สายตาหวาดระแวงคอยมองชายหนุ่มแปลกหน้าสองคนที่ขี่รถมอเตอร์ไซน์เวียนวนไปมาอยู่แถวนี้หลายครั้ง หญิงสาวนั่งกอดกระเป๋าสะพายตัวเองไว้แน่น เวลาห้าทุ่มเช่นนี้สายฝนเริ่มซ่างซาตกลงมาปรอยๆ โทรศัพท์มือถือเธอก็แบตเตอรี่หมดทำให้เธอติดต่อกับคนรักของเธอไม่ได้ ข้อความสุดท้ายที่ทักไปถามเขาว่าอยู่ที่ไหนแล้ว เขาก็ยังไม่อ่าน
ขณะที่เธอกำลังนั่งหวาดกลัวอกสั่นขวัญแขวน รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นไม่รู้ว่าจอดซุ่มอยู่ตรงไหน รู้ตัวอีกทีก็ถูกชายฉกรรจ์สูงใหญ่สองคนมายืนและนั่งประกบขนาบข้างฝั่งละคน
“ลุกขึ้นยืนดีๆ อย่าส่งเสียงกรีดร้องไม่งั้นกูแทงมึงแน่คนสวย” เสียงกระซิบแหบๆดังใกล้หู พร้อมกับแรงกดของวัตถุของมีคมข้างตัว ปลายเหล็กแหลมผ่านเนื้อผ้าสัมผัสผิวเนื้อเจ็บแปลบจนร่างเล็กถึงกับสะดุ้ง หยดน้ำตาเอ่อคลอหน่วยตา ใบหน้าซีดขาวดวงตาสั่นไหวหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา
ร่างเล็กค่อยๆลุกขึ้นยืนตามคำบอกของฝ่าย ในขณะที่สายตาสอดส่ายมองหาช่องทางหนีและใครสักคนให้มาช่วยเหลือ จังหวะนั้นสายตาของเธอเหลือบเห็นใครบางคนเพิ่งเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หัวใจและสมองของเธอครุ่นคิดอย่างหนัก ถ้าเธอไม่หนี เธอก็ต้องตายอยู่ดี
คิดได้แบบนั้นหญิงสาวก็หันไปส่งสายตาวิงวอน ต้องการความช่วยเหลือจากเขาที่มองสบตาเธอเข้าพอดีเช่นกัน
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีกรมกางเกงสแล็คสีดำ ในมือถือเครื่องดื่มชูกำลัง สีหน้าแม้จะอิดโรยเล็กน้อย แต่เมื่อได้ดื่มเครื่องดื่มก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น สายตาของเขาจ้องมองหญิงสาวท่าทางแปลกๆ ขณะเดินไปกับชายสองคนแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้ามอซอสกปรก ดูขัดนัยน์ตาเกินกว่าจะมาด้วยกันกับผู้หญิงคนนั้น กอปรกับนัยน์ตาเว้าวอนที่จ้องมองมาคล้ายกับกำลังร้องขออะไรบางอย่าง
เพียงชั่ววินาทีเขาก็สามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจได้ทันที
“เห้ย! ทำไรอะ จะพาแฟนกูไปไหน”
“อะไร ใครแฟนมึง นี่เมียกู!” หนึ่งในสองคนนั้นหันมาเถียง พร้อมกับฉุดแขนเธอไว้ ร่างเล็กที่อยู่ในอาการตระหนกตกใจสุดขีด ส่ายหน้ารัว น้ำตาพรั่งพรูไหลรินอาบแก้ม
“มะ...ไม่ใช่น่ะคะ มันมีมีด...” สิ้นคำหญิงสาวก็รู้สึกตัวลอยหวือด้วยแรงกระชาก โดนเหวี่ยงไปอีกด้านจนล้มลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่สมองและสติแตกกระเจิงจะรวมรวบกลับมา ก็เห็นภาพของผู้ชายคนนั้นกำลังชกต่อยกับอีกสองคน คราแรกยังแอบหวั่นเพราะอีกฝ่ายมีอาวุธและจำนวนคนที่มากกว่า
แต่ไปๆมาๆ เธอกลับเห็นสองคนนั้นล้มไปคนละทิศละทาง สีหน้าเหยเก เพราะโดนทั้งมัดทั้งเข่าจนร่วงนอนกองกับพื้น มีดที่หนึ่งในสองใช้จี้ตัวเธอกระเด็นไปไกล
