“ตัวข้าตอนนี้คงหนักเท่ากับข้าวสารหนึ่งกระสอบเลยกระมัง” หลังจากพิจารณาใบหน้าอ้วนกลม แต่ส่วนประกอบทั้งห้าหมดจดงดงาม ความรู้สึกเคร่งเครียดก็ลดน้อยถอยลงไปบ้าง
“ข้าวสารหนึ่งกระสอบหนักสองร้อยจิน แต่คุณหนูหนักแค่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าจินเท่านั้น”
ข้าวสารหนึ่งกระสอบหนักหนึ่งร้อยกิโลกรัม แสดงว่าเด็กสาวคนนี้ก็หนักประมาณแปดสิบกิโล แม่เจ้า!!! เธอยังเด็กและก็สวยมากๆ แต่ทำไมถึงได้ปล่อยให้อ้วนได้ขนาดนี้กัน เพราะแบบนี้สินะถึงไม่ได้เป็นเมียฮ่องเต้ ส่วนไอ้อ๋องใหญ่เฒ่าลามกนั่น ก็รับไม่ได้กับสภาพของชายาที่ถูกยัดเยียดมาให้
“ข้าสงสารเจ้าจริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าเอง ไม่ต้องห่วงนะสาวน้อย”
“คุณหนูเจ้าคะ”
“หือ” รนิดาเลิกคิ้วขึ้นอย่างเคยชินขณะที่ขานรับในลำคอ
นางไม่ใช่คุณหนูของข้า! นางไม่ใช่คุณหนูของข้า! คุณหนูของข้าไม่เคยทำนิสัยเช่นนี้ หลี่กำมือเข้าหากันแน่นเพื่อข่มความกลัวที่กำลังสั่นเทา
“คุณหนูจำเฟิ่งต้าชวี่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เฟิ่งต้าชวี่คือใคร ทำไมไม่เห็นมีในความทรงจำ รนิดาพยายามนึกทบทวนก่อนตอบ
“ตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมาข้าก็จำอะไรไม่ค่อยได้หรอกหลี่ เฟิ่งต้าชวี่คือใครหรือ”
สาวใช้ตัวน้อยถอยหลังหนีไปหลายก้าว มองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาหวาดกลัวอย่างไม่ปิดบังก่อนจะถามด้วยเสียงที่สันเทา
“เจ้าไม่ใช่คุณหนูของข้า เจ้าเป็นผีร้ายที่มาสิงร่างคุณหนูของข้าใช่ไหม ออกไปจากร่างคุณหนูของข้านะ ปล่อยให้นางได้จากไปอย่างสงบเถอะ อย่ามารบกวนนางเลย”
รนิดามองสาวน้อยตัวสั่นเทานั้นด้วยความเห็นใจระคนนึกเอ็นดู นึกชมเชยในความกล้าหาญของนางจากใจจริง
“เจ้าทำให้ข้ากลัวนะหลี่ ถ้าข้าไม่ใช่คุณหนูของเจ้าแล้วข้าจะเป็นใครได้อีกล่ะ”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้าไม่ใช่คุณหนูของข้าแน่ๆ ถ้าเจ้ายังดื้อดึงข้าจะไปเรียกคนทรงมาปราบเจ้า”
“ต่อให้เจ้าเรียกมาทั้งเมืองก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เพราะข้าคือคุณหนูของเจ้า”
“ข้าไม่เชื่อ ข้าจะไปบอกนายท่านกับฮูหยินเดี๋ยวนี้”
“อย่า!” รนิดารีบวิ่งไปขวางหน้าสาวใช้คนเก่งเอาไว้ จับมือเธอไว้แน่นแล้วลากไปนั่งลงบนเตียง “ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะเชื่อเรื่องที่ข้าพูดและห้ามไปบอกกับใครเด็ดขาด”
“เจ้าก็เล่ามาก่อนสิ แล้วข้าจะตัดสินใจเองว่าเชื่อได้หรือไม่”
“ดีมาก” เธอกล่าวเหน็บแนมก่อนจะเริ่มต้นเล่าความจริงให้ฟังทั้งหมด.. “เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ”
