Share

๐๕ อืม แซ่บ

Auteur: Cucumber
last update Dernière mise à jour: 2025-07-06 10:24:51

เมื่อเดินมาถึงจันทร์เจ้าขาก็ถึงกับอ๋อขึ้นมาทันที เพราะเขาพาเธอเดินมาที่ครัวก่อนจะไปเปิดตู้เย็นและก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินตรงมายังเคาเตอร์ไม้และวางของในมือลง ซึ่งมันก็คือผักคะน้าและหมูสับ ศิลาหยิบผักออกมาและเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานและจัดการล้างผักในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วก่อนจะวางมันลงยังตะกร้าเพื่อรอให้สะเด็ดน้ำ ก่อนเขาจะหันมาเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นแล้วค่อยวกกลับไปหยิบผักในตะกร้านั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ การกระทำเล่านั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย นอกจากจะเป็นพ่อครูที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว เขายังทำอาหารเป็นอีกหรอเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอช่วยจะดูแปลกไปไหมนะ มาขอของจากเขาแถมยังมาให้เขาทำกับข้าวให้กินอีก

“เอ่อ…พ่อครูให้หนูช่วยไหมคะ”

“เฮ็ดเป็น?” (ทำเป็น?)

สิ้นประโยคคำถามของคนตัวเล็กมือที่กำลังหั่นผักก็หยุดชะงักลงก่อนจะหันกลับมาและเอียงคอถามกลับ จันทร์เจ้าขาได้แต่ส่ายหน้าให้พร้อมกับยิ้มแห้งๆ

“ม่องนี่บ่ต้องซ่อยดอก แค่ซ่อยเฮ็ดโตคือแต่ก่อนท่อนั่นกะพอ” (ตรงนี้ไม่ต้องช่วยหรอก แค่ช่วยทำตัวเหมือนแต่ก่อนแค่นั้นก็พอ)

หมายถึงแบบไหน อะไร ยังไง แบบที่วิ่งตามตูดเขาต้อยๆ น่ะเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก

“แต่ตอนนั้นพ่อครูยังไม่ได้เป็นพ่อครูนี่คะ”

“เป็นหยัง เป็นพ่อครูแล้วเจ้าเฮ็ดคือเก่าบ่ได่?” (ทำไม เป็นพ่อครูแล้วเอ็งทำแบบเดิมไม่ได้?)

“ก็…พ่อครูบอกเองนี่คะว่าไม่ชอบให้มายุ่ง แล้วหนูก็ยังไม่ชินด้วย”

“ฮู้นำติ คึดวาบ่ฮู้ บอกไปบ่เคยฟัง” (รู้ด้วยเหรอ นึกว่าไม่รู้ซะอีก บอกไปไม่เคยฟัง)

“...” จันทร์เจ้าขาได้แต่เม้มปากเข้าหากันแน่นเพราะไปไม่เป็น ที่เขาพูดมามันก็ถูกทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เธอเองก็ไม่ชินเช่นเดียวกันที่ต้องพูดและทำตัวห่างเหินจากเขามากขนาดนี้ทั้งที่ในใจอยากจะวิ่งเข้าไปกอดเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่กล้า เผื่อเผลอทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าของเขาเสื่อมขึ้นมาทำยังไง ถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันคงโดนตราหน้าว่าเป็นตัวซวยของหมู่บ้านกันพอดี

“ไปนั่งถ่าม่องฮั่นไป” (ไปนั่งรอตรงนั้นไป)

“ค่ะ”

เมื่อเอ่ยสั่งเสร็จศิลาก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อ ซึ่งเมนูวันนี้ก็คือข้าวผัดคะน้าหมูสับ ความจริงอยากทำต้มยำกุ้งแบบที่เธอชอบให้กินแต่ว่าในตู้มันไม่ค่อยจะมีของอะไรเพราะอยู่คนเดียวเลยกินอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว สงสัยเขาจะต้องซื้อของที่เธอชอบตุนไว้สักหน่อยแล้ว แล้วค่อยหลอกล่อให้มาหาเขาอีกที