“คุณโทรเรียกตำรวจเลย” ชายหนุ่มที่กำลังรัวหมัดใส่หนึ่งในสองนั้น หันมาตะโกนบอกหญิงสาวที่ยังอยู่ในอาการลนลานตกใจ
“มือถือฉันแบตหมดค่ะ” ตอบไปตามที่สมองคิดได้นาทีนั้น ก่อนจะลุกวิ่งเข้าไปในร้านสะดวกซื้อชื่อดังทันทีเพื่อขอให้พนักงานในร้านที่กำลังยืนมองดูเหตุการณ์ด้วยความตกใจ รีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจทันที
“น้องๆช่วยโทรเรียกตำรวจทีค่ะ” น้ำเสียงสั่นเครือ หัวใจเต้นถี่แรงด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปดูสถานการณ์ด้านนอกทุกอย่างก็เหมือนจะสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อหนึ่งในสองล้มตัวลงนอนบิดตัวไปมาส่งเสียงโอดครวญ ในขณะที่อีกคนกลับถูกเขาจับมือไพล่หลัง ไว้กดหน้าแนบกับพื้นซีเมนต์ส่งเสียงร้องดังไม่ต่างกัน
ไม่นานพลเมืองดีที่สังเกตการณ์อยู่เมื่อครู่ก็มาช่วยจับตัวชายวัยรุ่นทั้งสองระหว่างรอตำรวจมารับตัว รัญลฎาที่พอได้สติ จึงเดินกลับเข้าไปในร้าน ซื้อน้ำดื่มกับผ้าเย็นมายื่นให้กับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาดีที่ยืนเท้าเอวหายใจหอบอยู่ตรงนั้น
“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้คุณฉันคงแย่”
“ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกัน” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยตอบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นรับผ้าเย็นกับน้ำเปล่าที่อีกฝ่ายยื่นให้ นัยน์ตาคมจ้องมองดวงหน้าหวานตรงหน้าลมหายใจสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งกระแอมไอออกมาเบาๆ
ไม่นานรถตำรวจก็มาถึงสถานที่เกิดเหตุ รัญลฎากับพลเมืองดีคนนั้นจะต้องไปให้ปากคำที่โรงพักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก ท่าทางตระหนกกับท่าทีหันซ้ายแลขวาคล้ายกับกำลังลังเลกังวลอะไรบางอย่างทำให้เขาจำต้องเดินกลับมาถาม
“แล้วคุณจะไปสถานีตำรวจยังไง” รัญลฎาหันมองซ้ายทีขวาทีอย่างชั่งใจ ครุ่นคิดลังเล จนป่านนี้แล้วคนรักของเธอก็ยังไม่มารับสักที ครั้นจะไปก็กลัวว่าจะสวนทางกัน แต่เธอจะไม่ไปก็คงไม่ได้ คิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ในใจนั้นเริ่มเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับเขาหรือเปล่า ฝนก็ตก ถนนก็ลื่น
“ว่าไงคุณ”
“เอ่อ...นั่งแท็กซี่ไปมั่งคะ”
“เวลานี้เนี่ยนะ...งั้นคุณนั่งรถไปกับผมแล้วกัน ตกลงไหม” หญิงสาวเจ้าของใบหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโตของกะพริบถี่ขณะมองหน้าเขา
“ไปเถอะ จะได้จบๆ ผมเพลียมากละอยากกลับไปนอน” เสียงเข้มปนหงุดหงิดเล็กๆเอ่ยบอก พลางโคลงศีรษะสีหน้าที่มองคล้ายระอา ก่อนจะหมุนตัวเดินนำหญิงสาวไปยังรถจิ้ปสีเขียวมะกอก จอดเทียบชิดริมถนนไม่ไกลจากจุดที่เกิดเหตุเมื่อครู่มากนัก
