาหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ มือหนาที่เต็มไปด้วยเส้นเหลือดที่แตกระแหนงยกตะเกียงไฟนำทางขึ้น แววตาคมกริบสีนิลกวาดมองไปบริเวณรอบๆ เพื่อหาใครบางคนที่หลวงปู่แสงซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของเขาให้มาพบ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว จะมีก็เพียงเหล่าสัมภเวสีที่พากันลอยเพ่นผ่านไปทั่วเพื่อก่อกวนและขอส่วนบุญจนเขาเริ่มรำคาญ“ออกไป มือนี่กูบ่อยากเฮ็ดไผ” (ออกไป วันนี้ข้าไม่อยากทำร้ายใคร)น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