จันทร์เจ้าขาเดินตรงไปยังโต๊ะไม้สักสำหรับทานข้าวแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คดู เพราะตั้งแต่กลับมาเธอยังไม่ได้เปิดดูมันเลย

ครืดดด ครืดดด

เมื่อเปิดโทรศัพท์ขึ้นมันก็สั่นขึ้นมาทันที จันทร์เจ้าขาจึงมองที่ปลายสายก่อนจะกดรับและวางโทรศัพท์ไว้ตรงขวดน้ำเพื่อใช้มันตั้งกล้อง ให้เธอได้คุยถนัดๆ

(ไม่โทรมาเลยนะสาว) >ไอติม

“โทษทีพอดีฉันเพิ่งเปิดโทรศัพท์น่ะ”

(อยู่บ้านเหรอ) >พริมโรส

“เปล่า…”

(อ้าว แล้วอยู่ไหน) >พริมโรส

“อยู่…”

“มากินเข่า” (มากินข้าว)

“เอ่อ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ”

(เสียงผู้ชาย! แกอยู่ไหนนน!) >ไอติม

ติ๊ด!

ปลายนิ้วเรียวกดตัดสายทันทีในตอนที่ใครอีกคนเรียกและพวกมันกำลังจะตะโกนโวยวายถาม แต่จันทร์เจ้าขาไม่ได้สนใจหันมาสนใจคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ดีกว่าเพราะเธอถือคติว่า ผู้ต้องมาก่อนเพื่อนเสมอ

“เว้านำไผ” (คุยกับใคร)

“เพื่อนค่ะ”

“ผู้หญิงผู้ชาย?” เอ่ยถามเสียงเรียบพร้อมกับวางจานข้าวผัดลงยังโต๊ะไม้สักตรงหน้า

“ผู้หญิงค่ะ”

จันทร์เจ้าขากลั้นยิ้มเอาไว้แทบไม่อยู่ ที่เขาถามแบบนี้แสดงว่ามีใจชัวร์ แถมตอนปั่นจักรยานมายังบอกว่าคิดถึงเธออีกด้วย อยากกรี๊ด

“อืม เอ่าแล้วแล้วฟ้าวกิน” (อืม เอ้าเสร็จแล้ว รีบกิน)

“ค่ะ แล้วพ่อครูไม่กินหรอคะ”

“กินก่อนเลย”

จันทร์เจ้าขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะตักข้าวเข้าปากพร้อมกับแอบเหลือบมองศิลาไปด้วย และแน่นอนว่าเขากำลังมองมาและทำให้ทั้งคู่สบตากันอีกแล้วจันทร์เจ้าขาจึงรีบหันหนีและเคี้ยวข้าวตุ่ยๆ

“แซ่บบ่” (อร่อยไหม)

“ค่ะ”

เอ่ยตอบพร้อมกับพยักหน้า มือก็กำลังตักข้าวจะเอาเข้าปากอีกครั้งทว่าจู่ๆ ศิลาก็ลุกขึ้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ไส ป้อนแหน่” (ไหน ป้อนหน่อย)

“คะ?”

“กินนำ” (กินด้วย)

“ดะ เดี๋ยวไปเอาช้อนให้ค่ะ” จันทร์เจ้าขากำลังจะวางช้อนลงแต่ก็ถูกมือหนาเลื่อนมาจับไว้เสียก่อน พร้อมกับอ้าปากงับช้อนและยัดข้าวเข้าปากตัวเอง

หมับ

งับ

“!!!”