ร่างเล็กที่ตอนแรกเหมือนจะลังเลก็รีบเร่งฝีเท้าไปขึ้นรถเขาด้วยท่าทีเกร็งๆเล็กน้อย เพราะต้องมาขึ้นรถคนที่ไม่รู้จักแถมตนเองยังเพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาเมื่อครู่ ครั้นจะคิดว่าเขาจะทำอะไรเธอแบบที่นึกกังวลก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะท่าทางของเขาแล้วนั้นดูสุภาพไม่มีท่าทีคุกคามเลยสักนิด ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ควรวางใจเขา
สายตาหวาดระแวง กับท่าทางระมัดระวังตัวของหญิงสาวทำให้เขานึกขัน
เออเน๊อะคนเรา...เขาเพิ่งช่วยเธอจากไอ้โจรวัยรุ่นนั้นมาหยกๆ กลับกลายเป็นเธอมานั่งหวาดระแวงเขาเสียอย่างนั้น
แต่เขมกรก็ไม่ได้คิดสนใจหรือถือสาอะไรกลับยิ้มขำเธอ ขับรถมาจนถึงสถานีตำรวจ ซึ่งใช้เวลาสอบปากคำอยู่นานพอสมควร กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เล่นเอาเกือบรุ่งสาง
“คุณกลับยังไงเดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้ก็รบกวนคุณมากแล้ว คุณกลับไปพักเถอะนะคะ”
“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งคุณจะได้จบๆไป มันจะเช้าแล้วด้วยคุณ ผมง่วงแล้ว” ปลายน้ำเสียงคล้ายหงุดหงิดเล็กน้อย จนเธอไม่กล้าเอ่ยขัด
“อ๋อค่ะๆ ขอบคุณนะคะ” ร่างเล็กรีบรับคำทันที ทั้งๆที่เกรงใจเขาไม่อยากรบกวนไปมากกว่านี้ แต่เธอก็ไม่อยากดื้อขัดน้ำใจของอีกฝ่าย ยอมเดินไปขึ้นรถกับเขา
“คุณชื่ออะไร”
“เอ่อ...ชื่อบัวค่ะ”
“ครับ ผมเขมกร...หรือเขมก็ได้”
“ค่ะคุณเขม...วันนี้ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ ฉันคงแย่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...รอบหน้าคุณก็ระวังหน่อยละกัน ไปอยู่ที่เปลี่ยวๆแบบนั้นเวลากลางค่ำกลางคืนมันอันตราย...แล้วคุณอาจจะไม่โชคดีแบบวันนี้ด้วย”
“ค่ะ ฉันจะระวังตัวนะคะ” รอยยิ้มจืดเจื่อนปรากฏบนใบหน้าสวยของเธอ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
จนรถเลี้ยวเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้าอาคารสูงที่เป็นที่พักของเธอ หญิงสาวจึงหันมามองหน้าเขาอีกครั้งเอ่ยคำขอบคุณ
“วันนี้ต้องขอบคุณคุณเขมจริงๆนะคะ ถ้าไม่รังเกียจฉันขอเบอร์ติดต่อคุณไว้ได้ไหมคะ ฉันอยากเลี้ยงขอบคุณคุณ” ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าบทพูดดังกล่าวหญิงสาวจะชิ่งพูดออกมาเสียก่อน ลมหายใจร้อนระบายออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบนามบัตรจากกระเป๋าเก็บนามบัตรที่ทำจากหนังอย่างดียื่นให้
“ครับ เอาเป็นว่าผมรอคุณโทรมาละกัน”
“ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“เดี๋ยวครับ”
“คะ”
“ผมขอเบอร์คุณไว้ด้วยดีกว่า”