หลี่ส่ายหน้าแรงๆ ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะมีเรื่องข้ามภพชาติมาสิงร่างแบบนี้
“ข้าไม่เชื่อ เรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านเป็นหมอผีหรือเปล่า”
“หมอผีบ้าอะไรล่ะ!” รนิดาเหลือกตาขึ้นมองเพดาน ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด “ข้าพูดภาษาตะวันตกเป็นเพราะภพที่ข้าเคยอยู่เขาสอนภาษานี้กันอย่างเสรี ข้าพูดภาษาไทยได้เพราะภพที่ข้าเกิดข้าเป็นคนไทย ข้าเรียนศิลปะป้องกันตัวหลายแบบเพราะภพที่ข้าอยู่สอนพวกนี้อย่างกว้างขวาง” เธอค่อยๆ แนะนำตัวเองต่อสาวใช้พร้อมกับสาธิตให้ดูอย่างใจเย็น
“เป็นไปได้ยังไงกัน มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่น่าเชื่อสักนิด” หลี่เริ่มลังเลแต่ก็ยังไม่เชื่อสักเท่าไหร่
“บ้านข้าเรียกประเทศของเจ้าว่าประเทศจีน ประเทศของข้ากับประเทศของเจ้าเป็นเหมือนพี่น้องกัน เพราะมีคนจีนเข้าไปอาศัยทำกินเยอะมาก พอคนจีนแต่งงานกับคนไทย เมื่อมีลูกก็จะกลายเป็นคนไทยเชื้อสายจีน แม่ของข้าก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่พ่อข้าเป็นคนจีนแท้ เกิดที่นี่แต่ไปโตที่ไทย” รนิดาเลี่ยงที่จะเอาเรื่องเกี่ยวกับการเมืองการเปลี่ยนราชวงศ์มาพูดให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่เลือกเอาเรื่องที่สามารถผูกมิตรกับนางได้มาพูดแทน “เจ้าอยากได้ยินเพลงจีนในสมัยของข้าไหมล่ะ ข้าจะร้องให้ฟัง”
อีกฝ่ายยังไม่ทันพยักหน้ารับเธอก็เริ่มขยับปากร้องเพลงจีนอมตะเพลงแรกขึ้นมาทันที
“เถียนมีมี่ หนีเซียวตีเถียนมีมี่ ห่าวเซี่ยงฮวาเอ่อคายจ้ายชุนฟงหลี่ คายจ้ายชุนฟงหลี่ จ้ายหน่าหลี่ จ่ายหนา หลี่เจี้ยนกว้อหนี่ หนี่ตีเสี้ยวหย่งเจ้อย่างโสวซี่ หว่ออี้สือเสี่ยงปู้ฉี่ อา..จ้ายม่งหลี่ ม่งหลี่ มงหลี่เจี้ยนกว่อหนี่ เถียนมี่เซียวตีตอเถียนมี่ ซื่อหนี่ ซื่อหนี่ ม่งเจี้ยนตีจิ้วซื่อหนี่”
เธอจบเพลงแรกเมื่อจำเนื้อเพลงท่อนต่อไปไม่ได้ และต่อด้วยเพลงที่ชอบมากเป็นพิเศษอีกเพลง นั่นก็คือเพลงผู้หญิงข้าใครอย่าแตะที่นำแสดงโดยหลิวเต๋อหัวขวัญใจของตน
“ร้องต่อสิ หยุดทำไม” สาวใช้ถึงกับเคลิบเคลิ้มเพราะเสียงหวานๆ กับการขับร้องทำนองแปลกหู แต่ก็ยอมรับอย่างจริงใจว่าไพเราะมากๆ
“เจ้าเชื่อข้าแล้วหรือหลี่”
“ข้าไม่เชื่อแต่ข้าไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไรต่างหาก” สาวใช้ตอบฉะฉาน
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจับตาดูข้าต่อไปก็ได้ แต่ข้าตั้งมั่นกับตัวข้าในตอนนี้แล้วว่า ข้าจะปรับปรุงตัวเองให้ดูดีขึ้นกว่านี้ แล้วหลังจากนั้นข้าจะแก้แค้นนางอนุสามคนนั่นกับอ๋องใหญ่ให้สาสม”