“อืม แซ่บ” (อืม อร่อย)

ศิลาเคี้ยวข้าวอยู่ในปากแล้วมองหน้าจันทร์เจ้าขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งยังทำลอยหน้าลอยตาอีก ไหนแม่บอกว่าเขาเปลี่ยนไปไง นี่มันคนเดิมชัดๆ ชอบกวนอวัยวะเบื้องล่างสุดๆ แล้วก็บอกว่าไม่ชอบทั้งที่ทำกับเธอแบบนี้ตั้งแต่ตอนนั้น จนตอนนี้ก็ยังทำอยู่

มือเล็กตักข้าวเข้าปากพร้อมกับมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย เพราะว่าทำตัวไม่ถูกที่ถูกเขานั่งมองตอนกินแบบนี้ จากปกติกินคำใหญ่ๆ ก็ต้องกินคำเล็กลง ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด เห้อ

“ปกติกินคำโป่มกั่วนี่บ่แม่นเบาะ” (ปกติกินคำใหญ่กว่านี้ไม่ใช่เหรอ)

“ห๊า…” ขณะที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากจู่ๆ ศิลาก็เอ่ยถามขึ้น ทำให้มือที่ถือช้อนไว้หยุดนิ่งกลางอากาศ จันทร์เจ้าขาช้อนตาขึ้นมองเขาและอ้าปากค้าง

“แมงวันบินเข่าปากแล้ว” (แมลงวันบินเข้าปากแล้ว)

มือเล็กรีบวางช้อนลงก่อนจะทำท่าทำทีว่สปัดไล่แมลงวันออก ทั้งๆ ที่มันไม่มีเลยสักตัว ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงหัวเราะของเขาจึงหันไปมองค้อนใส่ เพราะเธอรู้แล้วว่ากำลังโดนเขาหลอก

“คนขี้ตั๋ว!” (คนโกหก!)

“กะอยากให่ตั๋วเอง ซ่อยบ่ดะ-” (ก็อยากให้โกหกเอง ช่วยไม่ดะ-)

“พ่อครู!!!”

ควับ

ขณะที่กำลังคุยกับคนตัวเล็กที่ตอนนี้หายเกร็งและคุยกับเขาปกติเหมือนแต่ก่อนแล้ว ก็มีเสียงคนมาตะโกนเรียกขัดจังหวะเสียก่อน ศิลาถอนหายใจออกมาอย่างอดทนอดกลั้นก่อนจะหันไปมอง

จันทร์เจ้าขาเองก็เช่นเดียวกัน จริงๆ ก็ได้ยินตั้งแต่มีเสียงรถขับเข้ามาแล้วแหละแต่เจ้าของบ้านเขาไม่ได้สนใจไง เรามีคนคนนอกก็เลยไม่กล้าเอ่ยถาม แม้ในใจจะอยากรู้มากก็เถอะ

“เดี๋ยวมา” ศิลาลุกขึ้นก่อนจะหันมาเอ่ยบอก

“ค่ะ”

จันทร์เจ้าขาตอบรับและพยักหน้าหงึกๆ พอศิลาเดินพ้นครัวออกไปเธอก็รีบตักข้าวยัดเข้าปากรวดเดียวจนหมดแล้วจัดการล้างจานคว่ำไว้ให้เขาทันที ก่อนจะเดินย่องๆ ไปเอาหูแนบกับผนังครัวเพื่อฟังคนด้านนอกว่าคุยอะไรกัน…

.

“ตะโกนหาพ่อมึงเบาะบักเหม” (ตะโกนหาพ่อมึงเหรอไอ้เหม)

ร่างแกร่งเดินพ้นห้องครัวออกมาก็เห็นว่าลูกศิษย์ตนนั้นกำลังนั่งรออยู่ที่พรมด้านหน้าโต๊ะไม้สัก จึงเดินเข้าไปนั่งแล้วเอ่ยถาม

“ข่อยกะเอิ้นเจ้าแบบนี้ตลอดเดะพ่อครู ว่าแต่น้องคนสวยเมือยัง” (ผมก็เรียกคุณแบบนี้ตลอดนะพ่อครู ว่าแต่น้องคนสวยกลับยัง) เหมราชเอ่ยถามพร้อมกับชะโงกหน้ามองหาใครอีกคนที่อาจารย์ของตนนั้นพากลับมาด้วย

เพี๊ยะ!