“ทำไมคะ กลัวฉันเบี้ยวเลี้ยงข้าวคุณเหรอคะ” เจอเหตุการณ์หนักขนาดนี้เธอยังมีใจพูดติดตลกกับเขา พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“หึหึ...คงงั้นมั่งครับ” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบนามบัตรของตนเองยื่นให้เขา
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวเอ่ยคำขอบคุณกับเขาอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงไป สีหน้าสดใสขึ้นเล็กน้อย ยืนส่งยิ้มมองจนรถคันดังกล่าวเคลื่อนตัวออกห่างไปเรื่อยๆจึงได้หมุนตัวเดินไปเข้าลิฟต์ไปยังชั้นที่เธออาศัยอยู่
เวลานี้เธอเพิ่งระลึกได้แล้วว่า เวลาได้ล่วงเลยมาเกือบตีสี่แล้วสองเท้าเล็กก้าวยาวๆไปยังห้องพักของตนด้วยสีหน้ารีบร้อนขึ้น ใจนั้นนึกเป็นห่วงว่าเขาจะกลับมาถึงห้องพักหรือยัง หากว่ายังเธอควรจะทำอย่างไรดี
แต่เมื่อประตูห้องเปิดกว้างขึ้นสัมผัสกับอุณหภูมิในห้องเย็นเฉียบ จึงแอบถอนหายใจโล่งด้วยความดีใจ ก่อนหน้านี้เธอคิดกังวลไปสารพัดว่าทำไมเขาถึงเงียบหายไปไม่มารับเธออย่างที่บอกไว้ อดไม่ได้ที่จะคิดว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขา
ชายหนุ่มที่เธอรักนอนหลับสนิทอยู่ที่นอนหลังใหญ่ภายใต้อุณหภูมิห้องเย็นเฉียบ หญิงสาวก้าวขาอย่างช้าไปมองใบหน้าของเขา อยู่ๆความรู้สึกบางอย่างก็ตีรื้นขึ้นมาในอก หยดน้ำตาแห่งความน้อยใจเอ่อคลอขึ้นมาแทนที่ความห่วงใยที่เธอมี
พลันคิดได้ว่า...ในขณะที่เธอเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดเขากลับมานอนหลับสบายเช่นนี้หรือ เขายังกินอิ่มนอนหลับได้โดยไม่คิดห่วงใย หรือตามหาเธอเลยใช่ไหม
เพียงคิดเท่านี้ทบน้ำตาก็ไหลรินอาบแก้ม พยายามกลั้นเสียงสะอื้นตนเอง ก่อนจะค่อยๆเดินถอยหลังออกจากห้องนอนไปอย่างเงียบๆช้าๆ
ตอนที่ 2 ไม่เห็นเธอแล้ว สายตาหวาดระแวงคอยมองชายหนุ่มแปลกหน้าสองคนที่ขี่รถมอเตอร์ไซน์เวียนวนไปมาอยู่แถวนี้หลายครั้ง หญิงสาวนั่งกอดกระเป๋าสะพายตัวเองไว้แน่น เวลาห้าทุ่มเช่นนี้สายฝนเริ่มซ่างซาตกลงมาปรอยๆ โทรศัพท์มือถือเธอก็แบตเตอรี่หมดทำให้เธอติดต่อกับคนรักของเธอไม่ได้ ข้อความสุดท้ายที่ทักไปถามเขาว่าอยู่ที่ไหนแล้ว เขาก็ยังไม่อ่าน ขณะที่เธอกำลังนั่งหวาดกลัวอกสั่นขวัญแขวน รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นไม่รู้ว่าจอดซุ่มอยู่ตรงไหน รู้ตัวอีกทีก็ถูกชายฉกรรจ์สูงใหญ่สองคนมายืนและนั่งประกบขนาบข้างฝั่งละคน “ลุกขึ้นยืนดีๆ อย่าส่งเสียงกรีดร้องไม่งั้นกูแทงมึงแน่คนสวย” เสียงกระซิบแหบๆดังใกล้หู พร้อมกับแรงกดของวัตถุของมีคมข้างตัว ปลายเหล็กแหลมผ่านเนื้อผ้าสัมผัสผิวเนื้อเจ็บแปลบจนร่างเล็กถึงกับสะดุ้ง หยดน้ำตาเอ่อคลอหน่วยตา ใบหน้าซีดขาวดวงตาสั่นไหวหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา ร่างเล็กค่อยๆลุกขึ้นยืนตามคำบอกของฝ่าย ในขณะที่สายตาสอดส่ายมองหาช่องทางหนีและใครสักคนให้มาช่วยเหลือ จังหวะนั้นสายตาของเธอเหลือบเห็นใครบางคนเพิ่งเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หั