“ท่านจะฆ่าพวกเขาเหรอ”
“บ้าสิ!” เอ็ดสาวใช้แล้วค้อนด้วยสายตา “ข้าจะไปฆ่าพวกเขาได้อย่างไรล่ะ ข้าบอกว่าจะแก้แค้นเท่านั้น การแก้แค้นไม่จำเป็นต้องฆ่ากันให้ตายหรอก”
“แล้วท่านจะทำอย่างไรเจ้าคะ” ได้ยินเรื่องการแก้แค้น ไฟในกายของหลี่ก็ลุกโชติช่วงขึ้นมา เพราะนางก็อยากแก้แค้นให้คุณหนูของตนเหมือนกัน
“ข้าไม่มีแผนหรอกหลี่ แต่ข้าจะต้องเอาคืนให้คุณหนูของเจ้าอย่างสาสม”
“แต่คุณหนูของข้ารักอ๋องใหญ่มากนะเจ้าคะ นางเคยสั่งเสียข้าไว้ก่อนตาย ว่าให้ข้าเอาเรื่องของอ๋องใหญ่ไปเล่าให้นางฟังที่หลุมศพบ่อยๆ นางจะได้หายคิดถึงอ๋องใหญ่ ข้าเกรงว่าคุณหนูของข้าจะทุกข์ใจจนไม่ได้ไปเกิดนะเจ้าคะ ถ้านางรู้ว่าเราจะแก้แค้นอ๋องใหญ่ด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ยุ่งกับอ๋องใหญ่ของนางก็แล้วกัน” อยากจะบ้าตาย ก็อีแค่อ๋องแก่ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องรักต้องบูชาขนาดนั้นด้วยนะ
บทส่งท้าย (ตอนที่ 2)ตอนนั้นนายหญิงของนางแทบจะพลิกแคว้นหม่าตามหาลูกเหมือนคนบ้า หาในแคว้นหม่าไม่เจอก็ยังกลับไปที่เมืองหลวงของต้าหมิง เพื่อไปถามเกาอ๋องและชายาของเขาว่ารู้เห็นกับเรื่องนี้หรือไม่คุกเข่าขอความเมตตาขอลูกคืนจากเขา ขอโทษสำหรับเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เคยทำไว้กับครอบครัวเขา เพราะคิดว่าพวกเขาขโมยลูกของนางไป แต่สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ ตั้งแต่วันที่นางหนีออกไปจากจวน ถ้าไม่เชื่อก็ให้คนค้นจวนได้เลยด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย นางจึงทำตามที่เกาอ๋องบอกอย่างไม่กริ่งเกรงใจ ค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่เจอ นางจึงคว้าน้ำเหลวกลับมาอีกครั้งกลับมาจากเมืองหลวงนางก็เอาแต่เศร้าโศกเสียใจอยู่เป็นปี แต่ก็ยังส่งคนคอยตามสืบตามหาคุณหนูอันอันจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิก ด้วยหวังว่าจะได้เจอนางในสักวันความเศร้าโศกเสียใจของนางในครั้งนั้นเดือดร้อนถึงฮ่องเต้และฮองเฮาของแคว้นหม่า ต้องเรียกนางเข้าไปพบและพูดคุยให้สติ เยียวยาจิตใจนางด้วยคำพูดและความหวังจากนั้นนา
บทส่งท้าย (ตอนที่1)สิบสองปีผ่านไป“ซินเอ๋อร์”“เจ้าค่ะท่านพ่อ” สาวน้อยวัยสิบสองขานรับคำเรียกบิดาแล้วรีบวิ่งออกจากกระท่อม “โอ้ว! น่ารักจังเลยท่านพ่อ” บอกบิดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี รีบเอาลูกสุนัขที่ท่านอุ้มไว้มาอุ้มแทน “มันชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”“พ่อหามาให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่ลูก