“เอ๊อะ! ฮ่วยบ่แม่นบักสองตนนั้นเดะ สิมาฟาดข่อยเฮ็ดหยัง” (โอ้ย! ไม่ใช่ไอ้สองตนนั้นนะ จะมาฟาดผมทำไม) เหมราชร้องออกมาเสียงดังเมื่อโดนฝ่ามือหนักๆ ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของอาจารย์ตนนั้นตบเข้าที่หัวจนมันสั่นคลอน

“มึงเอิ้นหากูมีอิหยัง อย่านอกเฮื่อง” (มึงเรียกหากูมีอะไร อย่านอกเรื่อง)

“อ๋อ คุณพิมพ์เพิ่นสิมาอาบน้ำมนต์อีกสามมื้อข่างหน่า เลยฝากข่อยมาบอกเจ้า” (อ๋อ คุณพิมพ์เขาจะมาอาบน้ำมนต์อีกสามวันข้างหน้า เลยฝากผมมาบอกคุณ)

“กูบ่ว่าง” (กูไม่ว่าง)

“แต่”

“มึงเซาจับคูให่กูกับลูกกำนันได่แล้ว กูบ่ได่มักเพิ่น” (มึงหยุดจับคู่ให้กูกับลูกกำนันได้แล้ว กูไม่ได้ชอบเขา)

นิ้วเรียวยกขึ้นชี้หน้าลูกศิษย์อย่างคาดโทษก่อนจะลุกขึ้นหันหลังกลับเตรียมจะเดินเข้าครัว

“แต่มักคนที่อยู่นำตอนนี่แม่นบ่ละครับนาย” (แต่ชอบคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ใช่ไหมละครับนาย) เหมราชเอ่ยตามหลังเสียงแผ่วอย่างแซวๆ เพราะไม่กล้าพูดเสียงดังให้เขาได้ยิน

“กูได่ฮิน” (กูได้ยิน)

“กะเว้าให่ได่ฮินนี่ล่ะ” (ก็พูดให้ได้ยินนี่แหละ) เหมราชเอ่ยตามหลัง

ว่าจบจบศิลาก็เดินไปที่ครัวทันที จังหวะนั้นคนที่แอบฟังอยู่ก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานทำท่าเก็บจานทันทีเพราะกลัวโดนจับได้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปแอบฟังเขาทำไมและจะหลบทำไมทั้งๆที่พวกเขาคุยกันเสียงดังขนาดนั้น ต่อให้ไม่ไปแอบฟังก็ได้ยิน

สองคิ้วหนาขมวดเข้าหากันพร้อมกับมองไปยังคนตัวเล็กที่เพิ่งวางจานลงยังตะกร้าเสร็จแล้วหันมามองเขาพอดี จันทร์เจ้าขาส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเช็ดมือและเดินตรงเข้ามาหา

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“บ่มี กินแล้วละเบาะ” (ไม่มี กินเสร็จแล้วเหรอ)

“ค่ะ เดี๋ยวหนูกลับบ้านแล้วนะคะ ป่านนี้แม่คอยแล้ว”

“อืม เดี๋ยวไปส่ง”

หมับ

มือหนาเลื่อนมาจับมือเล็กนุ่มนิ่มไว้ก่อนจะพาเดินออกมาจากครัวโดยไม่แคร์สายตาของเหมราชที่กำลังมองทั้งคู่ตาค้างอยู่ แม้ว่าหลวงปู่จะเล่าให้เขาฟังแล้วถึงเรื่องราวของทั้งคู่แต่ก่อนและตอนที่พี่สาวคนสวยย้ายไปเรียนที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้เห็นกับตาเขาเลยไม่เชื่อแต่มาตอนนี้เขาเชื่อเต็มอกเลยแหละว่าอาจารย์ของเขานั่นหลงเธอมากแค่ไหน มองจาดดวงจันทร์ลงมายังดูออกเลย

.

