LOGIN“ไอ้ลูกไม่รักดี! คุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษตระกูลเจียงเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงและถ้อยคำที่คุ้นเคยดังผ่านหูของเขาอีกครั้ง เจียงอวี้เฉิงกะพริบตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่วางเรียงรายหลายสิบป้ายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หงส์แดง ขัดเงาจนขึ้นสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย
ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทำจากไม้แกะสลักอย่างประณีต ลงรักปิดทองอร่ามเรืองรองภายใต้แสงเทียนและตะเกียงน้ำมันที่จุดบูชาอยู่เสมอ รายนามและตำแหน่งของบรรพบุรุษแต่ละรุ่นถูกจารึกไว้อย่างเคารพและนับถือ
บ้านเขาไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณไฮโซแบบนี้นี่?
กระถางธูปทองเหลืองขัดเงาที่ส่งกลิ่นหอมของกำยานอ่อน ๆ เชิงเทียนคู่ใหญ่ที่เปลวเทียนไหวระริกอย่างนุ่มนวล วางซ้อนด้านหน้าด้วยถ้วยน้ำชาสะอาดบริสุทธิ์
บ้านเขายากจนขนาดนี้ จะไปมีกระถางธูปทองเหลืองได้ยังไง?
เจียงอวี้เฉิงหันหน้าไปมา เพื่อมองรอบ ๆ ตัวแล้วจึงพบว่าตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ในโถงบรรพชนขนาดใหญ่ที่บรรยากาศกำลังเย็นเยียบและเงียบสงัด แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายที่ประดับด้วยกระดาษสาบางเบา ส่องกระทบฝุ่นละอองที่ล่องลอยในอากาศเป็นลำแสงเรืองรอง
ผนังโดยรอบโถงบรรพชนประดับประดาด้วยภาพวาดของบรรพบุรุษที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี บรรพบุรุษแต่ละรุ่นในชุดแม่ทัพออกศึกด้วยสีหน้าที่ดุดันและเปี่ยมด้วยอำนาจบารมี บ่งบอกถึงเกียรติยศและภูมิหลังอันยาวนานของตระกูล
ความเย็นเยียบที่หัวเข่าทำให้เจียงอวี้เฉิงก้มมองพื้นของโถงบรรพชนที่ปูด้วยหินอ่อนสีเข้ม ก่อนจะเห็นรองเท้าหนังวัวที่ตัดเย็บอย่างประณีตที่โผล่พ้นชายเสื้อคลุมตัวนอกของชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ดวงตาจิ้งจอกของเจียงอวี้เฉิงกวาดตามองสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเห็นชุดขุนนางในราชสำนักที่ทำจากผ้าแพรชั้นดี มาหยุดอยู่ที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยที่แสนจะคุ้นเคย
น้ำตาชายหนุ่มสะอื้นขึ้นมา เมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งโดนอะไรบางอย่างฟาดโดนศีรษะ แล้วเจียงห้าวก็ถลามารับเขาไว้ด้วยความหวาดกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป
“พ่อ...”
เพียะ!!
“โอ๊ย!!” เจียงอวี้เฉิงร้องโอดโอย เมื่อแส้ยาวกระทบลงบนแผ่นหลังของเขาอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือคนตรงหน้า ทำให้น้ำตาสะอื้นของเขาหดกลับเข้าไปในทันที
นี่ พ่อเขาไปหัดใช้แส้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?
แล้วบ้านเรามีแส้ด้วยเหรอ?
“ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพ่อ” เสียงคุ้นเคยตวาดก้องในโถงบรรพชน “ข้ามิเข้าใจ เหตุใดเจ้าจึงดื้อรั้นไม่ยอมเข้าพิธีคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่?”
ข้า?
พิธีคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่?
พ่อพูดอะไร?
“อ่ะ โอ๊ย!” สองมือของเจียงอวี้เฉิงยกขึ้นกุมศีรษะ ความทรงจำของ ‘เจียงอวี้เฉิง’ อีกคนกำลังหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับการถ่ายทอดข้อมูลผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นล่าสุด
ภาพเหตุการณ์ในอดีตทำให้เจียงอวี้เฉิงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในทันทีว่า ยามนี้ ตัวเขากำลังข้ามมิติเข้ามาอยู่ในร่างของ เจียงอวี้เฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ในรัชศกซื่ออัน ปีที่ยี่สิบสี่!