บรรยากาศภายในรถคันหรูเย็นฉ่ำด้วยอุณหภูมิรถ กอปรกับสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็นเพราะฝนตกหนัก เขาถึงหันไปหยิบเสื้อแขนยาวที่แขวนอยู่ด้านหลัง มาคลุมให้กับหญิงสาวที่นั่งกอดอก ตัวสั่นเล็กน้อยเพราะโดนละอองฝนระหว่างวิ่งจากตัวร้านขึ้นมานั่งในรถ“ขอบคุณนะคะ”“ครับ” เขาตอบรับสั้นๆด้วยน้ำเสียงโทนอบอุ่น มองเสี้ยวหน้าของอดีตคนรักที่เขาไม่ได้พบเจอมานาน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง“พี่ดีใจนะที่พี่ได้เจอมุกวันนี้” นัยน์ตาคมจ้องมองสบตาหญิงสาวอดีตคนรักตาเป็นประกาย จนเธอต้องเอียงหน้า เมินหลบตาคู่นั้นที่ทำให้หัวใจเธอสะท้านสั่นไหวขึ้นมา“ค่ะ กลับเถอะนะคะ ดึกมากแล้วมุกอยากกลับบ้านไปอาบน้ำสระผมแล้วค่ะพี่พอร์ช” หญิงสาวแสร้งตัดบท เพราะรู้สึกเก้อเขินหากจะต้องพูดคุยอะไรกับเขามากไปกว่านี้ การไม่ได้เจออดีตคนเคยรักมานาน มันก็แอบทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงเร็วได้อย่างไม่น่าเชื่อ เชฟหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเปลี่ยนเกียร์รถ เหยียบคันเร่งฝ่าสายฝนไปยังถนนเส้นคุ้นเคย เพราะเมื่อก่อนต้องใช้เส้นนี้รับส่งคนที่อยู่ข้างๆมาโดยตลอด ถนนสี่เลนที่ไม่ใช่ถนนสายหลัก รถราในเวลากลางคืนจึงมีไม่มากนัก ชายหนุ่มขั
ตอนที่ 1 โง่จริงๆรัญลฎาสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงอย่างหนักตั้งแต่ห้าโมงเย็น ทำให้การจราจรติดขัดหนักกว่าปกติเล็กน้อยกลุ่มเพื่อนที่นัดกันมาสังสรรค์ตั้งแต่ช่วงเย็นเริ่มทยอยกันเดินเข้ามาในร้าน ภัทรกฤชหรือเชฟพอร์ชทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพเหมาโซนพิเศษนี้ไว้รอต้อนรับเพื่อนๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เจอกันนานร่วมปีชายหนุ่มใช้สิทธิพิเศษในการเป็นหุ้นส่วนร้านอาหารชื่อดังจองโซนวีไอพีไว้รอต้อนรับเพื่อนๆที่เริ่มทยอยกันเข้ามาในร้าน พร้อมกับอาหารที่จัดวางไว้อย่างเรียบร้อยพร้อมทาน โดยไม่ต้องเสียเวลาสั่ง แต่ถ้าหากอยากจะทานอะไรพิเศษเพิ่มก็สามารถสั่งได้ในตอนหลังธาราเพื่อนสนิทของเขาเดินควงแฟนสาวที่คบหากันมานาน และตัวเขาเองก็เองก็รู้จักมักคุ้นสนิทสนมกับอีกฝ่ายพอสมควร เพราะเป็นเพื่อนสนิทของมุกรดา อดีตคนรักของเขาที่เลิกรากันไปเกือบสี่ปีเต็มร่างสูงยืนมองเพื่อนสนิทที่ควงแฟนสาวเข้ามา ริมฝีปากหยักหนายกยิ้มบางๆก่อนจะค่อยๆเลือนหายไปเมื่อได้เห็นใครบางคนไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนาน เดินตามหลังแฟนสาวของธาราเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวานละมุนน่ามองจนสะกดสายตาเขาให้อยู่ที่เธอคนนั้นนานหลายนาที“อ้าวเห้ย!! ไอ้พอร์ช อึ้งไปเลยเหรอวะ” ธ