.

ร้านแม่เดือน

หลังจากที่ศิลามาส่งจันทร์เจ้าขาเสร็จก็กลับไปทันที ทำให้คนที่รอจะเจอเขามาตลอดเสียใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่างเถอะอย่างน้อยวันนี้ก็เกิดกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะแล้ว

“ยิ้มแป้นเชียวนะ”

“ก็คนมันอารมณ์ดีนี่คะแม่”

เดือนเอ่ยแซวลูกสาวขณะที่กำลังยืนหั่นผักเตรียมทำกับข้าวเที่ยงอยู่ในครัว จันทร์เจ้าขายิ้มร่าก่อนจะเดินไปสวมกอดแม่จากทางด้านหลังแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่อารมณ์ดีสุดๆ

เดือนวางมีดลงจากมือก่อนจะกอดตอบลูกสาวอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยถามเรื่องที่อยากรู้

“เป็นไง พอเจอพี่เขาแล้วยังชอบอยู่ไหม”

“ชอบสิคะ ชอบมากกว่าเดิมด้วย!”

“หึ นั่นสินะ แต่ก่อนเราชอบพี่เขาขนาดนั้นตอนนี้จะเลิกชอบไปง่ายๆ ก็คงจะไม่ใช่ เอาเถอะแม่เอาใจช่วย แต่ว่า…”

“แต่อะไรคะแม่”

เดือนพูดแค่นั้นแล้วหยุดชะงัก จันทร์เจ้าขาเอ่ยถามพร้อมกับเงยหน้ามอง

“มันมีคู่แข่งน่ะสิ แม่ได้ยินมาว่าลูกสาวกำนันเขาชอบพี่ศิลาของลูกมากอยู่ มาอาบน้ำมนต์กับมาหาอยู่บ่อยๆ”

“...”

“อะไร พอรู้ก็จะยอมแพ้แล้วเหรอ”

“เปล่าค่ะ เขาทำอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ พี่ศิลาเขาไม่ได้ชอบเธอ”

“แน่ใจขนาดนั้น?”

“ค่ะ” ความจริงก็ไม่แน่ใจหรอกค่ะแม่ แต่จากที่ได้ยินมาวันนี้ยังไงหนูก็ชนะใสๆ คิดแล้วมีความสุขชะมัดเลยวุ้ย

จันทร์เจ้าขายิ้มร่าก่อนจะเดินขึ้นไปบนบ้านเพื่อเปลี่ยนชุดเพราะตอนนี้เธอเริ่มอึดอัดแล้ว อยากใส่เสื้อครอปกับกางเกงขาสั้นมากกว่า สบายกว่าเยอะเลย

“ไม่ว่ายังไงตำแหน่งเมียของพี่ก็ต้องเป็นฉัน! ไม่สิตำแหน่งเมียพ่อครูต่างหาก คิกๆ” เสียงใสเอ่ยเจื้อยแจ้วกับตัวเองก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านในทันที