ลูกตั้งชื่อตามใจลูกได้เลย”“เช่นนั้นลูกขอตั้งชื่อมันว่าซิงน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกอยากให้มันเป็นน้องชายของลูกมากกว่าสัตว์เลี้ยงเจ้าค่ะ”“แต่พ่อไม่ค่อยชอบชื่อนี้เลย” อาซิงหรือในอดีตที่มีชื่อว่าตงไห่ทำท่าไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “เพราะมันบังอาจชื่อเหมือนลูกสาวคนเดียวของพ่อ”“เช่นนั้นลูกเปลี่ยนเพื่อท่านพ่อก็ได้” เด็กน้อยยอมเปลี่ยนใจง่ายดายเพื่อท่านพ่อของนาง“เจ้าไม่เสียใจหรือลูกซิน”“ไม่เลยเจ้าค่ะ ลูกเป็นลูกของท่านพ่อ สิ่งไหนที่ทำให้
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้านะ เอาไว้ข้าจะให้ป้าเซียวทำอาหารแห้งมาฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน”“ขอบคุณลุงเซียวมาก ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”“มีเด็กก็ต้องมียาติดบ้านไว้บ้างนะ บ้านข้าก็มีลูกอ่อนเหมือนเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้เมียข้าฝากป้าเซียวมาให้นะ”“ขอบคุณพี่ชายมาก” ตงไห่กล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจ แต่ความจริงเขาก็มียาหลายเทียบติดตัวมาแล้ว“พวกข้าไปก่อนนะอาซิง มีอะไรก็ไปบอกพวกเราได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”ตงไห่พยักหน้ารับ ยืนส่งจนพวกเขาเดินจากไปไกลจึงเดินเข้าไปในกระท่อมเขาเดินไปที่เปลที่มีทารกเพศหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มนอนหลับสบายอุรา ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ“ลูกเอ๋ย พ่ออยากฆ่าแม่ของเจ้านัก แต่เห็นแก่ความดีที่นางยอมคลอดเจ้าออกมา พ่อจึงไว้ชีวิตนาง ให้นางได้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความทุกข์ไปตลอดชีวิตแทน ส่วนเจ้า..พ่อขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องกำพร้าแม่ ต่อจากนี้ไปเราสองคนจะเป็นคนใหม่ พ่อไม่ใช่ตงไห่แต่เป็นอาซิง ส่วนเจ้าไม่ใช่ลูกหลานตระกูลฉง
ฉงเถียนค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก แข้งขาแทบไม่มีแรงแต่ก็ยังฝืนประคองตัวเอาไว้ แล้วเดินโซซัดโซเซออกไปจากห้องตามหลังเสี่ยวผิงยืนมองสาวใช้ที่กำลังไล่ถามทุกคนในร้านด้วยความร้อนใจ แต่ทุกคนต่างก็ส่ายหน้าให้นาง“ทุกคนฟังทางนี้” นางรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วตะเบ็งเสียงออกไปอย่างดังที่สุดเท่าที่ทำได้ เห็นทุกสายตามองมาก็พอใจยิ่ง “เมื่อคืนนี้ลูกสาวที่เพิ่งเกิดของข้าหายไปจากห้อง ถ้าใครสามารถชี้เบาะแสแก่ข้าได้ ข้าจะมอบบ้านและเงินให้เป็นรางวัล” พูดพร้อมกับชูตราประจำตระกูลขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่นเสียงของคนในโรงเตี๊ยมดังระเบ็งเซ็งแซ่แทบจะทันทีเมื่อได้ยินและได้เห็นป้ายที่หญิงสาวถือไว้“ท่านคือธิดาของแม่ทัพฉงเหรอ” ชาวบ้านผู้หนึ่งตะโกนถามสตรีที่ยืนอยู่ชั้นบนของโรงเตี๊ยม“ใช่ ข้ามีนามว่าฉงเถียน เป็นธิดาเพียงคนเดียวของฉงเฉิน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นนี้ ถ้าใครให้เบาะแสแก่ข้าได้ ท่านสามารถเลือกเอาได้เลยว่าอยากมีบ้านอยู่ในเมืองไหน ข้าจะเนรมิตให้ท่านทันที&rdquo
น้ำตาสาวใช้เอ่อล้นตา ต่อให้อีกฝ่ายใช้คำพูดสวยหรูเพียงใด นางก็ไม่สบายใจเลยสักนิด แต่ก็ยอมพยักหน้ารับคำขอ“ได้เจ้าค่ะ บ่าวสัญญาว่าจะเลี้ยงดูคุณหนูอย่างดีที่สุด”“ขอบใจมากนะเสี่ยวผิง” ฉงเถียนยิ้มกว้างด้วยความสบายใจ มองสาวใช้ด้วยความซาบซึ้ง ‘ข้าจะไม่ให้เจ้ากับลูกของข้าต้องอยู่อย่างลำบากหรอก ข้าจะต้องพาพวกเจ้ากลับถึงจวนของบิดาข้าให้ได้ ข้าถึงจะยอมตาย’ คิดในใจโดยไม่พูดออกไปเมื่อทำสำเร็จอย่างที่ตั้งใจแล้ว ต่อให้ตงไห่หรือคนของเกาอ๋องตามมาเอาชีวิต นางก็ยินดีก้มรับชะตากรรม“ท่านหญิง บ่าวขอถามได้หรือไม่ เหตุใดท่านจึงต้องแบกท้องแก่หนีมายังแคว้นหม่าด้วย ทำไมไม่คลอดลูกที่จวนเกาอ๋องเล่า ก่อนหน้านี้บ่าวเคยชวนท่านหนีท่านก็ไม่เห็นด้วย ยืนกรานว่าจะคลอดลูกที่จวนเกาอ๋องให้ได้ แต่ทำไมตอนหลังถึงเปลี่ยนใจง่ายดาย”“.....” ถึงแม้จะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องถูกถาม แต่มันก็ยากที่ต้องตอบความจริงออกไป ฉงเถียนจึงได้แต่นิ่งเงียบเหมือนคนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“หยุดพูดเรื่องนี้กันเถิดเจ้าค่ะ บ่าวยอมพาท่านเสี่ยงชีวิตข้ามแดนมาคลอดลูกที่แคว้นของเราแล้ว ต่อไปนี้ก็เชื่อฟังบ่าวบ้างเถิดนะเจ้าคะ” เมื่ออยู่ในแคว้นบ้านเกิดแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาปกปิดฐานะเพราะกลัวใครจะจับได้อีก“แต่ข้ายังไม่สบายใจจนกว่าจะกลับถึงบ้านของข้า”“ท่านหญิงกำลังกลัวอะไรกันแน่ บอกให้บ่าวเข้าใจหน่อยเถิด” เสี่ยวผิงเริ่มสงสัย“เปล่าหรอก ข้าก็แค่อยากพาลูกกลับบ้าน จะได้มีแม่นมช่วยดูแลนางเร็ว ๆ ก็เท่านั้น” ฉงเถียนสร้างเรื่องโกหก“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าได้ใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวไปทางบ้านแล้ว อีกไม่เกินสามถึงสี่วัน คนของเราน่าจะมาถึงที่นี่ ก็น่าจะเป็นเวลาที่ท่านรักษาตัวจนแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้พอดี และข้ายังได้บอกให้พวกเขาพาแม่นมมาด้วย”“..เจ้าช่างรอบคอบนัก ขอบใจนะเสี่ยวผิง” เจอความรอบคอบของสาวใช้ นางก็จนปัญญาจะแต่งเรื่องมาโกหก จึงได้แต่ดื่มยาในถ้วยจนหมด“อมบ๊วยแก้ขมสักหน่อยนะเจ้าค