“พ่อ… ผม เอ๊ย! ข้าขอกระจก ไม่สิ! คันฉ่อง! ข้าขอดูคันฉ่องหน่อย!” เจียงอวี้เฉิงเอ่ยขัดบิดาที่กำลังจะร่ายยาวสั่งสอนเขาอยู่ตรงหน้า
เจิ้นกั๋วกงเลิกคิ้วคมขึ้นอย่างไม่พอใจที่ถูกบุตรชายเอ่ยขัด หากแต่ก็ยังอุตส่าห์เอ่ยสั่งองครักษ์ข้างตัวอย่างตามใจบุตรชาย “จ้าวลี่ ไปเอาคันฉ่องมาให้นายน้อย”
“ขอรับ” จ้าวลี่ องครักษ์ประจำตัวรับคำ ก่อนจะรีบเดินออกไปหยิบคันฉ่องมาส่งให้นายน้อย “คันฉ่องขอรับ นายน้อย”
เจียงอวี้เฉิงรีบรับมาส่องใบหน้าของตัวเอง จึงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมาหลายปี เขาพลิกใบหน้าซ้ายขวาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสังเกตเห็นความหยาบกร้านของฝ่ามือที่บ่งบอกว่าร่างกายนี้ฝึกวิทยายุทธ์และจับด้ามดาบมาตั้งแต่วัยเยาว์
เราไม่เคยมือสากขนาดนี้มาก่อนเลยนะ...
แปลว่าวิญญาณของเราข้ามเข้ามาในร่างของซื่อจื่ออย่างนั้นเหรอ?
ถ้าอย่างนั้น...
ไวเท่าความคิด เจียงอวี้เฉิงเอื้อมมือข้างซ้ายไปรั้งสาบเสื้อบริเวณไหล่ขวาลง ทำให้เขายังคงเห็นลายสักรูปคิตตี้ที่ต้นแขนขวาอย่างชัดเจน...
ก็เราเข้ามาสิงในร่างของซื่อจื่อแล้วไง แล้วทำไมลายสักของร่างโน้นถึงมาปรากฏในร่างนี้ด้วยเล่า?
โธ่เว้ย! นึกว่าจะได้ทิ้งร่างที่สักลายการ์ตูนผู้หญิงแบบนี้ออกไปแล้วเสียอีก
สุดท้าย มันก็ยังตามมาหลอกหลอนเขาอยู่ดี...
เจียงอวี้เฉิงนึกอย่างเสียใจ เพราะลายสักรูปคิตตี้นี้ เกิดจากเด็กสาวที่เขาแอบหลงรักบอกว่าชอบคิตตี้ เขาจึงได้ตัดสินใจออมเงิน หนีบิดาเข้าไปในตัวเมือง เพื่อขอสักลายที่รักแรกของเขาชอบ
แต่เมื่อเขากลับมาอวดลายสักนั้น ก็พบว่าเด็กสาวได้ตัดสินใจคบกับคนอื่นไปแล้ว ครั้นจะเข้าเมืองเพื่อไปลบลายสัก เงินของเขาก็หมดแล้ว แถมยังถูกเจียงห้าวจับได้อีก
สุดท้าย บิดาจึงสั่งให้ปล่อยรอยสักนั้นไว้เตือนใจ ไม่ให้ตัดสินใจสิ่งใดอย่างชั่ววูบอีก
หลังรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เจียงอวี้เฉิงก็เดินกลับเรือนเจิ้งจื้อของตนเองตามความทรงจำเดิม โดยมีหม่งหู่และติงหลี่ บ่าวรับใช้คนสนิทเดินตามหลังไม่ห่างเจียงอวี้เฉิงยังคงทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเช่นเดิม เพื่อไม่ให้ผู้ใดผิดสังเกตเรือนเจิ้งจื้อเป็นเรือนส่วนตัวของเขาตั้งอยู่ในมุมที่เงียบสงบที่สุดของจวนเจิ้นกั๋วกง มีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ก่อด้วยอิฐสีเทาและประตูไม้สีเข้มที่เรียบง่ายภายในลานเรือนไม่ได้ประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน แต่เป็นสวนหินที่จัดวางอย่างมีศิลปะ พร้อมด้วยต้นไผ่ที่เอนไหวไปตามสายลม และบ่อน้ำขนาดเล็กที่มีกอหญ้าขึ้นเขียวขจี ช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงกลางจะพบกับพื้นไม้สีเข้มที่ขัดเงาจนขึ้นเงา ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกระดานหมากล้อมที่ยังคงมีตัวหมากวางค้างไว้อยู่ บ่งบอกถึงกิจกรรมยามว่างที่ซื่อจื่อคนก่อนชื่นชอบนอกเหนือจากการจับกระบี่และทวนยาวห้องที่เป็นส่วนตัวที่สุดคือห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์หอมที่ใช้จุดบูชา ผนังห้องเต็มไปด้วยชั้น