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๕ อืม แซ่บ

    เมื่อเดินมาถึงจันทร์เจ้าขาก็ถึงกับอ๋อขึ้นมาทันที เพราะเขาพาเธอเดินมาที่ครัวก่อนจะไปเปิดตู้เย็นและก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินตรงมายังเคาเตอร์ไม้และวางของในมือลง ซึ่งมันก็คือผักคะน้าและหมูสับ ศิลาหยิบผักออกมาและเดินตรงไปยังซิงค์ล้างจานและจัดการล้างผักในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วก่อนจะวางมันลงยังตะกร้าเพื่อรอให้สะเด็ดน้ำ ก่อนเขาจะหันมาเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นแล้วค่อยวกกลับไปหยิบผักในตะกร้านั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ การกระทำเล่านั้นตกอยู่ภายใต้สายตาของหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย นอกจากจะเป็นพ่อครูที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว เขายังทำอาหารเป็นอีกหรอเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอช่วยจะดูแปลกไปไหมนะ มาขอของจากเขาแถมยังมาให้เขาทำกับข้าวให้กินอีก“เอ่อ…พ่อครูให้หนูช่วยไหมคะ”“เฮ็ดเป็น?” (ทำเป็น?)สิ้นประโยคคำถามของคนตัวเล็กมือที่กำลังหั่นผักก็หยุดชะงักลงก่อนจะหันกลับมาและเอียงคอถามกลับ จันทร์เจ้าขาได้แต่ส่ายหน้าให้พร้อมกับยิ้มแห้งๆ“ม่องนี่บ่ต้องซ่อยดอก แค่ซ่อยเฮ็ดโตคือแต่ก่อนท่อนั่นกะพอ” (ตรงนี้ไม่ต้องช่วยหรอก แค่ช่วยทำตัวเหมือนแต่ก่อนแค่นั้นก็พอ)หมายถึงแบ

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๔ ของขลังของใจ

    สำนักพ่อครูศิลาศิลาพาจันทร์เจ้าขาปั่นจักรยานเข้ามายังเขตรั้วบ้านของตนและตรงไปยังใต้ถุนซึ่งเป็นที่เก็บจักรยาน เขาจอดมันอย่างระมัดระวังก่อนจะมองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งเกาะเอวและคอของเขาไว้อยู่ เธอหันหน้ามองออกไปข้างหน้าไม่ขยับหรือกระดุกกระดิกจนเขาแอบคิดว่าเธอแข็งเป็นก้อนหินไปแล้วกึก!“ฮอดแล้ว” (ถึงแล้ว) ศิลาขยับหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเอ่ยกระซิบแผ่วเบา“คะ ค่ะ” จันทร์เจ้าขาขนลุกและหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงลมอุ่นที่เป่ารดต้นคอ จึงรีบกระโดดลงจากตักของเขาพรึ่บ!“หึ” ศิลาหัวเราะในลำคอชอบใจก่อนจะจัดการตั้งขาตั้งจักรยานไว้แล้วหันมามองเธอ ที่ตอนนี้กำลังยืนตัวลีบเรียบร้อยรออยู่ จะน่ารักอะไรขนาดนั้นวะ“ตามมา”“ค่ะ”ศิลาเดินนำขึ้นไปบนบ้านโดยมีจันทร์เจ้าขาเดินตามหลังมาติดๆ เธอมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจเพราะมีหลายอย่างที่แปลกตาออกไปจากแต่ก่อนมาก ขณะที่เจ้าขากำลังสนใจกับบริเวณรอบบ้านจึงไม่ทันมองเลยทำให้…ชนปึก!“อ๊ะ!”มือเล็กยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองพลางมองไปยังอีกคนที่อยู่ๆ ก็หยุดโดยไม่บอกกันก่อน ทำให้เธอชนจนเจ็บตัว“เจ็บบ่” (เจ็บไหม)“เจ็บสิคะ ถามมาได้”“หึ สมน้ำหน้า บ่แนมทางเอง” (หึ สมน้ำหน้า ไม่