เวลาเกือบห้าโมงเย็นทั้งสามออกมาจากห้องเสื้อชื่อดังก็พากันมานั่งพูดคุยกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากห้องเสื้อนั้นมากนัก รัญลฎาที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูรูปที่ถูกถ่ายเมื่อครู่สีหน้ามีความสุข “แกสวยมากจริงๆนะ ชุดนั้นเหมาะกับแกเลยบัว” ไอลดาที่นั่งอยู่ใกล้ๆชะโงกหน้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อนเอ่ยชมไม่ขาดปาก “แกไม่ลองส่งไปให้พี่เขาดูล่ะ อยากรู้ว่าถ้าเขาเห็นแล้วจะแจ้นมาหาเธอที่นี่แล้วขอเธอแต่งงานเลยหรือเปล่า” ปั้นแก้มพูดอย่างนึกสนุก “ไม่หรอก พี่เขาไม่ใช่คนที่จะตื่นเต้นอะไรง่ายๆ” รัญลฎาตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พวงแก้มขาวระเรื่อขึ้นสีชมพูจางๆ ก่อนจะลองส่งรูปที่ตนเองใส่ชุดเจ้าสาวส่งไปให้เขาได้ดู หวังลึกๆอยากเห็นปฏิกิริยาหรือคำชมจากเขา รออยู่หลายนาทีข้อความดังกล่าวถึงได้ถูกเปิดอ่าน แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับนอกจากความนิ่งเฉยของเขาที่ทำเป็นปกติทุกครั้งที่เธอกดส่งอะไรไปให้เขาดู ร่างเล็กเผลอขบกัดริมฝีปากล่างตัวเองเบาๆ ผิดหวังซ้ำๆกับการคาดหวังลมๆแล้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วเขาไม่เคยสนใจอะไรอยู่แล้วทุกครั้งที่เธอส่งอะไรไปหาเขา การอ่านแ
บทนำ คบประสาอะไร “พี่พอร์ชคะ” เสียงหวานเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส รอยยิ้มหวานผุดพรายละมุนละไม เนื้อตัวเปลือยเปล่าลุกขึ้นนั่งจ้องมองชายหนุ่มที่ตนรักแววตาเป็นประกาย “หื้อ...อือว่าไง” เสียงดังจากในลำคอ ก่อนจะเอ่ยจะถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย ดวงตาปิดปรือง่วงงุน เพราะเพิ่งผ่านกิจกรรมร่านสวาทด้วยกันมาเกือบค่อนคืน เรี่ยวแรงของเขาแทบมลายหายสิ้น อ่อนเพลียจนอยากจะไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ แต่หญิงสาวที่ยังคงสดใส ดวงตากลมโตแวววาวเป็นประกายจ้องมองเขานิ่งนานด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข “บัวรักพี่พอร์ชนะคะ” “อืม” “รักมากๆๆๆ รักมากที่สุดเลย” “อือ...รู้แล้ว” น้ำเสียงในลำคอคล้ายรำคาญ ตวัดแขนมาดึงรั้งโอบกอดร่างเล็กให้ล้มตัวลงนอนข้างๆเขา “พรุ่งนี้เพื่อนบัวเขานัดจะไปลองชุดแต่งงานกัน พี่พอร์ชว่างไหมคะ” “หื้อ” “เพื่อนบัวเขาอยากเจอพี่...เราคบกันมาจะสองปีแล้ว พี่ยังไม่เคยเจอเพื่อนบัวเลย แถมบัวยังไม่เคยรู้จักเพื่อนพี่ด้วย...พรุ่งนี้พี่ไม่ได้ไปทำงาน เราไปด้วยกันนะคะ” ตั้งแต่รู้จักกันมาสี่ปีกว่า และได้ย้ายมาอยู่