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เสียงหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขของเจิ้นกั๋วกงดังก้องกังวานไปทั่วห้องอาหารของจวนแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลาย บนโต๊ะไม้เนื้อดีเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ คลุกเคล้าไปกับกลิ่นของเครื่องเทศและเนื้อสัตว์อบอวลไปทั่วห้อง“ท่านพี่อารมณ์ดีเสียจริงนะเจ้าคะ” ฉินซื่อ ฮูหยินของเขาเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น คอยตักอาหารให้สามีอย่างใส่ใจเจิ้นกั๋วกงตอบพลางคีบเนื้อเข้าปาก “ก็เฉิงเอ๋อร์ยอมไปคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่แล้วนี่”“จริงรึ? ท่านพ่อ” เจียงจุนหลี่ น้องชายคนรองเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ “เมื่อคืน ท่านพี่ยังยืนกรานกับข้าว่าอย่างไรก็จะไม่เข้าคัดเลือกเป็นแน่ จริงหรือไม่? ท่านพี่”เจียงจุนหลี่หันไปถามเจียงอวี้เฉิง ในขณะที่เจียงอวี้เฉิงกำลังตาลายไปกับอาหารเลิศรสนานาชนิดบนโต๊ะ ทั้งปลานึ่งซีอิ๊ว หมูแดงย่างหอมกรุ่น ขาหมูพะโล้ ผัดผักตามฤดูกาล และที่ขาดไม่ได้คือไก่ตุ๋นยาจีนเนื้อนุ่ม หนังสีเหลืองทองชวนน้ำลายสอ ไอน้ำยังลอยกรุ่นขึ้นมาจากชามใหญ่แม่เจ้าโว้ย!! เกิดมายังไม่เคยมีอาหารเต็มโต๊ะขนาดนี้มาก่อนเลย!!
“อ๊าก!!” เจียงอวี้เฉิงหมอบลงตัวกับพื้นแล้วร้องระบายออกมาสุดเสียงอย่างอัดอั้นแม่งเอ๊ย!! นึกว่าจะได้ร่างใหม่ที่หล่อเหลา ไม่มีรอยสักแล้วซะอีก...เสียงร้องโหยหวนของเขาสร้างความตกใจให้แก่บิดาคนใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมากเจิ้นกั๋วกงหันสบตากับจ้าวลี่ด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่าวันนี้ บุตรชายของเขาเป็นสิ่งใด ล้วนแต่มีท่าทีแปลกประหลาด ตั้งแต่ร้องหาคันฉ่อง ไหนจะปรากฏรอยประหลาดที่ต้นแขนอีก“ฉะ... เฉิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นสิ่งใดไป? พ่อตีเจ้าเจ็บหรือ?”เจียงอวี้เฉิงที่ได้ยินน้ำเสียงห่วงใยนั้น ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหน้า เจียงซู่ เจิ้นกั๋วกงและเป็นบิดาของเขาในตอนนี้เจียงซู่ เหมือนเจียงห้าว พ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน...ใบหน้า น้ำเสียง รูปร่าง แม้ว่าจะดุกับเขาไปบ้าง แต่อย่างไรก็รักและเอ็นดูเขาอย่างที่สุด“ข้าไม่เป็นไรขอรับ” เจียงอวี้เฉิงตอบด้วยเสียงอู้อี้หากวิญญาณของเขาข้ามมิติมาที่นี่แล้ว ร่างของเขาในโลกนู้นก็คงจะนอนแน่นิ่งแล้วสินะ...แล้วพ่อจะเป็นยังไงบ้างนะ? พ่อจะไม่คลั่งไปเลยเหรอ?ยิ่งกังวลอยู่ว่าเขาเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของ
“ไอ้ลูกไม่รักดี! คุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษตระกูลเจียงเดี๋ยวนี้!”น้ำเสียงและถ้อยคำที่คุ้นเคยดังผ่านหูของเขาอีกครั้ง เจียงอวี้เฉิงกะพริบตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่วางเรียงรายหลายสิบป้ายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หงส์แดง ขัดเงาจนขึ้นสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทำจากไม้แกะสลักอย่างประณีต ลงรักปิดทองอร่ามเรืองรองภายใต้แสงเทียนและตะเกียงน้ำมันที่จุดบูชาอยู่เสมอ รายนามและตำแหน่งของบรรพบุรุษแต่ละรุ่นถูกจารึกไว้อย่างเคารพและนับถือบ้านเขาไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณไฮโซแบบนี้นี่?