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๓ ใกล้ชิดและคิดถึง

    หลังจากเสร็จพิธีศิลาก็หันไปมองคนข้างๆที่แอบมองเขาอยู่ตลอดเวลาที่กำลังทำพิธี แต่มองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแม้ว่าจะอยากเอ่ยทักแต่ก็ไม่กล้าเพราะว่าแต่ก่อนว่าเธอเอาไว้เยอะเลยกลัวตัวเองเสียฟอร์ม…เขาละสายตาจากเธอก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นและเดินไปหาหลวงปู่ซึ่งเป็นปู่ของเขา ที่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆลานทำพิธีโดยมีเหมราชที่เดินตามหลังมาพร้อมกับเอ่ยแซวพ่อครูของตนต่อหน้าหลวงปู่อย่างไม่เกรงกลัวและเกรงใจเพราะพูดหยอกพูดเล่นกันอยู่ประจำ“กั่งฮ่มให่สาวจะของผัดฮ้อนจนเหงื่อไหลเปียกหลัง คักโพดอาจารย์ข่อย” (กางร่มให้สาวตัวเองกลับร้อนจนเหงื่อใหลเปียกหลัง เกินไปจริงๆอาจารย์ผม)“สาวไสล่ะบักเหม พามาให่หลวงปู่เบิ่งแหน่” (สาวไหนล่ะไอ้เหม พามาให้หลวงปู่ดูหน่อย)หลวงปู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าดีใจ เพราะหลานชายเพียงคนเดียวของเขาอายุก็เข้าเลขสามแล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเมียเลยสักนิด จนแกแอบหวั่นใจ“เซาเว้าแหน่บักห่า” (หยุดพูดหน่อยไอ้ห่า)“ป๊าดๆ อาจารย์ข่อยเปลี่ยนไปครับหลวงปู่เบิ่งๆ” (ว้าวๆ อาจารย์ผมเปลี่ยนไปครับหลวงปู่ดูๆ)เหมราชไม่พูดเปล่าชี้มือชี้ไม้ใส่ศิลาไม่หยุดเพี๊ยะ!!“เอ๊อะ!! ทำร้ายร่างกายว่ะ! ฮับบ่ได่ๆ” (โอ้ย!! ทำร้ายร่างกายว

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๒ ไม่กล้าสบตา

    ศาลากลางหมู่บ้านจันทร์เจ้าขาเดินเข้ามานั่งยังใต้ร่มไม้กับแม่โดยสายตาก็สอดส่องมองหาใครอีกคนอย่างใจจดใจจ่อด้วยความคิดถึงและอยากรู้อยากเห็นว่าเขาในตอนที่เป็นพ่อครูนั้นดูเก่งเท่ห์ขนาดไหนจะเป็นแบบในหนังหรือเปล่านะแต่เพียงแค่คิดเธอก็ยิ้มจนแก้มแทบจะแตกอยู่แล้วแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอจนจันทร์เจ้าขาต้องถอนหายใจออกมาแรงๆเมื่อไม่ได้ดั่งใจตนและทำสีหน้าเบื่อหน่ายเหม่อมองอะไรไปทั่วอย่างไม่สบอารมณ์จนกระทั่ง….“อ้าวเดือนลูกสาวเบาะ งามแท้เนาะ” (อ้าวเดือนลูกสาวเหรอ สวยจังเลยนะ)“ใช่จ้ะป้านัน น้องจันทร์ไหว้ป้านันเขาหน่อยสิลูก”เดือนเอ่ยตอบพร้อมกับหันมาทางลูกสาวที่มัวแต่เหม่อมองหาใครบางคน เธอจึงสะกิดและเอ่ยบอก“สวัสดีค่ะ”มือเล็กยกขึ้นพนมพร้อมกับก้มหัวไหว้อย่างนอบน้อมตามคำบอกของแม่“โอ้ย ไหว้พระเถาะลูกๆ” (โอ้ยๆ ไหว้พระเถิดลูกๆ)ป้านันเดินมาเอ่ยทักทายก่อนจะหันไปดึงแขนหลานสาวและพากันเดินสะบัดตูดออกไปนั่งยังด้านหน้าซึ่งใกล้กับลานทำพิธีมากที่สุดทำเอาจันทร์เจ้าขาต้องขมวดคิ้วมองเพราะตรงนั้นมันทั้งร้อนและโดนแดดเข้าเต็มๆ“ป้าแกไปนั่งใกล้อะไรขนาดนั้น”“อยากรู้ไหมล่ะ เดี๋ยวแม่พาไป”ว่าแล้วเดือนก็หยัดตัว

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๑ พ่อครู

    หมู่บ้านขุนไพร-ช่วงบ่ายแก่-รถตู้โดยสารมาจอดอยู่หน้าร้านค้าเล็กๆในหมู่บ้านก่อนที่ลูกสาวคนสวยซึ่งก็คือจันทร์เจ้าขาเดินลากกระเป๋าออกมาแล้ววิ่งตรงไปกอดแม่ที่ยืนรอรับด้วยความคิดถึง ใบหน้าสวยซุกเข้าที่อกของแม่อย่างออดอ้อนเหมือนกับตอนที่ตนยังเป็นเด็กก็ชอบทำแบบนี้เช่นกัน เดือนจึงยกมือขึ้นมาลูบหัวและแผ่นหลังบางของลูกสาวด้วยความเอ็นดูและคิดถึง สองแม่ลูกยืนกอดกันกลมอยู่อย่างนั้นนานนับนาทีก่อนจะคลายออก“น้องจันทร์ของแม่สวยขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”เดือนเอ่ยแซวลูกสาวก่อนจะจับให้เธอหมุนตัวเพื่อมองสำรวจ“ก็ต้องสวยสิคะ คุณแม่ของน้องจันทร์สวยมากขนาดนี้ ลูกไม้หล่นจะไกลต้นได้ยังไง~”“ปากหวานเชียวนะ อยากได้อะไรล่ะหืมมม”มือนุ่มของแม่หยีหัวลูกสาวอย่างนึกเอ็นดูพร้อมกับเอ่ยถาม“หงึ เบื่อคนรู้ทันจัง”จันทร์เจ้าขาเบะปากคว่ำแกล้งงอนคนเป็นแม่“กล้าเบื่อแม่เหรอ”“โอ๋ๆนะคะ ใครจะกล้าเบื่อคนสวยของน้องจันทร์กันล่ะ”ฟอดดดดริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มออกกว้างเมื่อได้ขโมยหอมแก้มนุ่มนิ่มของแม่คนที่ไม่ว่าจะหอมกี่ครั้งก็ยังคงชื่นใจไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด เดือนเองก็ได้แต่ยิ้มเขินอายกับการกระทำของลูกสาวที่ต่อให้โตแค่ไหนก็ยังคงทำตัวเ

  • ศิลาเคียงจันทร์   ๐๐ อารัมภบท

    ป่าช้าหวืดดด~ หวืดดด~เสียงลมพัดจนต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณป่าช้าของวัดบ้านป่าที่ห่างไกลความเจริญโอนเอนไปตามแรงของลม ที่มาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อดังขึ้นเป็นระรอกไม่หยุดพัก ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันรีบปิดประตูปิดบ้านหนีกันไปหมดด้วยความหวาดกลัวเนื่องจากวันนี้เป็นวันปล่อยผีหรือที่ชาวบ้านพากันเรียกว่าวันโกนนั่นเอง… หากเป็นภัยธรรมชาติก็ไม่อาจเลี่ยงได้แต่หากเป็นภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นพวกเขาขอไม่เสี่ยงสู้ปิดบ้านหนีเอาตัวรอดกันไปก่อนเสียยังดีกว่าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ค่อยหาวิธีแก้กันอีกทีในช่วงเช้าตึก ตึก ตึกชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นๆ ชวนมองของพ่อครูศิลาหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ มือหนาที่เต็มไปด้วยเส้นเหลือดที่แตกระแหนงยกตะเกียงไฟนำทางขึ้น แววตาคมกริบสีนิลกวาดมองไปบริเวณรอบๆ เพื่อหาใครบางคนที่หลวงปู่แสงซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของเขาให้มาพบ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว จะมีก็เพียงเหล่าสัมภเวสีที่พากันลอยเพ่นผ่านไปทั่วเพื่อก่อกวนและขอส่วนบุญจนเขาเริ่มรำคาญ“ออกไป มือนี่กูบ่อยากเฮ็ดไผ” (ออกไป วันนี้ข้าไม่อยากทำร้ายใคร)น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status