กระถางธูปทองเหลืองขัดเงาที่ส่งกลิ่นหอมของกำยานอ่อน ๆ เชิงเทียนคู่ใหญ่ที่เปลวเทียนไหวระริกอย่างนุ่มนวล วางซ้อนด้านหน้าด้วยถ้วยน้ำชาสะอาดบริสุทธิ์บ้านเขายากจนขนาดนี้ จะไปมีกระถางธูปทองเหลืองได้ยังไง?เจียงอวี้เฉิงหันหน้าไปมา เพื่อมองรอบ ๆ ตัวแล้วจึงพบว่าตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ในโถงบรรพชนขนาดใหญ่ที่บรรยากาศกำลังเย็นเยียบและเงียบสงัด แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายที่ประดับด้วยกร
“ทำไมคนแซ่จวงมันโชคดีจังวะ ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ลูกกลายเป็นเต้ แล้วยังได้เป็นไฮโซอีก” เจียงอวี้เฉิงพูดด้วยความอิจฉาเต็มอก ก่อนจะนึกถึงตระกูลจวงในปัจจุบันที่ได้ยินผ่านสื่อโทรทัศน์บ่อย ๆจวงเหวินซิน ศัลยแพทย์หัวใจอัจฉริยะ ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำระดับโลก หลังกลับสู่ประเทศบ้านเกิดแล้ว เขาก็ได้กลายเป็นแพทย์มือหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาได้ก่อตั้งเครือข่ายโรงพยาบาลนับสิบแห่งทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อเสียงอันเป็นที่น่านับถือของตระกูลจวงจวงยู่หลุน นักการเมืองผู้ยึดมั่นในหลักการ ทำงานด้วยความมุ่งมั่นและเสียสละ จนได้รับการไว้วางใจจากประชาชน เลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายสมัยจวงเจ๋อหยู อธิการบดีผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติ จนมหาวิทยาลัยแห่งนี้กลายเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนนับล้านทั่วประเทศ การันตีการเรียนจบที่มีคุณภาพและการได้งานทำที่มั่นคง ทำให้บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเป็นอย่างสูงจวงย่าจิ้ง คุณนายใหญ่แห่งตระกูลจวง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี เธอได้ก่อตั้งมูลนิธิต่าง ๆ ม
ฮ่องเต้ชิงหยางประกาศให้บุตรชายของตระกูลขุนนางเข้าร่วมงานคัดเลือก ซึ่ง เจียงอวี้เฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานคัดเลือกนั้นในท้ายที่สุด จวงหมิงรุ่ย ซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือ ของ จวงเหวินจิ่น ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นกั๋วซือของฮ่องเต้ในขณะนั้น ได้ผ่านการคัดเลือกเป็นพระราชบุตรเขยหลังจากที่องค์หญิงใหญ่ได้สนทนากับซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือก็เกิดความพึงพอพระทัยในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ซึ่งแตกต่างจากการใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของวังหลวงเป็นอย่างมากองค์หญิงใหญ่จึงได้ขอพระราชทานย้ายไปอยู่กับซื่อจื่อที่จวนจวงกั๋วซือ ซึ่งฮ่องเต้ชิงหยางก็ได้พระราชทานอนุญาต ตามพระทัยพระเชษฐภคินีหลังจากงานอภิเษกสมรส องค์หญิงใหญ่ได้ก้าวเข้าสู่จวนจวงกั๋วซือในฐานะฮูหยินซื่อจื่อ เพียงไม่นาน ก็มีข่าวว่าองค์หญิงใหญ่ได้ประสบอุบัติเหตุที่ใบหน้า จำต้องใช้ผ้าปิดใบหน้าเมื่อออกจากจวนอยู่เสมอแต่ความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน วันหนึ่ง เย่เฉิง รองแม่ทัพคนสนิทของเจิ้นกั๋วกงได้เข้าไปทูลรายงานกับฮ่องเต้ชิงหยางว่าจวนเจิ้นกั๋วกงต้องการก่อกบฏ ติดต่อสมคบคิดกับแคว้นศัตรูเย่เฉิงมอบหลักฐา







